แบรนด์กีฬายักษ์ใหญ่อย่าง Nike ยังให้ความสำคัญกับแคมเปญด้านสิทธิมนุษยชนต่อเนื่องโดยเฉพาะการสนับสนุนกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศหรือ LGBTQ โดยล่าสุดพวกเขาเลือกแสดงออกผ่านคอลเลกชันใหม่ในชื่อ BETURE ซึ่งสร้างขึ้นมาเพื่อให้เกียรติแก่ผู้คิดค้น TheRainbow Flag 100 เปอร์เซ็นต์คือคะแนนที่ทาง Nike ได้จากการทำแคมเปญด้านสิทธิมนุษยชนมาตลอดช่วงระยะเวลา 17 ปี ทั้งยังสนับสนุนองค์กร LGBTQ มากกว่า 20 แห่งและนับตั้งแต่ปี 2012 พวกเขามอบเงินสนับสนุนต่อมูลนิธิที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มบุคคลผู้มีความหลากหลายทางเพศไปกว่า 3.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือประมาณ 112,000,000 ล้านบาทผ่านทาง Charities Aid Foundation of America อย่างไรก็ตามแคมเปญทั้งหมดไม่ได้หยุดอยู่แค่เพียงการบริจาคเท่านั้น เมื่อค่าย Swoosh ตัดสินใจปล่อยคอลเลกชัน BETURE 2019 โดยไอเทมทุกชิ้นแต่งแต้มด้วยสีสันจาก Rainbow Flag ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ในการเคลื่อนไหวของ LGBTQ มาอย่างยาวนาน แคปซูลดังกล่าวพวกเขาตั้งใจทำออกมาเพื่อให้เกียรติกับ Gilbert Baker ศิลปินผู้สร้างสรรค์และริเริ่มใช้ Rainbow Flag เป็นตั้งแรกตั้งแต่ปี 1978 จนกลายสัญลักษณ์ในการแสดงออกของกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศมายาวนานกว่า 40 ปี BETRUE ประกอบไปด้วย 4
สนีกเกอร์ถือเป็นอีกหนึ่งของสะสมสำหรับเหล่าผู้ชื่นชอบการแต่งตัว หนุ่ม ๆ หลายคนพยายามตามหาเพื่อให้ได้รองเท้ารุ่นดังที่ชื่นชอบมาครอบครอง ซึ่งอาการหลงใหลและเลือกสะสมรองเท้าผ้าใบรุ่นตำนานของผู้ชายอย่างบ้างคลั่งนี้เองทำให้เกิดไอเดียสุดเท่ เลือกนำรองเท้าสุดคลาสสิกสามรุ่นของ Nike มารวมกันอยู่ในสนีกเกอร์คู่เดียว! EJDER ร้านค้าออนไลน์ที่เกิดจากการรวมกลุ่มกันของแบรนด์แฟชั่นหลายเจ้า โดดเด่นเรื่องผลงานจัดจ้านและไอเทมแฟชั่นแบบร่วมสมัย และ Ziv Lee ผู้ผลิตรองเท้าทำมือจากฮ่องกง ปลุกกระแสสนีกเกอร์ในเกาะอังกฤษให้ร้อนแรงขึ้นด้วยการหยิบรองเท้าผ้าใบสุดคลาสสิกสามรุ่นของ Nike อย่าง Nike Air Force 1 กับ SB Dunk และ Air Jordan 1 มาเล่าเรื่องใหม่ในสไตล์ตัวเอง จุดเด่นของสนีกเกอร์ของ EJDER อยู่ที่ดีไซน์ฟิวส์ชั่นของรองเท้าผ้าใบสามรุ่น ทั้ง SB Dunk สุดคลาสสิกยอดฮิตตลอดกาลร่วมกับ Air Force 1 ที่ได้แรงบันดาลใจจากเครื่องบินโดยสารของประธานาธิบดีสหรัฐฯ และเป็นรองเท้าบาสเกตบอลรุ่นแรกของ Nike ที่มีเทคโนโลยี Air และรุ่นสุดฮิตอย่าง Air Jordan 1 ก็ถูกรวบไว้ในสนีกเกอร์คู่เดียวผ่านการผลิตโดย Ziv Lee นอกจากการนำรองเท้ารุ่นดังทั้งสามของ Nike มารวมกันแล้ว
วัยรุ่นเป็นช่วงเวลาแห่งการต่อต้าน เต็มไปด้วยความคิดนอกกรอบเพื่อสร้างแรงบันดาลใจใหม่ ๆ ให้กับตัวเอง รวมถึงการแสดงออกเพื่อให้สังคมยอมรับ ในประเทศญี่ปุ่นก็มีกลุ่มเด็กวัยรุ่นที่มีความคิดเป็นของตัวเอง รวมถึงแฟชั่นที่จัดจ้านโดดเด่น ที่คนทั่วไปเรียกเด็กเหล่านี้ว่า “แยงกี้” UNLOCKMEN สนใจเรื่องราวของกลุ่มแยงกี้และจะพาไปทำความรู้จักกับแก๊งเด็กวัยรุ่นญี่ปุ่นให้มากขึ้นว่าพวกเขาเป็นใคร มีแฟชั่นแบบไหน คิดอะไรอยู่ และทำไมถึงกลายเป็นคนชายขอบของสังคมญี่ปุ่น แท้จริงแล้ว “แยงกี้” คืออะไร ? แยงกี้เป็นคำที่เกิดขึ้นช่วงสงครามกลางเมืองของสหรัฐอเมริกา สำหรับคนทั่วโลกเวลาเรียกแยงกี้จะหมายถึงคนอเมริกันแบบรวม คล้ายกับคำเหยียดดูหมิ่นกลาย ๆ แต่สำหรับคนอเมริกันเองจะมองว่าแยงกี้คือคำที่ใช้เรียกคนทางภาคเหนือของประเทศ แต่เมื่อเข้าสู่ช่วงต้นศตวรรษที่ 20 แยงกี้กลายเป็นคำเรียกของทีมเบสบอลชื่อดังของนิวยอร์ก แต่สำหรับแยงกี้ในญี่ปุ่นจะเป็นคำเรียกของนักเลง เด็กเกเรที่ต่อต้านสังคม แยงกี้สไตล์ญี่ปุ่น ความเข้าใจร่วมกันของชาวญี่ปุ่นที่มีต่อคำว่า “แยงกี้” คือกลุ่มเด็กวัยรุ่นที่มีวัฒนธรรมและความคิดเฉพาะตัว มีมุมมองหลายเรื่องแตกต่างกับคนอื่น ๆ ในสังคม เช่น แฟชั่น เสื้อผ้า ความชื่นชอบการ์ตูนต่อสู้ อาวุธ การแต่งรถ และค่านิยมแบบลูกผู้ชายญี่ปุ่น ตามคำบอกเล่าต่อ ๆ กันมาของคนญี่ปุ่น จุดเริ่มต้นของแยงกี้เกิดขึ้นในย่านอเมริกามูระ เมืองโอซาก้าปี 1960-1970 ช่วงเวลาแห่งความสูญเสียจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ประเทศญี่ปุ่นบอบช้ำอย่างหนักจากการแพ้สงคราม สภาวะบ้านเมืองย่ำแย่ ผู้คนอยู่ในความสับสน
ความเท่เป็นอะไรที่ต้องมาคู่กับผู้ชายอย่างเราเสมอ นอกจากแจ็คเก็ตหนังหรือผมทรงควิฟที่ช่วยเพิ่มมาดเท่ ๆ ให้กับหนุ่ม ๆ ไอเทมอีกชิ้นที่ขาดไม่ได้เลยคือแว่นกันแดดที่ช่วยกรองทั้งแสง UVA และ UVB แต่คุณสมบัติในการกันแดดของมันอาจเป็นเรื่องรอง ถ้าเทียบกับความเท่เฉียบเนี้ยบในขณะที่สวมใส่ ต่อให้มิกซ์แอนด์แมตช์เสื้อผ้าได้เห่ยสุด ๆ แต่สวมแว่นกันแดดเจ๋ง ๆ สักอันก็เอาอยู่แล้วละครับ วันนี้ UNLOCKMEN เลยยกความเท่ของแว่นกันแดดที่พระเอกคนดังระดับตำนานเขาใส่กัน มาให้หนุ่ม ๆ ของเราดู จะหล่อและคูลขนาดไหน ไปดูกัน! OLIVER PEOPLES 523 (FIGHT CLUB, 1999) แว่นตาสุดแปลกในภาพยนตร์ตลกร้ายลึกลับ FIGHT CLUB ที่พูดถึงปรัชญาช่างแม่งหรือแนวคิดสุญนิยม ไม่เชื่อและไม่ยอมรับระบบคุณค่าใด ๆ แถมยังนำเสนอความเบื่อหน่ายของชีวิตที่นำไปสู่ความมืดมิด และความรุนแรงจากการปลดปล่อยสัตว์ร้ายในตัวมนุษย์ นอกจากความเจ๋งของหนังแห่งอุดมการณ์ ในเรื่องนี้ยังมีแว่นตาเท่ ๆ อีกอันที่หนุ่ม Brad Pitt ใส่เกือบตลอดทั้งเรื่อง แว่นรุ่นนี้คือ OLIVER PEOPLES 523 แว่นกันแดดรุ่นเก๋าสัญชาติอเมริกันที่ผลิตออกมาตั้งแต่ปี 2000 มาพร้อมรูปทรงประหลาดสะท้อนมาดกวน ๆ และความกล้าบ้าบิ่น มีทั้งกรอบสีเงินกับเลนส์สีแดงเลือดนกและกรอบสีเงินกับเลนส์สีส้ม
แม้หลายแบรนด์แฟชั่นจะผลิตรองเท้าคอลเลกชันใหม่มาประจันหน้ากันไม่หยุดหย่อน แต่ถ้าพูดถึงความคลาสสิกและความร่วมสมัยที่ถูกใจผู้ชายอย่างเรา คงไม่มีแบรนด์ไหนโค่นล้ม GUCCI ไปได้แน่นอน คราวนี้ GUCCI กลับมาทวงบัลลังก์เจ้าพ่อแฟชั่น slide sandal อีกครั้ง ด้วยการเปิดตัวรองเท้าแตะสองคอลเลกชันใหม่สุดเท่ LOGO LEATHER RUBBER SLIDE และ GG CUT-OUT RUBBER SLIDE ที่ดีไซน์พื้นรองเท้าให้นุ่มเบาสบายเหมาะสำหรับใส่ในช่วงร้อน ๆ ฝน ๆ แบบนี้ เสริมความเฟี้ยวด้วยหนังคุณภาพ 2 แบบ 2 สไตล์ สะท้อน DNA แบรนด์ไฮเอนด์ที่คงความร่วมสมัยมาตั้งแต่ยุคแรกของวงการแฟชั่น LOGO LEATHER RUBBER SLIDE รองเท้าแตะสีดำแบบคาดที่ได้แรงบันดาลใจจากชุดกีฬาย้อนยุค ผลิตด้วยหนัง embossed leather ผ่านการตกแต่งผิวให้เรียบเนียนก่อนจะนำไปเคลือบและอัดลายตามแม่พิมพ์ เพิ่มความแข็งแรงทนทานในการยึดเกาะด้วยสายรัด velvro คุณภาพเยี่ยม ด้านหน้าออกแบบลายปั๊มนูนสีส้มเขียนว่า “GUCCI” ใช้ฟอนต์ย้อนยุคสไตล์ SEGA-esque house จากบริษัทผลิตวิดีโอเกมสัญชาติญี่ปุ่น ก่อนจะล้อมรอบลายปั๊มนูนสีส้มอีกชั้นด้วยลายเส้นสีขาวบางให้ดูคลาสสิกและร่วมสมัยตามแบบฉบับ GUCCI GG CUT-OUT RUBBER
คนส่วนมากรู้จัก Tom Hiddleston พระเอกหนุ่มเมืองผู้ดีจากบทบาทของ Loki ตัวร้ายที่ครองใจผู้คนจากภาพยนตร์ในจักรวาล Marvel แต่สำหรับคนในวงการแฟชั่นที่ชื่นชอบการแต่งตัวจะรู้จักเขาในด้านเจ้าพ่อชุดสูทที่มักแต่งตัวเนี้ยบเสมอทุกครั้งที่ออกงาน ด้วยความเท่ที่ไม่น้อยหน้าใครจึงทำให้ UNLOCKMEN อยากนำสไตล์การแต่งตัวของหนุ่มเจ้าสำอางมาแบ่งปันให้ได้ชมกันว่าแต่ละสถานการณ์เขาแต่งตัวอย่างไรบ้าง วันสบาย ๆ สไตล์ Hiddleston ก่อนหน้าที่คนจะสนใจเรื่องแฟชั่นของ Tom Hiddleston มักโฟกัสไปที่โปรไฟล์อันเพียบพร้อม จบการศึกษาจากสถาบันดังของเขา ทั้งช่วงมัธยมจาก Eton College โรงเรียนชายล้วนเก่าแก่ที่สุดในอังกฤษ และจบจากมหาวิทยาลัย Cambridge แม้จะมีโปรไฟล์ที่ดูเท่และเข้าถึงยาก แต่วันทั่ว ๆ ไปของหนุ่ม Hiddleston ก็แต่งตัวสบาย ๆ อย่างตอนออกเดตเรามักจะเห็นเขาสวมใส่เสื้อเชิ้ตสีพื้นโดยเฉพาะสีฟ้าและน้ำเงินกับรองเท้าหนังกลับอยู่บ่อยครั้ง นอกจากเสื้อเชิ้ตพอดีตัวสีเข้ากันกับกางเกงและรองเท้าหนัง อีกสิ่งที่ลืมไม่ได้เลยคือเข็มขัดหนังแบบเรียบที่จะทำให้วันเบา ๆ ของ Hiddleston ดูดีทุกกระเบียดนิ้วเข้ากับทุกสถานการณ์ เนี้ยบเรียบหรูบนงานพรมแดง ภาพลักษณ์สะอาดเกลี้ยงเกลาของ Hiddleston ตั้งแต่ใบหน้าที่เขามักจะโกนหนวดเคราก่อนถ่ายแบบและออกงานเสมอ ประกอบกับเสื้อผ้าที่เขามักสวมใส่ออกงานพรมแดงเป็นชุดสูทและทักซิโด้สั่งตัดเข้ารูปพอดีตัวและกางเกงสีเข้ากัน ฝ่าเท้ารองรับด้วยรองเท้าหนังเงาวับแบบ oxfords ใส่คู่กับเนกไท polka-dot บางครั้งสีสันจากเนกไทช่วยทำให้การแต่งตัวออกงานไม่เคร่งขรึมและน่าเบื่อ สังเกตได้ว่า Tom
สงครามการค้าระหว่าง 2 ประเทศมหาอำนาจอย่างจีนและสหรัฐอเมริกาไม่ได้ส่งผลกระทบแค่ในประเด็น Talk Of The Town ในกรณีของ Huewei กับ Google เพียงเท่านั้น ทว่าความขัดแย้งด้านเศรษฐกิจครั้งนี้อาจส่งผลโดยตรงต่อเหล่าหนุ่ม ๆ ผู้หลงใหลรองเท้าทั่วโลกด้วย เมื่อสินค้าประเภทรองเท้าถูกใส่เป็นหนึ่งในรายชื่อสินค้าที่ถูกเพิ่มกำแพงภาษี หาก Trade War ครั้งนี้ยังดำเนินต่อไป สนีกเกอร์เฮดอย่างเรา ๆ อาจต้องเผชิญกับราคารองเท้าที่เพิ่มสูงขึ้น ขึ้นภาษีในฐานการผลิตที่ใหญ่ที่สุด หลังสหรัฐอเมริกาเปิดเผยรายชื่อสินค้ากว่า 6,000 รายการที่กำแพงภาษีเพิ่มขึ้นอีก 25 เปอร์เซ็นต์ โดยคิดเป็นเป็นมูลค่ารวมกว่า 300,000 ล้านเหรียญสหรัฐ เหล่าสนีกเกอร์เฮดก็ต้องกุมขมับเพราะสินค้าอย่างรองเท้าก็ถูกบรรจุอยู่ในรายชื่อสินค้าขึ้นภาษีเหล่านั้นด้วย เดือดร้อนถึงบริษัทผู้ผลิตรองเท้ากว่า 173 แห่งต้องร่วมลงนามในจดหมายเปิดผนึก เพื่อพูดถึงผลกระทบที่ผู้ผลิตและผู้บริโภคจะต้องพบเจอจากนโยบายครั้งนี้ของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ เพราะกำแพงภาษีที่เพิ่มขึ้นจะส่งผลต่อตลาดรองเท้าในสหรัฐอเมริกาและทั่วโลกอย่างแน่นอน Footwear Distribution and Retailers of America (FDRA) หรือองค์กรนำเข้า-ส่งออกรองเท้าแห่งสหรัฐอเมริกาเผยแพร่จดหมายเปิดผนึกที่แบรนด์รองเท้ายักษ์ใหญ่ทั้ง Nike, Adidas, Converse, Under Armour, Foot Locker, Clarks, Crocs,
การร่วมงานประจำปีของสองโคตรแบรนด์สตรีตและสปอร์ตแนวหน้าของวงการกลับมาอีกครั้งในคอลเลกชัน Supreme x Nike Summer Collection แม้คราวนี้จะไม่มีรองเท้าคู่งามประกอบรวมอยู่ในคอลเลกชันด้วย แต่ด้วยสไตล์เสื้อผ้าที่สวยได้ใจคงทำให้แฟน ๆ ที่รอคอยกันอยู่ลืมความผิดหวังเล็ก ๆ ไปได้อย่างแน่นอน ทันทีที่ Supreme x Nike Summer Collection 2019 เปิดภาพเต็มของไอเทมทุกชิ้นในแคปซูลออกมาก็ทำให้หนุ่มทั้งสายสตรีตและสายกีฬากระเป๋าเงินร้อนนั่งไม่ติด แม้ปีนี้ในคอลเลกชันจะไม่มีโมเดลรองเท้าแจ่ม ๆ จากค่าย Swoosh รวมอยู่ในงานคอลแลปส์ แต่เสื้อผ้าสไตล์สปอร์ตรูปแบบเรโทรที่ปล่อยออกมาก็สวยงามน่าครอบครองไม่แพ้กัน Supreme x Nike Summer ชุดนี้ประกอบไปด้วยไอเทมสารพัดไม่ว่าจะเป็นเสื้อแจ็คเก็ตกีฬาไนลอนแบบกันน้ำและกางเกงขายาวแบบเดียวกัน รวมไปถึง Sweatshirt Sweatpant และเสื้อไหมพรมที่มาพร้อมโลโก้ขนาดใหญ่ นอกจากนี้ยังมีกระเป๋าสะพายที่ทำจากวัสดุไนล่อนสีสันสดใสปิดท้ายเป็นไอเทมเสริมให้สายสตรีตทั่วโลกได้เตรียมพร้อมเสียเงินกันแล้ว Supreme x Nike Summer Collection 2019 เตรียมวางจำหน่ายในสหรัฐอเมริกาและปารีสเป็นที่แรกในวันที่ 23 พฤษภาคมนี้ ต่อด้วยโซนเอเชียในประเทศญี่ปุ่นในวันที่ 25 พฤษภาคม สำหรับหนุ่ม ๆ ในบ้านเราแม้อาจไม่ได้ครอบครองทุกชิ้น แต่คาดว่าเหล่าพ่อค้านักหิ้วทั้งหลายจะมือเร็วพอที่จะนำบางชิ้นมาเปิดรีเซลล์ให้หลายท่านได้สู้ราคากันต่อแน่นอน SOURCE 1
วันที่ 12 เดือนมิถุนายน เป็นวันฤกษ์งามยามดีที่เหล่าผู้ชื่นชอบสายลับจักรวาล Men In Black จะได้พบกับภารกิจครั้งใหม่ล่าสุด ซึ่งนับเป็นภาพยนตร์ลำดับที่ 4 แต่ใช้ชื่ออย่างเป็นทางการว่า Men In Black: International ซึ่งแม้คราวนี้จะไม่มี 2 Agents ตัวหลักใน 3 ภาคแรกอย่าง Will Smith และ Tommy Lee Jones ออกมาปราบปรามวายร้ายจากต่างแดนที่แฝงร่างมาในโลกมนุษย์ แต่ก็ได้ดาราแม่เหล็กอย่าง Chris Hemsworth ซึ่งการันตีความคูลจากบทบาทของ Thor ใน The Avengers หลากหลายตอน รวมถึง Tessa Thompson หรือหลายคนอาจจะจำได้ในบทบาทของ Valkyrie นักรบคู่ใจจากดินแดน Asgard ดังนั้นจึงเป็นคู่ขาที่เล่นเข้าแข้งกันเป็นอย่างดีแน่นอน นอกจากนี้ยังได้ Liam Neeson สายบู๊จอมโหดมาร่วมงานอีกด้วย เนื้อเรื่องของ Men In Black: International เกี่ยวกับภารกิจที่ใหญ่โตยิ่งกว่าเก่า เพราะไม่ใช่แค่กำจัดเหล่า Aliens เหมือนที่ผ่านมา แต่คราวนี้ต้องตามหา “ไส้ศึก”
ในวันนี้โลกอบอวลความเศร้าอีกครั้งกับการสูญเสียยอดสถาปนิกที่สร้างผลงานสะเทือนวงการสถาปัตยกรรม เมื่อ I.M. Pel ชายผู้หลงใหลในรูปทรงเรขาคณิตจากไปอย่างไม่มีวันกลับด้วยวัย 102 ปี เพราะเขาถือว่าเป็นบุคคลสำคัญที่ต่อยอดแนวคิดของสถาปัตยกรรมสมัยใหม่และมีอิทธิพลต่อการขับเคลื่อนงานสร้างสรรค์ไม่น้อยเลยทีเดียว Ieoh Ming Pei (เป้ย์ ยวี่ หมิง) หรือชื่อในวงการ I.M. Pei สถาปนิกชาวอเมริกันเชื้อสายจีน ผู้โด่งดังเรื่องการสร้างสรรค์ผลงานสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ ที่เน้นรูปทรงเรขาคณิตกับความเกลี้ยงเกลาของโครงสร้างที่ไม่นิยมตกแต่งมากนัก ซึ่งเป็นเทคนิคที่เริ่มใช้กันช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 20 และแพร่หลายมากหลังจบสงครามโลกครั้งที่ 2 I.M. Pei ได้รับการยอมรับว่าเป็นปรมาจารย์ของสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ ที่ชูเรื่องเรขาคณิตและความงามที่สะอาดสะอ้านของตึก เขาได้รับการยกย่องว่าเป็นบิดาแห่งพีระมิดแก้วจากผลงานที่ทำให้โลกต้องจดจำอย่าง Louvre Pyramid ที่ทำจากเหล็กกับกระจกทรงสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนจำนวน 603 แผ่น และกระจกทรงสามเหลี่ยม 70 แผ่น ประกอบกัน ก่อร่างเป็นรูปทรงดั่งพีระมิด The solid is for the dead, but the transparent is for the living – I.M. Pei
‘ศิลปะ’ บ่งบอกถึงความคิด ความรู้สึก และแรงบันดาลใจในการสรรสร้างชิ้นงานของศิลปิน นอกจากมันจะเป็นหนึ่งในความสวยงามที่ประดับไว้บนโลกนี้แล้ว บางครั้งก็เป็นเครื่องมือสะท้อนมุมมืดของสังคมและโลกตามขนบ ‘ปัญญาประดิษฐ์’ สมองกล AI แห่งโลกอนาคตอันมีวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์เป็นเบ้าหลอม มันเต็มไปด้วยความสามารถอันน่าทึ่งทัดเทียมมนุษย์และกำลังคืบคลานเข้ามาในโลกดิจิทัล การทำงาน ตลอดจนชีวิตประจำวันของเรา ดูเผิน ๆ แล้วศิลปะและปัญญาประดิษฐ์นั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงและเหมือนจะอยู่กันคนละโลกซะด้วยซ้ำ แต่จะเกิดอะไรขึ้นถ้าศิลปะที่เต็มไปด้วยความสร้างสรรค์ผสมผสานกับเทคโนโลยี AI จนได้ออกมาเป็นนิทรรศการศิลปะยุคใหม่ของโลกอนาคต The Barbican Centre London ศูนย์ศิลปะ ดนตรี และการแสดงที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป เปิดให้เข้าชม ‘AI: MORE THAN HUMAN EXHIBITION’ นิทรรศการที่จัดแสดงความสามารถของปัญญาประดิษฐ์ภายใต้ฉากหลังของงานศิลปะ ใช้สมองกล AI สุดล้ำประยุกต์งานศิลปะให้หลากหลาย ทันสมัย และมีชีวิต ถือเป็นนิทรรศการ AI แบบ interactive ที่ไม่เคยจัดขึ้นที่ไหนมาก่อน งานนี้รวบรวมสิ่งประดิษฐ์จากศิลปิน นักวิทยาศาสตร์ และนักวิจัย พร้อมผลงานผลเท่ ๆ ของคนดังในอดีต ไม่ว่าจะเป็น Charles Babbage นักคณิตศาสตร์และผู้บุกเบิกคอมพิวเตอร์ชาวอังกฤษที่สร้างเครื่องวิเคราะห์เชิงกลชิ้นแรกของโลก Ada Lovelace
ในปัจจุบัน เราต่างใช้ชีวิตอยู่กับความเร่งรีบ ต้องพบเจอเรื่องราวมากมายที่พาพวกเราไหลผ่านกระแสเวลาไปข้างหน้าแทบไม่ได้หยุดพัก ทำให้บ่อยครั้งที่ผู้คนส่วนใหญ่ต่างโหยหาช่วงเวลาที่เรียบง่าย ช่วงเวลาที่ได้อยู่นิ่ง ๆ กับตัวเอง เพื่อเสพความงดงามของคืนวันที่ผันผ่าน ซึ่งสิ่งเหล่านี้คือคำอธิบายที่ว่าทำไม แม้พวกเราจะดำรงอยู่ท่ามกลางความสะดวกสบายของเทคโนโลยีล้ำสมัยมากมาย แต่ก็ไม่วายที่จะโหยหาบรรยากาศเก่า ๆ ข้าวของเครื่องใช้วินเทจ ที่ยังคงความคลาสสิกจากอดีตอยู่เสมอ และ RADO Captain Cook Automatic Limited Edition คืออีกหนึ่งความทรงจำอันหอมหวานจากอดีต ในรูปแบบของเรือนเวลาสุดคลาสสิก ที่หวนกลับมาสร้างความประทับใจให้เหล่านักสะสมนาฬิกา และผู้ที่หลงใหลในความวินเทจแบบเต็มเปี่ยม กับรุ่นพิเศษใหม่ล่าสุดในปี 2019 ซึ่งเก็บทุกรายละเอียดทางด้านรูปลักษณ์ของ Captain Cook รุ่นแรก ที่ผลิตขึ้นระหว่างปี 1962 และ 1968 เอาไว้อย่างครบถ้วน ทั้งขนาดที่เป็นเอกลักษณ์และคุณสมบัติที่โดดเด่นจากยุคเก่าผสานเข้ากับความโมเดิร์นด้วยเทคโนโลยีทันสมัย ซึ่งต้องบอกว่านี่เป็นงานถนัดของ RADO ผู้ผลิตนาฬิกาชั้นนำจากสวิส ที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตที่ล้ำหน้า ควบคู่ไปกับความสวยงามของดีไซน์ โดย RADO นั้นได้รับการขนานนามว่าเป็น “ผู้เชี่ยวชาญด้านวัสดุ” ที่มีแนวทางการปฏิวัติการผลิตนาฬิกาแบบดั้งเดิม ด้วยการนำเอาไฮเทคเซรามิกที่มีน้ำหนักเบาเป็นพิเศษ และมีสีสันสดใส รวมถึง Ceramos™ มาใช้ก่อนใครในวงการนาฬิกา ถือเป็นการผสมผสานประวัติศาสตร์อันยาวนานของแบรนด์ เข้ากับความโมเดิร์นสมัยใหม่ได้เป็นอย่างดี ส่งผลให้เรือนเวลารุ่นเก๋าอย่าง