ณ เวลานี้ คอเกมทั้งหลายคงไม่มีใครไม่รู้จัก Garena Free Fire สุดยอดเกม Action เอาตัวรอดบนมือถือ ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในประเทศไทย และกว่า 130 ประเทศทั่วโลก ที่เปิดตัวมาด้วยเวลาเพียงแค่ 2 ปี แต่กวาดสถิติไปแล้วมากมาย ไม่ว่าจะยอดดาวน์โหลดกว่า 450 ล้านครั้ง, มีจำนวนผู้เล่นออนไลน์พร้อมกันสูงสุดทั่วโลกกว่า 50 ล้านคน รั้งตำแหน่งสุดยอดเกมที่มีผู้เล่นดาวน์โหลดเยอะที่สุดทั่วโลกในปี 2019 แถมยัง เป็นเกมมือถือที่ทุบสถิติยอดผู้ชมการแข่งขัน eSports ออนไลน์พร้อมกันสูงสุดในโลกจากรายการ Free Fire Worlds Series 2019 แต่ถึงแม้จะยืนหนึ่งเป็นเกมมือถือยอดฮิตถล่มทลาย ทาง Garena Free Fire ก็ไม่ได้นอนกอดความสำเร็จแบบนิ่งดูดาย เพราะนอกจากจะตั้งหน้าตั้งตาพัฒนาเกมให้มันส์สะใจ ก็ยังมีโปรเจ็กต์พิเศษมากมายออกมาเอาใจเหล่าเกมเมอร์ทั้งหลายให้อินกับเกม Garena Free Fire มากขึ้น ล่าสุดสาวก Garena Free Fire รวมถึงใครที่ติดตามวงการเพลง Hip Hop กันอยู่ น่าจะพอทราบถึงข่าวคราวของโคตรโปรเจ็กต์ ที่ต้องยอมรับเลยว่า ทีมงาน Garena
“วัยเด็กของผมโตมากับยอดมนุษย์ 5 สี” UNLOCKMEN เชื่อว่าเด็กผู้ชายอีกไม่น้อยต่างเคยดูซีรีส์ญี่ปุ่นแนวโทะกุซัตสึ วันเสาร์-อาทิตย์ รีบแหกขี้ตาตื่นมานั่งอยู่หน้าทีวีรอดูตำรวจเหล็กจีบัน โกเรนเจอร์ ตำรวจอวกาศเกียบันผู้บัญญัติศัพท์คำว่า “บรรยากาศมาคุ” หรือนินจาจอมคาถาอาราชิ ไม่น่าเชื่อว่าตอนนี้วันวานของพวกเราจะกลับมาอีกครั้งบนแพลตฟอร์มที่ชื่อว่า Youtube บริษัทผู้สร้างภาพยนตร์ การ์ตูน รายการโทรทัศน์ชื่อดังของญี่ปุ่น Toei Tokusatsu (โตเอะ โทกูซัตสึ) ยอดมนุษย์และเหล่าขบวนการพิทักษ์โลกชื่อดังจากยุค 60-90 ตัดสินใจก้าวตามกระแสของโลกด้วยการเปิดช่องใน Youtube ในชื่อว่า Toei Tokusatsu World Official ที่ลงซีรีส์สุดเก๋าให้เราได้ชมกันหลังจากที่ไม่ได้ดูมานานจนบางคนอาจลืมเนื้อเรื่องไปแล้ว ถือว่าเปิดตัวได้เหมาะกับสถานการณ์โลกไม่น้อย เพราะเวลานี้ใคร ๆ ก็ต้องนอนอยู่ในบ้านกันทั้งนั้น ทำให้คนส่วนใหญ่ต้องหาอะไรมานั่งดูแก้เบื่อ และช่องของ Toei Tokusatsu World Official ก็เตรียมจัดเต็มลงซีรีส์ที่ตัวเองมีกันรัว ๆ ทั้งขบวนการ 5 จอมพิฆาตโกเรนเจอร์ (Himitsu Sentai Goranger 1975) ที่ถือเป็นขบวนการ 5 สี แก๊งแรกของโลกที่ถูกสร้างเป็นหนัง เป็นผู้บุกเบิกมนุษย์สี ๆ
เชื่อว่าชีวิตของหนุ่ม ๆ หลายคนในช่วงนี้คงไม่พ้นการต้องกักตัวอยู่ในบริเวณบ้านหรือห้องตัวเอง บางคนมีงานให้ต้องสะสาง ขณะที่หลายคนเลือกจะพักผ่อนด้วยกิจกรรมต่าง ๆ ที่ตัวเองชอบ แต่สำหรับคนที่กำลังเผชิญปัญหา ท้อแท้หรือหมดกำลังใจกับชีวิตในช่วงเวลานี้อยู่ เราอยากชวนคุณหลบมุมเพื่อพักผ่อนและเติมพลังชีวิตไปกับ Sport Documentary ดี ๆ ที่มีให้ทั้งความรู้ ความสนุกสนาน MOTIVATHLETE วันนี้ถือโอกาสเลือกสารคดีกีฬา 5 เรื่อง 5 สไตล์ที่หวังจะสามารถให้มุมมองและแง่คิดดี ๆ กับทุกคนได้ไม่มากก็น้อย ไปดูกันว่าเราจะหยิบเรื่องราวของนักกีฬาคนไหนมาแนะนำบ้าง Conor Mcgergor: Notoriouus สารคดีที่เล่าถึงเรื่องราวชีวิตของคอเนอร์ แม็คเกรเกอร์ นักกีฬาต่อสู้ศิลปะป้องกันตัวแบบผสมผสานอดีตแชมป์ 2 รุ่นน้ำหนักคนแรกของ Ultimate Fighting Championship หรือ UFC ชายปากมากที่มีทั้งคนรักและเกลียดเพราะฝีมือการต่อสู้ของเขามีมากพอ ๆ กับน้ำลาย ตัวสารคดีจะเกริ่นรู้จักตัวคอเนอร์ตั้งแต่ช่วงแรกที่เข้าวงการมวยกรง 8 เหลี่ยมสู่แมตซ์เปิดตัวอันน่าประทับในบนสังเวียน UFC และการแข่งขันที่เข้มข้นกับทั้ง Chad Mendes และ Nate Diaz ที่สอดแทรกมุมมองชีวิตส่วนตัวจากปากคอเนอร์เองและคนใกล้ชิด หวังเรื่องราว 1.30 ชั่วโมงจะทำให้ทุกคนเข้ามากขึ้นว่าชีวิตของชายคนนี้ไม่ได้ก้าวขึ้นมามีชื่อเสียงและร่ำรวยบนเส้นทางที่ราบเรียบ
เชื่อไหมครับว่าภาพยนตร์หลายพันเรื่องที่เคยผ่านตาเรา ล้วนสอดแทรกโครงสร้างทางสถาปัตยกรรมที่น่าสนใจเอาไว้ และถ้าคุณหลงใหลงานดีไซน์มากพอก็คงจะรับรู้ได้ เนื่องจากสถาปัตยกรรมเป็นสิ่งปลูกสร้างที่สร้างขึ้นเพื่อมนุษย์ แถมยังครอบคลุมตั้งแต่การพักอาศัยไปจนถึงการใช้ชีวิต การออกแบบสถาปัตยกรรมจึงนับว่ามีบทบาทไม่น้อยต่อภาพยนตร์ นอกจากจะเป็นฉากหลังประกอบเนื้อเรื่องที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อสายตาผู้ชมแล้ว สถาปัตยกรรมในแต่ละฉากตอนยังสะท้อนถึงสภาพสังคม วัฒนธรรม รวมถึงยุคสมัยที่ปรากฏในภาพยนตร์แต่ละเรื่องได้อีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้นรายละเอียดเล็ก ๆ ของงานสถาปัตยกรรมยังช่วยเสริมแนวคิดตลอดจนเนื้อเรื่องของภาพยนตร์ให้เด่นชัดขึ้นในเวลาเดียวกัน แล้วนี่คือภาพยนตร์ 5 เรื่อง 5 รสชาติที่ซ่อนความพิเศษทางสถาปัตยกรรมบางอย่างที่เราอยากให้คุณได้รับชม! PARASITE, 2019 ภาพยนตร์สัญชาติเกาหลีของผู้กำกับ Bong Joon-ho ที่นอกจากจะคว้ารางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมและอีกหลายรางวัลใหญ่บนเวทีออสการ์ ยังซ่อนผลงานสถาปัตยกรรมสุดน่าทึ่งเอาไว้ด้วย เนื้อเรื่องของ Parasite เล่าถึงครอบครัวต่างฐานะของเกาหลีใต้ที่ฝั่งหนึ่งใช้ชีวิตสุขสบายในคฤหาสน์หรู แต่อีกฝั่งต้องกัดฟันสู้ชีวิตท่ามกลางสภาพสังคมที่เหลื่อมล้ำ ภาพยนตร์เรื่องนี้โดดเด่นด้วยการเสียดสีสังคมและเผยให้เห็นช่องโหว่ของคนรวยกับจนอย่างโจ๋งครึ่ม ซึ่งหนึ่งในองค์ประกอบหลักที่ช่วยให้ผู้ชมซึมซับความต่างระหว่างชนชั้นคือผลงานสถาปัตยกรรมในเรื่องนี้ ผนังหน้าบ้านของครอบครัวคนรวยดีไซน์ด้วยกำแพงสูงทึบตัน ที่ช่วยแบ่งกั้นระหว่างภายในกับภายนอกอย่างชัดเจน ทางเดินเข้าบ้านยกระดับให้สูงขึ้นสร้างความเป็นส่วนตัวให้กับผู้พักอาศัย และเหมือนบอกโดยนัยว่าไม่ต้องการให้ใครเข้าถึงง่าย ภายในยังสร้างบันไดไว้บริเวณจุดศูนย์กลางบ้านช่วยแบ่งพื้นที่ให้เป็นสัดส่วนมากขึ้น แม้จะใช้กระจกบานกว้างเพื่อเปิดรับแสงธรรมชาติและบ่งบอกถึงรสนิยมหรูหรา แต่กลับเลือกเฟอร์นิเจอร์น้อยชิ้นที่ดูเรียบง่ายมาตกแต่ง บวกกับโทนสีในบ้านและเปลือกนอกอาคารที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง ราวกับบอกว่าบ้านหลังนี้ซ่อนความลับบางอย่างเอาไว้ BLACK PANTHER, 2018 แม้แต่ Black Panther ภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่ลำดับที่ 8 ในจักรวาลมาเวล ยังเต็มไปด้วยรายละเอียดยิบย่อยของสถาปัตยกรรมผังเมืองฝีมือ Zaha Hadid สถาปนิกหญิงชื่อก้องโลกผู้คร่ำหวอดในแวดวงสถาปัตยกรรม
ในปัจจุบันนี้หน้ากากอาจกลายเป็นสิ่งที่ใช้ป้องกันการติดเชื้อรวมไปถึงฝุ่น PM 2.5 ซึ่งใคร ๆ เขาก็ทำกัน แต่หากมองย้อนกลับไม่กี่ปีที่ผ่านมา การใส่หน้ากากคงไม่ใช่เรื่องปกติทั่วไปที่ใคร ๆ ก็ใส่กัน โดยเฉพาะในกลุ่มนักดนตรีระดับโลกทั้งหลาย ที่ส่วนใหญ่จะมาถึงจุดที่เรียกว่าโด่งดังได้นั้น อาจจะต้องใช้ใบหน้าอันหล่อเหลาเข้าช่วยบวกกับความต้องการให้คนทั่วไปจดจำใบหน้าของตัวเองได้ซึ่งก็ไม่ได้ผิดแปลกอะไร เพียงแต่มันอาจใช้ไม่ได้กับวงดนตรีทั้ง 8 วงนี้ เพราะนอกจากพวกเขาเลือกจะใส่หน้ากากปิดบังใบหน้าที่แท้จริงของตัวเองแล้ว การปกปิดตัวตนและใบหน้าให้ลึกลับกลับช่วยให้พวกเขาประสบความสำเร็จ และเป็นที่สนใจมากยิ่งขึ้นอีก วันนี้เราจะพาทุกคนไปดูกันว่าพวกเขาเหล่านี้ว่าจะเป็นวงอะไรกันบ้าง ทำไมพวกเขาต้องใส่หน้ากากทุกครั้งที่ออกสู่สาธารณชน 1. The Residents 44 ปี มาแล้วสำหรับวงดนตรีที่ชื่อว่า The Residents กับการเก็บตัวตนสุดลึกลับของพวกเขาเอาไว้ภายใต้หน้ากาก The Residents ก่อตั้งขึ้นในโรงเรียนมัธยม Shreveport รัฐ Louisiana และขยับขยายย้ายถิ่นไปมีชื่อเสียงอยู่ที่ California อย่างไรก็ตามพวกเขายังคงรักษาความลึกลับของหน้าตาที่แท้จริงเอาไว้ภายใต้หน้ากากรูปลูกตากับหมวกนักมายากลมาเสมอ เพราะเขาต้องการให้คนสนใจที่ผลงานเพลงมากกว่าที่จะมาสนใจที่ตัวพวกเขา ตลอดเวลาที่ผ่านมา The Residents ปล่อยผลงานเพลงออกมาแบบบ้าพลังถึง 40 ชุด รวมไปถึง Multimedia Collection อีกมากมาย 2. Slipknot วง
แม้ในยุคนี้กระแสนิยมจะเทไปทางแพลตฟอร์มวิดีโอสตรีมมิงอย่าง Netflix, HBO หรือ Amazon Prime Video แต่เชื่อว่ายังมีผู้ชายอีกหลายคนที่ไม่ได้สนกระแสและย้อนนึกถึงภาพยนตร์เก่า ๆ ในห้วงอดีตอยู่เสมอ เพราะภาพยนตร์แต่ละยุคล้วนมีพื้นหลังทางประวัติศาสตร์ กลวิธีถ่ายทำ และเส้นเรื่องที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวด้วยกันทั้งนั้น ทว่ายุคที่โดดเด่นด้านการสร้างสรรค์อะไรใหม่ ๆ ยุคที่เป็นจุดเริ่มต้นของภาพยนตร์หลากหลายแนว และยุคที่ได้ชื่อว่าแยกออกจากฮอลลีวูดยุคเก่าอย่างเต็มตัว คงต้องยกให้กับ ‘ภาพยนตร์แห่งยุค 70s’ ทำไมต้องเป็นภาพยนตร์ยุค 70s ? จริงอยู่ที่ในยุค 60s วงการจอเงินได้รับอิทธิพลจาก French New Wave หรือกลุ่มผู้สร้างภาพยนตร์ฝรั่งเศส ที่เริ่มถ่ายหนังในสถานที่จริงแทนสตูดิโอ เน้นหนักเรื่องความเป็นธรรมชาติ และใช้เทคนิคการตัดต่อสุดล้ำอย่าง jump cut, insert รวมทั้งการถ่ายแบบ long take แต่ภาพยนตร์ยุค 70s กลับต่างออกไป เพราะในช่วงคริสต์ศตวรรษ 1970 เป็นช่วงที่อเมริกาเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ มีสงครามและความไม่สงบกระจายตัวอยู่หลายแห่ง ในทางกลับกันดนตรี ศิลปะ หรือแม้แต่อุตสาหกรรมภาพยนตร์นั้นเจริญรุ่งเรืองเป็นอย่างมาก บท เส้นเรื่อง รวมทั้งเนื้อหาของภาพยนตร์ในยุคนี้จึงเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพสังคมโดยรอบ เหล่าผู้สร้างภาพยนตร์ของยุค 70s ต่างสรรหาประเด็นหนัก
หลังจากเปิดตัวมาในฐานะช่องรายการเสริมอิงแอบในแอปฯ และกล่องทีวีจากผู้ให้บริการอื่นมาพักใหญ่ ล่าสุดช่อง HBO ที่มีคอนเท้นต์ดี ๆ อยู่ในมือมากมาย ได้อาศัยช่วงที่พวกเราส่วนใหญ่ต้องใช้ชีวิตเก็บตัว Social Distancing อยู่ในบ้านเป็นฤกษ์ปล่อยแอปฯ HBO GO ลุยตลาดเมืองไทยแบบเต็มตัว ขึ้นชื่อว่า HBO แน่นนอนว่ามาเต็มทุกความบันเทิงทั้งซีรีส์ดัง หนังดี และช่อง LIVE TV ให้รับชมได้ผ่านแอปฯ ของ HBO GO ที่พัฒนาขึ้นมาใหม่ ทั้งใน iOS และ Android Device รวมถึงบนคอมพิวเตอร์ผ่านเว็บไซต์ https://www.hbogo.co.th ในราคา 149 บาทต่อเดือน สำหรับรายละเอียดอื่น ๆ เรื่องใช้งานได้เสถียรมั้ย ใช้งานได้กี่เครื่อง แชร์ขึ้นจอใหญ่ได้หรือเปล่า? เอาเป็นว่าใครสนใจคงต้องไปเลื่อนอ่านต่อในเว็บ HBO GO หรือลองโหลดแอปฯ มาสมัครใช้งานกันดู (มีให้ทดลองดูฟรี 7 วัน) เพราะในวันนี้เราไม่ได้จะมารีวิวแอปฯ HBO GO ให้อ่าน แต่จะขออาสามาชี้เป้าสำหรับชาว HBO
เชื่อว่าหนุ่ม ๆ หลายคนคงได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 กันถ้วนหน้า หลายคนต้องทำงานที่บ้านหรือใช้เวลาอยู่บ้านมากขึ้นเพื่อทำการรักษาระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) นั่นทำให้ยอดการเข้าชมภาพยนตร์และสารคดีในช่องทางสตรีมมิ่งเพิ่มขึ้นถึง 20 เปอร์เซ็นต์ ขณะเดียวกัน ตอนนี้ถือเป็นช่วงเวลาพิเศษสำหรับหนุ่มที่รักเสียงเพลงเพราะแพลตฟอร์มต่าง ๆ ได้ขนสารคดีของศิลปินระดับโลกที่น่าสนใจจำนวนมากมาให้ชม แต่ด้วยจำนวนสารคดีมากมายอาจทำให้หลายคนสับสน เลือกไม่ได้ว่าจะดูอันไหนดี วันนี้เราจึงอาสาพาไปทำความรู้จัก 6 Music Documentary เจ๋ง ๆ ที่คอดนตรีไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง จะมีเบื้องหลังเบื้องลึกของอัลบั้มไหน หรือฟุตเทจหายากของใคร เชิญติดตามรับชมได้เลย Oasis: Supersonic Oasis: Supersonic สารคดีที่จะพาคุณไปทำความรู้จักเรื่องราวของ 2 พี่น้อง Liam และ Noel Gallagher แห่งวง Oasis ที่จะพาย้อนชมชีวิตตั้งแต่ยุคก่อตั้งวงที่ปากกัดตีนถีบ ก่อนเข้าสู่ยุคแห่งความสำเร็จของวงในยุค 90’s ขณะเดียวกัน Oasis: Supersonic ก็แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ด้านต่าง ๆ ของ 2 พี่น้องนักดนตรีที่สร้างวงระดับตำนานขึ้นไปพร้อม ๆ กัน Oasis: Supersonic เป็นผลงานการสร้างของ
เคยจินตนาการตัวเองตอนตกอยู่ในสถานการณ์กดดันกันบ้างไหม ? บ่อยครั้งที่พวกเรา UNLOCKMEN นึกถึงตัวเองตอนตกอยู่ท่ามกลางความวุ่นวายในหนังซอมบี้ หรือการเอาตัวรอดจากฉลามกลางทะเล ถ้าเกิดเราติดเกาะจะอดตายไหม ในสถานการณ์บีบคั้นที่ทำให้เราต้องตัดสินใจว่าจะอยู่หรือจะหนี แล้วถ้าหนีต้องหนีให้รอด ถือเป็นการวัดใจและท้าทายขีดจำกัดของมนุษย์ว่าเราจะสามารถดึงเอาสัญชาตญาณการเอาตัวรอดออกมาใช้ ได้มากแค่ไหน ภาพยนตร์เอาตัวรอดจากสถานการณ์ต่าง ๆ ทั้งหมด 10 เรื่อง ที่ UNLOCKMEN คัดมาให้ในวันนี้เผยให้เห็นการคิด การตัดสินใจที่หลากหลาย หากเราตกอยู่ในอันตรายหรือบาดเจ็บ สภาพแวดล้อมและสิ่งของรอบตัวกับไหวพริบที่มีจะช่วยอะไรเราได้บ้าง THE REVENANT (2015) ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เราต้องรอด! หนังแอกชันกึ่งชีวประวัติของ Hugh Glass (นำแสดงโดย Leonardo DiCaprio) ต้องออกเดินทางสำรวจดินแดนในโลกใหม่ เขานำทีมลงสำรวจพื้นที่ แต่การผจญภัยต้องเกิดปัญหาเมื่อคนในคณะถูกหมีกริซลี่ทำร้ายจนทำให้การเดินทางช้าลง ซึ่งการไปแบบช้า ๆ ส่งผลเสียร้ายแรงเพราะการอยู่กลางป่านาน ๆ อาจทำให้ทุกคนในทีมเกิดอันตราย นอกจากนี้ยังมีปัญหาใหญ่ที่ตามมาว่าเราจะเลือกไปต่อแบบช้า ๆ หรือจะฆ่าเพื่อนเพื่อให้งานที่ทำไว้ไปต่ออย่างราบรื่น ? The Revenant (2015) เล่าถึงเส้นทางชีวิตที่ต้องตัดสินใจ ท่ามกลางการบีบคั้น คนที่เหลือต้องไปต่อเพื่อเอาชีวิตรอด รวมถึงเรื่องราวความแค้นที่รอวันชำระ ชวนให้กลับมานั่งคิดใหม่อีกครั้งว่าระหว่างหมียักษ์ที่ดุร้ายกับจิตใจแสนโหดเหี้ยมของมนุษย์ สิ่งไหนน่ากลัวกว่ากัน
คนที่อ่านมังงะเรื่องวันพีซ (One Piece) มาตั้งแต่ตอนแรกจนถึงปัจจุบันคงไม่มีใครไม่รู้จักชนชั้นสูงของโลกที่เรียกว่า “เผ่ามังกรฟ้า” และ UNLOCKMEN เชื่อว่าเกือบทุกคนจะต้องหมั่นไส้ตัวละครกลุ่มนี้มากแน่นอน เพราะพวกเขาไม่เคยแคร์คนอื่น ห้ามใครขัดใจ คิดว่าตัวเองเป็นเทพเจ้า ใครขัดขืนเผ่ามังกรฟ้า ถ้าไม่ถูกเอาไปเป็นทาสต้องพบกับความตาย แล้วเพราะอะไรพวกเขาถึงยิ่งใหญ่คับฟ้าขนาดนี้ ? เผ่ามังกรฟ้า (Celestial Dragons) ปรากฏตัวอย่างเป็นทางการครั้งแรกในวันพีซตอนที่ 497 พวกเขาเป็นสมาชิกของราชวงศ์เก่าแก่ 20 ตระกูล ที่ร่วมกันสร้างรัฐบาลโลกเมื่อ 800 ปีก่อน เมื่อสงครามใหญ่จบลงพวกเขาพากันไปใช้ชีวิตอยู่บนดินแดนศักดิ์สิทธิ์แมรี่โจอาหรือแมรีจัวส์ (Mariejois) ผืนแผ่นดินที่ตั้งอยู่บนยอดของเรดไลน์ พร้อมกับคัดเลือกคนที่เหมาะสมให้มาปกครองดินแดนต่าง ๆ แทนตัวเองที่ย้ายไปอยู่ยังดินแดนศักดิ์สิทธิ์ แต่เผ่ามังกรฟ้าตระกูลเนเฟลตาลี (Nefertari) ขอเลือกใช้ชีวิตอยู่บนแผ่นดินปกติตามเดิม และลูกหลานของตระกูลนี้เคยเป็นหนึ่งในสมาชิกกลุ่มโจรสลัดหมวกฟางกลุ่มตัวละครหลักของเรื่อง เรื่องราวของเผ่ามังกรฟ้าที่ยิ่งใหญ่เหมือนกับพระเจ้าถูกอาจารย์โอดะค่อย ๆ สอดแทรกอยู่ในช่องสี่เหลี่ยมของหนังสือการ์ตูน ทำให้คนอ่านตามเก็บรายละเอียด รับรู้เรื่องราวของชนชั้นสูงในโลกวันพีซว่าพวกเขายิ่งใหญ่ ถูกเรียกว่า ‘สายเลือดของพระเจ้า’ และไม่ค่อยสุงสิงกับพวกมนุษย์ชั้นต่ำ เราจะได้เห็นแฟชั่นของชนเผ่ามังกรฟ้าแบบเต็ม ๆ ครั้งแรกเมื่อพวกลูฟี่มาเยือนยังหมู่เกาะชาบอนดี้ เผ่ามังกรฟ้าจะไม่ใช้อากาศหายใจร่วมกับมนุษย์คนอื่น ๆ พวกเขาแต่งตัวเหมือนกับมนุษย์อวกาศ รวมถึงสัตว์เลี้ยงมีค่ามากกว่าคนทั่วไป ไม่ค่อยออกจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ แต่ถ้าจะลงมาข้างล่างพวกเขามักแวะเวียนมายังหมู่เกาะชาบอนดี้อยู่บ่อย ๆ เพราะเกาะแห่งนี้เป็นที่ตั้งของโรงประมูลทาสที่ใหญ่ที่สุดในโลก เผ่ามังกรฟ้าเวลาออกจากแมรี่โจอาแต่ละครั้งมักสร้างความเดือดร้อนให้ผู้คน
ตอนนี้ใคร ๆ ก็ต้องอยู่บ้าน รวมถึงพวกเราชาว UNLOCKMEN ต้องอยู่ติดบ้าน พยายามออกไปข้างนอกให้น้อยเท่าที่จะทำได้ และการนั่ง ๆ นอน ๆ อยู่ในพื้นที่เดิมอาจทำให้เราเบื่อหน่าย บางคนดูหนังจนไม่รู้ว่าจะดูเรื่องอะไรแล้วก็มี จึงทำให้วันนี้เราอยากแนะนำแอนิเมชันที่ฉายบนระบบสตรีมมิง Netflix ไว้เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกสำหรับคนขี้เบื่อ แอนิเมชัน 7SEEDS สร้างจากมังงะที่ตีพิมพ์ลงในนิตยสารการ์ตูนรายเดือนโชโจปี 2001 และนิตยสารการ์ตูนรายเดือนฟลาวเวอร์ในปี 2002 ผลงานจากความคิดสร้างสรรค์ของทามูระ ยูมิ (Tamura Yumi) นักเขียนมังงะสไตล์สดใสที่คนไทยชอบเรียกกันว่า “การ์ตูนตาหวาน” แต่ถึงจะตาหวานภาพสวยน่ารักแต่เนื้อเรื่องส่วนใหญ่ของอาจารย์ยูมิมักมีเนื้อหาแหวกแนวจากการ์ตูนตาหวานเรื่องอื่น ๆ 7SEED จะเล่าเรื่องราวของคนญี่ปุ่นกลุ่มหนึ่งถูกนำไปปล่อยทิ้งไว้สักแห่งหนึ่งของโลก เด็กสาวชื่อ ‘นัตสึ’ ตื่นขึ้นมาพบว่าตัวเองอยู่บนเรือลำหนึ่งกลางมหาสมุทรกับคนแปลกหน้าอีกสองคน พวกเขาสามารถขึ้นฝั่งบนเกาะที่ไม่รู้จัก แถมพบว่ายังมีคนอื่นที่ติดอยู่บนเกาะด้วยเหมือนกัน ผู้รอดชีวิตทั้งนักเรียนมัธยมปลาย นักดนตรี ตำรวจหญิง แต่ละคนล้วนอุปนิสัยแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ทุกคนต่างต้องงัดความรู้และไหวพริบเท่าที่มีทำให้ตัวเองมีชีวิตรอดบนเกาะที่เต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตประหลาด เรื่องราวการเอาชีวิตรอดของมนุษย์ทำให้เราลืมภาพการ์ตูนตาหวานไปจนหมดสิ้น เพราะเนื้อหาของมังงะเรื่องนี้เล่นกับจิตใจคนได้อย่างไม่น่าเชื่อ มีคนที่เชื่อมั่นสุดหัวใจว่าหากร่วมมือกันทุกคนจะต้องออกไปจากเกาะให้ได้ และก็มีบางคนเชื่อว่ามนุษย์สามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมรอบตัว ดำรงชีวิตอยู่บนเกาะโดยไม่ต้องพยายามหาทางออกไป จนทำให้เราย้อนกลับมาคิดว่าหรือถ้าเป็นเองจะเลือกอยู่บนเกาะหรือไปตายเอาดาบหน้าดีกว่า ? “ที่นั่น มีแต่ภาพแห่งความสิ้นหวัง” แท้จริงแล้วมนุษย์ถูกจับมาอยู่รวมกันโดยโครงการ 7SEEDS เพื่อค้นหาเมล็ดพันธุ์ยอดเยี่ยมจากกลุ่มเซอร์ไววัลมาเป็นต้นแบบเพื่อรักษาเผ่าพันธุ์ของมนุษย์จากเหตุการณ์บางอย่างที่อาจทำให้เกิดการสูญพันธุ์ ท่ามกลางการ์ตูนภาพสวยกลับเต็มไปด้วยเรื่องราวหนักอึ้ง
ชีวิตการลงทุนมันโหดร้าย จนมีคนไปทำเป็นภาพยนตร์หลายเรื่อง แล้วทำไมเราถึงจะไม่ศึกษาจากสิ่งรอบตัวหละ