หลังจากอวดโฉมครั้งแรกไปแล้วในงาน Pebble Beach เมื่อกลางปีที่ผ่านมาล่าสุดค่ายรถสัญชาติอิตาลี Ferrari ก็ตัดสินใจเปิดสเปคทั้งหมดของรถซุปเปอร์คาร์คันใหม่ล่าสุด FERRARI 488 PISTA SPIDER โมเดลพัฒนาต่อจาก 488 SPIDER ที่ออกมาสู่ตลาดก่อนหน้านี้ ในระหว่างจัดแสดงในงาน PARIS MOTOR SHOW 2018 มาดูกันว่ารูปแบบสมบูรณ์ที่ถูกพัฒนาเสร็จแล้วจะออกมาถูกใจพวกเรามากแค่ไหน FERRARI 488 PISTA SPIDER ถือเป็นซุปเปอร์คาร์รุ่นที่ 50 ของค่าย Ferrari ซึ่งเป็นเหมือนเวอร์ชันพัฒนาแล้วของรถตระกูล 488 ที่หยิบจับส่วนดีของรถคันอื่น ๆ มาปรับปรุงและแต่งเติมไว้ในคันเดียว เริ่มจากหัวใจสำคัญอย่างเครื่องยนต์ 488 PISTA SPIDER V8 Twin-Turbocharged 3.9-liter ที่ให้กำลังมากถึง 720 แรงม้า ซึ่งเป็นบล็อคเครื่องที่ผ่านการรีดน้ำหนักให้น้อยลง แต่ยังคงประสิทธิภาพด้านความเร็วเอาไว้ครบถ้วน โดยเปลี่ยนกระบอกลูกสูบให้บางยิ่งขึ้น รวมถึงใช้เพลาข้อเหวี่ยงและ flywheel เป็นไทเทเนียมพ่วงกับชุดวาล์วและสปริงแบบพิเศษ ทำให้มีน้ำหนักเบากว่าเครื่องต้นแบบถึง 19 กิโลกรัม แต่แข็งแรงปลอดภัย พร้อมรองรับแรงบิดมหาศาลได้มากกว่าเดิม 488 PISTA SPIDER สั่งงานชุดเกียร์แบบ F1
ดูเหมือนว่าวงการ Sneaker ได้สูญเสียมันสมองสำคัญไปอีก 1 คนแล้ว หลังมีข่าวว่า Sandy Bodecket รองประธานอาวุโสฝ่ายโครงการพิเศษของ Nike ชายผู้เคยอยู่เบื้องหลังความสำเร็จของ NIKE SB เสียชีวิตลงจากโรคมะเร็ง หลังต่อสู้กับโรคร้ายมาอย่างยาวนาน ว่ากันว่าเขาเป็นกำลังสำคัญที่สร้างพื้นฐานอันเข้มแข็งให้กับค่าย Swoosh เป็นการสูญเสียที่มีเพื่อนในวงการร่วมไว้อาลัยมากมาย Sandy Bodecket เข้าทำงานกับ NIKE ครั้งแรกในปี 1982 ในฐานะนักทดสอบคุณภาพรองเท้า ด้วยความสามารถและความหลงใหลที่เขามีต่องานผลิตรองเท้า ในปี 1994 บริษัทก็เห็นถึงฝีมือและย้ายเขาไปนั่งตำแหน่งหัวหน้าแผนกของ Nike Football ซึ่ง Sandy Bodecket ก็ตอบแทนความไว้เนื้อเชื่อใจด้วยการผลักดันสินค้าในหมวดดังกล่าวให้กลายเป็นหนึ่งในไลน์สินค้าที่ได้รับความนิยมสูง ก่อนจะมาเป็นหนึ่งฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนอาณาจักร NIKE SB ให้กลายเป็นที่รู้จักของหนุ่ม ๆ สาย KICK FLIP ทั่วโลก NIKE Skateboarding หรือที่เรียกกันง่ายว่า NIKE SB คือหนึ่งในไลน์สินค้าประเภทเสื้อผ้าและรองเท้าจาก NIKE พวกเขาเริ่มผลิตรองเท้าสเก็ตบอร์ดขึ้นครั้งแรกในปี 1997 แต่ทว่าเวลานั้นไม่มีใครสนใจเอารองเท้าของพวกเขาไปวางขาย เพราะ NIKE ถือเป็นมือใหม่ซึ่งไม่สามารถเข้าไปแย่งพื้นที่จากแบรนด์เจ้าถิ่นอย่าง DC
ใกล้จะปลายปีแบบนี้ เชื่อว่าหนุ่ม ๆ UNLOCKMEN ทั้งหลาย คงวุ่นวายอยู่กับการวางแผนจัดทริปเที่ยวต่างประเทศ เตรียมบินไปเสพบรรยากาศดี ๆ ต้นฤดูหนาว แต่นอกจากจะใช้เวลาไปกับการหาข้อมูล จัดโปรแกรมเที่ยวแบบมือโปรเน้นเก็บครบทุกพิกัดไฮไลต์ อีกสิ่งหนึ่งที่ควรให้ความใส่ใจไม่น้อยไปกว่ากัน นั่นก็คือเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย ที่ต้องสวมใส่ในวันเดินทาง รวมถึงต้องจัดกระเป๋าเตรียมใส่ไปเที่ยว เพื่อความหล่อเฟี้ยวดูดีมั่นใจได้ตลอดทริป ซึ่งพอดีกับที่ A|X Armani Exchange ได้ปล่อยเสื้อผ้าคอลเลคชัน Fall/Winter ออกมา และเต็มไปด้วยไอเทมอย่าง Sweater, Sweatpants, T-Shirt, Backpack, Sneakers และ Cap ที่เรียกได้ว่าเป็น Travel Essential Pieces คู่กาย หนุ่มนักท่องเที่ยวสายสตรีท ซึ่งหลงใหลในการแต่งตัวแบบ Street Style เน้นความเท่แบบเรียบง่าย ที่สำคัญคือต้องสวมใส่สบาย พร้อมรับมือทุก Flight ไม่ว่าจะบินใกล้ บินไกล ก็นั่ง นอน ยืน เดินได้สบายทุกท่วงท่า แถมใส่เที่ยวต่อได้แบบชิล ๆ ซึ่งใครที่กำลังกลุ้มใจว่าทริปเที่ยวรับลมหนาวที่กำลังจะมาถึง จะแต่งตัวยังไงถึงจะตอบโจทย์ได้ทั้งความ Comfortable
หลังจากมีข่าวลือออกมาก่อนหน้านี้ว่า Virgil Abloh ผู้กุมบังเหียนงานออกแบบเสื้อผ้าแผนก Menswaer จากห้องเสื้อสุดหรูอย่าง Louis Viutton กำลังมีแผนจะร่วมงานแบรนด์ Retail ยักษ์ใหญ่สัญชาติสวีเดนอย่าง IKEA เพื่อออกแบบสินค้าร่วมกันมาตั้งแต่ช่วงเดือนมิถุนายนปีที่แล้ว ความคืบหน้าล่าสุดตอนนี้พวกเขาได้เปิดตัว Pop-up Store ของ Virgil Abloh x IKEA แห่งแรกขึ้นเพื่อใช้แสดงงานที่อยู่ในคอลเลกชันล่าสุด “markerrad” โดยเป้าหมายแรกคือมหานครปารีส “STILL LOADING“ คือชื่อของ Pop-up Store แห่งแรกที่ Virgil Abloh และ Henrik Most ซึ่งเป็นทั้ง Creative Leader ของ IKEA และ Project Partner เป็นผู้กำหนดขึ้น โดยเลือกจะแปลงโฉมไนท์คลับชื่อดังใจกลางเมืองปารีส Nuits Faives เพื่อใช้เป็นสถานที่จัดแสดง โดยคอนเซ็ปต์ของมันถูกเล่าจากปาก Virgil Abloh ว่า “เราพยายามจับกลุ่มคนที่ต้องการตกแต่งบ้าน โดยมีโจทย์ว่าต้องการบ้านที่มาจากตัวตนของตัวเองและมีความแตกต่างจากบ้านทั่วไป เพราะคนส่วนใหญ่มักเติบโตมาจากบ้านซึ่งมีสภาพแวดล้อมมาจากความคิดและความต้องของพ่อแม่หรือคนอื่น เราเลยตั้งใจออกแบบผลงานออกมาเพื่อเอาใจคนที่มองหาสิ่งใหม่ รับรองว่าทันทีที่เห็น ทุกคนจะอยากซื้อมันกลับบ้านในทันที “ ภายใน Pop-Up ประกอบไปด้วยชุดพรมสไตล์โมเดิร์นซึ่งเราเคยเห็นกันมาแล้ว แต่รอบนี้เราจะได้ทราบถึงเรทราคาของมันด้วย โดยพรมสีดำมาพร้อมกับคำว่า “GREY” ราคา 129
ปัจจุบันเม็ดเงินที่เกิดขึ้นจากวงการแฟชั่นในแต่ละปีมีมูลค่ามากมายมหาศาล ผลที่ตามมาคือการแข่งขันทางการตลาดที่เพิ่มสูงขึ้น เพราะทุกแบรนด์ล้วนแต่ต้องการส่วนแบ่งอันหอมหวลด้วยกันทั้งนั้น จึงไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่ที่วันนี้เราจะเห็นแคมเปญโฆษณาเจ๋ง ๆ ถูกผลิตออกมาเต็มไปหมด รวมถึงการย้อนกลับมาพึ่งพารูปแบบดั้งเดิมอย่างการโฆษณาบนหน้าหนังสือพิมพ์อีกครั้ง ซึ่งตอนนี้ยักษ์ใหญ่ทั้งหลายกำลังตามกระแสดังกล่าวกันเป็นแถว ล่าสุดกับหน้าแรกของหนังสือพิมพ์อย่าง New York Post ก็ได้กลายเป็นเป้าหมายของ Kanye West เพื่อใช้เปิดตัวการกลับมาของรองเท้ายอดนิยม YEEZY BOOST 350 V2 “Triple White” โดยเขาได้ซื้อพื้นที่ทั้งหมดในหน้าหนึ่ง (Front Page Cover Wrap) เพื่อใส่วลีสำหรับแคมเปญรองเท้าอย่าง “We Love” ทั้งหมด 11 ภาษาวางเรียงกันก่อนจะปิดท้ายด้วยรูปใบปิดจาก Lookbook ซึ่งก็ไม่ได้มีแค่ฉบับเดียวเพราะทาง Kanye West ได้เหมาลงโฆษณาแบบเดียวกันลงในหนังสือพิมพ์อีกหลายหัว ไม่ว่าจะเป็น The San Francisco Chronicle , Chicago Tribune , Los Angeles Times รวมถึงหัวต่างประเทศอย่าง Metro ก็โดนไปกับเขาด้วย สำหรับใครที่คุ้นเคยกับวงการ Media ดี
สำหรับหนุ่มสายแฟชั่นญี่ปุ่นคงไม่มีทางไม่รู้จัก BEAMS แบรนด์แฟชั่นเครื่องแต่งกายลำลองสำหรับผู้ชายและไลฟ์สไตล์ครีเอเตอร์แบรนด์ดัง สไตล์ญี่ปุ่นแนวคิด BASIC (เรียบง่าย) และ EXCITING (น่าตื่นเต้น) สำหรับคอลเลคชั่นฤดูกาล AW 18/19 นี้นั้นได้นำเสนอในธีม ‘NORTH IDENTITY’ หรือเอกลักษณ์ของชาวเหนือ โดยได้แรงบันดาลใจจากสไตล์สตรีทที่เกิดขึ้นในชนชั้นคนทำงานที่อยู่ทางตอนเหนือของประเทศอังกฤษ อย่างเมืองแมนเชสเตอร์และลิเวอร์พูลช่วงปี 1990 ถึงปี 2000 ในคอลเลกชั่นนี้จะได้พบกับไอเท็มที่เป็นเอกลักษณ์ บ่งบอกถึงความเป็นอังกฤษ อย่างเสื้อโอเวอร์โค้ท หมวกแก๊ปล่าสัตว์ ผ้าลายตาราง tartan และผ้าลายตาราง glen check จับคู่กับชุดกีฬาอย่างยูนิฟอร์มฟุตบอล และผสมผสานกับชุดทำงาน โดย BEAMS ได้เลือก 4 แนวคิดหลักที่มีกลิ่นอายความเป็นอังกฤษ ได้แก่ ชุดแบบดั้งเดิม ชุดกีฬา ชุดทำงาน และชุดทหาร พร้อมกับใส่ความสนุกสนานและการใช้งานได้จริงแบบ BEAMS ลงไป ออกมาเป็นคอลเลคชั่นที่เป็นสไตล์แปลกใหม่ BEAMS PLUS ‘All you need is IVY’ BEAMS
วิวัฒนาการของการจัดแต่งทรงผมนั้นก็มีวัฏจักรที่วนเวียน รอวันหวนกลับมาฮิตอีกครั้งไม่ต่างจากแฟชั่นการแต่งตัว เห็นได้ชัดเลยก็คือทรงผมชายสุดวินเทจทั้งหลาย ซึ่งหล่อกันมาตั้งแต่ยุค 70’s ก็ยังกลับมาได้รับความนิยมกันอีกครั้งในปัจจุบัน ยืนยันได้จากจำนวนร้าน Barbershop มากมายที่กลับมาให้บริการกันอย่างคึกคัก แต่ด้วยจำนวนทรงผมวินเทจที่มากมาย ผู้ชายอย่างเรา ๆ คงจะงงไม่น้อย ว่าแต่ละทรงมันต่างกันยังไง จะเข้าร้านไปคุยกับช่างแบบไหนให้รู้เรื่องถูกใจ ไม่ต้องหลอนกับประสบการณ์บอกอย่าง ตัดอีกอย่าง ทนเสียเซลฟ์กับทรงผมที่ไม่ได้ดั่งใจไปอีกเป็นเดือน ๆ วันนี้ UNLOCKMEN จึงขออาสาแนะนำ 4 ทรงยอดนิยม ของเหล่าผู้ชายสายหนุ่มวินเทจ ให้เลือกตัดได้ตามสไตล์ พร้อมแนะนำวิธีเซ็ท และผลิตภัณฑ์จัดแต่งทรงที่เหมาะสม จะได้เท่แบบต่อเนื่องไม่ขาดตอน ตัดเสร็จออกจากร้าน กลับมาใช้ชีวิตประจำวันก็ยังเซ็ทผมหล่อเองได้ไม่ต้องง้อช่าง จะเจอกันอีกครั้งก็วันที่ผมเริ่มยาวจนรำคาญแล้วนั่นแหละ Pompadour เริ่มต้นกันที่ทรง Pompadour ทรงผมวินเทจที่ได้รับความนิยมอย่างท่วมท้น เริ่มต้นจากการเป็นทรงผมของหญิงชั้นสูงในประเทศฝรั่งเศส ผ่านกาลเวลาวิวัฒนาการมาเป็นทรงผมชายสุดเท่ ที่ไม่ว่าจะเป็น James Dean, Elvis Presley ต่างก็สร้างสไตล์หล่อด้วยทรงนี้มาแล้ว ซึ่งใจความสำคัญของทรง Pompadour นั้นจะอยู่ที่การปล่อยความยาวของผมด้านหน้าเอาไว้ประมาณ 3 นิ้ว เพื่อให้เพียงพอต่อการเซ็ทเสยให้ผมตั้งขึ้นไป แต่ไม่ต้องเรียบแปล้ ควรให้มีความพองตัวและมีวอลลุ่มของผมด้านบนที่นูนขึ้นมา ส่วนผมด้านข้างนั้นสามารถบอกช่างให้ตัดได้ตามสะดวก จะรองทรงสูง
กลับมาอีกครั้งสำหรับการร่วมมือกันระหว่างโคตรแบรนด์สตรีทอย่าง Supreme และเจ้าพ่อแบรนด์กีฬาอย่าง NIKE หลังทั้งสองได้ปล่อย Collaboration ชุดล่าสุดออกมาให้เราได้ยลโฉมกันในชุด SUPREME x NIKE FW2018 Collection ซึ่งคงจะถูกใจเหล่าแฟนเดนตายที่หลงใหลใน Vintage Sportswear ไม่มากก็น้อย เพราะผลงานชุดล่าสุดนั้นอบอวลไปด้วยกลิ่นอายของความเป็นเสื้อผ้ายุค 90’s ที่อัดแน่นเอาไว้เต็มเปี่ยม Retro 90’s Styles จุดเด่นของคอลเลกชันคือการดึงเอาเสน่ห์ของเสื้อผ้า Vintage Sportswear ย้อนยุคให้กลับมาโลดแล่นอยู่บนรันเวย์แฟชั่นยุคปัจจุบันอีกครั้งตามกระแสนิยม ไม่ว่าจะเป็น Jacket, Vest, Hooded Sweatshirt, Crewneck, Jacquard Polo ไม่เพียงแค่นั้น Nike ยังหยิบเอา Retro Swoosh ดั้งเดิมของแบรนด์ที่เคยใช้มาตั้งแต่ปี 1978 กลับมาอีกครั้ง เมื่อทั้งสองอย่างมารวมกันทำให้เสื้อผ้า Collection นี้ทวีคูณความคลาสสิกขึ้นเป็นเท่าตัว ถ่ายทอดผ่าน 4 โทนสีหลักได้แก่ Maroon, Yellow, Navy และ Black ซึ่งแต่ละชุดจะออกมาถูกใจผู้ชายอย่างเราแค่ไหนไปดูกัน Work Jacket
ทุกวันนี้ผู้คนส่วนใหญ่ไม่เว้นแม้กระทั่งผู้ชายแบบเราได้กลายเป็นเหยื่อของคำวิพากษ์วิจารณ์และทัศนคติแง่ลบบนโซเชียลมีเดีย เพราะไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตามที่เราโพสต์ลงบนโลกออนไลน์ ถ้ามันดันไปไม่ถูกใจใครเข้าก็พร้อมมีคนคอยพุ่งเป้าวิจารณ์อยู่เสมอและเมื่อถูกกระหน่ำซ้ำเติมจากความไม่พอใจหรือความเกลียดชัง ตัวผู้ถูกวิจารณ์ส่วนมากก็มักจะหลบหนีออกจากตรงนั้นทั้งที่จริง ๆ แล้วอาจลืมไปว่าการซ่อนตัวจากความรู้สึกแย่ ๆ ไม่ได้ช่วยให้เรื่องราวดีขึ้นมาจากเดิมเลย แต่ถ้ามองกลับกันยิ่งถ้าเราแสดงออกว่าไม่ได้ใส่ใจต่อความเกลียดชังและคำวิจารณ์ในแง่ลบพวกนั้น พลังด้านลบของมันก็ไม่สามารถทำอะไรเราได้และจุดนี่เองที่กลายมาเป็นเหตุผลของการเปิดตัวคอลเลคชัน Haute Couture ของ Diesel ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อลดทอนบทบาทของความเกลียดชังจากคำวิพากษ์วิจารณ์จากสังคมสู่ตัวบุคคล จุดเริ่มต้นของไอเดียนี้จะเป็นอะไรไปได้นอกจากสิ่งที่หลายคนต้องพบเจออยู่ทุกวัน การหยิบจับเอาความไม่ชอบและคำวิจารณ์ที่แบรนด์ Diesel ได้รับมาเหมือนกันไม่ว่าจะเป็นคำว่า “แบรนด์ Diesel น่ะ ตายไปแล้ว” หรือว่า “Diesel ไม่เห็นจะเจ๋ง ไม่ได้ดูเท่เหมือนเดิมแล้ว” พวกเขาจึงตัดสินใจนำคำเหล่านั้นมาออกแบบเสื้อผ้าในคอลเลคชันนี้ ให้เจ้าของคำพูดได้เห็นด้วยการยืดอกภูมิใจโดยเปลี่ยนคำวิจารณ์ทั้งหลายให้เป็นชิ้นงานดีไซน์อันมีเอกลักษณ์โดดเด่นและสวมใส่อย่างมั่นใจ แต่หากมองดูดี ๆ แล้วเราจะเห็นกลุ่มคนที่มักจะต้องเจอกับผลกระทบจากคำวิพากษ์วิจารณ์ ความไม่ชอบไม่ถูกใจหรือแม้แต่ต้องตกเป็นจำเลยของสังคมในกรณีที่ทำอะไรผิดพลาดหรือไม่ถูกใจใครเข้า ซึ่งกลุ่มคนผู้ต้องพบเจอเรื่องแย่ ๆ พวกนั้นบ่อยที่สุดคงจะหนีไม่พ้นบรรดาเหล่าเซเลบริตี้และบุคคลมีชื่อเสียงที่มีผู้ติดตามทางโซเซียลมีเดียหลายล้านคน Diesel’s จึงเริ่มแคมเปญ Haute Couture ขึ้นมาร่วมกับใช้แรงบันดาลใจจากเซเลบริตี้ระดับโลก อย่าง นิกกี้ มินาจ (Nicki Minaj), กุชชี่ เมน (Gucci Mane), เบลล่า ธอร์น (Bella Thorne), บรีอา วิไนที (Bria
ผู้ชายอย่างเราร้อยทั้งร้อยถ้ามีรถส่วนตัวใช้มักต้องทำหน้าที่สารถีมาจนเคยชิน ว่ากันตามตรงต่อให้รถสมรรถนะยอดเยี่ยมแค่ไหน แต่การอยู่หลังพวงมาลัยนาน ๆ ก็ทำให้เพลียได้เหมือนกัน ดังนั้น เมื่อมีข่าวว่าอีกมุมโลกประดิษฐ์รถอัจฉริยะที่สามารถขับขี่เองได้สำเร็จและอยู่ระหว่างการทดลอง เราเลยรู้สึกโล่งอกที่ปัญหานี้จะหมดไป ทว่าไม่ใช่แค่ความสะดวกสบายเท่านั้นที่เข้ามา เพราะอีกมุมเจ้ารถไร้คนขับมันส่งผลกระทบด้านการทำธุรกิจด้วย ลองนึกภาพเล่น ๆ ว่าถ้ารถยนต์แบบนี้เข้ามาในบ้านเรามันจะมีผลกระทบกับอะไรบ้าง มากน้อยแค่ไหน UNLOCKMEN นำข้อมูลนี้มาฝากจาก CBINSIGHT บอกได้เลยว่าหลายอุตสาหกรรมเป็นประเภทธุรกิจที่เราเองก็คาดไม่ถึง พร้อมแล้วอย่ารอช้า เก็บคำตอบที่คิดไว้ในใจ แล้วไปชมอุตสาหกรรมทั้ง 10 ธุรกิจ ที่ต้องเตรียมรับความสั่นสะเทือนระดับ 10 ริกเตอร์จากรถไร้คนขับได้เลย 1. ประกันภัย ด้วยความที่การขับขี่แบบไร้คนขับมันต้องได้รับการออกแบบมาให้มีวิจารณญาณในการขับขี่มากขึ้น จึงมีการคาดการณ์ว่าตัวเลขอุบัติเหตุจะลดจำนวนลง ทำให้คนประหยัดค่าประกันมากขึ้น รูปแบบการทำประกันภัยในยุคของรถอัจฉริยะเหล่านี้จึงอาจเปลี่ยนเป็นนโยบายประกันการใช้งาน (UBIs) ซึ่งจะเรียกเก็บเงินจากผู้บริโภคตามระยะทางที่พวกเขาขับรถ 2. ธุรกิจซ่อมรถ เรื่องซ่อมรถก็มีผลกระทบตามมา ช่างที่เคยทำเงินจากการซ่อมรถจากนี้งานนี้จะไม่ง่ายเหมือนที่เคย เพราะเมื่อคนขับไม่ได้ขับ ปัจจัยความประมาทไม่เกิด การซ่อมก็น้อยลงตาม ที่สำคัญความไฮเทคยังกลบเรื่อง Human error ที่เราเจอทุกวันนี้ได้ด้วย ยกตัวอย่างให้เห็นภาพว่า อนาคตเราจะมีสตาร์ทอัพที่คิดระบบการตรวจสอบสภาพรถ เวลามีปัญหาเรื่องระยะทาง ความเสื่อมล้อ ลมยาง ฯลฯ เจ้า AI ที่ติดตั้งจะเตือนเราล่วงหน้า จากเดิมที่กว่าจะรู้เครื่องก็พังต้องเสียเงินก้อนใหญ่กลายเป็นจ่ายแค่ก้อนเล็ก
อาดิดาส ออริจินอลส์ เผยจิตวิญญาณอันแน่วแน่ของ Prophere ด้วยการปล่อยซีรี่ย์ภาพที่แสดงออกถึงความเด็ดเดี่ยว ความมั่นใจในการเป็นตัวของตัวเองของเหล่าครีเอเตอร์ การปล่อยรองเท้ารุ่นล่าสุดนี้เป็นการตอกย้ำให้เห็นว่า Prophere เป็นรองเท้าสำหรับคนที่เป็นตัวของตัวเอง เป็นผู้นำของคนที่มีความคิดนอกกรอบ นักร้องแร็ปดาวรุ่งจากฝั่งตะวันตก SOB x RBE เป็นที่รู้จักในด้านการร้องที่ไม่ยึดตามแบบฉบับสากล โดดเด่นด้วยจังหวะเฉพาะตัว และความเป็นตัวของตัวเอง นั้นได้ถูกถ่ายทอดตัวตนผ่านซีรี่ย์ภาพที่ห่อหุ้มความคิดของบุคคลภายนอกออกมาเป็นรากฐานของรูปแบบ Prophere ภาพถ่ายนั้นถูกถ่ายทอดออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ จากสนามหญ้าที่บ้านของพวกเขาในเมือง Vallejo, California เพื่อส่งมอบมุมมองและตัวตนที่แท้จริง “จากภายใน” ของพวกเขา การใช้ชีวิตอยู่กับเพื่อนๆ คนใกล้ชิดที่มีทัศนคติ บุคลิก และพฤติกรรมที่ใกล้เคียงกัน ในบรรยากาศที่คุ้นชิน หล่อหลอมให้เรากลมกลืนไปกับเหล่าพวกพ้องของตนเอง การแร็ปของแร็ปเปอร์ทั้งสี่ที่มีความมั่นใจผสานด้วยจิตวิญญาณอันแน่วแน่ เป็นแรงบันดาลใจให้เกิดรองเท้าโฉมใหม่สำหรับฤดูใบไม้ร่วง 2018 นี้ ที่เผยทั้งความกล้าหาญและความโดดเด่นกับ 2 เฉดสี โดยรองเท้านั้นประกอบด้วยแถบสีดำที่ส่วนด้านบนและส่วนกลาง เพิ่มสีสันด้วย 3 แถบเอกลักษณ์จากอาดิดาส ทั้งสีขาว และสีชมพู ซึ่งทำให้ Prophere นั้นเป็นตัวแทนของสายสตรีทที่เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจและกล้าคิดกล้าทำ ด้วยเอกลักษณ์ที่แตกต่าง แนวทางที่ชัดเจน Prophere ยังคงมุ่งมั่นสร้างบรรทัดฐานที่คุ้นเคยในการสร้างสิ่งใหม่ๆ สิ่งที่น่าตื่นเต้นเร้าใจ และสิ่งที่โดดเด่นไม่เหมือนใคร Prophere
ในโลกของวงการแฟชั่น สิ่งที่เป็นตัววัดคุณภาพของแต่ละแบรนด์ สามารถดูได้จาก Brand Heritage ที่มาพร้อมอายุเก่าแก่ของแบรนด์นั้น ๆ เพราะในโลกที่แฟชั่นเกิดขึ้นและเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว แบรนด์ที่สามารถดำรงอยู่มาได้ยาวนาน ย่อมเป็นเครื่องพิสูจน์คุณภาพได้ รวมถึงความสามารถในการปรับตัวให้เข้ากับวัฒนธรรมที่เปลี่ยนไปตามยุคสมัย โดยยังคงบาลานซ์ DNA ดั้งเดิมของแบรนด์เอาไว้ได้ครบถ้วน ไม่งั้นแบรนด์แฟชั่นเก่าแก่ ก็จะกลายเป็น Fast Fashion ที่ไม่มีเหตุผลและคุณค่าให้คนอยากสวมใส่ เช่นเดียวกับ Bally แบรนด์ High-Fashion ที่มีเสน่ห์ เป็นชื่อและโลโก้ที่สร้าง Perception ให้คนเข้าใจถึงคุณภาพและประวัติอันเก่าแก่ของแบรนด์ได้โดยอัตโนมัติ สำหรับเรา Bally เป็นแบรนด์ที่มีความน่าสนใจสำหรับผู้ชาย มีส่วนผสมของความหรูหราแต่ถ่อมตัว ในขณะเดียวกันก็ไม่เคยลืมจิตวิญญาณของการเป็นนักผจญภัย อย่างที่ Carl Franz Bally ตั้งใจให้เป็นตั้งแต่วันก่อตั้งแบรนด์สาขาแรกในเมือง Schonenwerd ประเทศ Switzerland ปี 1851 ก่อนจะเริ่มส่งแบรนด์ Bally ขยายข้ามชายแดน Switzerland ได้ภายใน 6 ปีเท่านั้น ตั้งแต่วันแรก จุดเด่นทั้งด้าน Design และ Functionality อันเปรียบเสมือน 2