ย้อนไปเมื่อสัก 20 ปีก่อน ถ้าพูดคำว่า LGBT ขึ้นมาเชื่อว่าคนส่วนใหญ่ยังงงอยู่เลยว่ามันคืออะไร มีความหมายอะไร แต่สำหรับค.ศ.นี้ไม่ใช่แบบนั้นแล้ว LGBT เป็นคำที่ใช้กันอย่างกว้างขวางและเป็นที่ยอมรับในสังคมมากขึ้นแบบก้าวกระโดด เหล่าเพศหลากหลายไม่ต้องหลบซ่อนอีกต่อไป สามารถใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างเปิดเผย เชื่อว่าหลายคนคงเข้าใจกันอยู่แล้วว่า LGBT หมายถึงกลุ่มคนที่มีความหลากหลายทางเพศ แต่อาจจะยังไม่เคยรู้ว่าคำว่า LGBT นั้นย่อมาจากอะไร โดย LGBT คือการนำตัวย่อของคำ 4 คำมาไว้รวมกัน L มาจาก Lesbian หรือผู้หญิงที่ชื่นชอบผู้หญิงด้วยกัน G มาจาก Gay หรือผู้ชายที่ชื่นชอบผู้ชายด้วยกัน B มาจาก Bisexual หรือคนที่มีชื่นชอบได้ทั้ง 2 เพศ T มาจาก Transgender หรือกลุ่มคนข้ามเพศ จริง ๆ แล้วเพศหลากหลายในโลกนี้ยังมีอีกมากมายหลายความเข้าใจ แต่เพื่อความกระชับจึงนำมาแค่ 4 ตัวอักษรและกลายเป็นคำว่า LGBT นั่นเอง ถือว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างยิ่ง นอกจากนั้นเดือนมิถุนายนยังเป็นเดือนแห่งชาว LGBT อีกด้วย UNLOCKMEN จึงขอร่วมสนับสนุนสิทธิและความเท่าเทียมด้วยการแนะนำ 10 หนัง LGBT
หากอยากได้หนังที่ชวนให้ขบคิด ให้สมองได้ยืดเส้นยืดสาย หนังแนวสืบสวนตามหาฆาตกร ก็ดูจะเป็นตัวเลือกที่ดีเหมือนกัน ลองให้ตัวเองได้สวมบทนักสืบหนุ่ม คอยแกะรอยจากคำใบ้ที่ผู้กำกับทิ้งไว้ให้ไปพร้อม ๆ กับพระเอกในจอ หากรู้สึกอะดรีนาลีนเริ่มหลั่ง อยากจะหยิบโอเวอร์โค้ต ออกไปตามหาคนร้ายบนถนนเบเกอร์แล้วล่ะก็ UNLOCKMEN ขอชวนหนุ่ม ๆ มาดูหนัง 5 เรื่องที่จะพาเราไปตามหาฆาตกรตัวจริงไปพร้อม ๆ กัน แต่ไม่ใช่หนังที่เครียดหรือดูยากมากนัก เน้นเอาความตื่นเต้น น่าติดตามเป็นหลัก เพราะยังมีหนังสืบสวนอีกหลายร้อยหลายพันเรื่องที่ยังรอเราอยู่ แต่ก็อาจจะมีจุดเด่นแตกต่างกันไป ขอเกริ่นไว้ก่อนว่านี่คือบทความแนะนำหนัง เหมือนแลกเปลี่ยนหนังดูกันกับเพื่อนสักคน ไม่ใช่บทความหนังดีในดวงใจ ไม่ต้องน้อยใจไปถ้าหนังโปรดของคุณไม่ติดอันดับในนี้ Se7en (1995) Director : David Fincher สำหรับหนังสืบสวน Thiller แล้ว ผู้กำกับเบอร์แรก ๆ ในใจของใครหลายคน คงไม่พ้น David Fincher โดยเฉพาะเรื่องนี้ ที่เป็นเรื่องราวการตามหาฆาตกรรมที่โคตรตื่นเต้น ให้เราได้ลุ้นกันจนวินาทีสุดท้าย ยิ่งเวลาเดินไปนานเท่าไหร่ หนังยิ่งทวีความเข้มข้นขึ้น เนื้อเรื่องคร่าว ๆ คือ ตำรวจในวัยเก๋าอย่าง วิลเลี่ยม รับบทโดย มอร์แกน ฟรีแมน
ไม่รู้ว่านี่คือปรากฏการณ์ Butterfly Effect การอุปทานหมู่ หรือวงล้อยุคสมัยแห่งดนตรีเวียนมาบรรจบพอดี แต่ที่แน่ ๆ คือสามารถพูดได้เต็มปากเต็มคำว่านี่คือปีทองของวงการ Hip-Hop ไม่ใช่แค่ในไทย แต่กระแสทั่วทั้งโลกก็กำลังมาไม่ต่างกัน เห็นได้ชัด ๆ จาก Billboard Chart ชาร์ตเพลงอันดับ 1 ของโลก 100 อันดับแรกมีเพลง Hip-Hop เกินครึ่ง หรือถ้าเป็นในไทย รายการโทรทัศน์เกี่ยวกับ Hip-Hop ก็ได้รับความนิยมอย่างสูงจนเป็น Talk of the Town นอกจากนั้นคลับบาร์แนว Hip-Hop ที่เมื่อก่อนแทบจะนับจำนวนคนในร้านได้ แต่ตอนนี้ต้องไปรอต่อคิวเข้าตั้งแต่หัวค่ำ เพราะฉะนั้นคงไม่มีใครกล้าปฏิเสธว่ากระแส Hip-Hop กำลังมาแรงจริง ๆ แต่ในทุกความเจริญก้าวหน้าย่อมมีสิ่งไม่ดีซ่อนอยู่เสมอ วงการ Hip-Hop ก็เช่นเดียวกัน แน่นอนว่าความขัดแย้งนั้นมีเนิ่นนานแล้ว แต่เมื่อประชากรในวงการเยอะขึ้น แสงสปอร์ตไลท์ส่องเข้ามาในวงการมากขึ้น ความขัดแย้งก็ดูจะเด่นชัดและเป็นสาธารณะมากขึ้น Hip-Hop เป็นแค่คำนิยามกว้าง ๆ ซึ่งสามารถแบ่งประเภทแยกย่อยออกไปอีกได้มากมาย และนี่คือต้นเหตุแห่งความขัดแย้ง เพราะรสนิยมของคนเราย่อมไม่เหมือนกัน จึงเกิดการแบ่งฝ่าย พูดจาข่มกันไปมาว่าแนวนี้ดีกว่าแนวนี้
ไม่ว่าจะเดินทางมาทำงานด้วยวิธีไหน ไม่ว่าจะขับรถมาเอง หรือใช้ขนส่งมวลชน เชื่อว่าหลายคนคงไม่ได้แฮปปี้กับสภาพจราจรในตอนเช้าหรือหลังเลิกงานกันนัก ไม่ว่าจะในย่านที่ติดเป็นประจำจนขึ้นชื่อว่าติดไฟแดงชาตินี้ได้ไปชาติหน้า หรือย่านที่ไม่ได้ติดสาหัส แต่ก็รถเยอะจัดตลอดวัน หรือใครที่เดินทางด้วยขนส่งมวลชนก็ต้องผจญกับคลื่นมนุษย์ที่เบียดเสียดกันไม่แพ้ทางอื่น UNLOCKMEN เข้าใจคุณดี และอยากเอา PLAYLIST นี้ไปฟังแก้เบื่อ แก้เซ็งกันก่อนจะถึงจุดหมายปลายทาง สำหรับใครที่สะดวกฟังบน Spotify เรามี Playlist มาให้เหมือนเดิม ที่นี่ Lord Huron – The Night We Met เริ่มกันแบบชิล ๆ ดับความหัวร้อนบนท้องถนน ด้วยอินดี้โฟล์คจาก Lord Huron ที่ไม่ได้ชิลจนชวนหลับ ยังพอมีจังหวะให้โยกหัวตามได้บ้าง The Lumineers – Cleopatra เพลงอะไรจะเหมาะกับการเดินทางไปมากกว่าอินดี้โฟล์ค โดยเฉพาะจาก The Lumineers ที่จะมาเพิ่มความสดชื่นให้กับเช้าวันที่น่าเบื่อหน่ายอย่างนี้ John Mayer – Love on the Weekend มาขยับจังหวะให้คึกคักขึ้นกับหนุ่ม John Mayer ที่เพิ่งปล่อย MV สุดวายป่วงไป
เเทบจะ 99% ของผู้ชายอย่างเรา ๆ ไม่ว่าจะวัยไหน น่าจะโตมากับดนตรี POP Music เเนวดนตรีที่เป็นที่นิยมของผู้คนส่วนใหญ่ทั่วโลก คำว่า POP Music ก็ถูกเเยกออกไปได้หลายรูปแบบ แต่ครั้งนี้เราขอเอ่ยถึงเเนวดนตรีที่รวมบรรยากาศของ ทะเล เสียงคลื่น สายลม เเละเเสงแดด จนกลายเป็นความลงตัวที่ Surf Music ถือกำเนิดขึ้น ถ้านึกถึงดนตรีเเนวนี้ ศิลปินระดับโลกเบอร์ต้น ๆ ที่เรานึกถึงก็คงจะหนีไม่พ้น Jason Mraz นักร้องนักเเต่งเพลงชาว American ที่มีเพลงฮิตมากมายและทำให้ดนตรีเเนวนี้โด่งดังไปทั่วโลก เกริ่นมาขนาดนี้ ถ้าในไทยศิลปินเเนว Surf Music ที่ทุกคนต้องคิดถึงเป็นชื่อเเรก ก็คงจะไม่ใช่ใครที่ไหน “สิงโต นำโชค” คือชื่อที่ทุกคนคุ้นเคยเป็นอย่างดี และในวันนี้เรามีนัดพาทุกคนไปพูดคุยกับสิงโต นำโชค ชายหนุ่มที่มาพร้อมรอยยิ้มอันเป็นเอกลักษณ์ สร้างภาพจำจาก Ukulele เเละบทเพลงอันเป็นมิตรของเขาซึ่งครองใจพวกเรามาอย่างยาวนาน เราเริ่มออกเดินทางประมาณเที่ยงกว่า ๆ วันนี้แดดน้อยมากเหมือนฝนจะตก เรานัดพี่สิงโต ที่ Slow Cafe (Room111) สีลมซอย 7 ร้านกาแฟ กึ่ง CO-Working Space ที่ชั้นล่างเป็นโซนนั่งชิล ส่วนชั้นบนเป็นห้องประชุมหรือจะนัดมีตติ้งพบปะแบบส่วนตัวกับเพื่อน ๆ ก็ยังไหว ไม่นานเราก็ถึง Slow Cafe ยังคงกังวลอยู่นิด ๆ ที่อากาศออกจะครึ้ม ๆ เพราะวางแผนว่าอยากถ่ายรูปพี่สิงโตกลางเเจ้งด้วย แต่แล้วช่วงเวลาแห่งความกังวลจำต้องหมดลง เพราะไม่นานนักพี่สิงโตก็มาถึง เราทักทายกันอย่างเป็นกันเอง ก่อนจะพาพี่สิงโตขึ้นไปชั้นบนของร้านซึ่งเป็นสถานที่ที่ทางร้านเตรียมไว้ให้ พี่สิงโต ดูยิ้มเเย้มเเจ่มใสเป็นกันเองจนความกังวลเรื่องบรรยากาศครึ้มฟ้าครึ้มฝนมลายหายไป ก่อนที่เราจะเริ่มพูดคุยกันอย่างสบาย ๆ คำถามเเรกที่เราถามพี่สิงโต “ตอนนี้เป็นไงบ้างครับพี่” พี่สิงโตยิ้มเเล้วตอบกลับมาว่า “สบายดีสิ สบาย ๆ สบายดีครับ” เราแปลกใจที่คำว่า สบายดี ของพี่สิงโต ดูสบายดีจริง ๆ เเววตา เเละรอยยิ้มที่มีความสุข เปล่งประกายออกมา ความใสซื่อ เเละจริงใจ เป็นบุคลิกที่หาได้ยากจริง ๆ
หลังจาก Deadpool ภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่จากค่าย 20th Century Fox เข้าฉายเมื่อ 2 ปีที่แล้วก็ประสบความสำเร็จอย่างสวยงามซึ่งถือว่าหักปากกานักวิจารณ์กันพอสมควรเลยทีเดียว เพราะ 20th Century Fox มีปูมหลังที่ไม่ค่อยดีกับหนังประเภทนี้เท่าไรนัก จนในปีนี้ Deadpool 2 ก็เข้าโรงฉายต่อยอดความสำเร็จทันที นอกจากความเกรียนเกินลิมิตของตัว Deadpool แล้ว อีกหนึ่งจุดเด่นที่ทำเอาคนดูร้องว้าวคือการที่ตัวละครในเรื่องหันหน้ามาพูดคุยกับผู้ชมซึ่งเป็นสิ่งที่พบเห็นไม่บ่อยนัก แต่ Deadpool ไม่ใช่เรื่องแรกที่ทำลายขนบดังกล่าว เพราะก่อนหน้านี้มีภาพยนตร์อีกหลายเรื่องที่ตัวละคร Break the 4th Wall มาคุยกับคนดูเฉยเลย! จะมีเรื่องไหนกันบ้างไปดูกัน Annie Hall (1977) เรียกได้ว่าเฟี้ยวมาตั้งแต่รุ่นพ่อเลยทีเดียว เพราะ Annie Hall คือภาพยนตร์ปี 1977 หรือเมื่อกว่า 40 ปีที่แล้ว ซึ่งตอนนั้นยังไม่มีคำนิยามว่า Break the 4th Wall เลยด้วยซ้ำ Annie Hall เป็นภาพยนตร์โรแมนติกคอมเมดี้กำกับและแสดงนำโดย Woody Allen ผู้กำกับระดับปรมาจารย์แห่งฮอลลีวู้ด เล่าเรื่องความรักระหว่าง
นอกจากหนังแอ็คชั่นที่ทำให้ผู้ชายอย่างเราหัวใจเต้นรัวเร็วแล้ว หนังแนวสืบสวนสอบสวนก็บีบคั้นหัวใจและปลุกจิตวิญญาณนักสืบในตัวผู้ชายอย่างเราให้รู้สึกลุ้นตามตลอดเรื่องได้ไม่แพ้กัน แต่จะพีคยิ่งขึ้นถ้าเรารู้ว่าสิ่งที่เราดูมันคือเรื่องจริง! ดังนั้นขั้นสุดกว่าการดูหนังหรือซีรีส์อาชญากรรมหลุดโลก คือการดูสารคดีเกี่ยวกับอาชญากรรมที่ฆาตกรมีตัวตนจริง สถานที่จริง เรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นจริง! แถมสารคดีเดี๋ยวนี้ก็ทำออกมาได้โคตรน่าติดตาม เสมือนว่าเราได้เหน็บปืนเข้าเอว แล้วแกะรอยคดีฆาตกรรมทิ้งไว้ตามการดำเนินเรื่องไปติด ๆ แต่ถ้ายังไม่รู้จะเริ่มต้นจากเรื่องไหน ลองสารคดี 5 เรื่องนี้ใน Netflix รับรองว่าเลือดสูบฉีดแรงแน่นอน Evil Genius ใครที่เคยดูหนังเรื่อง SAW แล้วรู้สึกทึ่งในความเลวและโรคจิตสุดขั้วของฆาตกรที่ติดระเบิดไว้รอบคอเหยื่อแล้วสั่งให้แก้เกมปริศนาสารพันเพื่อเอาชีวิตรอดออกมาให้ได้ ส่วนถ้าแก้ปริศนาไม่ได้ก็เตรียมตายอย่างสยดสยอง UNLOCKMEN ก็บอกได้เลยว่านั่นมันไม่ใช่ไอเดียของคนเขียนบทที่คิดพล็อตมาให้เขย่าขวัญเล่น ๆ แต่เพราะมันเคยมีคดีนี้จริง ๆ ! Evil Genius ก็คือเคสที่ว่านั้น โดยสารคดีเริ่มต้นตรงที่มีคนส่งพิซซ่ามาปล้นธนาคาร แต่มันไม่ใช่การปล้นเฉย ๆ เพราะเขามีระเบิดล็อกรอบคออยู่และตะโกนบอกตำรวจว่าเขาโดนบังคับให้มาปล้นธนาคาร ถ้าตุกติกระเบิดจะ บู้ม! แล้วเขาจะตายทันที!? แค่เริ่มต้นก็พีคแล้ว และตลอดเรื่องก็พีคขึ้นเรื่อย ๆ สารคดีจะพาเราไปหาคำตอบว่าคนส่งพิซซ่าถูกล็อกด้วยระเบิดจริงไหม ? เขาถูกบังคับมาหรือเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด ? ใครกันแน่ที่เป็นบอสใหญ่ในการสั่งการอะไรพิเรนทร์ ๆ ทั้งหมด ? บอกเลยว่าจิตวิญญาณนักสืบในตัวคุณจะเต้นเร่าด้วยความเร้าใจปนกับความเศร้าว่ามนุษย์มันคิดอะไรเลวร้ายได้ขนาดนี้เลยหรอไปตลอดเรื่องแน่นอน Deadly Women เวลาเรานึกถึงฆาตกรที่ทำอะไรเหี้ยมโหด หรือวางแผนลึกลับซ่อนเงื่อนสักคน
“You always hurt the one you love, The one you shouldn’t hurt at all.” เป็นเนื้อเพลงที่มันไม่ได้เกินจริงไปสักเท่าไหร่ เพราะหลาย ๆ ครั้งที่ผู้ชายอย่างเราอยู่กับความเคยชินที่มีอีกคนอยู่ข้าง ๆ กันมานาน เพราะความรำคาญ ความขี้โมโห หรือเพราะอะไรก็แล้วแต่ เรามักจะเผลอตัวทำร้ายความรู้สึกอีกคนไป แบบที่ทั้งคู่ก็ไม่ได้ตั้งใจให้เรื่องราวมันเลวร้าย ไม่ได้ตั้งใจให้มีใครต้องเจ็บปวดเพราะอีกคน แต่ด้วยความที่เราเป็นมนุษย์ เราไม่เพอร์เฟ็กต์ เราทำผิดพลาด แต่การแก้ไขที่ดีที่สุดคือการปรับปรุงตัว และไม่ทำผิดซ้ำสอง UNLOCKMEN ขอชวนหนุ่ม ๆ มาดู 5 หนังให้ความรู้สึกหน่วง ๆ แต่อิมแพคมากพอที่จะให้เรามองย้อนกลับไปดูตัวเอง ว่าที่ผ่านมา และตอนนี้ เราทำหน้าที่คนรักได้ดีหรือยังวะ หรือจะเป็นหนุ่มโสดก็สามารถดูได้ เอาไว้เตือนใจตัวเองก็ยังได้ แต่ก็อย่าได้เก็บไปเครียดกันเกินไป ดูไว้เป็น Case Study ก็พอ Blue Valentine (2010) Director : Derek Cianfrance เมื่อความรักมันไม่ใช่เหตุผลเดียวที่จะทำให้อยู่ด้วยกันได้ อะไรเดิม
ในยุคที่ใครก็มีสิทธิจะเข้าถึงข้อมูลของเราได้ง่าย หนุ่ม ๆ ชาว UNLOCKMEN ทั้งหลายที่ยังไม่ชำนาญการและเป็นลูกแกะหลงทางในการใช้ Stream PORN อาจยังกังวลกับการปลดปล่อยอารมณ์และตัวตนเพราะกลัวว่ารสนิยมส่วนตัวจะรั่วไหล ไม่ก็พลั้งพลาดไปติดไวรัสแล้วเด้งตามฟีดเฟซบุ๊กจนสาวคนโปรดคงไม่ให้อภัย หรือกลายเป็นเรื่องให้เพื่อนได้ล้อไปยันลูกบวช “ผมก็เข้า Incognito แล้วนะพี่” ช้าก่อนพ่อหนุ่ม อย่าเพิ่งไปวางใจพวก Private Browsing เบอร์นั้น เพราะมันไม่ได้ซ่อนร่องรอยของเราไว้มิดอย่างที่คิด อ่านกันให้ดีเพราะ Google ออกมาบอกอย่างชัดเจนว่ามันป้องกันได้เฉพาะเครื่องของนายเวลามีคนมารื้อเท่านั้น แต่ข้อมูลมันก็ยังวนเวียนอยู่ในเว็บฯ ที่นายเข้าไป นายจ้าง โรงเรียน หรือกระทั่งเจ้าของบริการ Internet ที่นายใช้งาน มันแค่ป้องกันไม่ให้คนเข้ามา นั่นแหละถึงเป็นที่มาของการใช้ VPN (Virtual Private Network) หรือเครือข่ายส่วนตัวเสมือนที่จะทำหน้าที่เป็นอุโมงค์ความปลอดภัยกันการสอดแนมและการเซ็นเซอร์ คุณสมบัติของ VPN เลยเป็นสิ่งที่หนุ่ม ๆ ต้องการเพื่อเข้าถึงรังรัก ดังนั้นขาใหญ่อย่าง PORNHUB เลยส่ง VPNhub ภายใต้มาสคอตสาวหัวส้มผมม้าคนใหม่ออกมาเพื่อช่วยปกป้องความบันเทิงของมวลมนุษยชาติ โดยใครที่เข้ามาใช้งานจะได้รับสิทธิพิเศษเหล่านี้ รักษาความลับได้เป็นเลิศ ทะลวงการบล๊อกจากเครือข่าย internet ไม่ว่าคุณจะใช้งานกับ wi-fi สาธารณะ
เป็นเรื่องหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่เมื่อนักแสดงคนหนึ่งแสดงบทบาทไหนติดต่อกันเป็นเวลานาน แล้วผู้คนก็ยังคงติดภาพเขาในบทบาทเดิมอยู่ ยกตัวอย่างเช่น Neil Patrick Harris ซึ่งรับบทเป็น Barney Stinson ในซีรี่ส์ How I Met Your Mother มายาวนานถึง 9 ปี ถึงแม้ว่าหลังจากนั้นเขาจะเปลี่ยนไปรับบทบาทอื่นที่แตกต่างจากบทบาทเดิมขนาดไหน แต่ภาพลักษณ์การเป็นคนตลกโปกฮาไร้สาระแบบ Barney Stinson ก็ทะลุออกมาจากทุกบทบาทการแสดงของเขาอยู่ดี หรือ Pierce Brosnan ที่รับบท James Bond ในภาค GoldenEye , Tomorrow Never Dies , The World Is Not Enough , Die Another Day ซึ่งต้องยอมรับว่าเขาเป็น James Bond ได้สมบทบาทสุด ๆ และหลังจากนั้นไม่ว่า Pierce Brosnan จะรับบทอะไร ในภาพยนตร์เรื่องไหน คนก็ยังเรียกเขาว่า James Bond อยู่ดี แต่กรณีที่ชัดเจนที่สุดคงหนีไม่พ้น Daniel Radcliffe กับบทบาทพ่อมดน้อย Harry Potter
วันไหนเศร้า เราฟังเพลง Feeling Blue จนจมดิ่งไปกับมัน วันไหนอารมณ์ดี เราฟังเพลง Pop ที่สดใสไม่แพ้กับอารมณ์ของเรา หรือวันไหนอยากพักผ่อน เพลง Acoustic, Folk ที่ให้อารมณ์ Chill จนเหมือนได้เอนกายลงบนที่นอนนุ่ม ๆ ในบ่ายวันหยุด จนเราคุ้นเคยกันดีว่าเพลงที่เราฟังมันเชื่อมต่อกับอารมณ์ในตอนนั้นอยู่แล้ว UNLOCKMEN จะพามาดูว่าเพลงมันไม่ได้ส่งผลแค่อารมณ์เท่านั้น แต่ยังส่งผลถึงมุมมองของคุณต่อโลกใบนี้อีกด้วย ดนตรีเปลี่ยนมุมมองของเราได้ยังไง ? จากการศึกษาของ University of Groningen ใน Netherlands พบว่าดนตรีไม่ได้ส่งผลกับแค่อารมณ์ของเราเท่านั้นแต่ส่งผลถึงมุมมอง ความคิด ของเราอีกด้วย เพลงที่คุณฟังนั่นแหละสามารถส่งผลกับมุมมองและความเข้าใจโลกใบนี้อีกด้วย ผู้ค้นคว้ารีเสิร์ชเรื่องนี้อย่าง Jacob Jolij และ Maaike Meurs จาก Psychology Department พบว่าเวลาคนเราฟังเพลงที่ให้มู้ดความสุขเนี่ย มันไม่ได้ทำให้เขาอารมณ์ดีขึ้นเท่านั้น แต่ทำให้มองสิ่งรอบ ๆ ตัวดูมีความสุขไปด้วย และในทางตรงกันข้ามกันก็เป็นแบบนั้น หากเราฟังเพลงที่ทำให้อารมณ์เราอึมครึม มันก็ทำให้เรารู้สึกว่าสิ่งรอบตัวของเราแม่งเศร้าตามไปด้วย เหมือนอยู่ดี ๆ ก็โดนเมฆหมอกของความเศร้าปกคลุมซะอย่างงั้น พูดให้ชัด
มนุษย์เรานี่มันช่างซุกซนและสร้างสรรค์ไปเสียทุกเรื่อง จะมี Sex กันทั้งทีก็ต้องมีหลากหลายท่าทาง ท่ามกลางบรรยากาศที่แต่ละคู่ไหนจะครีเอทออกมาเพิ่มอรรถรสบนเตียง แถมต้องมีเพลงเหมาะ ๆ มาช่วยกระตุ้นอารมณ์เซ็กซ์ให้มันพุ่งทะลุปรอท ประโยชน์ที่เราได้จากการฟังเพลงที่มีท่วงทำนองเร่าร้อนนั้น อาจจะช่วยให้เรา “แข็งขัน” และช่วยให้คุณผู้หญิงของคุณ “ชื้นแฉะ” ได้จริง แต่ก็ยังเป็นที่สงสัยว่านอกจากการช่วยอุ่นเครื่องก่อนโหมโรงได้ดี และสร้างสีสันตอนร่วมรักกันได้แล้ว เพลงเหล่านั้นจะช่วยให้ชีวิต Sex ของแต่ละคู่นั้นดีขึ้นจริงหรือไม่ ? ผลการสำรวจกลุ่มเป้าหมาย 2,000 คนที่ใช้บริการ music-streaming ของ Deezer พบว่า ผู้ใช้ราว 30 เปอร์เซ็นต์รู้สึกซาบซ่านมากขึ้นที่ได้ฟังเพลย์ลิสต์เพลงปลุกใจขณะมีอะไรกัน ขณะที่ 25 เปอร์เซ็นต์บอกว่ามี sex ในอรรถรสมากขึ้น ส่วนอีก 15 เปอร์เซ็นต์บอกว่าเป็นยาแก้เขินชั้นดี แล้วองค์ประกอบอะไรในเพลงที่ทำให้เราฟาดฟันกันมันส์หยด ? เรื่องนี้กว่า 30 เปอร์เซ็นต์บอกว่าเป็นเพราะจังหะจะโคนของเพลง ส่วนอีก 50 เปอร์เซ็นต์บอกว่ามันเป็นเพราะเสียงร้องของศิลปิน และเมโลดี้ของเพลงนั้น เพลงหวิว ๆ มันสร้างความแตกต่างบนเตียงได้ขนาดนั้นได้จริง ๆ ? หรือก็แค่เชื้อไฟธรรมดา ? Valorie N. Salimpoor นักวิจัยสาวที่ทุ่มเทกับการศึกษาเรื่องราวเกี่ยวการตอบสนองของสมองต่อเสียงดนตรี