หากพูดถึง true icon ของ Volkswagen ต้องยกให้ Golf โมเดลเก่าแก่ที่มาช่วยเติมเต็มตำนานต่อจาก Beetle เปิดประตูสู่โลกแห่ง compact cars ครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์วงการรถยนต์ของโลก และขณะที่พวกเรากำลังเข้าสู่ปีใหม่ ซึ่ง VW Golf จะมีอายุครบ 50 ปีบริบูรณ์ ความสำคัญของ VW Golf ตั้งแต่เปิดตัวในปี 1974 หลังใช้เวลาพัฒนานานถึง 20 ปี ผ่านการทดสอบผ่าน prototypes มานับไม่ถ้วน จนได้ผลลัพธ์ทีดีที่สุดสำหรับโจทย์ ณ ตอนนั้น คือการเป็นโมเดลที่เปลี่ยนถ่ายระหว่างยุคเครื่อง air-cooled วางหลังขับหลังใน Beetle สู่ยุคของเครื่องยนต์ water-cooled วางหน้าขับหน้าได้อย่างสวยงาม เป็นโมเดลที่ราคาเอื้อมถึงได้ง่าย มันจึงเป็นรถคันแรกของหลาย ๆ บ้านที่อึด ถึก ทน ดูแลรักษาง่าย และไว้ใจได้เสมอในทุกการเดินทาง ซึ่งหากเราอยู่ในยุค 50 ปีที่แล้ว มันถือเป็นโมเดลที่ยิ่งใหญ่มาก ๆ ของ
The Ultra Rare BMW 333i E30 ตัวหายากจากการร่วมมือกันระหว่าง BMW South Africa และ Alpina รูปทรงบอดี้เดิม เพิ่มเติมคือเครื่องยนต์ M30B32 6 สูบเรียง จากรุ่นใหญ่อย่าง 533i, 633CSi และ 733i ทำให้มันแรร์ยิ่งกว่า E30 M3 เพราะมีเพียง 210 คันในโลก รวม prototypes และรถเทส สาเหตุที่ BMW South Africa มี E30 รุ่นพิเศษแบบนี้วางขายแค่ที่เดียว เป็นเพราะคนที่นั่นก็ชื่นชอบและบ้า BMW มากเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก แต่รถยนต์เป็นพวงมาลัยขวาเหมือนบ้านเรา และในเมื่อ M3 E30 หรือ Alpina B6 3.5S เป็นพวงมาลัยซ้าย จึงยากที่จะทำตลาดเพราะต้องกลับพวงมาลัย ทาง BMW
ร้อนแรงออกจากโรงงานก็จัดเต็มมาให้ถึง 816 แรงม้า กลายเป็น SL ที่ทรงพลังที่สุดในประวัติศาสตร์ ผลพวงจากการเสริมมอเตอร์ไฟฟ้าเข้าไปช่วยเครื่องยนต์ twin-turbocharged 4.0-liter V8 ใน Mercedes-AMG SL63 S E Performance แบ่งเป็นม้าจากเครื่องยนต์ 612 ตัว และมอเตอร์ไฟฟ้าอีก 204 ตัว รวมให้แรงบิดเต็มกราฟถึง 1,420 นิวตันเมตรพร้อมให้ใช้งานได้ทุกรอบความเร็ว สามารถเปิดหลังคารับลมปะทะใบหน้าที่ความเร็ว 0-100 ได้ใน 2.9 วินาทีเท่านั้น ความเร็วสูงสุดล็อคไว้ที่ 317 km/h Mercedes-AMG SL63 S E Performance ใช้มอเตอร์ไฟฟ้า 400-volt แบตเตอรี่ 6.1-kWh พัฒนาโดยทีมงาน AMG’s Electric Drive Unit สำหรับรถตระกูลไฟฟ้า high-performance ของแท้โดยเฉพาะ สามารถคายกระแสไฟได้รวดเร็วพร้อมระบายความร้อนควบคุมอุณหภูมิยืดอายุขัยให้แบตเตอรี่ใช้งานได้ยาวนานขึ้น สามารถขับด้วยไฟฟ้าล้วนได้ 13 กิโลเมตร การจะเป็นรถ
ในปี 1986 ยุคที่ AMG ยังไม่ถูกรวมเข้ากับ Mercedes-Benz เป็นเพียงสำนักแต่งของ Aufrecht (Hans Werner Aufrecht) และ Melcher (Erhard Malcher) แห่งเมือง Großaspach ทีมอาวุธลับหลังบ้านที่ถนัดการปลุกเสกเครื่องยนต์ Mercedes-Benz ให้ทรงพลังสำหรับลงแข่ง Group A และ Group N โดยเฉพาะ ซึ่งมีผลงานระดับ Icon แห่งประวัติศาสตร์คือ Mercedes 300 SEL “Red Pig” คันสีแดงที่เราคุ้นตา ตามมาด้วย AMG ‘The Hammer’ สุดดุดันคันนี้ 1986 500 SEC AMG 6.0 “Wide-Body” คันนี้เป็นรถ original ของแท้มาจากยุคที่ได้รับขนานนามว่า The Hammer ด้วยเลขไมล์เพียง 4,716 km แสดงให้เห็นถึงการเก็บรักษาโดยนักสะสมเป็นอย่างดี
อดีตเป็น Concept ปัจจุบันใกล้เข้าสู่ Production version ภายในปี 2026 แล้วสำหรับ two-seater coupe คันใหม่จาก Toyota จากที่เคยเดากันไปว่าอาจจะเป็น MR2 แต่สรุปแล้วไม่น่าใช่ เพราะมันใช้ขุมพลังไฟฟ้าล้วน ด้านหน้าเน้นดุดันใส่ความสปอร์ตมาเต็มด้วยช่องดักอากาศและกระจังหน้าขนาดใหญ่ ไฟ daytime running lights แนวตั้งที่ฉีกแนวคิดการออกแบบที่ผ่านมาไปอย่างสิ้นเชิง เส้นสายที่เฉียบคมยังลากต่อเนื่องไปถึงด้านท้าย ทำให้ประตู ซุ้มล้อ และ diffuser หลังมีความเป็น Sports car อย่างชัดเจน ซึ่งแม้จะเป็น concept แต่ก็มีรายละเอียดที่ครบสมบูรณ์พร้อมผลิตมาก ๆ สำหรับข้อมูลเกี่ยวกับขุมพลัง Mr. Fumihiko Hazama, chief engineer บอกว่า FT-Se จะใช้ระบบ dual-motor ประกบเพลาหน้าหลังส่งกำลังแบบขับเคลื่อนสี่ล้อ ใช้แบตเตอรี่ high-performance ตัวเดียวกับใน Lexus LF-ZC และหวังว่าจะสามารถทำความเร็ว 0-100 ได้ในเวลาไม่ถึง 3
เห็น Cybertruck โผล่มาอยู่บนเว็บ Tesla Thailand ก็เลยสนใจและลุ้นไปด้วยว่าจะมาขายจริงหรือไม่ ถ้ามาแล้วราคาน่าสนใจ เชื่อว่าหลายคนน่าจะอยากลอง รวมถึงแอดเองด้วย แต่ด้วยสเปคที่ล้ำยุคสมัยไปไกลก็ทำให้เกิดคำถามขึ้นว่า “แล้วถ้าต้องซ่อม บ้านเราจะทำได้มั้ย?” เอาแค่บอดี้ Metal Alloy ที่ผลิตจาก Stainless Steel panels หนา 3mm แข็งแรงถึงขั้นกันกระสุนได้ ต้องใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในการผลิตขึ้นรูป ซึ่ง Musk เคยบอกว่าเครื่องบีบอัดที่ใช้โรงงานรถยนต์ทั่วไปไม่สามารถใช้ได้ ดังนั้นอู่นอกหรือช่างแถวบ้านไม่น่าจะมีเครื่องมือที่ซ่อมแซมมันได้ หรือได้ แต่อาจจะใช้เวลานานจนช่างไม่อยากรับงาน เส้นสายที่ตรงและลากยาว แปลว่าช่างต้องซ่อมถึง เคาะจนตรงเป๊ะเท่าโรงงาน จะโปะสีทับ ๆ ก็ไม่ได้อีก เพราะตัวถังเป็นวัสดุเปลือยไม่มีการพ่นสี หรือแม้แต่การเปลี่ยนใหม่ ก็อาจจะไม่ใช่เรื่องง่าย และไม่ใช่ราคาถูก ๆ แน่นอน เพราะต้องเปลี่ยนทั้งชิ้น ในต่างประเทศพึ่งจะมีเจ้าของรถ Rivian R1T โดนชนท้ายมุมบุบธรรมดา แต่เจอบิลราคาค่าซ่อมสูงถึง 1.5 ล้านบาท เพราะมันซ่อมไม่ได้ และบอดี้ที่ผลิตแบบชิ้นเดียว ทำให้ต้องยกเปลี่ยนทั้งชุด หากเป็นวัสดุ Metal Alloy
เรื่องราวของรถสปอร์ต Mazde RX-7 ซึ่งเป็นตำนานจากดินแดนอาทิตย์อุทัย ที่มีชื่อเสียงกว้างไกลไปทั่วโลก
มาอย่างหล่อหรูดูร่ำรวย Toyota เปิดตัว 2025 Camry ใหม่วันนี้น่าจะช่วยให้ตลาด midsize sedan ในบ้านเราคึกคักขึ้นอีกครั้งด้วย generation ที่ 9 ขุมพลังตอนนี้มีเฉพาะ Hybrid ซึ่งในตลาดโลกสามารถเลือกรุ่นย่อยที่ครอบคลุมตั้งแต่ขับเคลื่อนล้อหน้าไปจนถึง all-wheel-drive แต่ในบ้านเราอาจจะมีแค่ front-wheel-drive ทำตลาด Camry ใหม่อาจจะยังเรียกว่า All-new ไม่ได้ เพราะยังคงพัฒนาบนพื้นฐาน TNGA-K platform เหมือนรุ่นก่อน แต่มีการพัฒนาช่วงล่างใหม่ให้ตอบสนองได้เฉียบคมขึ้น มิติตัวถังและภาพรวมของรถจึงยังดูคล้ายเดิม ด้านหน้าและหลังเปลี่ยนไฟ LED ได้กระจังหน้าใหม่ ภายในติดตั้งจอ digital instrument cluster ขนาด 7 นิ้ว และจอ infotainment ขนาด 8 นิ้ว และ 12.3 นิ้วในรุ่นท็อป เครื่องเสียง JBL ลำโพง 9 จุด และ Toyota Safety
Fender จับมือกับ Bruno Mars รังสรรค์ Bruno Mars x Fender Stratocaster Limited Edition ที่ถือเป็นโมเดล Signature ตัวแรกของศิลปินหนุ่มเจ้าของ 15 รางวัล Grammy Awards คนนี้ Bruno Mars x Fender Stratocaster Limited Edition มีพื้นฐานจากรุ่น American Ultra ตัว Body ใช้วัสดุเป็นไม้ Ash ทำสีด้วยกระบวนการ Nitrocellulose lacquer finish โดดเด่นด้วยโทนสีพิเศษที่ไม่เคยใช้ในกีตาร์ Fender รุ่นอื่นมาก่อน กับสีที่ถูกตั้งชื่อว่า Mars Mocha Heirloom ละมุนตาด้วยเฉดสีน้ำตาลทองสุดคลาสสิก ที่แน่นอนว่าได้แรงบันดาลใจมาจาก Retro Style ซึ่งสะท้อนตัวตน และผลงานอันโดดเด่นของ Bruno Mars นั่นเอง สำหรับเรื่องของสุ้มเสียง
สร้างความสั่นสะเทือนวงการรถจักรยานยนต์อีกครั้ง กับแบรนด์ LAMBRETTA (แลมเบรตต้า) เจ้าพ่อสกู๊ตเตอร์คลาสสิกระดับตำนาน 76 ปี จากอิตาลี ทำเซอร์ไพรส์เผยโฉมสุดยอดอิเลคทริคสกู๊ตเตอร์ EV Concept รุ่นต้นแบบ ในชื่อรุ่น Elettra กับรูปโฉมที่เปรียบเสมือนผลงานศิลปะแห่งอนาคต ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า 100% Elettra รถรุ่นต้นแบบของสกู๊ตเตอร์พลังงานไฟฟ้า 100% จากแบรนด์ดังฝั่งอิตาลี อย่างแลมเบรตต้า ที่นำมาเผยโฉมให้ได้ชมกันเป็นครั้งแรกในโลก ภายในงาน EICMA 2023 (Esposizione Internazionale Ciclo Motociclo e Accessori 2023) จัดขึ้น ณ เมืองมิลาน ประเทศอิตาลี เมื่อวันที่ 7 พ.ย. 66 นี้ ซึ่งถือเป็นปีที่แบรนด์แลมเบรตต้าครบรอบ 76 ปี สำหรับชื่อ Elettra เป็นชื่อภาษาอิตาเลียน ที่นิยามถึงหญิงสาวทรงเสน่ห์ มากความสามารถมีความคิดนอกกรอบและมีความมั่นใจในตนเอง นอกจากนี้ ยังมีความหมายอีกนัยหนึ่งว่าเป็น จิตวิญญาณแห่งการบุกเบิก หรือผู้ที่มีเอกลักษณ์ โดดเด่นจนได้รับเป็นผู้ที่ถูกเลือก
1967 Shelby GT500 ผลงานระดับ Iconic ของ Carroll Shelby จากการนำ Ford Mustang fastback มาอัพเกรดใหม่ให้สะใจชาวอเมริกันผู้ชื่นชอบกลิ่นควันยางรถบดถนน กระจังหน้าถูกแทนที่ด้วยโคมไฟคู่สไตล์ rally cars ฝากระโปรง fiberglass เพิ่มช่องดักอากาศระบายความร้อนให้เครื่องยนต์ “Ford Cobra” FE Series 428 cu in (7.0 L) V8 engine 355 horsepower at 5400 rpm 420 ft-lb of torque ที่ทั้งใหญ่และหนัก ช่วงล่างของ Shelby GT500 ถูกเซ็ทให้แข้งกระด้าง ว่ากันตามตรงแล้วมันเป็นรถที่การทรงตัวไม่ค่อยจะดีนักก็เพราะสาเหตุนี้ด้วยเหมือนกัน ด้านข้างของรถเพิ่มช่องดักอากาศฝั่งละสองตำแหน่ง ด้านบนใช้ดักแรงลมพร้อมกับ ducktail ช่วยกดท้ายรถให้นิ่ง ด้านล่างใช้เป่าลดความร้อนใหัเบรกหลัง ไฟท้ายยาวใหญ่ชิ้นเดียวมาแทนที่ไฟเดิมดวงเล็กใน Mustang รุ่นปกติ ภายในสังเกตความพิเศษของ Shelby
All-Electric 1967 Ford Mustang Fastback ใกล้เป็นจริงเข้ามาทุกที แม้จะไม่ใช่ผลงานจากโรงงาน Ford แต่เป็นสำนัก Charge Car ที่ได้ License ในการสร้าง 1967 Ford Mustang Fastback พลังงานไฟฟ้าอย่างเป็นทางการ นั่นแปลว่าเราไม่จำเป็นต้องเสีย Donor car ในการเอามาตัดดัดแปลงแต่อย่างใด สามารถสร้างขึ้นใหม่ได้ทั้งหมด ไม่เสียรถระดับตำนานที่เหลือน้อยลงทุกทีอีกด้วย 1967 Ford Mustang EV by Charge Cars จะมาพร้อมแบตเตอรี่ความจุ 63 kWh ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าถึง 4 ตัว ให้ total output มากถึง 536 แรงม้า แรงบิด 1,500 นิวตันเมตร ทำความเร็ว 0-100 km/h ได้ใน 3.99 วินาที ความเร็วสูงสุด 322