สำหรับแฟนภาพยนตร์ทั่วโลก Johnny Depp เป็นหลายอย่าง และหลายครั้งถ้าไม่บอกก็อาจจะไม่รู้ว่าคือเดปป์ ไม่ว่าจะโจรสลัด ผู้เสพย์ความตาย เจ้าของโรงงานช็อกโกแลต และอีกมากมาย แล้ว Johnny Depp ในสายตา ‘คนรัก’ ล่ะ เขาเป็นคนแบบไหน ช่วงเวลาที่คดีระหว่างจอห์นนี เดปป์และ Amber Heard ซึ่งยาวนานตั้งแต่ปี 2016 เพิ่งจบลงไปเมื่อวันที่ 1 มิ.ย. ที่ผ่านมา UNLOCKMEN ชวนทุกคนไปทำความรู้จักกับชายคนนี้อีกครั้ง แต่ครั้งนี้จะขอเล่าผ่านเหตุการณ์ และคำพูดของผู้หญิงที่เคยเป็นคนรัก 7 คนของเขา (ไม่รวมแอมเบอร์) ทั้งดีและร้ายอย่างไปตรงมา เพราะเราอยากให้คุณรู้จักชายคนนี้อย่างรอบด้านขึ้นอีกนิด ก่อนจะมองว่าเขาเป็นคนอย่างไรในสายตาของตัวเอง Lori Anne Allison / Lori A. Depp (1980) ก่อนจะเป็นดาราฮอลลีวูดอย่างทุกวันนี้ เดปป์เคยมีความฝันต้องการจะเป็น Rock Star เขย่าโลกด้วยฝีมือกีตาร์ของตัวเอง และระหว่างทางของความฝันนี้ มันพาเขามาเจอกับ Lori Anne Allison น้องสาวของ
ณ เวลานี้ไม่มีซีรีส์เรื่องไหนร้อนแรงไปกว่า Stranger Things ซีซั่น 4 ที่นอกจากความเข้นข้นและความสนุกของเรื่องที่เพิ่มขึ้นมากกว่าซีซั่นก่อน ๆ ก็มีตัวละครใหม่ ๆ โผล่ออกมาสร้างสีสันให้กับผู้ชมเช่นกัน และหนึ่งในตัวละคนที่ถูกพูดถึงมากที่สุดคงต้องยกให้ “Eddie Munson” ที่รับบทโดย Joseph Quinn นักแสดงชาวอังกฤษ วัย 29 ปี ที่เคยผ่านผลงานเรื่อง “Game Of Throne” มาก่อนแล้ว Quinn ถูกทีมงานจับมาเปลี่ยนโฉมใหม่ราวกับคนละคน แต่แค่เรื่องลุคมันก็คงทำให้คนเชื่อไม่ได้เท่ากับอินเนอร์ความเป็นชาวเมทัลที่ถูกถ่ายทอดออกมาได้อย่างสมบทบาท ซึ่งสามารถยืนยันด้วยเหตุผลต่าง ๆ เหล่านี้ [เนื้อหามีสปอยล์เล็กน้อย] สไตล์การแต่งตัว งานนี้ต้องยกเครดิตให้กับทีมคอสตูมและทีมสไตล์ลิสต์ที่จัดการเสื้อผ้าหน้าผมของ Quinn ได้อย่างยอดเยี่ยม เริ่มจากทรงผมที่ไว้ผมยาวดูยุ่งเหยิงรุงรัง, สวมเสื้อยืดสามส่วนที่นิยมในกีฬาเบสบอล (และแน่นอนมันคือเสื้อของ Hellfire Club), สวมกางเกงยีนส์เข่าขาด, สนีกเกอร์ที่เด่นด้วยลิ้นรองเท้า และเสื้อยีนส์กั๊กที่ติดแพชวงดนตรีแนวเฮฟวี่เมทัล นี่คือสไตล์การแต่งตัวในแบบแธรชเมทัล หรือที่เรียกกันว่า “แธรชเชอร์” ซึ่งทั้งแฟชั่นและแนวเพลงได้รับความนิยมสูงสุดในยุค 80’s ซึ่งตรงกับไทม์ไลน์ในซีรีส์แบบเป๊ะ ๆ อุปนิสัย แม้ว่าชาวเมทัลเฮดจะเป็นคนที่นิยมฟังเพลงหนักหน่วงรุนแรง แต่ความเป็นจริงแล้วพวกเขาเหล่านี้หลาย
ดูเหมือนว่าจะขยับการซื้อขายนักเตะช้ากว่าทีมอื่นจริง ๆ สำหรับทีม Manchester United ยุคใหม่ภายใต้การคุมทีมของ Erik Ten Hak กุนซือชาวดัตช์ แต่ล่าสุดดูเหมือนว่าทีมปีศาจน่าจะคว้านักเตะคนแรกได้แล้ว ซึ่งมีนามว่า “Tyrell Malacia” แบ็คซ้ายวัย 22 ปีชาวเนเธอร์แลนด์ จากสโมสร Feyenood Rotterdam ใน Eredivisie League และเป็นการปาดหน้าทีม Olympique Lyon ที่เคยยื่นข้อเสนอมาก่อนหน้านี้ ว่าแต่เจ้าหนูคนนี้เป็นใครมาจากไหนและมีสไตล์การเล่นเป็นอย่างไร มาลองทำความรู้จักอย่างคร่าว ๆ กันครับ Tyrell Malacia ลืมตาดูโลกเมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 1999 ณ เมืองรอตเตอร์ดัม ในประเทศเนเธอร์แลนด์ โดยมีคุณพ่อเป็นคนประเทศคูเรเซา และคุณแม่เป็นคนประเทศซูรินาม โดยทาง Tyrell ให้ความสนใจกีฬาฟุตบอลมาตั้งแต่เด็ก ๆ และได้เข้าเป็นนักเตะในระดับเยาวชนกับทางสโมสร Feyenood Rotterdam ตั้งแต่อายุเพียง 9 ขวบเท่านั้น Tyrell ได้รับการฝึกฝนและพัฒนาทักษะอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งในปี 2015 เขาก็ได้รับสัญญานักเตะระดับอาชีพอย่างเป็นทางการ ก่อนจะถูกผลักดันขึ้นสู่ชุดใหญ่ในปี 2017 ซึ่งนัดแรกที่เขาได้ลงเล่นคือศึกยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก ในเกมที่ทีมของเขาเอาชนะ
วงการนักพากย์ของบ้านเราต้องสูญเสียบุคลากรมากคุณภาพไปอีกหนึ่งท่านแล้ว หลังจากคุณไกวัล วัฒนไกร หรือ “น้าไก” ได้เสียชีวิตลงแล้วด้วยวัย 71 ปี เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน ที่ผ่านมา กลายเป็นเรื่องเศร้าสำหรับใครหลาย ๆ คนเพราะเชื่อว่ามีคนจำนวนไม่น้อยที่รู้สีกผูกพันธ์กับเสียงพากย์ของคุณไกวัล คุณไกวัลได้ฝากเสียงพากย์อันเป็นที่ประทับใจเอาไว้มากมาย และส่วนมากจะมาจากตัวละครในอนิเมะทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็น สารวัตรเมงูระ จากเรื่องยอดนักสืบจิ๋วโคนัน, โรโรโนอา โซโล จากเรื่องวันพีซ แต่ตัวละครที่สร้างอิมแพคและเป็นที่จดจำมากที่สุดคงต้องยกให้ “เบจิต้า” ชาวไซย่าผู้หยิ่งยโสจากเรื่อง Dragon Ball Z ด้วยเหตุนี้ทาง Unlockmen จึงขอหยิบยกฉากประทับใจของเบจิต้าใน Dragon Ball Z เพื่อเป็นการรำลึกถึงคุณไกวัลกันครับ ฆ่านัปปะ หลังจากที่ราดิซชาวไซย่าพี่ชายของโกคูที่ต้องมาจบชีวิตที่ดาวโลกด้วยการร่วมมือของพิคโกโล่และโกคู การรังควานโลกมนุษย์ของชาวไซย่าก็ยังไม่จบสิ้น เพราะศัตรูตัวใหม่สุดแสนร้ายกาจได้แก่เบจิต้าและนัปปะก็ปรากฎตัวออกมา สร้างความหายนะอย่างต่อเนื่อง ต้องยอมรับว่าในช่วงแรกภาพลักษณ์ของเบจิต้าถือว่าป่าเถื่อนและโหดเหี้ยมเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในฉากที่นัปปะพ่ายแพ้ให้กับโกคูอย่างหมดสภาพ ในเมื่อประสิทธิภาพการใช้งานลดลง เบจิต้าจึงตัดสินใจโยนร่างของนัปปะขึ้นบนฟ้าและจัดการระเบิดพลังใส่จนนัปปะเละเป็นจุล ปะทะกับเซลล์ร่าง 2 ถือเป็นอีกตอนที่สุดมันส์มากกับการปะทะกันระหว่างเบจิต้าและเซลล์ร่าง 2 ต้องยอมรับว่าตอนนั้นเบจิต้ามีพลังเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัวหลังจากไปฝึกซ้อมที่ห้องแห่งกาลเวลาร่วมกับทรังคซ์ ลูกชายผู้มาจากอนาคต ซึ่งในตอนนั้นเบจิต้าดูน่าเกรงขามเอามาก ๆ หลังจากที่มั่นใจในพลังของตนเอง เบจิต้าจึงบุกไปซัดกับเซลล์ร่าง
อาจจะดูช้าไปสักนิด แต่เกมที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยในตอนนี้คือ The Quarry สำหรับแฟนคลับหนังระทึกขวัญแนว ‘ฆาตกร 1 คน vs. กลุ่มวัยรุ่น’ นี่คือเกมของคุณครับ เพราะเกมนี้เขาสร้างองค์ประกอบต่างๆ แบบบูชาหนังไล่เชือด 80s เลย ทั้งรูปแบบตัวละครเด็กเนิร์ด, สาวพรหมจรรย์, นักกีฬาซื่อบื้อ มาพร้อมกับพื้นหลังที่ถูกจัดขึ้นในค่ายกลางป่า ติดริมทะเลสาป / The Quarry เล่าเรื่องของกลุ่มวัยรุ่น 9 คน ที่ใช้เวลาปิดเทอมฤดูร้อนก่อนจะเข้าสู่ชีวิตมหาวิทยาลัย เป็นอาสาสมัครพี่เลี้ยงเด็กของค่ายที่ชื่อว่า Hackett’s Quarry แต่ในคืนก่อนกลับบ้านพวกเขากลับต้องเจอกับเรื่องราวที่ไม่มีวันลืม … The Quarry เป็นเกมที่มีฉากจบมากถึง 186 แบบ! ด้วยระบบเกมส์แบบเลือกเส้นทาง (Interactive) คำถาม-คำตอบที่ผู้เล่นเลือกจะมีผลต่อเส้นเรื่องและตัวละครเสมอ ซึ่งนับว่าผู้สร้างฉลาดมากที่เลือกระบบนี้กับเกมส์ที่ได้แรงบันดาลใจจากหนังแนวเล่นกับจริยธรรมของคนดูตั้งแต่เปิดเรื่อง เพราะวัฒนธรรมการดูหนังไล่เชือดจะบังคับให้เราเป็นนักสืบ และเดา+คิดว่าใครจะอยู่ใครจะไปเสมอ แต่ใน The Quarry จิรยธรรมนี้คุณต้องเป็นคนกำหนดเอาเองล่ะ ว่าจะรักษาขนบ Final Girl แบบคลาสสิกเอาไว้มั้ย? สำหรับคนที่เล่นหรือดูแคสเกม The Quarry จบแล้วยังอารมณ์ค้าง
[เนื้อหามีสปอยล์] “Rowan Atkinson” นักแสดงสายคอมเมดี้ชื่อดังที่เคยสร้างปรากฏการณ์ทำให้คนทั่วโลกหัวเราะกับมุขของเขามาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นซิตคอม Mr.Bean ผลงานสร้างชื่อให้กับเจ้าตัว หรือจะเป็นภาพยนตร์ล้อเลียนเรื่อง James Bond อย่าง Johnny English ก็สนุกสนานไม่แพ้กัน และนั่นคือสาเหตุที่ทำให้ทุกคนต่างคาดหวังความฮากับทุก ๆ ผลงานของผู้ชายหน้าตาทะเล้นคนนี้เสมอ จนกระทั่งล่าสุด Rowan Atkinson ก็กลับมาคืนจออีกครั้งด้วยมินิซีรีส์เรื่องใหม่ “Man Vs Bee” ที่เพิ่งออกฉายทาง Netflix ไปเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน ที่ผ่านมา อำนวยการสร้างโดย Rowan และ William Davies (ควบหน้าที่เขียนบทด้วย) อีกทั้งยังได้ David Kerr มารับหน้าที่ผู้กำกับ ซึ่งเคยร่วมงานกับทั้งคู่ในภาพยนตร์เรื่อง “Johnny English Strikes Again” มาก่อนแล้ว ในฝั่งของนักแสดง แน่นอนว่าจะต้องนำแสดงโดย Rowan Atkinson ร่วมด้วย Claudie Blakley, Jing Lusi, Julian Rhind-Tutt และอื่น ๆ เมื่อเราดูจากทีมงานทั้งเบื้องหน้าและโดยเฉพาะเบื้องหลังที่น่าจะรู้ใจกันเป็นอย่างดี มันก็อดไม่ได้ที่จะคาดหวังความฮาแบบไม่มีเบรก แต่มันกลับไม่ใช่แบบนั้น…
“Yesterday” บทเพลงบัลลาดโฟล์กของวง The Beatles ผลงานจากอัลบั้ม Help! ที่วางจำหน่ายเมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 1965 ถือว่าเป็นอีกหนึ่งบทเพลงที่ยิ่งใหญ่และเป็นอมตะอยู่เหนือกาลเวลา และยังเป็นเพลงที่มักจะถูกรวมอยู่ใน Greatest Hit ของสี่เต่าทอง รวมไปถึงยังเป็นเพลงช้าที่หลาย ๆ คนคิดถึงเป็นลำดับแรก ๆ หากนึกถึงวงดนตรีระดับตำนานจากเมืองลิเวอร์พูล เพลง “Yesterday” โดดเด่นด้วยซาวด์กีตาร์โปร่งที่ถูกออกแบบเมโดลี้ออกมาได้อย่างไพเราะ เต็มไปด้วยท่วงทำนองของอารมณ์ที่เศร้าหมองที่ถูกบรรเลงไปพร้อมกับเสียงร้องของ Paul McCartney ได้อย่างลงตัว นอกจากนั้นยังมีเสียงเครื่องสายที่ถูกใช้ขับกล่อมคนฟังและยังช่วยเสริมบรรยากาศของเพลงให้ดูดำดิ่งลงไปได้อีกหลายเท่าตัว และมันยังสามารถส่งอารมณ์ไปสู่เนื้อหาของเพลงได้ยอดเยี่ยม ซึ่งมันเป็นเรื่องราวของคน ๆ หนึ่งที่ถูกคนรักบอกลาไป แต่เขายังคงจมปลักอยู่ในวันวานของความรักครั้งเก่าอยู่ แต่เบื้องหลังความไพเราะที่เกิดขึ้นมันไม่ได้มาจากการนั่งทำเพลงในสตูดิโอตามปกติ แต่มันมาจากความฝันของ Paul McCartney ต่างหาก ท่านเซอร์ได้เคยเปิดเผยเรื่องดังกล่าวผ่านทางหนังสือชีวประวัติของตัวเองเอาไว้ดังนี้ คืนหนึ่งทาง Paul McCartney ได้พักอยู่ในย่านถนนวิมโพล สตรีท กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ (เป็นบ้านของ Jane Asher อดีตแฟนสาวของท่านเซอร์) พร้อมกับเปียโนที่วางอยู่ข้าง ๆ เตียง ในขณะที่เขานอนหลับเข้าสู่ห้วงนิทราแห่งความฝันมันก็มีเมโลดี้บางอย่างล่องลอยอยู่ในนั้น และเขาก็จดจำมันได้เป็นอย่างดี
ป๊อปพังก์เป็นอีกหนึ่งแนวดนตรีที่เคยได้รับความนิยมอย่างสุดขีดในช่วงยุค 2000’s ด้วยสไตล์ดนตรีที่ฟังง่าย สนุก และไม่หนักจนเกินไป รวมไปถึงยังมีเนื้อหาที่ตรงใจเหล่าบรรดาวัยรุ่น มันก็ทำให้ดนตรีแนวนี้สามารถสื่อสารกับคนกลุ่มใหญ่ได้อย่างสบาย ๆ ดังนั้นเรามานั่งไทม์แมชชีนย้อนเวลาไปกับเพลย์ลิสต์ของเพลงป๊อปพังก์ยุค 2000’s เพื่อดึงความรู้สึกแห่งความสนุกในช่วงนั้นกลับมากันดีกว่าครับ “FIRST DATE” – BLINK 182 วงป๊อปพังก์ 3 ชิ้นที่ครองโลกด้วยดนตรี 3 คอร์ดง่าย ๆ ไม่ซับซ้อน พวกเขาประสบความสำเร็จอย่างมากจากเพลง “All The Small Things” ส่วนเพลง “First Date” คือผลงานจากอัลบั้ม “Take Off Your Pants and Jacket” ปล่อยให้ฟังครั้งแรกในวันที่ 8 ตุลาคม ปี 2001 มันเต็มไปด้วยจังหวะแห่งการปลุกอะดรีนาลีนของเราให้พุ่งพล่านได้อย่างดีเยี่ยม ส่วน MV ก็สนุกไม่แพ้ดนตรี เพราะทั้ง 3 สมาชิกพาทุกคนย้อนไปเกรียนในแบบยุค 70’s เรียกเสียงฮาจากแฟนเพลงได้เป็นอย่างดี “AMERICAN IDIOT” –
อุรุกวัยคือหนึ่งในประเทศที่ผลิตนักเตะฝีเท้าดีระดับโลกมาแล้วมากมายไม่ว่าจะเป็น Diego Forlan, Luis Suarez, Edinson Cavani, Alvaro Recoba, Diego Godin เป็นต้น พวกเขาส่งออกนักเตะเหล่านี้ไปลุยลีกใหญ่ในยุโรปและมีส่วนช่วยให้ทีมเหล่านั้นกวาดแชมป์มาเป็นว่าเล่น แม้นักเตะที่กล่าวมาบางคนจะเลยจุดพีคมาแล้ว หรือบางคนก็รีไทร์ไปแล้ว แต่ประเทศอุรุกวัยก็สามารถผลิตนักเตะฝีเท้าดีขึ้นมาทดแทนได้โดยตลอด ตัวอย่างเช่น Darwin Gabriel Núñez Ribeiro หรือที่ใครรู้จักกันในชื่อสั้น ๆ ว่า “Darwin Núñez” กองหน้าฟอร์มร้อนแรงวัย 23 ปีที่จรดปากกาเซ็นสัญญากับทีม Liverpool ไปเป็นที่เรียบร้อยด้วยค่าตัวรวมกับแอดออนสูงถึง 85 ล้านปอนด์ เส้นทางการก้าวกระโดดขึ้นมาสู่ทีมยักษ์ใหญ่ของ Núñez เรียกได้ว่ารวดเร็วมาก ๆ เพราะถ้าย้อนหลังกลับไปเมื่อปี 2017 เขาเพิ่งจะขึ้นมาติดทีมชุดใหญ่ของ Peñarol สโมสรในบ้านเกิดของตัวเองไปหมาด ๆ เข้าสู่ฟุตบอลอาชีพในวัย 14 ปี Darwin Núñez ลืมตาดูโลกเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 1999 ณ เมืองอาร์ติกาส ประเทศอุรุกวัย
หากจะให้พูดถึงวงคลาสสิคร็อกระดับต้น ๆ ของโลก ชื่อของ Led Zeppelin จะต้องติดมาด้วยอย่างแน่นอน คณะไซคีเดลิกร็อก ที่สร้างซาวด์ดนตรีไว้ได้อย่างมีเอกลักษณ์ จัดจ้านในทุกตัวโน๊ตที่บรรเลงออกมา พวกเขาฝากสุดยอดเพลงระดับมาสเตอร์พีซเอาไว้มากมาย ไม่ว่าจะเป็น “Stairway to Heaven”, “Whole Lotta Love“ หรือ “Immigrant Song” เป็นต้น Led Zeppelin สามารถสร้างชื่อได้ทันทีนับตั้งแต่ปล่อยอัลบั้มแรกชื่อเดียวกับวงเมื่อวันที่ 12 มกราคม 1969 ซึ่งโปรดิวซ์โดย Jimmy Page มือกีตาร์ของวง โดยสามารถทำยอดขายได้ในอเมริกาได้มากถึง 8,000,000 ก็อปปี้ (แม้จะเป็นวงจากอังกฤษก็ตาม) รวมไปถึงได้รับการยกย่องจากบรรดาสื่อดนตรีชั้นนำไม่ว่าจะเป็น Rolling Stone, Allmusic, Grammy Awards และอีกมากมาย นอกจากความสำเร็จทางดนตรีของอัลบั้มนี้ อีกสิ่งหนึ่งที่ทุกคนจดจำได้เป็นอย่างดีคืออาร์ตเวิร์กบนหน้าปกที่เป็นรูปเรือเหาะที่ดูผ่าน ๆ แบบไม่เข้าใจความหมายก็คงดูเหมือนไม่มีอะไร แต่จริง ๆ แล้วรูปดังกล่าวมันคือเรือเหาะ “Hindenburg” ที่เคยเกิดเหตุเพลิงไหม้จนล่วงลงสู่พื้นปฐพีในปี 1937 ซึ่งคร่าชีวิตผู้คนไปมากมาย จนได้รับขนานนามเหตุการณ์นั้นว่า
Bring Me The Horizon นี่คือชื่อวงร็อกแห่งยุคปัจจุบันที่จะให้บอกว่าพวกเขาคือวงระดับโลกก็กล้าเรียกได้เต็มปากอย่างแน่นอน พวกเขาก้าวขึ้นมาเป็นฮีโร่และขวัญใจของผู้นิยมชมชอบดนตรีอันหนักหน่วงได้ทั่วโลก ทุกเพลง ทุกอัลบั้มต่างได้รับการตอบรับที่ยอดเยี่ยมอยู่เสมอ แต่เส้นทางการไต่ระดับไขว้คว้าความสำเร็จใช่ว่าจะมาจากโชคช่วย แต่มันมาจากการวางแผนของสมาชิกวงรวมไปถึงค่ายเพลงที่มีส่วนช่วยผลักดันให้อดีตวงเล็ก ๆ ในเมืองเชฟฟิลด์ ประเทศอังกฤษ เติบโตขึ้นมากลายเป็นวงระดับโลกได้ตามที่เห็นในทุกวันนี้ ซึ่งมันก็มาพร้อมความท้าทายเป็นอย่างมาก เพราะพวกเขาเลือกที่ปรับเปลี่ยนแนวดนตรีมาแทบจะทุกอัลบั้ม ถือเป็นโจทย์ที่โคตรเสี่ยงตายแบบหาตัวแสดงแทนไม่ได้ของจริง แล้วอะไรคือปัจจัยที่ทำให้ Bring Me The Horizon ฝ่าฝันอุปสรรคต่าง ๆ เหล่านั้นมาได้ ทาง Unlockmen จัดการถอดรหัสมาให้ดังนี้ ความเป็น ICONIC ของ OLIVER SYKES คำว่า “Iconic” ไม่ใช่ใครก็เป็นได้ แต่ Oliver Sykes นักร้องนำของวงสามารถทำได้สำเร็จตั้งแต่อายุยังไม่ถึง 20 ปีเลยด้วยซ้ำ และมันมาจากความพยายามของตัวเขาเองแทบจะ 100% เริ่มแรกเลยความได้เปรียบของวง Bring Me The Horizon คือการมีฟรอนต์แมน (หรือนักร้องนำ) หน้าตาดี, มีความสามารถในการร้องเพลง, มีรอยสักที่โคตรเท่ถูกใจชาวร็อก, มีการแต่งตัวเข้ากับแฟชั่นทุกยุคทุกสมัย แถมยังรู้จักวิธีโปรโมตตัวเองด้วยแบรนด์สินค้าที่เขาสร้างมันขึ้นมาเอง ด้วยองค์ประกอบที่ครบแบบนี้มันจึงกลายเป็นแรงดึงดูดให้คนเลือกที่จะเข้ามาติดกับด้วยภาพลักษณ์ก่อนที่จะเข้ามารู้จักตัวเพลง
“บางทีฉันแค่อยากจะหนีออกไป อยากออกไปใช้ชีวิต ไม่ได้อยากตาย บางทีฉันก็แค่อยากหายใจ บางทีฉันก็แค่ไม่อยากเชื่ออะไรเลย บางทีเธอน่าจะเป็นเหมือนฉัน พวกเราได้มองเห็นในสิ่งที่คนอื่นไม่มีวันได้เห็น เธอกับฉันจะอยู่ด้วยกันไปตลอดกาล” นี่คือวรรคทองของเพลง “Live Forever” ผลงานของวง Oasis จากอัลบั้มเดบิวต์ Definitely Maybe (1994) เป็นเพลงที่ถูกยกย่องว่าดีที่สุดตลอดกาลของวงร็อกจากเมืองแมนเชสเตอร์ อีกทั้งมันยังเต็มไปด้วยซาวด์ดนตรีที่เปรียบเสมือนการปูแนวทางของวงตลอดระยะเวลา 18 ปีที่โลดแล่นอยู่ในวงการ และยังเป็นเพลงที่ทั้ง Liam และ Noel Gallagher (ที่ตอนนี้เป็นศิลปินเดี่ยว) จะต้องยัดเอาไว้ในเซตลิสต์อยู่เสมอ จุดเริ่มต้นของเพลง “Live Forever” เกิดขึ้นในปี 1991 ซึ่งในตอนนั้น Noel ยังทำงานเป็นกรรมกรคนใช้แรงงานอยู่กับบริษัทก่อสร้างแห่งหนึ่งในบ้านเกิด แต่ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าโชคดีหรือโชคร้ายเพราะ Gallagher ผู้พี่เกิดประสบอุบัติเหตุโดนท่อเหล็กชนเข้าที่ข้อเท้า ผลคือเขาถูกส่งไปทำงานเบา ๆ อยู่ในห้องเก็บของ ซึ่งเป็นงานที่สบายและมีเวลาว่างกว่าเดิมมาก ทำให้เขามีเวลาเขียนเพลงแบบเต็ม ๆ ส่วนแรงบันดาลใจของเพลงนี้มันก็ได้รับมาจากทั้งจากวง The Rolling Stones, Nirvana และชีวิตวัยเด็กของพี่น้อง Gallagher “SHINE THE LIGHT” “Shine The