จะเดินจะเหินไปที่ใดก็ไม่ได้หายใจเต็มปอด เพราะตอนนี้ฝุ่น PM 2.5 ได้กลับมายึดครองบ้านเมืองเราอีกครั้ง หลาย ๆ คนที่ยังไม่ได้ซื้อเครื่องกรองอากาศก็อยากให้พิจารณากันอีกครั้ง ถึงราคาจะสูงหน่อย แต่เพื่อสุขภาพที่ดีมีติดบ้านไว้สักเครื่องก็เพื่อตัวคุณเองนะครับ แต่หากกล่าวถึงคำว่า ‘ฝุ่น’ ในโลกดนตรี เราค้นพบว่ามีศิลปินหลายคนทีเดียวที่นำคำ ๆ นี้มาเขียนในเพลง เนื่องด้วยมันเป็นสิ่งใกล้ตัวไม่ต่างกับสายลมแสงแดด แถมยังเป็นตัวร้ายของมวลมนุษยชาติมาอย่างยาวนาน ฝุ่นจึงถูกนำมาตีความแตกต่างกันไป อย่างไทยเราก็มีทั้งเพลง ฝุ่น ของ Big Ass หรือ ทางของฝุ่น ของอะตอม ชนกันต์ WEEKLY PLAYLIST สัปดาห์นี้ เราจึงรวบรวมเพลงสากลเกี่ยวกับฝุ่นที่น่าสนใจมาให้คุณได้ลองฟังกันบ้าง Cities in Dust – Siouxsie And The Banshee Siouxsie And The Banshees เจ้าแม่ Goth-Rock ยุค 70-80 ก็มีเพลงที่ชื่อว่า Cities Of Dust แปลเป็นไทยก็คือ ‘นครแห่งฝุ่น’ (กรุงเทพฯ ยุคปัจจุบันหรือเปล่าเนี่ย)
หากคุณเป็นหนึ่งในสมาคมชาว Netflix ที่ใช้งานมาสักพักแล้ว คงจะทราบว่า ซีรีส์ หนัง หรือแม้กระทั่งสารคดีบางเรื่องที่ไม่ใช่ Original Content ของเขาเอง จะหมุนเวียนการฉาย ไม่ได้มีให้ดูตลอดไป ซึ่งก็เข้าใจได้ว่าเป็นเรื่องของลิขสิทธิ์ แต่ก็มีข้อเสีย เพราะอาจทำให้เราพลาดอะไรดี ๆ ไป แถมทาง Official เองก็ไม่ได้โปรโมตทุกเรื่อง วันนี้ UNLOCLMEN ขอเอาใจคอเพลงโดยเฉพาะ แนะนำ 5 สารคดีนักดนตรีน่าสนใจจาก NETFLIX ที่มีให้รับชมอยู่ในช่วงนี้ การันตีเลยว่ายกมาแต่ระดับตำนานเท่านั้น แต่เราก็ไม่รู้ว่าจะถูกถอดออกจากแพลตฟอร์มไปเมื่อไหร่ ฉะนั้นถ้ามีเวลาก็อาจจะต้องรีบเสพรีบดูกันสักนิดนะครับ How the Beatles Changed the World วงระดับ The Beatles มีสารคดีให้รับชมไม่รู้กี่ตัว ไหนจะหนัง Biopic หรือหนังที่อ้างอิงถึงอีกมากมาย แต่สารคดี How the Beatles Changed the World นี้ จะเล่าในมุมมองการเกิดขึ้นและมีอยู่ของ The Beatles
ย้อนเวลาไปปี ค.ศ. 1969 ก่อนที่ชาวอเมริกันจะรู้จักกับคำว่าพังก์และคลื่นวิทยุต่าง ๆ ยังเปิดแต่เพลงบลูส์ร็อกไปทั่วบ้านทั่วเมือง ชายคนหนึ่งนามว่า Hilly Kristal ได้เช่าพื้นที่ด้านล่างโรงแรมราคาถูกในซอกหลืบหนึ่งของ Manhattan (ซึ่งเป็น Flophouse ลักษณะคล้าย Hostel ที่ต้องนอนรวมกัน แต่ไม่มีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกใด ๆ แถมเก็บค่าที่พักเพียง $6 ดอลลาร์ต่อเดือน) เปิดบาร์เล็ก ๆ ของตัวเองที่ชื่อว่า Hilly’s On The Bowery ณ บ้านเลขที่ 315 ถนน Bowery ด้วยจุดมุ่งหมายว่าจะให้ร้านแห่งนี้เป็น Biker Bar สำหรับสิงห์นักบิด และเป็นบาร์ท้องถิ่นเล็ก ๆ ที่เป็นดั่งมิตรสหายของผู้คนในย่าน แต่ด้วยความรักที่เขามีต่อเสียงเพลงและเล็งเห็นลู่ทางบางอย่างที่จะทำให้ขยับขยายธุรกิจของตัวเอง ในปี 1973 Hilly จึงตัดสินใจเปลี่ยนโฉมคลับเดิมของเขา อีกทั้งยังเปลี่ยนชื่อจาก Hilly’s On The Bowery เป็น CBGB ซึ่งย่อมาจาก Country, Bluegrass and Blues
เมื่อปี 2018 ที่ผ่านมา ภาพยนตร์เรื่อง Bohemian Rhapsody ปลุกกระแสให้ตำนานไม่มีวันตายอย่างวง Queen กลับเข้าสู่ยุคเฟื่องฟูอีกครั้ง เรื่องความเจ๋งของเขาเราไม่เถียง เพราะพวกเขาเป็นวง Glam Rock ระดับตำนานที่ไม่มีใครมาล้มล้างได้ แต่ก็ต้องยอมรับจริง ๆ ว่าหนังเรื่องนี้มีส่วนทำให้วงกลับมาได้รับความสนใจอีกครั้ง แถมยังขยายฐานแฟนเพลงเด็กรุ่นใหม่มากมาย แม้สมาชิกในวงจะอายุรุ่นราวคราวปู่ ล่าสุดก็มีเรื่องราวดี ๆ เกิดขึ้นอีกแล้ว เมื่อโรงกษาปณ์ The Royal Mint แห่งสหราชอาณาจักรประกาศคอลเลกชันใหม่เพื่อเป็นอนุสรณ์แด่ความยิ่งใหญ่ของวง โดยเป็นชุดแรกของคอลเลกชันในหมวด ‘Music Legends’ ซึ่งวงแรกที่ได้รับเกียรตินั้นจะเป็นใครไม่ได้นอกจากพวกเขาวง Queen แน่นอนว่าเหรียญระดับพรีเมียมแบบนี้ไม่ได้มาแค่ชิ้นเดียว แต่ผลิตออกมาหลากหลายรูปแบบให้คุณเลือกสรร (ถ้ากำลังทรัพย์ของคุณมากพอ) แบบธรรมดาราคา 13 ปอนด์ (ราว 514 บาท) แบบมีซองรูปวง Queen ราคา 15 ปอนด์ มีทั้งแบบธรรมดาและแบบ Limited Edition ผลิตแค่ 25,000 ชิ้น (ราว 593 บาท)
ไม่ว่าจะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง เราทุกคนล้วนต้องผ่านช่วงเวลาเป็นเด็กด้วยกันทั้งนั้น และกิจกรรมวัยเด็กขาดไม่ได้คือการตื่นเช้ามานั่งรอดูการ์ตูน อ่านหนังสือการ์ตูนเรื่องที่ชอบ ตามซื้อนิตยสารการ์ตูนเพื่อจะได้อ่านตอนถัดไปก่อนใคร ตามเก็บของเล่นที่แถมมากับขนม และเอาเรื่องราวมัน ๆ ในการ์ตูนมาคุยกับเพื่อนที่โรงเรียน ยุคหนึ่งเคยมีการ์ตูนเรื่องหนึ่งที่ได้รับความนิยมมากทั้งในประเทศญี่ปุ่นและประเทศไทย มังงะจากเกาะญี่ปุ่นที่เล่าเรื่องราวการผจญภัยของซุน โกคู เด็กชายผู้ออกตระเวนไปตามที่ต่าง ๆ เพื่อรวบรวมดราก้อนบอลให้ครบ 7 ลูก เพราะหากเก็บครบแล้วจะสามารถขอพรจากเทพเจ้ามังกร เรื่องราวการเดินทางที่ต้องพบเจอทั้งอุปสรรค เพื่อนฝูง เก็บเกี่ยวประสบการณ์จากการผจญภัย ทำให้เด็ก ๆ ทุกคนติดการ์ตูนเรื่อง Dragon Ball กันแจ DARGON BALL ในยุคคุณดังแค่ไหน ? เมื่อถูกถามขึ้นว่า “Dragon Ball ดังแค่ไหน ?” บางคนอาจสงสัยว่าทำไมถึงถามคำถามนี้ เพราะคำตอบคือสิ่งที่รู้กันอยู่แล้วว่า “การ์ตูนเรื่องนี้แม่งโคตรดัง!” แต่เมื่อยุคสมัยผ่านไป คนรุ่นก่อนที่ทันอ่านมังงะเรื่องนี้ก็เติบโตขึ้นตามกาลเวลา ซึ่งถ้าย้อนกลับไปดูพบว่าช่วงเวลาที่ Dragon Ball ตีพิมพ์คือ ค.ศ. 1984-1995 (พ.ศ. 2527-2538) สรุปคือตอนนี้การ์ตูนเรื่องดังจบลงนานกว่า 25 ปีแล้ว เด็ก ๆ
ตึงเครียดกันตั้งแต่ปลายปีที่แล้วยิงยาวมาถึงต้นปี 2020 เมื่อค่ายหนัง Focus Feature ปล่อยภาพยนตร์ดราม่าแรงบันดาลใจจากเหตุการณ์ฟ้องร้องที่สะเทือนไปทั่วทั้งโลกมาสร้างเป็นหนัง ตีแผ่ความจริงของประชาชนตัวเล็ก ๆ ที่ไม่เคยได้รับความยุติธรรม ไม่เคยถูกมองเห็นในหนังชื่อว่า Dark Water (2019) เมื่อ UNLOCKMEN ได้ดูตัวอย่างภาพยนตร์เรื่องนี้ก็เผลอคิดไปถึงชีวิตของคนไทยต้องพบเจอกับมลพิษอยู่ทุกวัน มันเกิดขึ้นเพราะอะไร ? เมื่อมีคนตายจากสารพิษที่โรงงานใหญ่ของนายทุนยักษ์เป็นคนปล่อยออกมาแถมยังไม่ได้รับความยุติธรรม ประชาชนจะทำอย่างไร ? ก้มหน้าก้มตารับกรรมที่ตัวเองไม่ได้ก่อ ต่อไป หรือว่าจะลุกขึ้นสู้สักครั้งถึงแม้จะรู้ว่ามันยากจะชนะก็ตาม ‘ดูปองท์’ บริษัทอุตสาหกรรมที่ทรงอิทธิพลแห่งหนึ่งของโลก สำหรับผู้คนในแวดวงอุตสาหกรรมคงไม่มีใครไม่รู้จัก Dupont (ดูปองท์) บริษัทที่มีอิทธิพลมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก เพราะบริษัทนี้มีบทบาทแทบทุกวงการทั้งการแพทย์ การทำเหมือง การก่อสร้าง ยานยนต์ พลังงาน อิเล็กทรอนิกส์ บรรจุภัณฑ์และการพิมพ์ อาหารและเครื่องดื่มไปจนถึงอุปกรณ์ในครัวเรือน ดูปองท์ทำทุกอย่าง ผู้คนทั่วโลกต่างต้องเคยใช้ผลิตภัณฑ์จากบริษัทนี้มากกว่าหนึ่งครั้งอย่างแน่นอน มีอยู่ยุคหนึ่งที่ผู้คนตื่นเต้นกับการใช้กระทะสารเคลือบ Teflon (เทฟลอน) สารประกอบพอลิเมอร์ชนิด polytetrafluoroethylene (PTFE) คุณสมบัติน้ำหนักเบา ทนทุกสภาพอากาศทั้งความร้อนและเย็น เป็นสารเคมีที่พลิกโฉมวงการอุตสาหกรรมของโลกที่ปองท์ผลิตขึ้น ดูปองท์บอกโลกว่ามีเคมีภัณฑ์อเนกประสงค์อย่างเทฟลอน แต่ไม่ได้บอกว่าเทฟลอนของตัวเองมีสารพิษเรียกว่า Perfluorooctanoic acid (PFOA)
มวลมหาดราม่ากับวงดนตรีมีชื่อเสียงนั้นเรียกได้ว่าเป็นของคู่กัน ยิ่งวงอินดี้รุ่นใหม่ที่มีฟรอนต์แมนฝีปากกล้าอย่าง THE 1975 พวกเขาผ่านดราม่ามามากจนนับไม่ถ้วนเลยทีเดียวในรอบปีที่ผ่านมา ถึงแม้ว่าพวกเขาจะอยู่เฉย ๆ ไม่ได้ออกไปให้สัมภาษณ์อะไรสุ่มเสี่ยงที่รายการไหน อย่างไรก็ไม่รอดอยู่ดี ล่าสุดก็เป็นเรื่องเป็นราวอีกแล้ว เมื่อศิลปินหนุ่ม Lauv (เจ้าของเพลงฮิต I Like Me Better, Paris In The Rain) ปล่อยมิวสิควิดีโอตัวใหม่ล่าสุด Tattoos Together ออกมา ซึ่งก็ดูเฮฮาน่ารักดี แต่บรรดาแฟนคลับนี่สิ ดันปั่นกันไปใหญ่โตว่ามันเหมือนมิวสิควิดีโอเพลง Sincerity Is Scary ของ THE 1975 ซะงั้น อันที่จริงมันก็ไม่มีอะไรมาก นอกจากการเดินไปเต้นไป มีผู้คนตามถนนมาเต้นด้วยเยอะ ๆ เพียงแต่สถานที่ตรงฉากหลังมันก็ดูไปในทิศทางเดียวกันจริง ๆ ซึ่งตัว Lauv เองพอรู้ข่าวก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ รีบส่งข้อความไปขอโทษขอโพย Matt Healy ฟรอนต์แมน The 1975 เพื่อแก้ไขสถานการณ์ จากนั้นก็นำข้อความที่คุยกันนั้นมาโพสต์ทางทวิตเตอร์วันที่ 17 มกราคม เพื่อยืนยันว่าเขาทั้งคู่ได้ปรับความเข้าใจกันแล้วเรียบร้อย
หลังจากคราวก่อนที่ WEEKLY PLAYLIST ได้รวบรวม “10 บทเพลงเบสหนึบ ตึ้บในหู” กันไป ปรากฏว่าได้รับความสนใจจากคอเพลงชาว UNLOCKMEN อย่างเป็นที่น่าพึงพอใจเลยทีเดียว ครั้งนี้เราจะไม่ทำให้ผิดหวัง เพราะได้ถอยภาคต่อรอเสิร์ฟแขกผู้มีใจรักเสียงเพลงทุกท่านกันแล้วเรียบร้อย พูดถึงเบสกันไปแล้ว ก็ถึงคราวของขุนพลแห่งจังหวะอย่าง ‘กลอง’ กันบ้าง มาดูกันว่าจะมี 10 เพลงกลองเด็ดเจ็ดย่านน้ำจากศิลปินท่านใดบ้างที่นิตยสารดนตรีทั้งหลายเขายกย่องว่าเนี่ยแหละกองเทพ! เผื่อจะมีบางเพลงที่ยังไม่เคยฟังหรือไม่เคยสังเกตมาก่อนว่าเทพมากขนาดนี้ งานนี้ชาวร็อกที่รักการ Headbang เตรียมคอเคล็ดกันได้เลย My Generation – The Who My Generation ของวงร็อกอังกฤษยุค 60 อย่าง The Who เป็นหนึ่งในเพลงที่ติดโผของสื่อหลายเจ้า และอยู่สูงเป็นอันดับ 6 ของเว็บไซต์ ultimate classic rock เลยทีเดียว ไอ้ที่เขาชื่นชมกันว่าดี มันไม่ใช่ว่าจะต้องหวดหนักจนหน้ากลองยุบ แต่ลองคิดดูนะครับว่าโลกเราในปี 60 นั้น ดนตรีเมทัลยังไม่ถือกำเนิดเลยด้วยซ้ำ แต่ Keith Moon กลับมีความกล้าที่จะออกแบบจังหวะกลองบ้าดีเดือดแหกคอกวงดนตรีผู้ดีอังกฤษคนอื่น ๆ ในยุคนั้น
สำหรับหนุ่ม ๆ ช่วงอายุ 25 ปีขึ้นไป จำนวนไม่น้อยต่างก็ต้องเคยได้ยินหนังชื่อว่า ‘โหด เลว ดี’ หนังฮ่องกงจากปี 1986 กันมาบ้าง บางคนอาจแค่เคยได้ยิน บางคนเคยดูแล้วก็เลือนหายจากความทรงจำไปตามกาลเวลา แต่เราเชื่อว่าต้องมีอย่างน้อยสักหนึ่งคนแน่ ๆ ที่จดจำเรื่องราวของ ‘อาเห่า’ ‘อาเฉีย’ และ ‘เสี่ยวหม่า’ ได้แม่นเหมือนเพิ่งนั่งดูโหด เลว ดี เมื่อวานนี้ คำบอกเล่าจากปากคนรุ่นก่อนที่เราได้ยินบ่อย ๆ การันตีความโด่งดังรวมถึงความสำเร็จของภาพยนตร์เรื่องนี้ คงไม่ต้องพูดถึงคำวิจารณ์และรายได้ที่ใครต่างก็รู้ว่าอยู่ในระดับยอดเยี่ยม แต่ UNLOCKMEN ไม่ได้มาพูดถึงเบื้องหลังที่ใครเขาเคยพูดมาซ้ำ ๆ เราจะเล่าถึงการแต่งตัวที่ทำให้เกิดกระแส มองภาพรวมแฟชั่นของตัวละครในเรื่องโหด เลว ดี ว่าทำไมการแต่งตัวเห็นแล้วชวนเหงื่อแตกที่หลายคนมองว่าเชยในเรื่องถึงยังมีให้เห็นจนถึงปัจจุบัน ‘เสี่ยวหม่า’ แฟชั่นไอคอนของสุภาพบุรุษยุค 80 เรื่องราวของภาพยนตร์โหด เลว ดี เกิดขึ้นมาจากความคิดที่ต้องการนำเสนอมุมมองทางการเมืองผ่านหนังของผู้กำกับ จอห์น วู ที่บังเอิญเจอกับฉีเคอะจนกลายมาเป็นผู้อำนวยการสร้างหนังเรื่องนี้ พวกเขามองว่าคนหนุ่มสาวในช่วงเวลานั้นต้องการศรัทธา พวกเขาสับสน เลยอยากเล่าเรื่องราวของ Gangster ให้กลายเป็นสัญลักษณ์ต่อต้านเผด็จการ ทั้งที่กฎเหล็กของพวกนักเลงในเวลาเดียวกันก็คล้ายกับเผด็จการ
หากกล่าวถึงวัฒนธรรม Punk (พังก์) เชื่อว่าสิ่งแรกที่หลายคนนึกถึงคงจะเป็นแฟชั่นที่จัดจ้าน เพลงร็อกรุนแรงบาดหู และแนวคิดหัวขบถต่อต้านสังคม เพราะวัฒนธรรมย่อยประเภทนี้เกิดขึ้นเพื่อปลดแอกวิถีชีวิตของคนบางกลุ่มออกจากกรอบของสังคม พวกเขาใช้ศิลปะและเสียงเพลงในการแสดงออก ต่อต้าน ประท้วง จนสามารถรวบรวมผู้คนที่คิดเหมือนกันให้เป็นปึกแผ่นได้ จากอังกฤษ ไปอเมริกา ต่อมาก็แพร่กระจายไปทั่วโลกและเฟื่องฟูถึงขีดสุดในยุค 1970 ตอนต้น พอเข้าสู่กลางยุค 70 การมาของวัฒนธรรม New Wave (นิวเวฟ) ก็เริ่มต้นขึ้น สิ่งนี้คือดนตรีที่เกิดจากรากฐานของพังก์ร็อก แต่หลอมรวมเอาดนตรีแนวดิสโก้และซาวด์ซินธิไซเซอร์มาผสมผสานให้กลายเป็นเพลงป๊อปแปลกใหม่ที่มีความเป็นศิลปะ ฟังง่าย เป็นมิตรต่อหูคนทุกเพศทุกวัยได้มากกว่าพังก์ พังก์จึงเริ่มเสื่อมความนิยมลงในที่สุด นิวเวฟกลายเป็นขวัญใจใหม่ของผู้คนและได้ขึ้นมาเฉิดฉายในวงการเมนสตรีม ซึ่งวงดนตรีที่ถูกจัดว่าอยู่ในซีนของ New Wave นี้ ก็มีแนวเพลงที่แตกแขนงแยกย่อยไปอีก ไม่ว่าจะเป็น New Romantic, Power Pop หรือ Post-Punk วงดนตรีชื่อดังอย่าง Blondie ก็จัดเป็นแถวหน้าของซีน New Wave นี้เช่นกัน หากพูดกันแค่ในแง่ของดนตรีอาจจะรู้สึกว่าทุกสิ่งทุกอย่างช่างน่าตื่นตาตื่นใจ แต่อันที่จริงสถานการณ์บ้านเมืองนิวยอร์กยุคนั้นกลับไม่ได้สวยหรู เมื่อย่างเข้าสู่ ค.ศ.1977 ภาพฝันอเมริกันชนก็ต้องดับสลาย อเมริกาเป็นพ่ายแพ้ในสงครามเวียดนาม คุณภาพประชากรร่วงสู่จุดตกต่ำ แต่ยอดอาชญากรรมกลับพุ่งขึ้นสูง
“รักฉัน รักฉันเถอะนะ จะไม่ทำให้เธอเสียใจ” “ที่เธอเห็นแค่ฝุ่นมันเข้าตา ฉันไม่ได้ร้องไห้” หากบทเพลงของผู้ชายที่ชื่อ ‘อะตอม – ชนกันต์ รัตนอุดม’ เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตคุณมาโดยตลอด ขอให้รู้ไว้ว่าเรากับคุณคือเพื่อนกัน จากวันแรกที่เด็กชายอะตอมได้เห็นนักร้องในโทรทัศน์เป็นครั้งแรก เขาก็รู้ได้ในทันทีว่าในอนาคตตัวเองจะต้องเป็นแบบนี้ให้ได้ ถึงแม้จะเรียนจบปริญญาตรีด้านกฎหมาย แต่ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา ชีวิตของอะตอมกลับวนเวียนอยู่กับเสียงเพลงมาโดยตลอด และถ้าหากคุณรู้สึกว่าบทเพลงของเขาคือส่วนหนึ่งในชีวิต วันนี้ก็ถึงคราวที่คุณจะได้ไปเรียนรู้ชีวิตของผู้ชายเจ้าของบทเพลงเหล่านั้นกันบ้าง เขาเริ่มต้นการเป็นนักร้องไมค์ทองคำตัวยงบนเวทีประกวดเพลงลูกทุ่งชั้นประถม สู่การเริ่มเขียนเพลงจริงจังในสมัยมัธยม จนถึงวันที่เขาตัดสินใจส่งเดโมให้ค่ายใหญ่ ทุกความสำเร็จล้วนเกิดขึ้นจากความพยายาม หาใช่โชคช่วยหรือการเป็นไวรัลทางอินเทอร์เน็ตแต่อย่างใด บทสนทนาในครั้งนี้จะพาเราทุกคนไปย้อนประวัติศาสตร์บนเส้นทางดนตรีของอะตอมกันอีกครั้ง รวมถึงรับฟังมุมมองด้านกฎหมายลิขสิทธิ์เข้มข้น ที่เราการันตีว่าจะเป็นประโยชน์กับศิลปินและเหล่าผู้สร้างสรรค์ผลงานทุกคนอย่างแน่นอน จุดเริ่มต้นของคุณคือการฝากเดโมเพลงตัวเองไปกับ ‘แอมมี่ The Bottom Blues’ เล่าให้ฟังหน่อยได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง อันที่จริงตอนเริ่มต้นไม่ใช่ว่าทำเดโมเลยตามหาตัวพี่แอมมี่เพื่อเอาไปฝากนะ ไม่รู้ว่าโชคชะตาฟ้าลิขิตอะไรหรือเปล่า วันที่เราไปอัดเดโมเซตสุดท้ายที่เราตั้งใจว่าถ้าเสียเงินให้ห้องอัดที่นี่รอบนี้ แล้วเอาไปส่งรอบนี้ ถ้าไม่รอดก็คือไม่รอด ถือว่าสุดทางแล้ว มีเพลงที่แต่งมาเยอะประมาณ 5-6 เพลง อัดเป็นกีตาร์โปร่งกับเสียงร้อง ซึ่งห้องอัดนี้เราหาจาก Google พยายามหาอันที่ดูดี ที่คนเขาใช้กันเยอะ ๆ ก็ไปเจอห้องอัดนึงชื่อ LopStudio อยู่ตรงตึกลิเบอร์ตี้ ท้ายซอยทองหล่อ แล้วก็เข้าไปอัด
ถ้าเอ่ยชื่อถึงเหล่าคนดังที่ขับเคลื่อนวงการบันเทิง ใครหลายคนคงจะคุ้นชื่อของผู้กำกับ Steven Spielberg (สตีเวน สปีลเบิร์ก) ชายที่ถูกเรียกว่า ‘พ่อมดฮอลลีวูด’ รู้จักชื่อของผู้กำกับฝีปากจัดแต่โคตรเก่งอย่าง Martin Scorsese (มาร์ติน สกอร์เซซี) หรือรู้จักชื่อของ George Lucas (จอร์จ ลูคัส) ชายผู้สร้างค่ายหนัง Lucusfilm ที่ทำเรามีหนังอวกาศเรื่อง Star Wars ดูตั้งแต่รุ่นพ่อจนถึงรุ่นลูก แล้วถ้าเป็นชื่อของ Kurosawa Akira (คุโรซาวะ อากิระ) หลายคนอาจไม่รู้จักชื่อของเขา UNLOCKMEN จึงอยากแบ่งปันให้ทุกคนได้รู้จักเรื่องราวและผลงานยิ่งใหญ่ที่ส่งผลต่อวงการบันเทิงโลก ทำไม Kurosawa ถึงเป็นชายที่ Spielberg ชื่นชมอยู่เสมอ ถูกอัจฉริยะอย่าง Scorsese ชมว่า ‘Kurosawa คืออัจฉริยะตั้งแต่เกิด’ และทำไมผลงานหนังซามูไรของเขาถึงได้เป็นแรงบันดาลใจให้ George Lucas สร้างหนัง Star Wars ออกมาเหมือนอย่างทุกวันนี้ ? ความฝันที่ล้มเหลวก่อนมาเป็นผู้กำกับหนังซามูไร Kurosawa Akira (คุโรซาวะ