Avenged Sevenfold วงดนตรีแนวโมเดิร์น เฮฟวี่เมทัล ที่ประสบความสำเร็จอย่างงดงามในวงการอุตสาหกรรมดนตรี พวกเขาก้าวมาจากวงในระดับอันเดอร์กราวน์ โดยมีผลงานในยุคแรกเป็นสไตล์เมทัลคอร์ที่ดุดัน ได้แก่อัลบั้ม “Sounding the Seventh Trumpet “ (2001) และ “Waking The Fallen” (2003) พวกเขาทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมจนสามารถสร้างฐานแฟนเพลงได้อย่างมากมาย ทำให้ออร่าส่องแสงไปเข้าตา Warner Bros. ค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ระดับโลก จนสุดท้าย A7X (ชื่อย่อของวง) ได้เซ็นสัญญาสู่โลกของเมนสตรีมในที่สุด หลังจากนั้นพวกเขาก็ยกระดับวงขึ้นสู่วงเมทัลระดับโลกด้วยผลงานอัลบั้ม “City Of Evil” (2005) และอัลบั้มชื่อเดียวกับวงในปี (2007) เส้นทางกำลังไปได้สวย แต่แล้วพวกเขาก็ต้องมาเจอเรื่องไม่คาดฝัน เมื่อ The Rev หรือ “James Owen Sullivan” มือกลองมากฝีมือของวงต้องเสียชีวิตจากอาการโอเวอร์โดสเมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2009 ทำให้ทางวงต้องไปดึงตัว Mike Portnoy มือกลองของวง Dream Theater มาช่วยทำหน้าที่แทนชั่วคราว
มวยไทยที่ใคร ๆ ก็ต่างภูมิใจในความเป็นศิลปะประจำชาติ มันได้สร้างชื่อเสียงให้กับบ้านเราอย่างมากมาย ด้วยลีลาที่สวยงาม บวกกับอาวุธโจมตีที่รุนแรง สามารถใช้ทุกส่วนของร่างกายเป็นอาวุธได้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น หมัด, ศอก, เข่า หรือลูกเตะ ใครตั้งการ์ดรับไม่ทันมีหวังได้ล่วงหลับโดยไม่ทันตั้งตัว นักมวยที่ประสบความสำเร็จของประเทศไทยล้วนมีพื้นฐานมาจากมวยไทย ไม่ว่าจะเป็น เขาทราย แกเแลคซี่, สามารถ พยัคฆ์อรุณ, สมจิตร จงจอหอ หรือบัวขาว บัญชาเมฆ เป็นต้น พวกเขาต่างต้องเคยล้มลุกคลุกคลานผ่านสังเวียนใหญ่น้อยกว่าที่จะได้ก้าวขึ้นมายิ่งใหญ่ ทุกอย่างดูสวยงาม ดูมีหนทางการเติบโตของนักมวยไทย แต่แท้จริงแล่วอย่างที่หลายคนทราบกันว่ากีฬาชนิดนี้มีการเดิมพันหรือที่ใคร ๆ ก็เรียกกว่า “พนัน” แบบถูกกฎหมาย และก็เพราะเรื่องดังกล่าวที่มันทำให้สีดำได้สาดเข้ามาแปดเปื้อนวงการมวยไทย และมันได้ถูกตีแผ่เล่าเรื่องผ่านซีรีส์เรื่อง “HURTS LIKE HELL เจ็บเจียนตาย” ที่ออกฉายทาง Netflix ไปเป็นที่เรียบร้อย ผลงานเรื่องนี้กำกับโดย “กิตติชัย วรรณ์ประเสริฐ” เป็นซีรีส์สไตล์ Docudrama (สารคดีผสมกับดราม่าซีรีส์) มีทั้งหมด 4 ตอนด้วยกัน โดยจะแบ่งเรื่องราวออกเป็นหลายเซสชั่น แต่จะเชื่อมโยงมายังเรื่องราวน่าสลดของวงการมวยไทย โดยเริ่มจากเล่าเรื่องผ่านเรื่องราวของเซียนมวยรุ่นเล็กที่มีชื่อว่า “พัด” นำแสดงโดย
Black Sabbath คือวงดนตรีเฮฟวี่ เมทัล ระดับตำนาน จากเมืองเบอร์มิงแฮม ประเทศอังกฤษ ที่สร้างอิทธิพลให้กับวงการดนตรีเมทัลไว้มากมาย มีไลน์อัพนำทัพยุคแรกคือ Ozzy Osbourne – ร้องนำ, Tony Iommi – กีตาร์, Geezer Butler – เบส และ Bill Ward – กลอง ถือกำเนิดกันตั้งแต่ปี 1968 ก่อนจะคลอดผลงานชุดแรกเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 1970 ซาวด์ดนตรีในชุดนี้เต็มไปด้วยความเป็นเฮฟวี่เมทัลสุดเข้มข้น แต่ถ้าจะให้บอกว่าเพลงไหนคือคาแรคเตอร์ที่ชัดเจนของวงคงต้องยกให้แทร็กเปิดอัลบั้มที่ใช้ชื่อเดียวกับวง มันมาพร้อมบรรยากาศอันน่าสะพรึงกลัว ปกคลุมด้วยความมืดมน พร้อมทั้งมีดนตรีสุดหน่วงซึ่งเป็นต้นแบบให้กับดนตรีดูมและสโตนเนอร์ในยุคต่อมา อีกทั้งผลงานเพลงชุดนี้ยังถูกยกย่องให้เป็นคัมภีร์ของเพลงเมทัลฉบับแรกของโลก แต่ใช่ว่าดนตรีเท่านั้นที่จะชวนหลอนจนขนหัวลุก ทว่าปกของอัลบั้มนี้ยังสร้างความหลอนได้ไม่แพ้กัน โดยเฉพาะรูปของหญิงสาวในชุดคลุมสีดำ มีเบ้าตาที่น่าสยดสยอง ราวกับเป็นดวงวิญญาณยืนอยู่บริเวณหน้าบ้านร้างที่เป็นแบ็คกราวน์ของภาพ ทำให้มีการปล่อยข่าวลือกันว่าสิ่งที่ปรากฏบนภาพเป็นอะไรที่ไม่ใช่คนอย่างแน่นอน ภาพปกอัลบั้มถูกถ่ายโดยช่างภาพชาวอังกฤษที่มีนามว่า Keith McMillan เขาเคยลั่นชัตเตอร์ให้กับ John lennon, Yoko Ono, Mick Jagger และอีกหลายศิลปินที่มีชื่อเสียง เขาได้ถูกว่าจ้างให้มาควบคุมการออกแบบอาร์ตเวิร์กของอัลบั้ม
“อีโม” คือกระแสดนตรีในช่วงกลางยุค 2000’s ที่ฮิตกันไปทั่วโลกไม่เว้นแม้แต่บ้านเรา เด็กวัยรุ่นมากมายลุกขึ้นมาทำผมปัดเป๋, ย้อมสีจัดจ้าน, ทาขอบตาดำ, เสื้อและกางเกงรัดแน่น, เข็มขัดหมุดหนาม รวมไปถึงการเจาะตามร่างกาย กลายเป็นแฟชั่นที่สร้างภาพจำให้กับยุคนั้น เดิมทีดนตรีอีโมมีรากเหง้ามาตั้งแต่ยุค 80’s แล้ว มันเติบโตมาจากวงการฮาร์ดคอร์พังก์ สไตล์การเล่นจะไม่ได้ดิบ ๆ แต่จะมีการสอดแทรกเมโลดี้และการร้องที่เน้นอารมณ์ หรือที่เรียกว่า “อีโมชันนัล” แต่ในยุคก่อนส่วนมากจะเรียกดนตรีแนวนี้ว่า “โพสต์ฮาร์ดคอร์” ซะมากกว่า ก่อนจะถูกบรรดาค่ายเพลงยักษ์ใหญ่นำคำว่า “อีโม”มาทำการตลาดจนประสบความสำเร็จในการทำให้ดนตรีแนวนี้กลายเป็นเมนสตรีมในที่สุด อีกทั้งยังผลิตวงดนตรีเจ๋ง ๆ ออกมาเพียบ จนเราต้องจัดเพลย์ลิสต์ 10 เพลงสุดฮิตยุคอีโมเอามาฝากทุกคนกันครับ “HELENA” MY CHEMICAL ROMANCE บอกตรง ๆ ว่าเลือกอยากจริง ๆ สำหรับเพลงของ My Chemical Romance แต่ที่ต้องเลือกเพลง “Helena” เพราะมันคือผลงานสร้างชื่อให้กับทางวงในระดับเมนสตรีม เพลงนี้บรรจุอยู่ในอัลบั้ม “Three Cheers Sweet For Revenge” ที่วางจำหน่ายในปี 2004 สิ่งที่ทำให้เพลงนี้ได้รับความนิยมนอกจากตัวดนตรีก็คือตัว
คว้านักเตะใหม่มาได้ตามเป้าสำเร็จสำหรับทีม Manchester United ที่สามารถปิดดีล Lisandro Martinez ปราการหลังชาวอาร์เจนตินา วัย 24 ปี พร้อมด้วยสัญญา 5 ปี โดยทางเจ้าตัวเคยร่วมงานกับ Erik Ten Hak ที่ Ajax Amsterdam ดังนั้นเรื่องการเข้าใจแทคติคของกุนซือชาวดัชต์ก็ไม่น่าจะมีปัญหาแต่อย่างใด อีกทั้งยังเคยร่วมลงเล่นกับ Donny Van De Beek มาแล้วด้วยเช่นกัน ส่วนเส้นทางการค้าแข้งของ Lisandro Martinez ผ่านมาเพียงไม่กี่สโมสร โดยเริ่มต้นจากการเป็นนักเตะระดับเยาวชนที่ Club Urquiza และ Club Libertad จนกระทั่งถูกทีม Newell’s Old Boys อีกหนึ่งทีมยักษ์ใหญ่จากลีกในบ้านเกิดดึงตัวไปร่วมทีม แต่มีโอกาสลงเล่นอย่างจำกัด ทำให้ถูกส่งตัวไปให้กับ Defensa y Justicia ยืมตัว ซึ่งเจ้าตัวก็สามารถโชว์ฟอร์มได้ดีจนสามารถยึดตำแหน่งตัวจริงได้สำเร็จ ก่อนที่จะได้รับสัญญาถาวรจากสโมสรในฤดูกาล 2018-2019 แต่ Lisandro Martinez มีเวลากับ
เวลาผ่านไปรวดเร็วมาก เผลอแป๊ปเดียวผ่านพ้นไปแล้ว 5 ปีกับการจากไปของ Chester Bennington ฟรอนต์แมนผู้สร้างแรงบันดาลใจให้กับคนทั่วโลกจากวง Linkin Park ความรู้สึกในวันที่รับรู้ถึงการสูญเสียมันยังคงถูกจดจำไว้ได้เป็นอย่างดี มันเป็นข่าวที่เศร้าและสะเทือนวงการดนตรีอย่างแท้จริง นอกจากความรู้สึกที่ถูกผูกอยู่กับเหตุการณ์ ตัวดนตรีของ Linkin Park ก็ถูกเชื่อมโยงเข้ามาด้วยเช่นกัน ซึ่งมันคงจะเป็นเพลงไหนไปไม่ได้หากไม่ใช่ “One More Light” ผลงานจากอัลบั้มชื่อเดียวกับเพลงนี้ ถูกวางจำหน่ายครั้งแรกวันที่ 19 พฤาภาคม 2017 หรือ 1 เดือนก่อนที่ Chester จะโบกมือลาพวกเราทุกคนไป ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวอัลบั้ม “One More Light” ถูกโจมตีจากบรรดาแฟนเพลงเป็นอย่างหนัก เพราะซาวด์ที่เกิดขึ้นมันได้ลดทอนซาวด์ของร็อกอันคุ้นเคยออกไปจนแทบทั้งหมด และุถูกทดแทนด้วยดนตรีอิเลกทรอนิกส์/ป๊อป แทน แต่ถึงแม้ว่ารสชาติมันจะเปลี่ยนไป แต่สำหรับเพลงไตเติ้ลแทร็กอย่าง “One More Light” กลับให้ความรู้สึกที่รับรู้ได้ถึงความเศร้านับตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้ฟัง แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันจะทำให้เรารู้สึกอินไปกับเพลงซักเท่าไหร่ แต่มันก็เปลี่ยนไปทันทีหลังจากเหตุการณ์น่าเศร้าได้เกิดขึ้น “One More Light” ถูกเขียนโดย Mike Shinoda ร่วมกับ Eg White
คุณรู้จักดนตรีแนวเมทัลดีขนาดไหน? บางคนอาจจะมาก บางคนอาจจะน้อย หรือบางคนก็อาจจะไม่รู้เลย ซึ่งก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะมันเป็นดนตรีเฉพาะกลุ่มที่ต้องเสริมใยเหล็กในหูมาแล้วจึงได้เสพมันได้้อย่างเข้าถึงอารมณ์ แถมภาพจำของใครหลาย ๆ คนต่อชาวเมทัลมันคือความโหดร้ายไปซะอีก แต่จริง ๆ แล้วมันเป็นเพียงแค่ภาพลักษณ์ภายนอก เพราะมีการพิสูจน์ได้ทางวิทยศาสตร์มาแล้วว่าดนตรีเมทัลมีอะไรดี ๆ มากกว่าที่คิดไว้มาก ดังเช่นเรื่องราวต่อไปนี้ ภาพลักษณ์ชาวเมทัลไม่จำเป็นต้องโหดเสมอไป หลาย ๆ คนยังติดตากับชาวเมทัลว่าต้องมีภาพลักษณ์ที่ดูดุดัน, ลึกลับ, น่ากลัว หรือมีทรงผมและหนวดเคราราวกับหลุดออกมาจากยุคไวกิ้ง โอเคถ้าคุณจะคิดแบบนั้นก็ไม่ผิด เพราะภาพลักษณ์ของวงดนตรีเมทัล โดยเฉพาะช่วงก่อนเข้าสู่ยุค 2000’s ก็มีลักษณะแบบนั้นจริง ๆ แต่สำหรับในปัจจุบันมันแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง มีความหลากหลายเกิดขึ้นมากมาย การแต่งตัวก็ไม่ได้จำกัดว่าจะต้องคุมธีมด้วยสีดำเท่านั้น และไม่ได้เป็นคนที่มีอารมณ์โกรธเกรี้ยวอยู่ตลอดเวลาเช่นกัน ทาง Laina Dawes นักชาติพันธุ์วิทยาชาวแคนาดา เจ้าของหนังสือ “What Are You Doing Here? A Black Woman’s Life and Liberation in Heavy Metal” ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการสำรวจชาวอเมริกันผิวสีที่มีแนวโน้มหันมาฟังเพลงเมทัลมากกว่าเดิม เธอได้สัมภาษณ์ทั้งศิลปินและแฟนเพลงเมทัลในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ซึ่งได้ข้อมูลว่าดนตรีแนวพังก์, เพาเวอร์ไวโอเลนซ์ และไกรคอร์
ข่าวการจากไปอย่างกะทันหันของ Chester Bennington นักร้องนำวง Nu Metal ระดับโลกอย่าง LINKIN PARK ด้วยวัยเพียง 41 ปี ทั้งที่เพิ่งจะออกเพลงใหม่มาให้แฟน ๆ ได้ฟังกันอยู่หมาด ๆ ยังคงทำให้กลุ่มแฟน รวมไปถึงคนฟังเพลงทั่วโลกเสียใจกับการจากไปเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะคนที่มีอายุช่วง 20 ปลาย ๆ ด้วยแล้ว สามารถพูดได้อย่างเต็มปากเลยว่าแทบทุกคนได้โตขึ้นมาพร้อมกับเสียงร้อง และเนื้อเพลงที่มีความหมายเท่ ๆ ของนักร้องนำผู้ล่วงลับคนนี้ ในขณะที่ทุกคนยังคงเสียดาย และหวังว่าข่าวการฆ่าตัวตายของเขาจะเป็นเพียงข่าวลือ รวมไปถึงคนบางกลุ่มที่ถึงขั้นหลั่งน้ำตาทันทีที่ได้ยินข่าว พร้อมกับสวดภาวนาให้กับผู้ชายที่ชื่อว่า Chester Bennington ไปสู่สุขคติอย่างสงบ แต่อย่างไรก็ตามเมื่อคิดว่า ต่อไปนี้คงไม่มีเสียงร้องแบบนี้ให้ฟังกันอีกต่อไปแล้ว ก็อดใจหายไม่ได้อยู่ดี หากเป็นแฟนเพลง หรือ คนที่รู้ถึงประวัติ และเรื่องราวของ Chester Bennington คงจะรู้ว่าทำไมจึงมีผู้คนมากมาย ต้องหลั่งน้ำตาให้กับการจากไปของผู้ชายคนนี้ ทั้งที่ไม่ได้รู้จักกันเป็นการส่วนตัว ทั้ง ๆ ที่เกิดกันคนละทวีป วันนี้เราจะมาร่วมรำลึกถึงนักร้องนำผู้ที่เพิ่งจะกลายเป็นตำนานไปตลอดกาลคนนี้ ด้วยเรื่องราวดี ๆ ที่ยังคงหลงเหลือไว้ ให้เราสามารถนำมาใช้เป็นแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิตของเราได้ เช่นเดียวกับเนื้อเพลงที่เขาได้เขียน
“เห็นไหม ไม่มีเราเธอก็ทำได้” “เชื่อเหอะ ไม่มีเธอเราทำไม่ได้หรอก” ดู Fast and Feel Love ของ ‘เต๋อ นวพล’ แล้วอินจัง สำหรับคนที่ยังไม่เคยดูหนังเรื่องนี้ แต่เสพมีมของหนังเข้าไปเยอะจนคิดว่าอันนี้หนังตลกใช่ปะ? คุณคิดถูกครับ (อ้าว) ยังพูดไม่จบ ๆ จะบอกว่านี่คือหนัง Action Comedy ที่พยายามให้เรามองแง่บวกกับชีวิต ถึงแม้หลาย ๆ เรื่องจะยากเกินกว่าหัวเราะออกก็ตาม และไม่ต้องอายที่จะร้องไห้เพื่อความฝัน ในวันที่ชีวิตจริงปล่อยหมัดฮุกใส่ตลอดเวลา เพราะเหล่าตัวละครจะตบบ่าคุณเบา ๆ พร้อมพูดว่า “เราเข้าใจแกว่ะ” หนังเล่าเรื่องของ ‘เกา’ ชายหนุ่มอายุใกล้ 30 ที่พยายามอย่างหนักทุกวันตั้งแต่สมัยเรียน เพื่อจะเป็นแชมป์ผู้ครองความเร็วที่สุดในโลกของกีฬา Sport Stacking โดยมี ‘เจ’ คอยซัพพอร์ตทุกด้านของชีวิตเสมอ แต่! (เสียงเอฟเฟกต์ฟ้าผ่าเข้า) เจมีเหตุจำเป็นจนไม่สามารถช่วยเกาได้อีกแล้ว และเกาก็ทำอะไรไม่เป็นเลยนอกจากเล่นสแต็ก ภารกิจพิชิตชีวิตประจำวันของเขาก็เริ่มต้นขึ้น ขอใช้พื้นที่ในบรรทัดนี้ขอบคุณ ‘เจ’ ในชีวิตจริงของตัวเอง ที่คอยซัพพอร์ตเสมอ ไม่ว่าทางข้างหน้าของเราจะยังอีกยาวไกลขนาดไหน ขอบคุณจริง ๆ
สัปดาห์ก่อนเราได้นำแนะนำให้กับทุกคนรู้จักกับ SETUP Thailand Pro Wrestling ค่ายมวยปล้ำแห่งแรกที่มีเจ้าของเป็นคนไทย โดยผ่านการสัมภาษณ์กับ คุณปูมิ – ปรัชญ์ภูมิ บุณยทัต ผู้ร่วมก่อตั้งค่าย จนได้ทราบเกี่ยวกับที่มีที่ไปกว่าที่จะเกิดเป็นค่ายมวยปล้ำไทยขึ้นมา แต่การจะรู้จักแค่เพียงผู้ร่วมก่อตั้งค่ายก็คงยังไม่เพียงพอ เพราะเรายังได้พูดคุยกับ “Monomoth” นักมวยปล้ำฟอร์มร้อนแรงที่กำลังจะมีคิวขึ้นปล้ำชิงแชมป์ประเทศไทยในเร็ว ๆ นี้ อีกทั้งยังได้เปิดเผยเรื่องราวของกีฬามวยปล้ำในหลาย ๆ แง่มุมที่คุณอาจจะไม่เคยรู้มาก่อน และที่สำคัญเขายังเป็นชาว LGBTQIA+ นั่นทำให้เรื่องราวของเขายิ่งน่าสนใจเข้าไปใหญ่ และต่อจากนี้คือเรื่องราวของ “Monomoth” แห่งค่าย SETUP Thailand Pro Wrestling ซึมซับมวยปล้ำตั้งแต่วัยเด็ก Monomoth หรือชื่อเล่นจริง ๆ คือ “มอธ” ซึ่งฉายาในวงการมวยปล้ำได้มาจากสมัยยังเป็นบลอกเกอร์ทำคอนเทนต์ลงทางยูทูป เขาได้เล่าให้ฟังว่าจุดเริ่มต้นความชื่นชอบมวยปล้ำมันมาจากตั้งแต่สมัยเด็ก ๆ เพราะได้ซึบซับมาจากพี่ชายที่ชอบดูมวยปล้ำ จนพี่ชายได้เลิกดูไปแต่ตัวเขาก็ยังคงติดตามมันอยู่ตลอด และมีความชื่นชอบนักมวยปล้ำหญิงมากกว่าผู้ชาย ซึ่งมอธมี Mickie James และ Rey Mysterio เป็นไอดอลของเขา “ตอนนั้นที่ดูก็ไม่รู้ทำไมเราถึงชอบดูมวยปล้ำหญิง เราก็พยายามจะดูคู่อื่นแต่ถ้าเวลาน้อยหรือไม่มีเวลาก็จะโฟกัสที่ผู้หญิงพราะรู้สึกชื่นชอบ ตามนักมวยปล้ำหญิงมากกว่านักมวยปล้ำชาย จะรู้สึกรู้ดี
Manic Street Preachers คือวงดนตรีร็อกจากเวลส์ที่สร้างชื่อในช่วงยุค 90’s ปัจจุบันมีสมาชิกเหลือเพียง 3 คน ได้แก่ James Dean Bradfield, Nicky Wire และ Sean Moore พวกเขาสร้างตำนานจนเป็นที่พูดถึงไว้มากมาย โดยเฉพาะเหตุการณ์กรีดแขนเป็นคำว่า “4Real” ต่อหน้าสื่อมวลชนของ Richey Edwards อดีตมือกีตาร์ของวงที่ทำเอาแฟนเพลงทั่วโลกต้องตกตะลึงในความโหดของเขามาแล้ว รวมไปถึงการหายตัวไปอย่างลึกลับของเจ้าตัวเมื่อปี 1995 ก็กลายเป็นปริศนาที่ยังหาคำตอบที่ชัดเจนไม่ได้มาจนถึงปัจจุบัน ถึงแม้ว่าเรื่องราวที่เกริ่นมาอาจจะดูไม่ค่อยโอเคซักเท่าไหร่ แต่ถ้ามองข้ามมันไปแล้วมาเจาะลงที่ตัวดนตรีจะพบว่า Manic Street Preachers สร้างผลงานเพลงล้นคุณภาพประดับวงการเพลงไว้มากมาย ไม่ว่าจะเป็น “A Design For Life”, “If You Tolerate This Your Children Will Be Next”, “You Stolen The Sun From My Heart” รวมไปถึงเพลงที่เรากำลังจะพูดถึง “Motorcycle Emptiness” “Motorcycle
“Attitude Era” คืออีกหนึ่งยุคทองของค่ายมวยปล้ำ WWE (ในสมัยที่ยังใช้ชื่อเป็น WWF) ซึ่งเกิดขึ้นระหว่างปี 1997 จนถึงปี 2002 เป็นช่วงที่คอนเทนต์ถูกขับเคลื่อนด้วยความดิบเถื่อน มีทั้งคำหยายคาย, ความรุนแรงในระดับฮาร์ดคอร์ รวมไปถึงมีเรื่องราวเกี่ยวกับเพศเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย นอกจากนี้ยังมีการทำบทเขียนเรื่องราวที่มีเนื้อหาชวนติดตามไม่ต่างจากซีรีส์เลย แต่ภาพรวมของสิ่งที่สื่อสารออกมาในเวลานั้นมันก็ต้องเหมาะกับผู้ใหญ่มากกว่าเยาวชนอย่างแน่นอน สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นมันคือการต่อสู้กันแย่งเรตติ้งระหว่าง WWF “Monday Night Raw” และ WCW “Monday Nitro” นั่นเอง ซึ่งผลกำไรก็ตกเป็นของแฟนมวยปล้ำที่มีโอกาสได้เลือกชมความสนุกที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น แต่สิ่งสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด “Attitude Era” ได้ปลุกปั้นนักมวยปล้ำฝีมือดีมากมายจนเป็นที่กล่าวขานมาจนถึงปัจจุบัน ด้วยเหตุนี้เราจึงอยากขอพาทุกคนย้อนไปสู่ยุคแห่งความเดือดกับ “10 สุดยอดนักมวยปล้ำ WWE แห่งยุค ATTITUDE ERA” ที่คัดเลือกโดย Unlockmen จะมีใครบ้างเชิญติดตามกันได้เลย THE ROCK ถ้าให้พูดถึงชื่อของนักมวยปล้ำที่โด่งดังที่สุดของวงการคงต้องยกให้ The Rock หรือที่รู้จักกันในชื่อจริงว่า “Dwayne Johnson” ในฐานะนักแสดงชื่อดังที่ฝากผลงานในโลกภาพยนตร์เอาไว้มากมาย แต่จุดเริ่มต้นความสำเร็จคงต้องยกให้ช่วงที่เป็นนักมวยปล้ำให้กับค่าย WWF เป็นหลัก เขาโดดเด่นด้วยคาแรคเตอร์สุดกวนบาทา