Elon Musk คือชายที่โลกตั้งฉายาให้ว่า Iron Man ในชีวิตจริง เพราะมุมมองเฉียบคมและมันสมองสุดอัจฉริยะ แถมยังเป็นเจ้าของบริษัทที่มีเทคโนโลยีสุดล้ำอย่าง SpaceX, Tesla และอื่น ๆ อีกมากมาย ส่วนทรัพย์สินยิ่งไม่ต้องอธิบายให้มากความ เขามีมากกว่า 20 พันล้านเหรียญสหรัฐ ฯ แต่นอกจากเรื่องของความสำเร็จทะลุขีดความเป็นมนุษย์ที่เราพยายามนำเสนอรูปแบบการทำงานของเขามาให้ชาว UNLOCKMEN ได้เสพบ่อย ๆ แล้ว เราเชื่อว่าเราสามารถเข้าถึงความคิดของเขาผ่านหนังสือที่อ่านได้ UNLOCKMEN จึงอยากแนะนำหนังสือ 5 เล่มที่ Elon Musk อ่าน เพื่อเป็นแนวทางให้เห็นว่าคนที่ประสบความสำเร็จได้ขนาดนี้เขาสนใจอ่านอะไร Zero to One: Notes on Startups, or How to Build the Future by Peter Thiel หนังสือเกี่ยวกับธุรกิจโดย ปีเตอร์ ธีล ผู้ได้ฉายาว่าเป็นประธานาธิบดีของโลกไร้เงินสด จากชายที่ถูกปฏิเสธไม่รับเข้าทำงานในศาลสูง เขาคือหนึ่งในผู้สร้างธนาคารออนไลน์ชื่อดังอย่าง PayPal หนังสือเล่มนี้จึงไม่ต่างจากการแบ่งปันความคิดและทัศนคติในการเริ่มต้นสร้างธุรกิจของตัวเองบนโลกแห่งการเงินในปัจจุบันของเขา Musk
ยอมรับมาเถอะว่าเราต้องเคยเห็นหนังผู้ใหญ่ผ่านตามาบ้างไม่มากก็น้อย ซึ่งคงจะเคยเห็นฉากการใช้เชือกในการพันธนาการร่างกาย บางคนอาจจะดูแล้วไม่ได้คิดอะไร แต่เราว่าถ้ามองข้ามเรื่อง SEX ไป จะเกิดคำถามและสงสัยเกี่ยวกับจุดเริ่มต้นและเหตุผลของมันกันอย่างแน่นอนว่า มันคืออะไร? ทำไมถึงต้องทำแบบนี้? ไอ้ความน่าสนใจ และน่าสงสัยที่ว่านี้ ก็คือการนำเชือกมามัดสานกันบนเรือนร่างของหญิงสาว ซึ่งมีชื่อเฉพาะของมันเรียกว่าว่า “Kinbaku (緊縛)” หรือ “Shibari (縛り)” หากใครสงสัย และอยากรู้เรื่องราวความ Erotic นี้แบบจริง ๆ จัง ๆ ไม่ใช่แค่ดูผ่าน ๆ แล้วนั่งสาว ๆ ไปเรื่อยเปื่อย ขอบอกเลยว่า ห้ามพลาดบทความนี้ที่จะทำให้ทุกคนเข้าถึงการมัดสุดสยิวกันถึงต้นกำเนิดกันเลยทีเดียว The Origins of Kinbaku มาดูที่ต้นกำเนิดของ “Kinbaku (緊縛)” การมัดสุดสยิวนี้กันเลยดีกว่า คนทั่วไปต่างก็รู้ว่า เรื่องของงานฝีมือ และความคิดสร้างสรรค์นั้น ชาวแดนปลาดิบถือว่าขึ้นชื่อเรื่องนี้เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะงานประเภทการพับ การห่อ การผูก เรียกได้ว่า จะทำออกมายังไงก็ดู Art ไปซะหมด ลองดูการมัดข้าวกล่อง หรือของฝากต่าง ๆ น่าจะพอนึกภาพออก
ของบางชิ้นเราซื้อไปก็ไม่รู้ว่าทำอะไร แต่พอซื้อมาแล้วมันรู้สึกดีกว่าไม่ซื้อ และแม้หลายคนจะบอกว่ามึงมันบ้าวัตถุเราก็ยังยินดีจะซื้อต่อไปมากกว่าอยู่ดี ถ้าคุณคือคนหนึ่งที่ทุ่มทุนจ่ายเงินเพื่ออะไรสักอย่างไม่สิ้นสุดโดยไม่รู้ตัวว่าทำไมถึงทำ ก่อนจะโหมซื้อของให้รางวัลตัวเองจนกระเป๋าแฟบ ลองอ่านบทความนี้อีกทีเพราะมันอาจจะทำให้คุณเข้าใจตัวเองและคนรอบข้างได้ดีขึ้นและบางทีอาจเปลี่ยนทัศนคติให้คุณเก็บเงินเพิ่มในปีนี้ได้ด้วย ผลงานวิจัยล่าสุดที่ตีพิมพ์ใน International Journal of Psychology เผยว่าคนใจบางหรือรู้สึกไม่มั่นคงต่อสภาพแวดล้อม ความสัมพันธ์และการใช้ชีวิตมักใช้วิธีซื้ออะไรบางอย่างถมหลุมความรู้สึกของตัวเอง เพราะเขาคิดว่าการซื้อวัตถุสักชิ้นมาครอบครองจะสร้างความมั่นคงทดแทนช่องว่างในใจได้ ของยิ่งเยอะ ใจยิ่งร้าวราน? ที่มาของการทดลองนี้เริ่มต้นจากความคิดตั้งต้นเรื่องการช้อปบำบัดว่ามีผลมาจากความรู้สึกไม่มั่นคงทางใจของนักซื้อทั้งหลาย และความรู้สึกอยากครอบครองนี้คาดว่ามาจากความไม่มั่นคงทางใจ ซึ่งน่าจะเกิดจากความสัมพันธ์ระหว่างคนในครอบครัวและคนรอบข้างที่ไม่ดีนัก เรียกง่าย ๆ ว่าไม่สมหวังในความรัก ไม่สามารถครอบครองความรักก็หันมาครอบครองของแทน เพราะอกหักไปของก็ยังอยู่กับเราเป็นความสัมพันธ์ที่มั่นคงถาวร หรือคนขาดความอบอุ่นในครอบครัวก็มีแนวโน้มที่จะหันมาซื้อของทดแทนความรู้สึกนั้นแทน ของที่ไม่เคยได้ในวัยเด็กกลายเป็นอะไรที่ต้องพิชิตในวันที่มีเงินซื้อ Ying Sun และเพื่อนร่วมงานจาก Beijing Key Laboratory of Experimental Psychology จึงทำการทดลองพิสูจน์สมมุติฐานนี้ โดยทำการทดลองกับคนจำนวน 237 คน ถามคำถามเกี่ยวกับการปฏิสัมพันธ์ร่วมกับคนรอบข้าง และคนรัก แล้วนำมาเปรียบเทียบกับคำถามที่ว่าด้วยสิ่งสำคัญในชีวิตที่มีตัวแปรเป็นทั้งสิ่งที่ชี้ว่าเป็นเราเป็นคนประเภทวัตถุนิยมและไม่ใช่วัตถุนิยม ตัวอย่างคำถามบางส่วนที่อยู่ในแบบทดสอบเหล่านี้ พวกเราคิดคำตอบไว้ในใจดูก่อนไปดูผลวิจัยได้ “เรารู้สึกกังวลว่าคู่รักของเราไม่แคร์เราเท่าที่เราแคร์เขา” “เรารู้สึกกังวลเวลาคู่รักเข้าใกล้” “เราชอบใช้ของหรูหรามีระดับ” “ชีวิตของเราจะดีขึ้นเมื่อได้เป็นเจ้าของบางอย่างที่เราไม่มี” เมื่อตอบคำถามเหล่านี้เสร็จผู้วิจัยจะเริ่มวัดความเป็น “วัตถุนิยม” ในตัวของผู้ทดสอบด้วยการโชว์ชุดคำบางอย่างบนจอคอมพิวเตอร์อย่างคำว่า “เงิน” “ท้องฟ้า” รวมทั้งคำที่ไร้ความหมายอื่น ๆ เพื่อให้ผู้เข้าร่วมกดคำที่เขาคิดว่ามีความหมายกับชีวิตและกดเลือกคำที่คิดว่าไม่มีความหมายอะไร ผลการทดลองชี้ชัดว่าใครที่มีอ่อนไหวกับเรื่องความสัมพันธ์มักให้ความสำคัญกับสิ่งของที่เป็นวัตถุมากกว่า
เทคโนโลยีที่ไม่มีการควบคุมมักจะสร้างปัญหาให้พวกเราได้เป็นประจำ อย่างในปีนี้เราได้เห็นการขยายตัวของยานยนต์อัตโนมัติไร้คนขับหรือที่เรียกกันสั้น ๆ ว่า โดรน กลายมาเป็นของเล่นที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ด้วยการเข้าถึงที่ง่าย ราคาไม่แพง จึงมีทั้งคนที่ซื้อไปใช้อย่างสร้างสรรค์ และคนที่ซื้อไปใช้สนองความต้องการแปลก ๆ ของตัวเอง ถึงแม้หลายประเทศจะยังไม่อนุญาตให้นำโดรนขึ้นบินอย่างอิสระ และต้องมีการขอใบอนุญาตหรือแจ้งเจ้าหน้าที่ก่อนก็ตาม แต่แน่นอนว่ายังมีคนลักลอบนำโดรนขึ้นบินอยู่ดี และถ้าหากวันหนึ่งเราเจอกับโดรนแปลกหน้าบินเข้ามาในพื้นที่ส่วนบุคคลขณะทำกิจกรรมส่วนตัวกับคนรู้ใจอยู่ แทนที่จะต้องคอยถามว่าของใคร การมีปืนสำหรับสอยโดรนให้ร่วงโดยที่ไม่สร้างความเสียหายเก็บไว้ซักกระบอกก็คงจะดีไม่น้อย เทคโนโลยีปืนสอย Drone นั้นเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วพร้อมกับความน่าเป็นห่วงจากสารพัดปัญหาที่มาจากโดรนเถื่อน หรือล่าสุดกับปัญหา Drone ต้องสงสัยที่บินวนป่วนอยู่ในสนามบินประเทศอังกฤษจนการจราจรทางเครื่องบินปั่นป่วนไปหมด ส่งผลกระทบในวงกว้าง ทั้งเรื่องของเที่ยวบินที่ต้องถูกระงับ เพราะไม่สามารถนำเครื่องบินขึ้นได้ เนื่องจากอาจเกิดการชนโดรนและทำให้ตัวเครื่องบินเสียหาย เพราะการบังคับโดรนสามารถทำได้จากระยะไกล ทำให้ในบางครั้งก็ไม่อาจทราบได้ว่าผู้ที่ควบคุมโดรนนั้นอยู่ตรงไหน ยากจะหาต้นตอเจ้าของมันได้ เพื่อป้องกันปัญหาต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นเกี่ยวกับโดรนที่ไม่ทราบที่มาที่ไป จึงทำให้บริษัท OpenWorks Engineering ของประเทศอังกฤษเร่งพัฒนาปืนสำหรับจำกัดโดรนในชื่อสุดเท่ว่า Skywall 100 ปืนขนาดใหญ่แบบวางบนบ่า (Shoulder-mounted) น้ำหนัก 10 kg ที่แม้จะหนักแต่มีประโยชนมากมายเพื่อให้องค์กรต่าง ๆ สามารถซื้อเจ้าปืนอันนี้ไว้ใช้ในยามจำเป็น หากเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันอย่างกรณีโดรนไม่ทราบที่มาบินเข้ามาในพื้นที่ส่วนบุคคลโดยไม่ได้รับอนุญาต ป้องกันการสอดแนม รวมถึงการรุกล้ำละเมิดสิทธิส่วนบุคคล การใช้งานเจ้า Skywall 100 นั้นก็แสนจะง่ายดาย เพราะมันคือปืนที่จะสอยโดรนให้ร่วงอย่างง่ายดายด้วยแก๊สอัดลมพื่อส่ง หัวจรวด SP40 ติดตั้งตาข่ายไว้สำหรับจับโดรน
ที่สุดของตำนานนักสู้ผู้ยิ่งใหญ่ ซามูไรหาญกล้าผู้ออกรบอย่างดุดันแม้จะมีตาเพียงดวงเดียว สำหรับชายผู้ที่ชื่นชอบความเท่แบบญี่ปุ่นและชื่นชอบซามูไร คงไม่มีใครไม่รู้จักกับยุค เซ็นโงคุ ที่สร้างชื่อให้กับเหล่านักรบผู้เก่งกาจ และนักสู้คู่ยุคเดือด ซามูไรนาม ดาเตะ มาซามุเนะ ชายที่เกิดมาพร้อมกับความบกพกพร่องทางสายตา แต่ด้วยความสามารถที่ไม่เป็นสองรองใคร รวมถึงความแข็งเกร่งที่แสดงให้ทุกคนได้สัมผัสมากกว่าแค่ชื่อเสียง จนได้รับการขนานนามว่าเป็น มังกรตาเดียวแห่งเซ็นโงคุ ดาเตะ มาซามุเนะ เกิดเมื่อปีค.ศ. 1567 ในปราสาทของตระกูลโยเนซาวะ เขาเป็นลูกชายคนโตของไดเมียว (ผู้ครองนคร) แคว้นมุตสึ มาซามุเนะสูญเสียตาขวาตั้งแต่กำเนิดด้วยโรคไข้ทรพิษ (Smallpox) แต่บางตำนานก็ได้เล่าขานเรื่องราวของเขาอย่างแปลก ๆ เช่น ผู้เป็นพ่อสั่งให้คนรับใช้ประจำตัวเป็นผู้ควักลูกตาออก แต่ยังไร้ซึ่งเหตุผลที่หนักแน่นพอมารองรับข้อสันนิษฐานนี้ และก็มองไม่เห็นถึงความจำเป็นที่คนเราจะต้องควักลูกตาออกข้างหนึ่ง แต่ไม่ว่าจะเพราะอะไรก็ตามแต่ ดาเตะ มาซามุเนะ เป็นเด็กผู้ชายที่มีตาข้างเดียว ซึ่งความไม่สมบูรณ์นี้เองที่ถึงแม้จะเป็นพี่ชายคนโตของตระกูลก็ตาม กลับไม่ได้เป็นที่รักของมารดาเท่าไหร่นัก และถูกมองว่าไม่คู่ควรกับการได้เป็นผู้สืบทอดตำแหน่งไดเมียวแห่งโยเซนาวะผู้ครองแคว้นมุตสึ ด้วยนิสัยหาญกล้าบ้าบิ่น ชื่นชอบการแข่งขัน กระหายชัยชนะ จึงทำให้ มาซามุเนะ เป็นที่ถูกพูดถึงตั้งแต่ยังเด็ก มีตำนานเล่าขานความโหดเหี้ยมเด็ดขาดของมาซามุเนะว่า เมื่อตอนอายุ 11 ปี และต้องแต่งงานกับ ทามูระ เมโงฮิเมะ แต่มาซามุเนะเกิดความหวาดระแวงว่าตระกูลทามูระจะพยายามหักหลัง เขาได้ลงมือสังหารคนรับใช้ของภรรยาตัวเองเสียสิ้น ทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองตระกูลไม่สู้ดีเท่าไหร่นัก ซึ่งต้องทำความเข้าใจว่าในสังคมญี่ปุ่นสมัยก่อนยังมีมุมมองเรื่องอายุที่ต่างกับยุคปัจจุบัน เด็กเกือบทั่วทั้งเอเชียมักแต่งงานเร็วเป็นเรื่องธรรมดา และเด็กอายุสิบกว่าขวบก็มีเรื่องครอบครัวและความรับผิดชอบมาให้คิดมากกว่าเด็กอายุรุ่นเดียวกันอย่างในปัจจุบัน หลังจากนั้นต่อมาในปี 1581
เมื่อประมาณ 2-3 ปีก่อน แฟนคลับลูกหนังของทีมฟุตบอลปีศาจแดง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คงพอจะเห็นข่าวคราวที่ว่ามีนักเตะเยาวชนเด็กไทยจะได้เซ็นสัญญากับสังกัดแมนยู ฯ ผ่านตากันมาบ้าง รวมถึงเรื่องของฝีเท้าที่ไม่ธรรมดาทั้งที่ยังอายุน้อย กับลูกเตะฟรีคิกคิกอันโด่งดังของ Corbyn Murray ที่สื่อเทียบเคียงได้กับลูกเตะฟรีคิกของอดีตนักเตะชื่อดังอย่าง เดวิด แบคแฮม กันเลยทีเดียว คอร์บิ้น เมอร์เรย์ หรือ Corbyn Murray เด็กหนุ่มผู้โตมากับครอบครัวที่รักการเล่นฟุตบอลเป็นชีวิตจิตใจ เพราะปู่เป็นนักฟุตบอลเก่า พ่อก็ชื่นชอบกีฬาชนิดนี้เป็นอย่างมาก Corbyn ก็เลยคลุกคลีอยู่กับฟุตบอลมาโดยตลอด และเมื่อเขาอายุ 8 ขวบ ก็ได้รับข้อเสนอจากสโมสรฟุตบอลของอังกฤษ และทำให้เขากลายเป็นนักเตะเยาชนลูกครึ่งอังกฤษ-ไทย อย่างที่รู้กันดีว่าสโมสรแมนยู ฯ นั้นมีการคัดเลือกนักเตะระดับเยาวชนที่มีความเข้มข้น แต่ด้วยพรสวรรค์ที่โดดเด่นทำให้ Corbyn สามารถติดทีมเยาวชนของสโมสรชื่อดังอย่าง Manchester United ไม่ได้มีเพียงแค่สโมสร Manchester United เท่านั้น แต่ยังมีอีก 4 สโมรสรที่พร้อมจะรับ Corbyn เข้าทีมอคาเดมี ทั้ง Liverpool ที่เป็นทีมฟุตบอลโปรดของ Corbyn นอกจากนี้ยังมีสโมสร Blackburn Rovers F.C. ,
ในยุคที่เราต้องทำกิจกรรม ธุรกรรม และสารพัดกรรมในโลกอินเตอร์เน็ตและโลกแห่งอุปกรอิเล็กทรอนิกส์สิ่งหนึ่งที่สำคัญมากคือการตั้งพาสเวิร์ดเพื่อเป็นการป้องกันข้อมูลของเราไม่ให้รั่วไหลออกไปสู่มือผู้อื่น แต่บางทีการมีหลายแอคเคาต์ หลายอุปกรณ์ หลายแพลตฟอร์มก็ทำให้เราขี้เกียจสร้างพาสเวิร์ดแปลก ๆ ท่ายากให้ตัวเองลืม เลยไม่วายตั้งพาสเวิร์ดง่าย ๆ จนเข้าขั้นสิ้นคิด แต่ถ้าไม่แน่ใจว่าพาสเวิร์ดเรานี่มันเข้าข่ายสิ้นคิดไหม ง่ายเกินไปหรือเปล่า SplashData แอปพลิเคชันจัดการพาสเวิร์ดเขาก็จัดอันดับพาสเวิร์ดยอดแย่ทุกปีไว้ และนี่คือ 25 อันดับแรกที่เข้าข่ายพาสเวิร์ดยอดแย่ เหล่าพาสเวิร์ดยอดแย่ที่เรากำลังจะบอกต่อไปนี้ก็ใช่ว่า SplashData เขามโนขึ้นมาเองเป็นตุเป็นตะ แต่เขานำข้อมูลมาจากพาสเวิร์ดที่รั่วไหลมาในโลกออนไลน์มาประมวลผลและหาค่าเฉลี่ย โดยพาสเวิร์ดที่รั่วไหลนี้รั่วไหลมากว่า 5 ล้านรหัสจากผู้ใช้ในอเมริกาเหนือและยุโรปตะวันตก Morgan Slain จาก SplashData เปิดเผยว่า “แฮ็กเกอร์ประสบความสำเร็จอย่างมากในการใช้ชื่อคนดังหรือคำศัพท์จากวัฒนธรรมป๊อปและกีฬา รวมถึงตัวอักษรบนแป้นพิมพ์ที่อยู่ใกล้กัน เพื่อเจาะเข้าสู่บัญชีออนไลน์เพราะพวกเขารู้ว่ามีคนจำนวนมากเลือกตั้งพาสเวิร์ดที่จำง่ายเข้าไว้” สำหรับพาสเวิร์ดเดาง่ายที่ครองตำแหน่งมา 5 ปีซ้อนก็คือ “123456” และที่ 2 ซึ่งได้แก่ “password” ก็ครองตำแหน่งมา 5 ปีซ้อนเช่นกัน ส่วน 5 อันดับถัดมาก็ล้วนแต่เป็นพาสเวิร์ดที่ประกอบขึ้นจากตัวเลขล้วน ๆ มามาลองดูกันว่ามีพาสเวิร์ดเราเข้าข่ายแย่และเดาง่ายกับเขากันบ้างไหม 1.123456 2.password 3.123456789 4.12345678 5.12345 6.111111
สำหรับผู้ที่อยู่ในวงการศิลปะหรือคนทั่วไป แวนโก๊ะนั้นเป็นที่รู้จักในฐานะศิลปินชายผู้สร้างสรรค์ผลงานศิลปะกว่า 2,100 ชิ้น และงานของเขาที่ขึ้นชื่อเรื่องราคาแพงและความดังอย่าง Sunflowers หรือ ภาพราตรีประดับดาว The Starry Night แต่กว่าที่เขาจะเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกในฐานะสุดยอดศิลปิน เขาต้องเผชิญหน้ากับปัญหาโรคซึมเศร้า คำครหา ความขัดแย้งกับเพื่อน รักที่ไม่สมหวัง รวมถึงหูซ้ายที่หายไป ฟินเซนต์ วิลเลียม ฟัน โกะ (Vincent Willem van Gogh) หรือที่คนไทยเรียกเขาในชื่อ วินเซนต์ แวนโก๊ะ ศิลปินชื่อดังในช่วงลัทธิ Post-Impressionism ที่ศิลปินในลัทธินี้จะเน้นการใช้สีสันที่จัดจ้าน เส้นหนา เน้นรูปทรงเรขาคณิต และความเหนือจริง ซึ่งผลงานของแวนโก๊ะนั้นมีหลากหลายสไตล์ไม่ว่าจะเป็นภาพทิวทัศน์ ภาพนิ่ง ภาพเหมือน รวมถึงวาดภาพตัวเองด้วย แต่ผลงานทั้งหมดของเขานั้นจะมีจุดเด่นที่เหมือนกันคือความจัดจ้านของสี และลายเส้นของพู่กันที่เต็มไปด้วยอารมณ์ ถึงปัจจุบันชื่อของแวนโก๊ะจะโด่งดัง แต่ช่วงเวลาที่ยังมีชีวิตของเขานั้นช่างน่าเศร้า แวนโก๊ะเกิดในครอบครัวที่มีฐานะดี แต่กลับเป็นเด็กที่เงียบขรึม พูดไม่เก่ง มีท่าทางเงอะงะ และมีปมด้อยเรื่องอารมณ์ที่อ่อนไหวง่าย แต่ถึงอย่างไรก็ตามจิตใจที่แท้จริงของเขานั้นอ่อนโยนและตรงไปตรงมา เขาเคยสร้างวีรกรรมตั้งแต่อายุ 18 ปี ทำงานอยู่ในร้านขายภาพที่ปารีส ซึ่งบริษัทนี้ชอบเอารูปภาพชั้นเลวมาหลอกขายคนที่ไม่มีความรู้เรื่องศิลปะในราคาสูง ด้วยความเป็นคนตรงไปตรงมานี้ทำให้ครั้งหนึ่งแวนโก๊ะเคยบอกกับลูกค้าว่าอย่าซื้อภาพ จนทำให้เขาถูกไล่ออกทันที หลังจากโดนไล่ออก
เป็นข่าวใหญ่สะเทือนวงการโซเชียลอีกครั้งของ Facebook ที่ถูกจับได้ว่าแอบแบ่งปันข้อมูลแชทของผู้ใช้งานให้กับบริษัทที่เป็นพันธมิตรกันอย่าง Netflix และ Spotify เมื่อแชทส่วนตัวในโซเชียลชื่อดังอย่าง Facebook นั้นไม่เป็นส่วนตัวอีกต่อไป การแฉครั้งใหญ่เริ่มต้นขึ้นเมื่อสื่อเจ้าดังอย่าง The New York Times ได้เผยแพร่บทความ As Facebook Raised a Privacy Wall, It Carved an Opening for Tech Giants ที่ได้จากการรวบรวมข้อมูลต่าง ๆ ทั้งจากเจ้าหน้าที่รัฐ อดีตพนักงานของ Facebook รวมถึงเอกสารที่ Facebook ได้เซ็นกับพันธมิตร พบว่า Facebook ได้ทำข้อตกลงกับบริษัทต่าง ๆ กว่า 150 แห่ง ตั้งแต่ปี 2010 ให้เข้าถึงข้อมูลของผู้ใช้งาน Facebook เพื่อผลประโยชน์ร่วมกัน เช่นการให้ Spotify, Netflix และ Royal Bank of Canada สามารถอ่าน เขียน รวมถึงลบข้อความส่วนตัวของผู้ใช้งานได้
รู้หรือไม่ว่าแหล่งข้อมูลของผู้ใช้เว็บไซต์ที่คนส่วนใหญ่คิดว่าต้องได้มาจากการลงทะเบียนใน Netflix, Amazon Prime Video หรือ Hulu แท้จริงแล้วข้อมูลส่วนใหญ่ของเราล้วนมาจากเว็บโป๊ทั้งนั้น และนี่คือเรื่องจริงที่หลายคนยังไม่รู้ว่าเว็บไซต์ลามกแบบนี้แหละ ที่รู้ใจเรามากกว่าที่เราคิดว่าเรารู้จักตัวเองเสียอีก เพราะเว็บไซต์สำหรับผู้ใหญ่ชื่อดังอย่าง Pornhub นั้นมีผู้กดเข้าไปใช้บริการเว็บไซต์เป็นจำนวนกว่า 125 ล้านครั้งต่อวัน รวมไปถึงเว็บ YouPorn และ Redtube ที่มีผู้เข้าชมกว่า 100 ล้านครั้งต่อวัน แสดงให้เห็นว่าเว็บ Pornhub เป็นสื่อดี ๆ ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก และแม้จะยังไม่มีข้อมูลที่แน่ชัดเกี่ยวกับสถิติอุตสาหกรรมเรื่องสื่อสำหรับผู้ใหญ่ก็ตาม เนื่องด้วยปัญหาของการละเมิดลิขสิทธิ์และการพยายามปกปิดข้อมูลของผู้ใช้งานเว็บประเภทนี้ แต่สิ่งที่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเว็บไซต์ลามกได้รับความนิยมมากกว่าเว็บไซต์ภาพยนตร์ยอดฮิตอย่าง Netflix คือจำนวนครั้งที่เข้าชม และเนื้อหาของข้อมูลในเว็บไซต์ Pornhub ที่รองรับแทบจะทุกความต้องการของผู้ใช้ ซึ่งหากจะเปรียบเทียบว่าเนื้อหาในเว็บ Pornhub นั้นมีมากแค่ไหน ในปี 2017 ได้มีการเปรียบเทียบว่าเนื้อหาในเว็บโป๊ชื่อดังนั้น มีปริมาณเทียบเท่ากับหนังสือจำนวน 50 ล้านเล่มในหอสมุดประชาชนของนิวยอร์กเลยท่ีเดียว นอกจากเนื้อหาที่เยอะมากแล้วในด้านของการเงินก็แสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเว็บไซต์ลามกต่าง ๆ นั้นคือแหล่งรายได้ขนาดใหญ่ที่มีอิทธิพลอย่างมากต่อระบบเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา โดยเว็บไซต์ Netflix นั้นมีรายได้เพียง $11.7 billion แต่ในเวลาเดียวกันเว็บ Pornhub สามารถทำรายได้มากถึง
ถ้าพูดถึงมิวสิควิดีโอเพลงของเพลง Hip-Hop หนุ่ม ๆ หลายคนอาจคุ้นชินกับภาพของการอวดรวยแบบ New School ซึ่งกำลังได้รับความนิยม ไม่ว่าจะเป็นชีวิตที่รายล้อมด้วยสาว ๆ รถหรูที่คนทั่วไปไม่มีโอกาสได้สัมผัส รวมไปถึงธนบัตรกองโตที่ถูกโยนไปมาราวกับเป็นของหาง่าย ซึ่งคงไม่ได้อะไรนอกจากความเพลิดเพลิน แต่ขณะเดียวกันกลับมี MV เจ๋ง ๆ ของแร็ปเปอร์ชาวอังกฤษที่ช่วยให้หนึ่งครอบครัว สามารถกลับมาอยู่พร้อมหน้าพร้อมตาได้ด้วยเช่นกัน มิวสิกวีดีโอเพลง Run ของศิลปิน Bugzy Malone กลายมาเป็นความภาคภูมิในของแร็ปเปอร์หนุ่มโดยที่เขาไม่รู้ตัว หลังจากเพลงของเขาถูกอัปโหลดขึ้น Youtube ในวันที่ 6 สิงหาคม 2018 ในตอนนั้นแร็ปเปอร์วัย 27 ปี หวังแค่ว่าบทเพลงของเขาซึ่งมีความหมายเกี่ยวกับการเติบโตอันยากลำบากของเด็กหนุ่ม จะสามารถเป็นพลังให้กับคนฟังได้ไม่มากก็น้อย แต่ผลของมันกลับเป็นได้มากกว่าที่คาดหวังเอาไว้ เพราะในเวลาต่อมาค่ายเพลงได้รับการติดต่อจากผู้หญิงคนหนึ่งที่อ้างตัวว่าเป็นแม่ของชายไร้บ้านที่อยู่ในมิวสิกวิดีโอดังกล่าว สาเหตุที่เป็นแบบนี้ก็เพราะ MV ของ Bugzy Malone ถูกถ่ายทำขึ้นจริงโดยอาศัยการเก็บฟุตเทจรอบเมืองแมนเชสเตอร์ในประเทศอังกฤษ ส่วนตัวนักแสดงก็ไม่ใช่ใครนอกจากเด็กและคนไร้บ้านที่อาศัยอยู่บริเวณนั้น ซึ่งพวกเขาว่าจ้างให้บุคคลเหล่านี้มาเข้ากล้องแทนนักแสดง ก่อนจะมอบสิ่งของหรือเงินเล็กน้อยเพื่อเป็นการตอบแทน นอกจากนี้พวกเขายังมีโอกาสได้พูดคุยและแบ่งปันประสบการณ์ชีวิตอันยากลำบากจากคนเหล่านั้นอีกด้วย โดย Bugzy Malone บอกว่าจะใช้มันเป็นแรงบันดาลใจในการแต่งเพลงในอนาคตของตัวเขาเองด้วย View this post on Instagram Today
Volkswagen คือรถยนต์สัญชาติเยอรมันที่สร้างสรรค์ขึ้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นรถที่ชาวเยอรมันนิยมมีไว้ติดบ้านเนื่องจากสมรรถนะที่ดีเยี่ยม เต็มไปด้วยประโยชน์ใช้สอยในราคาย่อมเยา รวมถึงเรื่องของการบริการใส่ใจลูกค้าไม่เคยเสื่อมคลาย แม้แต่คุณยายที่เคยซื้อรถยนต์เมื่อ 50 ปีที่แล้ว มาถึงวันนี้ยังได้รับเซอร์ไพรส์ครั้งใหญ่ที่น่าประทับใจจาก Volkswagen เช่นกัน เรื่องราวความประทับใจนี้เริ่มต้นจากหญิงอายุ 73 ปี นามว่า Kathleen Brooks เธอได้ซื้อรถ Volkswagen Beetle สีแดง หรือที่คนไทยนิยมเรียกกันจนติดปากว่า “รถเต่า” มาตั้งแต่วันที่ 12 ธันวาคม ค.ศ. 1966 ซึ่งเท่ากับว่าเจ้ารถเต่าคันดังกล่าวอยู่กับแคทเธอรีนมากว่า 52 ปีแล้ว มันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรสำหรับการครอบครองรถคลาสสิคเป็นเวลานาน แต่เรื่องราวระหว่างแคทเธอรีนและรถเต่าของเธอมีความน่าสนใจมากกว่านั้น เพราะตั้งแต่ที่เธอซื้อรถคันแรก เธอได้จดบันทึกเรื่องราวความผูกพันระหว่างตัวเธอกับรถเต่าคู่ใจตลอดเวลา เธอตั้งชื่อมันว่า Annie และไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่มีเวลาว่าง เธอมักจะออกไปขับรถเล่นพร้อมความทรงจำดี ๆ อย่างเช่น ในวันที่แอนนี่ต้องขึ้นเนินเขา เธอจะเคลื่อนไหวช้าลง และในวันที่อากาศเย็น แอนนี่จะทำงานได้เป็นอย่างดี ซึ่งเจ้ารถเต่าแอนนี่อยู่กับเธอตั้งแต่แต่งงานจนกระทั่งหย่าร้าง ซื้อบ้านเป็นของตัวเอง ไปจนถึงตอนที่เธอพบว่าตัวเองเป็นมะเร็งเต้านมระยะที่สาม รวมเป็นเวลากว่า 5 ทศวรรษ เป็นระยะทางกว่า 450,000 ไมล์ ที่ทุกการเดินทางของแคทเธอรีนก็จะมีแอนนี่อยู่เคียงข้างเสมอ จนกระทั่งในเดือนกุมภาพันธ์