โรคมะเร็งเต้านม (Breast Cancer) เป็นโรคมะเร็งชนิดหนึ่งที่ส่วนใหญ่พบได้ในที่มีอายุมากกว่า 40 ปี ซึ่งการเกิดโรคมะเร็งเต้านมในผู้หญิงนั้นจะแตกต่างกันออกไปในแต่ละเชื้อชาติและภูมิประเทศ ในเอเชียจะพบได้ประมาณ 18-26 คนต่อประชากรหนึ่งแสนคน และในรายงานล่าสุดปี พ.ศ. 2553-2555 พบว่าโรคมะเร็งเต้านมเกิดขึ้นมากที่สุดเป็นอันดับ 1 ของมะเร็งในหญิงไทย โดยคิดเป็น 28.6 คนต่อประชากรหนึ่งแสนคน และแน่นอนว่าต้องมีอัตราการเสียชีวิตและอัตราการเกิดโรคเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง (ข้อมูลอ้างอิง : คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี) BRCA1 และ BRCA2 เป็นกลุ่มยีนที่สร้างโปรตีนช่วยซ่อมแซม DNA จึงมีบทบาทช่วยให้ DNA ในเซลล์มีความเสถียร เมื่อมีการกลายพันธุ์ (Mutation) ของยีน BRCA จะส่งผลให้เซลล์มีโอกาสเกิดความผิดปกติของพันธุกรรมได้สูงขึ้น ซึ่งนำไปสู่การกลายเป็นมะเร็ง โดยพบว่าการกลายพันธุ์ของยีน BRCA มีความเกี่ยวข้องกับปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้านมและรังไข่แบบถ่ายทอดทางพันธุกรรม ดร. พงศธรณ์ ไชยทรัพย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านพันธุศาสตร์ บริษัท เนชั่นแนล เฮลท์แคร์ ซิสเท็มส์ (N Health) กล่าวว่า สำหรับโอกาสที่จะเกิดเป็นโรคมะเร็งเต้านมในคนปกติมีประมาณ 12% (120 คนในประชากร 1,000 คน)
บางคนออกกำลังกายเพื่อลดน้ำหนัก บางคนควบคุมอาหารเพื่อลดน้ำหนัก แต่ใครจะไปคิดว่าดูหนังก็ช่วยลดน้ำหนักได้! แต่ก็ใช่ว่าจะดูหนังอะไรก็ได้ เพราะงานวิจัยเขาชี้เฉพาะมาว่าต้องดูหนังสยองขวัญสั่นประสาทเท่านั้น University of Westminster ทำการทดลองโดยใช้กลุ่มตัวอย่าง 10 คน โดยให้ 10 คนนี้ดูหนังสยองขวัญ 10 เรื่องที่แตกต่างกันไป จากนั้นก็สังเกตอัตราการเต้นของหัวใจ การสูดเอาอ็อกซิเจนเข้าร่างกาย ผลปรากฏว่า The Shining ภาพยนตร์ปี 1980 นับเป็นภาพยนตร์สยองขวัญอันดับหนึ่ง (จาก 10 เรื่อง) ที่กลุ่มตัวอย่างดูแล้วสะดุ้งและกรีดร้องจนเผาผลาญแคลอรี่ไปได้ถึง 184 แคลอรี่ (ปกติคนเราเดิน 40 นาที จะเผาผลาญราว ๆ 140 แคลอรี่) ส่วนลำดับ 2 คือเรื่อง Jaws หนังฉลามกินคนสุดโหดที่เผาผลาญได้ 161 แคลอรี่ ในขณะที่เรื่อง The Exorcist ที่ไล่ผีกันจนเผาผลาญได้ 158 แคลอรี่ Richard Mackenzie ผู้ทำงานวิจัยนี้แก้ข้อสงสัยให้เราหายงงเป็นไก่ตาแตกว่าหนังสยองขวัญนั้นยิ่งเราดูแล้วรู้สึกเครียด กดดัน (ระยะเวลาสั้น
หลายคนอาจจะสงสัยว่า Sigmund Freud ผู้นี้เป็นใคร? แต่บางคนก็อาจจะคุ้นชื่อ หรือเคยได้ยินเรื่องราวของชายผู้นี้กันมาบ้างอยู่แล้ว แต่ถ้าใครยังไม่รู้จักกับชายคนนี้มาก่อนวันนี้คุณจะได้รู้ สำหรับชายที่ชื่อ Sigmund Freud หรือ ซิกมุนด์ ฟรอยด์ (ภาษาเยอรมัน) คนนี้ เป็นประสาทแพทย์ชาว Austria ที่มีชื่อเสียงโด่งดังอย่างมาก นอกจากนี้เขายังเป็นนักจิตวิทยา, นักปรัชญา และนักเขียนที่มีผลงานเป็นที่รู้จักจำนวนนับไม่ถ้วน ตลอดระยะเวลาที่เขามีชีวิตอยู่เขาค้นคว้าหาความจริงที่หลายคนไม่เคยรู้มาก่อนมากมาย จึงทำให้คนส่วนใหญ่มักจะรู้กันดีว่า คำพูดที่ถูกถ่ายทอดออกมาจากเขานั้นล้วนเป็นสิ่งที่มีคุณค่า และมีเหตุผลทั้งสิ้น วันนี้เราจึงได้นำเอาคำพูดเกี่ยวกับเรื่องจริงของชีวิตคนเราที่สุดแสนจะเจ็บปวดจาก Sigmund Freud มาให้ชาว UNLOCKMEN ทุกคนได้ลองเอาไปคิดตามกัน เพราะบางที คำพูดบางคำอาจจะช่วยปลดล็อคอะไรบางอย่างให้กับสิ่งที่เรากำลังค้นหาอยู่ก็ได้ 1. The goal of all life is death. ยังไงเราก็หนีความตายไม่พ้น คนที่ตระหนักถึงเรื่องนี้ คือผู้ที่พร้อมจะเผชิญหน้ากับทุกอย่าง ไม่หลีกเลี่ยง หรือกลัวที่จะกระทำการใด ๆ อย่างกล้าหาญ เพราะสุดท้ายแล้วความจริงที่ยิ่งใหญ่ที่สุด และไม่อาจจะหนีมันพ้นไปได้ก็คือ ความตาย แต่ไม่ใช่ว่าเราจะอยู่กันแบบหมดอาลัยตายอยาก เหมือนคนสิ้นแล้วซึ่งทุกสิ่งทุกอย่าง เพียงเพราะคิดว่าสุดท้ายวันหนึ่งเราต่างก็ต้องตายอยู่ดี ในทางกลับกัน เราควรจะกล้าคิด
เหมือนฝันที่เป็นฝันร้าย และไม่มีใครอยากเชื่อว่ามันได้เกิดขึ้นแล้วจริง ๆ สำหรับการสูญเสียครั้งใหญ่ของปวงชนชาวไทย และการสูญเสียพระราชาที่ได้ชื่อว่าทรงงานหนักที่สุดในโลก ถึงแม้ว่าพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพจะเสร็จสิ้นลุล่วงไปแล้ว แต่เราเชื่อว่า คนไทยหลายคนยังคงติดอยู่ในความโศกเศร้า เสียใจ ความโศกเศร้า และเสียใจจากการสูญเสียคนที่รักยิ่ง และไม่มีวันลืมได้นั้น เป็นเรื่องธรรมดา เพราะมันไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะการสูญเสียครั้งสำคัญครั้งนี้เท่านั้น มันยังต้องเจอ และต้องเกิดขึ้นกับชีวิตคนเราอีกหลายครั้งในหนึ่งชีวิต เราไม่จำเป็นเลยที่จะต้องลืมเรื่องราว และความรักที่เรามีต่อผู้ที่จากไป แต่ทว่า… เราจะทำอย่างไรให้ผ่านช่วงเวลาที่เศร้าโศกจากความสูญเสียนี้ไปได้ และตัวเราเองก็สามารถกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้น วันนี้เราจึงได้นำเอาวิธีดี ๆ ที่จะช่วยให้คุณก้าวผ่านความโศกเศร้าจากการสูญเสียครั้งใหญ่ในชีวิตไปได้ เพื่อที่จะได้กลับมาใช้ชีวิตให้มีประสิทธิภาพ ทำความดี และเป็นประโยชน์ต่อตัวเอง และผู้อื่นต่อไป และนี่คือ 5 วิธีการ ที่จะทำให้ทุกคนกลับมามีพลังลุกขึ้นมาใช้ชีวิต หลังจากที่ต้องเจอกับการสูญเสียที่ทำให้หัวใจแตกสลาย ได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกครั้ง และทุกครั้งที่นึกถึง จะมีแต่ความทรงจำที่ดีอยู่เสมอ People Die. มันเลวร้าย แต่มันก็คือ ความจริง ซึ่งก่อนอื่นเลยคือ คุณต้องคิดเอาไว้เสมอว่า ต่อให้เป็นคนที่คุณรัก หรือไม่รัก เป็นคนอื่น เป็นญาติพี่น้อง หรือแม้แต่ตัวคุณเองก็หนีสัจธรรมข้อนี้ไม่พ้น ถ้าหากคุณทำความเข้าใจกับข้อนี้ได้แล้ว คุณจะเริ่มเข้าใจ และเห็นถึงมุมมองใหม่ คุณจะรู้ว่า คนที่คุณรักมากนั้น ถึงเวลาได้พักผ่อนอย่างสงบแล้ว
สมัยนี้ใครก็สามารถกลายมาเป็นซุปเปอร์สตาร์ได้ไม่ยาก ขอแค่มีไอเดียกับกล้องวิดีโอไว้ใช้สำหรับบันทึกภาพของตัวเองมาโพสต์ลงไปใน YouTube คุณก็อาจจะกลายมาเป็นป๊อปสตาร์ดังชั่วข้ามคืน เช่นเดียวกับเด็กหนุ่มหน้าตี๋ท่าทางกวนโอ๊ยคนนี้ Rich Chigga ที่อยู่ดี ๆ ก็แจ้งเกิดดังเป็นพลุแตกบนหน้าสื่อโชเชียลมีเดีย ซึ่งปัจจุบันกลายเป็นแร็ปเปอร์ที่มีผลงานน่าจับตามองคนหนึ่ง และกำลังไต่เต้าอยู่ในวงการเพลงสหรัฐอเมริกา โดยเขาใช้เวลาเพียง 18 เดือนเท่านั้นเพื่อยกระดับตัวเองมาถึงจุดนี้ได้โดยไม่ต้องพึ่งใคร Rich Chigga มีชื่อจริง ๆ ว่า Brian Imanuel เกิดในเมือง Jakarta ประเทศ Indonesia ซึ่งเขาเริ่มเล่นโซเชียลเน็ตเวิร์กเมื่อปี 2010 ตอนอายุแค่ 11 ขวบ โดยที่ตัวเขาเองก็เป็นเหมือนเด็กปกติทั่วไปที่พยายามเล่นพิเรนทร์โพสต์รูปภาพตัดต่อตลก ๆ ล้อเลียนมากมาย ตัวอย่างเช่นรูปที่เขาตัดต่อตัวเองไปยืนข้างประธานาธิบดี Barack Obama พร้อมสวมเสื้อฮู้ด Nigga ก่อนที่ในเวลาต่อมา Brian จะเริ่มทำคลิปวิดีโอตลกแนว dark comedic ซึ่งเขาได้เรียนรู้ภาษาอังกฤษผ่านจาก YouTube นับว่าเป็นเด็กที่มีความพยายามอย่างมาก ไม่ให้อุปสรรคต่าง ๆ มาปิดกั้นความสามารถ จนกระทั่งมีเพื่อนแนะนำให้เขารู้จักกับเพลง Thrift Shop ของ Macklemore
ปัญหานอนไม่หลับดูเป็นหาเล็กปะติ๋วเมื่อเทียบกับปัญหาใหญ่ ๆ หลาย ๆ ปัญหาในชีวิต แต่ในทางกลับกันการนอนไม่หลับติดต่อกันเป็นเวลานาน ก็สร้างความเหนื่อยล้าสะสมและกลายปัญหาชีวิตที่ใหญ่ระดับโลกขึ้นมาได้โดยไม่รู้ตัว ออกกำลังกายก็แล้ว ปรับอาหารการกินก็แล้ว ทำอย่างไรก็ไม่เวิร์คกับเขาสักที วันนี้งานวิจัยทางวิทยาศาสตร์เขาบอกว่านี่คือวิธีที่โคตรดีในการจะช่วยให้คุณนอนหลับ… งานวิจัยพบโคตรวิธีที่ดีที่สุดที่จะช่วยให้นอนหลับได้อย่างยอดเยี่ยม โดยไม่ต้องพึ่งวิธีอย่างการกินกล้วยหรือดื่มนมอีกต่อไป! นักวิทยาศาสตร์จาก Northwestern University เชื่อว่าการมีแพลนสำหรับวันพรุ่งนี้จะช่วยให้คุณนอนหลับได้ยาวนานขึ้น แถมการนอนของคุณก็จะมีคุณภาพมากขึ้นด้วย การมีแพลนสำหรับวันต่อไปของชีวิตเนี่ยนะ? จะเป็นไปได้ได้ยังไง? ผลการวิจัยครั้งนี้ได้รับการตีพิมพ์ในวารสาร Sleep, Science, and Practice. โดยนักวิทยาศาสตร์ยืนยันว่าการที่คนเรามีจุดมุ่งหมายหรือมีเป้าหมายต่อไปในชีวิตมันกลายเป็นยานอนหลับชั้นดี โดยไม่ต้องใช้ตัวยาทางเคมีจริง ๆ โดยเฉพาะกลุ่มคนที่นอนไม่ค่อยหลับอยู่แล้ว งานวิจัยครั้งนี้ใช้กลุ่มตัวอย่างจำนวน 823 คน โดยนำมาตอบคำถามเกี่ยวกับชีวิตของพวกเขา ผลออกมาว่ามีคนร้อยละ 63 ที่รู้สึกว่าชีวิตของพวกเขาช่างมีความหมาย และคนร้อยละ 63 นี่เองที่เผชิญกับอาการนอนไม่หลับน้อยกว่า ทุกคนก็อาจจะสงสัยเหมือนที่ UNLOCKMEN สงสัยว่า ‘ความหมายของชีวิต’ มันคืออะไรกันแน่ มันวัดจากอะไร ผู้ทำการวิจัยเขาก็ไม่ปล่อยให้เราต้องปวดหัวคิดไปเอง เขานิยามเอาไว้ว่า ‘ความหมายของชีวิต’ มันคือการที่คนคนหนึ่งรู้สึกดีเมื่อพวกเขาคิดถึงอะไรที่พวกเขาได้ทำมันในอดีต และรู้สึกดีเมื่อพวกเขาคิดถึงสิ่งที่พวกเขาอยากทำในอนาคต ผลการทดลองจึงมาจบลงตรงที่ว่าใครสักคนหนึ่งจะนอนหลับได้เต็มตาก็ต่อเมื่อเรารู้สึกว่าเราไม่ได้กำลังเสียเวลาในการใช้ชีวิตอยู่ หรือมัวแต่คอยกังวลกับอดีตว่าอะไรที่เรายังทำไม่สำเร็จ ดังนั้นถ้าเรารู้สึกว่าเป้าหมายชีวิตมันยิ่งใหญ่เกินไปกว่าจะทำสำเร็จได้เราคงไม่ได้นอนหลับเต็มตาเสียที UNLOCKMEN ก็เชื่อว่าการที่เราคิดถึงเป้าหมายในแต่ละวันไว้และมุ่งทำมันให้สำเร็จ
ความอาลัยที่พสกนิกรชาวไทยทั้งประเทศมีต่อพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชยังคงไม่จางหายไป เนื่องด้วยตลอดระยะเวลาที่เสด็จขึ้นครองราชย์ พระองค์ทรงงานหนักเพื่อประชาชนตลอดมา และที่พสกนิกรชาวไทยอยู่ดีกินดีได้ถึงทุกวันนี้ก็เป็นเพราะพระองค์ท่าน จึงไม่แปลกที่ตลอดเดือนตุลาคม ถึงเดือนธันวาคมจะมีนิทรรศการที่ทำให้เราน้อมรำลึกถึงพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชออกมาไม่ขาดสาย และ โครงการสร้างสรรค์ ๘๙/๗๐/๔๔๔๗+=๙→๑๐ การจัดแสดงผลงาน ธรรมะ ธรรมชาติ ธรรมศิลป์ และ ๒๓ วิธีทรงงานของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ก็เป็นอีกหนึ่งนิทรรศการดี ๆ ที่ชาว UNLOCKMEN ไม่ควรพลาด ด้วยชื่อที่ฟังครั้งแล้วอาจชวนให้ย้อนกลับไปอ่านใหม่ หรือขอฟังอีกที ยิ่งทำให้โครงการสร้างสรรค์ ๘๙/๗๐/๔๔๔๗+=๙→๑๐ ดูน่าสนใจขึ้นหลายเท่า โดยโครงการนี้เป็นการจัดแสดงผลงาน ธรรมะ ธรรมชาติ ธรรมศิลป์ และ ๒๓ วิธีทรงงานของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช โดยศาสตราจารย์เกียรติคุณ ปรีชา เถาทอง ศิลปินแห่งชาติสาขาทัศนศิลป์ (จิตรกรรม) เพื่อเป็นตัวแทนคนไทยทั้งชาติในการถวายความจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ภายในงานชาว UNLOCKMEN จะตื่นตาตื่นใจไปกับการรวบรวมเอาผลงานของศาสตราจารย์เกียรติคุณปรีชา เถาทองศิลปินแห่งชาติ จำนวน ๑๑๒ ชิ้น ซึ่งสรุปสาระพระอัจฉริยภาพในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ออกมาเป็นผลงานสร้างสรรค์ทางทัศนศิลป์ด้วยความศรัทธาอันหาที่สุดมิได้ โดยมี แนวคิด รูปแบบ เทคนิค และวิธีการ ที่หลากหลายจนไม่อาจวางสายตาลงได้ สำหรับการแสดงจะแบ่งการแสดงงานออกเป็น ๔
แม้ความเสียใจยังคงอยู่ในจิตใจของชาวไทยทั้งปวง แต่ถ้าพ่อบอกเราได้ พ่อคงบอกเราว่า ชีวิตต้องก้าวเดินต่อไป และเราในฐานะลูกที่ดี ก็ต้องไม่ลืมที่จะปฏิบัติตามคำสอนของพ่อ มุ่งมั่นตั้งใจทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม ร่วมแรง ร่วมใจเป็นหนึ่งเดียว เพื่อสร้างชาติของเราให้แข็งแกร่ง เพื่อให้เรามีกำลังใจในการทำงานต่อไป ทีมงาน UNLOCKMEN ขอน้อมนำพระบรมราโชวาท เกี่ยวกับเรื่องการทำงาน มาเผยแพร่ เพื่อปลุกพลังและสติของผองเพื่อน ให้ลุกกลับมาตั้งใจทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด เพื่อประโยชน์ต่อตนเองและประเทศชาติอย่างสูงสุด พระบรมราโชวาท เกี่ยวกับเรื่อง “การทำงาน” ”การทำงานใด ๆ ไม่ว่าใหญ่หรือเล็ก ควรอย่างยิ่งที่จะตั้งเป้าหมาย ขอบเขต และหลักการไว้ให้แน่นอน เพราะจะช่วยให้สามารถปฏิบัติมุ่งเข้าสู่ผลสำเร็จได้โดยตรง และ ถูกต้องพอเหมาะพอดี เป็นการป้องกัน และขจัดความล่าช้า ความสิ้นเปลือง ความเสียเปล่า ทุกอย่างได้อย่างสิ้นเชิง” พระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 17 กรกฎาคม 2530 ลูกจะรู้จักการตั้งเป้าหมายและแผนการในการทำงาน เพื่อให้เป้าหมายสำเร็จ ”เมื่อมีโอกาส และมีงานให้ทำ ควรเต็มใจทำโดยไม่จำเป็นต้องตั้งข้อแม้หรือเงื่อนไขอันใดไว้ให้เป็นเครื่องกีดขวาง คนที่ทำงานได้จริง ๆ นั้น ไม่ว่าจะจับงานสิ่งใดย่อมทำได้เสมอ ถ้ายิ่งมีความเอาใจใส่
ภาพจำของพระมหากษัตริย์ที่เราเห็นในหนังสือหรือภาพยนตร์คงเป็นชายหน้าตาภูมิฐานนั่งเสวยสุขอยูบนบัลลังก์ แต่นั้นคงไม่ใช่พระมหากษัตริย์อันเป็นที่รักของชาวไทยอย่างพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เป็นแน่ ภาพจำของพระองค์ท่านในหัวใจของเราชาวไทยคงเป็นการตรากตรำทรงงานหนักเพื่อให้พสกนิกรอย่างเราอยู่อย่างร่มเย็น และสิ่งที่เราจำได้ว่าจะอยู่ข้างพระวรกายเสมอ สิ่งหนึ่งสิ่งนั้นที่ต้องคิดถึง UNLOCKMEN เชื่อว่าคงไม่พ้นกล้องถ่ายภาพ วันนี้ขอ UNLOCKMEN จึงขอพาชม นิทรรศการภาพถ่ายฝีพระหัตถ์ของในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่จัดขึ้นที่ห้องนิทรรศการหลัก ชั้น 9 หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร ที่นำภาพ ภาพถ่ายฝีพระหัตถ์พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มาจัดแสดงไว้ถึง 200 รูป โดยมีทั้งที่เคยเผยแพร่และไม่เคยเผยแพร่โดยมีภัณฑารักษ์ คือ คุณนิติกร กรัยวิเชียร ภายในงานแบ่งการนำเสนอออกเป็น 3 ช่วงของรัชกาล คือ ช่วงต้นรัชกาล จัดแสดงภาพถ่ายยุคขาว-ดำของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถในรัชกาลที่ 9 พระราชโอรส พระราชธิดา ตั้งแต่วันพระราชสมภพและพระบรมวงศานุวงศ์ ช่วงกลางรัชกาล จัดแสดงภาพการทรงงาน ณ สถานที่และโครงการต่าง ๆ ทั้งด้านการเกษตร การชลประทาน การพัฒนาท้องถิ่น และโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ และ ช่วงปลายรัชกาล จัดแสดงภาพครั้งเสด็จฯ แปรพระราชฐานไปประทับแรม ณ พระราชวังไกลกังวล ทัศนียภาพอันงดงามต่าง ๆ และสุนัขทรงเลี้ยง
ในวันที่พ่อได้จากลูกไป ใจพ่อคงไม่อยากให้ลูกมัวแต่เศร้าโศกเสียใจ และคงอยากเห็นลูกเข้มแข็งเพื่อก้าวต่อไปข้างหน้า แม้พ่อจะไม่ได้อยู่กับลูกแล้วในวันนี้ แต่คำสอนของพ่อ ที่พร่ำสอนสั่งด้วยความรัก ความห่วงใย ยังคงอยู่ในใจของลูกๆ ทุกคน ลูกขอน้อมรับคำสอนของพ่อมาเผยแพร่ เพื่อเป็นประโยชน์ในการดำเนินชีวิต และปฏิบัติตาม เพื่อเป็นสิริมงคลในชีวิต คำสอนของพ่อ “คนดี” “ ในบ้านเมืองนั้น มีทั้งคนดี และคนไม่ดี ไม่มีใครที่จะทำให้ทุกคนเป็นคนดีได้ทั้งหมด การทำให้บ้านเมืองมีความปกติสุขเรียบร้อย จึงมิใช่การทำให้ทุกคนเป็นคนดี หากแต่อยู่ที่การส่งเสริมคนดี ให้คนดีปกครองบ้านเมือง และควบคุมคนไม่ดี ไม่ให้มีอำนาจ ไม่ให้ก่อความเดือดร้อนวุ่นวายได้ ” พระบรมราโชวาท ในพิธีเปิดงานชุมนุมลูกเสือแห่งชาติ ค่ายลูกเสือวชิราวุธ จังหวัดชลบุรี 11 ธันวาคม 2512 ลูกจะเป็น “คนดี” ตามที่พ่อสอน คือ คิดดี พูดดี ทำดี ส่งเสริมคนดี เพื่อให้พ่อได้ภูมิใจ คำสอนของพ่อ “การทำงาน” “ เมื่อมีโอกาสและมีงานทำ ควรเต็มใจทำโดยไม่จำเป็นต้องตั้งข้อแม้ หรือเงื่อนไขอันใด ไว้ให้เป็นเครื่องกีดขวาง คนที่ทำงานได้จริงๆนั้น ไม่ว่าจะจับงานสิ่งใด ย่อมทำได้เสมอ ถ้ายิ่งมีความเอาใจใส่
คำว่า Productivity นั้นน่าสนใจมาก โดยเฉพาะในวัยคนทำงาน จะรู้ดีว่าถ้าหากวัน ๆ หนึ่งผ่านไปโดยที่ไม่มีงาน หรือได้ผลลัพธ์จากการทำงานในวันนั้นเลยจะรู้สึกหดหู่แค่ไหน บางคนจึงพยายามทำตัวให้ยุ่งเข้าไว้ตลอดทั้งเพื่อที่จะให้งานเสร็จลุล่วงอย่างที่ตั้งใจ หรือวางแผนไว้ แต่ในความเป็นจริงมันมีอีกหลายปัจจัยที่ทำให้เปอร์เซ็นของ Work Productivity ในตัวเราลดลงได้อย่างไม่น่าเชื่อ แถมมันยังเป็นสิ่งที่หลาย ๆ คน เป็น หรือ ทำอยู่ทุกวันโดยไม่รู้ตัวซะด้วย วันนี้เราจึงได้นำเอา 4 นิสัยในโลกออนไลน์ที่ถ้าหากคุณทำแล้ว จะลด Work Productivity ของคุณลงมาให้ดูกัน หากใครที่กำลังหาคำตอบชีวิตอยู่ว่า ทำไมถึงทำงานไม่ค่อยจะสำเร็จดั่งใจหมายสักที วันนี้เรามีคำตอบ และวิธีแก้ไขมาให้ได้ดูกัน ก่อนอื่นคุณต้องรู้ก่อนว่า มันมีปัจจัยมากมายหลายสาเหตุที่จะทำให้ Work Productivity ของคุณนั้นลดลง แต่ในปัจจุบันนี้ สาเหตุของคนส่วนใหญ่จะเป็นนิสัยการใช้งานโลกออนไลน์เป็นหลัก ซึ่งก็ไม่ใช่อะไรที่ไหน แต่เป็น Internet นั่นแหละ ที่ทำให้พนักงาน หรือคนทำงานส่วนใหญ่ ไม่สามารถ Focus งานได้อย่างที่ควรจะเป็น โดยมีการแบ่งออกเป็น 4 ปัจจัยดังต่อไปนี้ 1#Browsing without a purpose หลายคนมีนิสัยชอบเปิดแท็บในหน้าเว็ป
บางครั้งความล้มเหลวนั้นเกิดจากการที่คุณให้เวลากับสิ่งที่คุณทำไม่เพียงพอ แต่ในทางกลับกัน บางครั้ง เวลาก็อาจจะไม่ใช่คำตอบเสมอไป มีหลายคนกล่าวเอาไว้ว่า การทุ่มเทเวลา ทุ่มเทความตั้งใจไปกับสิ่งที่ตนกำลังทำเท่านั้น ถึงจะทำให้ความสำเร็จผลิดอกออกผล แต่ในความเป็นจริงแล้ว ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่หลายคนมองข้ามมันไป และมัวแต่ใช้เวลา ใช้ความตั้งใจ จนลืมไปว่า สมอง ต่างหากที่เป็นตัวแปรสำคัญ เพราะถ้าหากคุณไร้ซึ่งพลังสมองแล้ว ไม่ว่าจะเป็นไอเดีย การคิด การคำนวณ การวางแผน ทุกอย่างจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้ และทำให้คุณล้มเหลวในที่สุด Got a big goal? Shift your focus to managing your energy and the time crisis will solve itself. เราทุกคนล้วนใช้พลังงานไปโดยไม่รู้ตัวสำหรับการพยายามที่จะประหยัดเวลาในการทำสิ่งต่าง ๆ ในชีวิต แต่พวกเรากลับมองข้ามถึงการเติมพลังงานให้กับสมองไปอย่างไม่น่าเชื่อ ดังนั้น ทางที่ดีเราควรจะลองหันมาใช้วิธีใหม่ ๆ และใช้เวลาที่เรากลัวจะเสียมันไปนักหนามาพัฒนาสมองของเราให้มีพลังแทน จริงหรือเปล่าคุณลองคิดดูเองก็ได้ว่า ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาเราก็พยายามมองหา และคิดว่าจะทำอย่างไรถึงจะทำทุกอย่างได้รวดเร็วที่สุด คิดหาวิธีการต่าง ๆ มากมายเพื่อให้การกระทำต่าง ๆ