เพราะความเท่ของยานพาหนะไม่จำกัดอยู่แค่ซูเปอร์คาร์คันหรูเท่านั้น รถที่บึกบึนแข็งแกร่งพร้อมลุยทุกสภาพการเดินทางจากแบรนด์ Hummer ก็เท่ไม่แพ้กัน วันนี้ UNLOCKMEN ขอพูดถึงรถรุ่นใหม่ล่าสุดของค่ายนี้ Mil-Spec Hummer H1 Launch Edition No. 003 เจ้า Hummer คันนี้สมบุกสมบันไม่ต่างจากรถที่ใช้กันในกองทัพ มันถูกออกแบบมาให้สามารถทนต่อความโหดร้ายสภาพแวดล้อมและภูมิประเทศ ไม่ว่าจะเป็นสนามรบ ทะเลทรายร้อนระอุ หรือแม้กระทั่งทุ่งหิมะแห่งอาร์กติกก็ไม่ใช่ปัญหา มาเหอะพร้อมลุย! Mil-Spec Hummer H1 Launch Edition No. 003 คือรถกระบะ 4 ประตูที่พัฒนาจากรุ่นก่อน ๆ หลายด้านด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ใช้สอยที่กว้างขวางขึ้นถึง 8 นิ้วทั้งด้านหน้าด้านหลัง เครื่องยนต์ขนาด ทอร์โบชาร์จเจอร์ขนาด 6.6 ลิตร พร้อมความแรง 500 แรงม้า และแรงบิด 1000 lb-ft Mil-Spec Hummer H1 Launch Edition No. 003 ไม่ได้มีดีแค่ความแข็งแกร่งสมบุกสมบันลุยได้ทุกที่เท่านั้น เพราะภายในก็สะดวกสบายไม่แพ้รถยนต์หรูหราทั่วไปเลย เบาะหนังกันน้ำเย็บมือชั้นดีมาพร้อมกับระบบเครื่องเสียงดำกระหึ่ม ดังนั้นไม่ว่าสภาพแวดล้อมภายนอกจะโหดร้ายแค่ไหน
การถ่ายรูปจะออกมาดีหรือไม่ดี จริงอยู่ว่าขึ้นอยู่กับคนถ่ายเป็นหลัก แต่กล้องที่ดีก็มีส่วนช่วยได้มากไม่แพ้กัน นี่เป็นเหตุผลที่หลายคนยอมจ่ายเงินหลายแสนบาทให้กับกล้อง Leica และโมเดลล่าสุดในตระกูล M Camera อย่าง Leica M10 ก็ได้กระแสตอบรับดีไม่น้อย ซึ่งถ้าเทียบประสิทธิภาพของ Full-frame Sensor ในบอดี้ขนาด Compact คงยากจะหาใครมาเอาชนะได้ อย่างน้อยก็ในด้านความคมและคาแรคเตอร์ที่ชัดเจน เป็นธรรมเนียมที่ Leica จะปล่อยเวอร์ชั่นอัพเกรดตามออกมาภายในระยะเวลา 1 ปี และวันนี้ก็ถึงเวลาของ Leica M10-P ราคา $7,995 แพงขึ้นจากเดิม $700 ที่แม้จะมีการพัฒนาจาก M10 ปัจจุบันไม่มากนัก แต่ก็ถือว่าเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับคนที่ยังไม่ได้จ่ายเงินสองแสนกว่าบาทให้กับ M10 ที่เหลือก็อยู่ที่ความแตกต่างว่าสิ่งที่เพิ่มขึ้นมา เป็นสิ่งที่คุณยินดีจะจ่ายเงินเพิ่มหรือไม่ สิ่งที่เพิ่มขึ้นมาใน M10-P นั้น ยอมรับเลยว่ามีไม่มาก เรียกว่าคนใช้ M10 โล่งอกไปตาม ๆ กัน ภายนอกสังเกตความแตกต่างได้จากการย้าย Leica Red Dot ออกไป มีการสลักโลโก้ Leica ไว้บน
ในโลกที่เทคโนโลยีกำลังแย่งพื้นที่ของการใช้ชีวิตแบบดั้งเดิมไป เรากลับชอบแนวคิดของ Tesla ที่ไม่ได้ต้องการผลิตรถยนต์มหัศจรรย์จนเปลี่ยนวิธีใช้งานในชีวิตประจำวันของพวกเรา สิ่งที่ Elon Musk ทำเป็นเพียงการพัฒนาสิ่งที่มีอยู่แล้วให้ดีขึ้น ซึ่ง Clay Alexander CEO ของ Ember บริษัทเจ้าของแก้วกาแฟอัจฉริยะก็ชื่นชอบเช่นกัน และใช้แนวคิดเดียวกันในการพัฒนาแก้วและมักกาแฟที่สามารถคงอุณหภูมิกาแฟได้ตลอด คนรักกาแฟย่อมรู้ดีอยู่แล้วว่ากาแฟที่เพิ่งชงเสร็จใหม่ ๆ มักจะมีร้อนเกินไป ทำให้รสชาติไม่ดี และระหว่างที่เรานั่งรอให้กาแฟเย็นด้วยธุระจุกจิก เรากลับพบว่ากาแฟมันได้เย็นเกินไปซะแล้ว ซึ่งไม่น่ารื่นรมย์นักถึงขนาดต้องเททิ้ง และการดื่มกาแฟ ก็ไม่จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์พิศดารอะไรมากมายนัก นอกจากแก้วและมักที่การใช้งานเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือระบบการคุมอุณหภูมิของ Ember ที่ยากจะลอกเลียนแบบ ถามนักกาแฟว่าอุณหภูมิที่ดีที่สุดในการดื่มคือเท่าไหร่ เกือบทุกคนจะต้องตอบว่า 50°C – 62.5°C ซึ่งเป็นอุณหภูมิ Default ที่ Ember Ceremic Mug ตั้งเอาไว้ให้ หรือจะเลือกปรับอุณหภูมิตามที่ต้องการในกรณีที่บางเมล็ดกาแฟต้องการร้อนกว่าหรือเย็นกว่าก็สามารถทำได้ และจะคงอยู่เท่านั้นตลอดไปจนกว่าแบตเตอรี่จะหมด เราจึงมั่นใจได้ว่าเมล็ดกาแฟราคาแพงที่หอบหิ้วมาจากต่างแดนจะไม่ถูกทิ้งอย่างเสียเปล่าอีกต่อไป ดูจากภายนอกแบบไม่สังเกตอาจจะไม่รู้ว่าแก้วกาแฟ Ember มีอะไรพิเศษต่างจากแก้วทั่วไปนอกจากดวงไฟ LED ด้านล่าง ซึ่งกว่าจะคิดค้นเทคโนโลยีและออกแบบให้ดูเหมือนแก้วกาแฟแบบนี้ได้นั้น ถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลย โดย Ember Ceremic Mug
เมื่อการขับเคลื่อนไปบนถนนไม่จำกัดจำนวนล้ออยู่แค่เลขคู่เท่านั้น จึงเป็นที่มาของ Vanderhall Venice Speedster รถ 3 ล้อสายสปีดที่มาพร้อมกับความแรงกว่า 180 แรงม้า เรียกว่ารถซูเปอร์คาร์ 4 ล้อบางคันยังต้องชิดซ้ายเลยทีเดียว Vanderhall Venice Speedster คือรถรุ่นใหม่แห่งค่าย Vanderhall ซึ่งคลุกคลีอยู่ในวงการ 3 ล้อความเร็วสูงมาอย่างยาวนาน และคราวนี้พวกเขากลับมาอีกครั้งพร้อมความเร็วที่มากกว่าเดิม Vanderhall Venice Speedster รถ 3 ล้อ 1 ที่นั่ง มาในรูปทรงสุดคลาสสิคที่เห็นแล้วชวนให้นึกถึง 3 ล้อยุคเก่าในบรรยากาศภาพขาวดำ ซึ่งแตกต่างกับสมรรถนะภายในโดยสิ้นเชิง และหนึ่งสิ่งที่พิเศษสุด ๆ สำหรับเจ้า 3 ล้อคันนี้คือในส่วนของที่นั่งคนขับนั้นประกอบมาจากชิ้นส่วนเครื่องบิน นอกจากนั้นยังเพิ่มความ Vintage เข้าไปอีกด้วยโทนสีเงินโลหะตัดกับสีน้ำตาลของเบาะนั่ง ภายนอกยังสวยเฉียบขาดขนาดนี้ มาถึงภายในกันบ้างว่า Vanderhall Venice Speedster มีอะไรซ่อนอยู่ในรูปทรงสุดเท่ Vanderhall Venice Speedster ใช้เครื่องยนต์ 1.4 4 Cyl Turbo 180
เวลาคือสิ่งที่เดินไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้งแม้แต่วินาทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นวินาทีที่เรากำลังอ่านข้อความนี้อยู่ก็ตาม เราถือว่ามันเป็นอีกสิ่งที่มีค่าจนเราต้องใช้ชีวิตบนกลไกของมัน ทุกเช้าที่ต้องวิ่งขึ้นรถให้เข้างานได้ทันเวลา ทุกวันที่ต้องเร่งสปีดตัวเองให้ทำงานได้ทันเวลา ทุกวันที่ต้องรีบกลับให้ไว เพื่อจะได้มีเวลาพักผ่อนที่มากขึ้นอีกสักสิบนาทีหรือครึ่งชั่วโมงก็ยังดี ความสงสัยใคร่รู้ที่ดูจะยุกยิกอยู่ในตัวมนุษย์เรามาแสนนาน ทำให้เรามีเครื่องจับเวลา เพราะอยากเก็บสถิติที่แม่นยำมากกว่าการนับในใจ เราคงคุ้นเคยกับเครื่องจับเวลาทั้งในโทรศัพท์ วงการกีฬา หรือแม้แต่การทำอาหาร ซึ่งจะแตกต่างกันไปตามความเหมาะสมของการใช้งาน แต่สำหรับการนั่งทำงานออฟฟิศแม้จะดูเหมือนไม่ต้องแข่งกับเวลา แต่ถ้าหากเราอยากจะ Improve ตัวเองล่ะ UNLOCKMEN ขอแนะนำของเล่นเจ๋ง ๆ อย่าง Tiller ที่จะมาช่วยเก็บสถิติแบบมีฟังก์ชั่นที่ช่วยให้ชีวิตเราง่ายขึ้นเยอะ Keep Time To Tracking ในแต่ละวันที่ทำงาน ลองมาจับเวลากันหน่อยมั้ยว่าใช้เวลาไปกับมันเท่าไหร่สำหรับงานแต่ละชิ้น วันนี้อาจจะช้ากว่าเมื่อวาน หรือพรุ่งนี้อาจจะไวกว่าวันนี้ อะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น ลองเก็บสถิติแล้วนำมันไปพัฒนาตัวเองหรือใช้ประโยชน์จากมันก็ยังได้ Tiller มันคือ Time Tracker นั่นแหละ แต่ความเจ๋งคือ เราสามารถ Customize ได้ตามเราต้องการ เก็บสถิติของรายการนี้ในแต่ละวัน มีกราฟเปรียบเทียบให้ดู การใช้งานก็แสนง่าย จะ Split แต่ละครั้งก็เคาะมันเบา ๆ เหมือนเวลาเราเคาะแป้นคีย์บอร์ดนั่นแหละ โดยผู้ออกแบบแนะนำให้วางใกล้ ๆ เมาส์ และเคาะมันทุกครั้งที่งานเสร็จ
รถยนต์และผู้ชายแยกออกจากกันไม่ได้เพราะมันคือสัญชาตญาณที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด สังเกตได้จากทุก ๆ ครั้งที่ Supercar คันงามเคลื่อนตัวผ่านไปด้วยความเร็ว เสียงของเครื่องยนต์มันจะกระตุ้นให้หัวใจเต้นรัว เลือดลมสูบฉีด จนเราต้องหันไปมองตามแบบอัตโนมัติเสมอ แต่ถ้าพูดถึง รถยนต์พลังงานไฟฟ้า หรือ Electric Car ผู้ชายอย่างเรากลับพากันเบือนหน้าหนี Say No กันเป็นแถบ เพราะภาพลักษณ์ของคอนเซ็ปต์รักโลก ทำให้จินตนาการแทบไม่ออกว่าจะทำความเร็วได้สะใจแค่ไหน เสียงมอเตอร์ไฟฟ้าจะมันส์เท่าเสียงเครื่องยนต์เผาไหม้ได้ยังไง แต่วันนี้กรอบความคิดเก่า ๆ นั้นจะถูกทลายลงด้วยพระเอกจากสองโลก Vanda Dendrobium หลังจาก Vanda Electrics บริษัทด้านนวัตกรรมการขนส่งและไฟฟ้าสัญชาติสิงคโปร์เปิดตัวโมเดลรถต้นแบบของ Vanda Dendrobium ในงาน Geneva International Motor Show 2017 พร้อมกับเสียงตอบรับในด้านบวกมากมาย แต่ของในฝันมักต้องรอคอยเสมอ เมื่อ Vanda Electrics ได้ทิ้งคอนเซ็ปต์คร่าว ๆ เรียกน้ำย่อยไว้ แต่กลับเงียบหายไปเกือบ 1 ปีเต็ม ๆ จนในที่สุด Larissa Tan ซีอีโอของ Vanda Electrics ได้ออกมายืนยันแล้วว่ากำลังจะเริ่มพัฒนาและสร้าง
แม้เทคโนโลยีล้ำ ๆ ในปัจจุบันจะก้าวหน้าไปมาก ทำให้เราสามารถเข้าถึงเสียงเพลงได้ง่าย เพียงแค่ควักสมาร์ตโฟนออกมาและเสียบหูฟังเท่านั้น แต่ในขณะเดียวกันเครื่องเล่นเพลงดี ๆ สักเครื่องก็เป็นสิ่งที่ผู้ชายผู้รักในเสียงเพลงควรจะมีติดบ้านไว้เช่นกัน เพราะนอกจากเพลงที่เลือกฟังแล้ว รูปลักษณ์ภายนอกของมันยังสามารถบ่งบอกรสนิยมได้ ถ้าคุณเป็นหนึ่งในคนที่หลงใหลใน American Muscle Car คงไม่มีอะไรตอบโจทย์ได้ดีไปกว่า ION : Mustang LP เครื่องนี้ ดีไซน์ของ Mustang LP อาจดูคุ้นตากันดีสำหรับแฟนพันธุ์แท้ที่ติดตามซีรีส์ของม้าป่ามานาน เพราะการออกแบบได้รับแรงบันดาลใจมาจาก หน้าปัดวัดความเร็วของ Ford Mustang ปี 1965 พร้อมปุ่ม Tuning แบบแอนาล็อก ทำให้ตัวเครื่องดูคลาสสิกโดยไม่ต้องปรับแต่งเพิ่ม แต่ขณะเดียวกันกลับดูโฉบเฉี่ยวเข้ากับยุคสมัยได้อย่างลงตัว นอกจากเรื่องรูปลักษณ์ภายนอกอันสวยงามแล้ว Mustang LP ยังมาพร้อมกับฟังก์ชันการใช้งาน แบบ 4 in 1 คือ Turntable , Radio , USB และ AUX ที่สามารถเล่นและอัดเสียงพร้อมรับการเชื่อมต่อทุกรูปแบบที่ผู้ใช้ต้องการ ทั้งยังมีลำโพงภายในขนาด 1.2 วัตต์อีก
เป็นเรื่องที่กำลังฮือฮาใน Reddit เว็บไซต์พูดคุยครอบจักรวาล เมื่อมี User ที่ใช้ชื่อว่า Eriegin โพสต์ภาพรถ Supercar 2 คันจอดในโรงรถสภาพฝุ่นเกาะแน่นพร้อมข้อความว่า “ ถึงจะเต็มไปด้วยสนิมและฝุ่น แต่ Lamborghini Countach ของคุณยายแม่งก็ยังเจ๋งอยู่ดี!” จนทำให้คนคลั่งรถจำนวนมากร่วมแสดงความคิดเห็นอย่างเมามัน เรื่องเกิดขึ้นเมื่อชายหนุ่มคนหนึ่งในสหรัฐอเมริกาอยากทำหน้าที่หลานชายผู้น่ารัก เลยอาสาทำความสะอาดโรงรถให้คุณย่าของเขา แต่เมื่อเลื่อนประตูโรงรถขึ้นกลับต้องแปลกใจกับสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้าเมื่อมีรถ Supercar 2 คัน จอดนิ่งสงบเหมือนไม่มีใครเคยแตะต้องเป็นเวลานาน! ความจริงปรากฏเมื่อคุณย่าเล่าให้เขาฟังว่า มันเคยเป็นของปู่ ซึ่งเมื่อก่อนเคยเป็นเจ้าของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ แต่ในเวลาต่อมาราคาประกันรถยนต์ Supercar ซึ่งหลายคนอาจยังไม่รู้ว่าแพงมาก ๆ เริ่มพุ่งสูงขึ้นสวนทางกับรายได้ของบริษัท จึงจำเป็นต้องจอดปีศาจทั้งสองตัวทิ้งไว้จนถึงปัจจุบัน เป็นเวลารวมกันเกือบ 20 ปี รถคันแรกคือ Ferrari 308 GTS สีแดงสด มาพร้อมเครื่องยนต์ V8 ขนาด 2.9 ลิตร กำลังขับ 237 แรงม้า ซึ่งคาดว่าหากออกขายทอดตลาดราคาจะอยู่ที่ ประมาณ 25,000 – 80,000
กลิ่นเท้าคือสิ่งที่ผู้ชายอย่างเราไม่ควรมองข้าม เพราะมันทำให้เราไม่น่าเข้าใกล้ในสายตาคนอื่นได้ หากหล่อ เท่ มาแต่ไกล แต่ถอดรองเท้าออกกลับมีกลิ่นไม่พึ่งประสงค์ปะปนมาด้วย ใคร ๆ ก็คงเบือนหน้าหนี UNLOCKMEN โคตรเข้าใจว่าการรอซัก-ตาก นอกจากต้องมีเวลาว่างแล้ว ยังต้องวัดดวงกับฝนฟ้าที่ตกลงมาแบบไม่เคยให้ได้ตั้งตัวอีก แต่ปัญหาเหล่านี้จะกลายเป็นเรื่องเล็กทันที ถ้ามี Shoe Deodorizer : MS-DS100 เครื่องนี้คอยช่วยชีวิต MS-DS100 ถูกออกแบบและพัฒนาโดย Panasonic โดยมาพร้อมกับเทคโนโลยี “Nanoe X” ที่มีอนุภาคไอออนพิเศษ คุณสมบัติของมันช่วยขจัด Isovakeric Acid ซึ่งคือการทำปฏิกิริยากันระหว่างเหงื่อที่เท้ากับเชื้อแบคทีเรียที่มาของกลิ่นไม่พึงประสงค์ในรองเท้าผู้ชายอย่างเรานั่นเอง ทั้งนี้ MS-DS100 ถูกออกแบบมาให้เหมาะกับการใช้ในบ้านและสะดวกต่อการพกพา ด้วยฟังก์ชันซึ่งถูกออกแบบมารองรับการทำงานร่วมกับแบตเตอรี่โทรศัพท์ ทำให้คุณไม่ต้องกังวลว่าจะมีข้อจำกัดเรื่องสถานที่ วิธีใช้ก็เรียบง่ายเพียงแค่วาง Shoe Deodorizer : MS-DS100 ไว้บนรองเท้าคู่ที่ต้องการกำจัดกลิ่น โดยมีโหมดทำงานให้เลือก 2 รูปแบบคือ Normal Mode ที่ใช้เวลาในการกำจัดกลิ่นประมาณ 5 ชั่วโมงหรือ Long Mode ซึ่งใช้เวลา 7 ชั่วโมง
นี่คือเรื่องราวและรายละเอียดของ 1966 Ferrari Dino Berlinetta GT ซูเปอร์คาร์ที่เดินทางผ่านยุคสมัยมาจากยุค 60 และตอนนี้มูลค่าของมันพุ่งสูงถึง 2-3 ล้านเหรียญหรือกว่า 70-120 ล้านบาท เช่นเดียวกับรถยนต์ราคาแพงระยับคันอื่น ๆ 1966 Ferrari Dino Berlinetta GT มีเรื่องราวที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังมากมาย เรื่องแรกและเป็นเรื่องสำคัญที่สุดคือรถรุ่นที่วางจำหน่ายอยู่ตอนนี้เดิมทีเป็นโมเดลที่ทาง Ferrari สร้างขึ้นมาเพื่อทดสอบและพัฒนาเท่านั้นไม่ใช่โมเดลที่สร้างขึ้นมาเพื่อวางจำหน่าย ถ้าใครเป็นสาวกรุ่นเก๋าของแบรนด์รถยนต์สัญชาติอิตาลีแบรนด์นี้คงสังเกตเห็นความแตกต่างของทั้ง 2 โมเดลได้ เนื่องจากขนาดและตำแหน่งของไฟเลี้ยวด้านหน้ามีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน เช่นเดียวกับไฟท้ายด้านหลังที่โมเดลต้นแบบจะมี 3 ดวงแตกต่างกับโมเดลการผลิตหลักที่จะมีเพียงแค่ 2 ดวง ด้วยความแตกต่างและมีจำนวนจำกัดนี้จึงเป็นสาเหตุให้ 1966 Ferrari Dino Berlinetta GT ราคาพุ่งสูงจนทะยานเข้าไปอยู่ในลิสต์หนึ่งในรถยนต์ที่มีราคาแพงที่สุดในโลก 1966 Ferrari Dino Berlinetta GT ตัวต้นแบบใช้เครื่องยนต์ V-6 ขนาด 2 ลิตร โดยติดตั้งตามแนวยาวซึ่งแตกต่างกับโมเดลการผลิตหลักที่ติดตั้งตามแนวขวาง นอกจากนั้นแถบโครเมียมด้านข้างและที่ปัดน้ำฝนขนาดใหญ่ซึ่งจะมีเพียงในโมเดลต้นแบบเท่านั้น แม้จะขึ้นชื่อว่าเป็นโมเดลการผลิตหลักแต่ทาง Ferrari ก็ผลิตออกมาเพียง 152 คันเท่านั้น ดังนั้นจึงไม่ต้องพูดถึงเลยว่ารุ่นโมเดลต้นแบบนั้นจะหายากและมีจำนวนน้อยแค่ไหน บางทีราคา
ความเร็ว ความตื่นเต้นเร้าใจสไตล์ Extreme สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่ผู้ชายต่างหลงใหล มันเดือดพล่านอยู่ในสัญชาตญาณของหนุ่ม ๆ ทุกคน ดังนั้นจึงไม่แปลกที่เงินที่เก็บออมอย่างตั้งใจมาทั้งชีวิตจะทุ่มให้กับรถในฝันหรือบิ๊กไบค์คันงาม แต่สำหรับบางคนที่ไม่ใช่ขาซิ่งบนถนนหรือซิ่งมาจนเบื่อแล้วอยากเปลี่ยนบรรยากาศการท้าความเร็วจากพื้นยางมะตอยมาเป็นพื้นน้ำ เร่มาทางนี้เลย เพราะวันนี้ UNLOCKMEN มีเทคโนโลยียานยนต์เจ๋ง ๆ มาฝาก ชื่อของมันคือ ‘Narke’ ‘Narke’ หรือ ‘Narke Electrojet’ ถ้ามองจากภายนอกก็ดูไม่แตกต่างจากเจ็ทสกีที่เรารู้จักเท่าไรนัก แต่ความพิเศษของมันคือเป็นเจ็ทสกีลำแรกของโลกที่ขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้าตามแนวคิดการอนุรักษ์และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งแนวคิดนี้ไม่ได้อยู่แค่ภายในระบบขับเคลื่อนเท่านั้น แต่รวมถึงการออกแบบภายนอก วัสดุที่นำมาใช้ล้วนแล้วแต่ยึดโยงกับแนวคิดนี้ ‘ถึงแม้ระบบขับเคลื่อนจะเปลี่ยนไป แต่ประสบการณ์บนผิวน้ำยังเหมือนเดิม’ นี่คือสิ่งที่ผู้ผลิตเจ้าเจ็ทสกีสัญชาติฮังการีบอก ไม่ว่าจะเป็นทะเลสาบขนาดย่อมหรือมหาสมุทรกว้างใหญ่ Narke ก็สามารถโลดแล่นได้ในทุกที่ คำว่า Narke มีที่มาจากชื่อของรังสีไฟฟ้าชนิดหนึ่งที่มีความซับซ้อนอย่างมาก สามารถพบคลื่นชิดนี้ได้ในแถบอินโด-แปซิฟิคและตอนใต้ของทวีปแอฟริกา ด้วยคอนเซ็ปต์การเคลื่อนที่ด้วยกระแสไฟฟ้า ผู้ผลิตจึงหยิบชื่อนี้มาตั้งให้กับเจ็ทสกีลำนี้ นอกจากรูปร่างภายนอกอันโฉบเฉี่ยวและระบบการทำงานด้วยไฟฟ้าแล้ว จุดเด่นอีกอย่างของ Narke ที่ทำให้แตกต่างจากเจ็ทสกีทั่วไปคือเสียงเครื่องยนต์ที่เงียบกว่ามาก เงียบจนเสียงคลื่นกลบหมด ทำให้คุณเข้าถึงความสุนทรีย์แห่งการโลดแล่นโบยบินในท้องทะเลอย่างแท้จริง รายละเอียดการทำงานอื่น ๆ ของ Narke Electrojet ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 55 กิโลเมตรต่อชั่วโมง มีมอเตอร์ระบายความร้อนถึง 3 ตัวด้วยกัน
ตั้งแต่มีโลกออนไลน์ ข้อมูลของเราก็เริ่มไม่ปลอดภัย เพราะอาจใช้เป็นเส้นทางก่ออาชญากรรมของมิจฉาชีพหรือโดนนำไปหาใช้หาผลประโยชน์แบบที่เราไม่รู้ตัว เราคงเห็นได้จากข่าวใหญ่เรื่องข้อมูลหลุดจากเฟซบุ๊กแล้ว แต่สำหรับ Google ซึ่งเป็น Search engine เจ้าดังที่รวบข้อมูลคนทั่วโลกเพราะมีฟังก์ชันใช้งานหลากหลาย เรายังไม่พบข่าวเรื่องข้อมูลหลุดให้เห็น จนกระทั่งทาง AP’s investigation ออกมาประกาศให้โลกรับรู้ “ถึงเราจะปิด Location History แล้วมันก็แค่ไม่สามารถสร้างไทม์ไลน์ตำแหน่งของเราได้ แต่ข้อมูลของเราก็โดนเก็บเรียบอยู่ดี” ผลการรายงานครั้งนี้ได้รับการยืนยันจากนักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Princeton ซึ่งทาง AP ได้ทดสอบติดตามข้อมูลของนักวิจัยภายใน Princeeton ผ่านเพียงใช้ Google Web & App activity ที่เขาเคยแชร์ไว้กับสำนักข่าว ก็สามารถดูได้หมดไม่ว่าจะกิจวัตรประจำวันที่เขาทำไปจนถึงที่อยู่ที่บ้าน! จำนวนตัวเลขของคนโดน Google ตามเก็บข้อมูลปัจจุบันพบว่ามีจำนวนมากกว่าสองพันล้านคน! เรียกได้ว่าค่อนโลกเลยทีเดียว แต่เราก็ไม่ค่อยแปลกใจกับจำนวนตัวเลขนี้ เพราะสมาร์ตโฟนประเภทแอนดรอยด์มักติดตั้งแอปฯ ของ Google ไว้เป็นแอปฯ พื้นฐาน และคนส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยได้ลบทิ้งจากเครื่อง เพราะก็ต้องยอมรับว่ามันใช้งานได้ดี นอกจากการค้นพบของ AP แล้ว ประสบการณ์โดนตามของคนอื่นก็ยังมีให้เห็น อย่าง K. Shankari