หากพูดถึงยอดยนตรกรรมจากแดนอาทิตย์อุทัย ที่ประทับใจแฟน ๆ ชาวไทยมาอย่างยาวนาน เชื่อว่าชื่อของ Mazda ย่อมติดโผอยู่ในอันดับต้น ๆ ในใจของใครหลายคน และในวันนี้เราจะชวนแฟนพันธุ์แท้ Mazda เดินทางย้อนสู่เรื่องราวตำนาน Flagship Sedan รุ่นเด่นของ Mazda ที่คงความสง่างามและเปี่ยมไปด้วยสมรรถนะตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เพื่อเป็นการร่วมเฉลิมฉลองครบรอบ 20 ปี Mazda6 หนึ่งในรถยนต์นั่งสปอร์ตซีดานระดับไฮเอนด์ที่ให้ความหรูหราภูมิฐานจากประเทศญี่ปุ่น ที่แฟน ๆ ชาวไทยรอคอยมาอย่างยาวนาน ซึ่งพร้อมแล้วที่จะให้สาวก Mazda ตัวจริงได้ครอบครอง กับ Mazda6 20th Anniversary Edition รุ่นพิเศษส่งตรงจากสำนักงานใหญ่ เมืองฮิโรชิมา จำนวนจำกัดเพียง 100 คันในประเทศไทย!! MAZDA LUCE – 1966 : เริ่มต้นกันที่ Mazda Luce รุ่นแรกที่แฟน ๆ Mazda น่าจะจดจำความโดดเด่นได้เป็นอย่างดี ในฐานะรถยนต์ซีดาน ขนาด 1.5 ลิตร คันแรกของ
“ผมว่า Lambretta มันเป็นรถที่เท่ และมีสีสันความสนุกอยู่ในตัวเอง ย้อนไปตั้งแต่แลมตัววินเทจที่มีเสน่ห์ในเรื่องของการใช้โทนสีจัดจ้านสนุกสนาน ทำให้สีของรถที่เด่น ๆ ในแต่ละรุ่นแต่ละปี มันถูกบันทึกอยู่ในความทรงจำของคนขี่แลม เป็นเหมือน Colors of Time เป็นสีสันที่ชวนให้นึกถึงช่วงเวลาที่ผ่านมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน” นี่คือมุมมองที่มีต่อ Lambretta ของ ‘จเด็จ คาลายานนท์’ หรือที่หลายคนรู้จักเขาในชื่อ ‘JDED FEDFE’ ผู้ที่หลงใหลในรถแลมวินเทจ ด้วยเสน่ห์ของสีสันและงานดีไซน์ที่เท่จับใจ จนต้องหามาครอบครองเป็นของตัวเองสักคัน “รักแรกที่มีให้กับ Lambretta เป็นเรื่องของรูปลักษณ์และสีสันที่คลาสสิกโดนใจผมมาก พอได้มาเจอแลมสีม่วงคันนี้จอดอยู่หลังร้านของเพื่อน ก็คุยกันว่าอยากได้ เพื่อนเองก็จอดอยู่เฉย ๆ ไม่ได้ใช้ เลยส่งต่อให้ในราคามิตรภาพ จากนั้นผมก็เอาไปทำต่อจนกลายเป็นรถที่ใช้จริงในชีวิตประจำวัน” “อย่างที่รู้กันสำหรับคนเล่นรถวินเทจว่าได้รถมาแล้วก็ต้องให้เวลา ใช้เวลาเรียนรู้กับมัน เพราะว่ารถพวกนี้มันจุกจิก ถ้าเจอปัญหาก็ต้องรีบคอยซ่อมรีบแก้ไขถ้าแบบปล่อยทิ้งไว้มันก็จะบานปลาย ต้องแบบค่อย ๆ เรียนรู้ไปกับมันครับ ใช้งานไปเรื่อย ๆ แล้วเราจะรู้จักมันเองมากขึ้นว่าเวลาเกิดปัญหาต่าง ๆ จะต้องรับมือยังไง และที่สำคัญคือต้องอินกับการดูแลรักษามันด้วยครับถึงจะมีความสุข เหมือนอย่าง Lambretta คันที่ผมใช้อยู่ก็ต้องใช้เวลาปรับแต่งกับมันพอสมควร กว่าจะกลายเป็นรถคู่ใจตั้งแต่ช่วงโควิดใหม่ ๆ ผมไปไหนไปกันกับคันม่วงนี้ตลอด ขี่เดินสายตัดผม
แฟนคลับรู้กันดีว่าราชานิยายสยองขวัญ ‘สตีเวน คิง (Stephen King)’ เขียนเรื่องราวโดยการเอาปากกาจุ่มหมึกตรา ‘ชีวิตจริง’ ของตัวเองเสมอ อย่าง Carrie นิยายเล่มแรกที่เปลี่ยนชีวิต ในปี 1974 ได้แรงบันดาลใจมากจากเพื่อนผู้หญิงในโรงเรียนคนหนึ่งของคิง ที่มีแม่เป็นคนแปลก ๆ ให้ลูกแต่งตัวมาโรงเรียนด้วยชุดแบบเดียวกันตลอดทั้งเทอม และเมื่อเธอซื้อเสื้อผ้าใหม่ใส่มา กลับโดนเพื่อนทั้งโรงเรียนบูลลี่ หรือในเรื่องสั้น The Body (ที่ถูกทำเป็นหนัง coming of age ชื่อ Stand By Me ในปี 1986) ก็มาจากความทรงจำเรือนลางตอน 4 ขวบของคิง ที่เพื่อนของเขาถูกรถไฟชนจนเสียชีวิต และในปี 1983 เองก็ไม่ต่างกัน เมื่อคิงได้บังเอิญอ่านข่าวเกี่ยวกับรถผีสิงที่น่ากลัวที่สุดของอเมริกาตอนช่วงยุค 60s มันช่วยทำให้เขาประกอบรถของตัวเองขึ้นมาบ้าง-รถที่แฟนคลับหนังสือของเขาติดตาไม่มีลืมคันนั้นใช้ชื่อว่า Christine ส่วนรถต้นขั้วความสยองขวัญคือ The Golden Eagle รถที่ว่ากันว่าฆ่าคนไปกว่า 32 ศพ ! Chapter 1 The (3)
“Walt Disney Of Japan” คือคำที่ถูกใช้เรียก Hayao Miyazaki หนึ่งในผู้ก่อตั้งและผู้กำกับคนสำคัญของสตูดิโออนิเมชั่นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น Studio Ghibli นั่นเอง ทุกครั้งที่คุยถึงการ์ตูนจิบลิเรื่องโปรดในดวงใจกับกลุ่มเพื่อน เคยสังเกตุกันมั้ย ว่าทุกครั้งเราจะต้องพูดถึงงานศิลป์ที่สวยงามราวกับเป็นของจริง แต่งดงามเกินชีวิตจริงกันเสมอ นั่นคือเหตุผลว่าทำไม สาวกอนิเมชั่นของจิบลิหลายคนถึงชอบดูคลิปสั้นฉากทำอาหาร ฉากผู้คนเดินขวักไขว่ใช้ชีวิตในเมือง หรือฉากยานพาหนะของสตูดิโอนี้ได้แบบไม่มีเบื่อ เพราะมันเหมือนว่าเราเอาตัวเองไปอยู่ในความฝัน ที่มีภาพความจริงที่เป็นไปได้ซ้อนทับอยู่ ส่วนตัวเราว่ามันทำให้มองโลกนี้น่าอยู่ขึ้น และเมื่อพูดถึงความฝัน วันนี้ก็เลยอยากจะพูดถึง ‘จุดเริ่มต้น’ ของสตูดิโอจิบลิ ซึ่งหนึ่งในหมุดหมายสำคัญที่หลายคนอาจจะยังไม่รู้ คือปู่ฮายาโอะของเรามีแพชชั่นในการทำอนิเมชั่นเพราะว่าอยากวาดรถฝรั่งเศสยี่ห้อ Citroën 2CV ของตัวเองเข้าไปมีชีวิตอยู่ในนั้น UNLOCKMEN ขอพาไปอ่านเรื่องราวความหลงใหลในรถของปู่ฮายาโอะ ที่ทำให้รถยนตร์ทุกคันในการ์ตูนของจิบลิมีความสวยงาม มีความหมาย และมีเรื่องราวของเขาซ่อนอยู่ใน 4 ล้อที่ขับเคลื่อนไปอยู่ตลอดเวลา “ด้วยรถคันนี้ มันทำให้ผมหนาวจนตัวสั่นในฤดูหนาว และร้อนจะเป็นจะตายเมื่อฤดูร้อนมาถึง แต่นั่นคือกระบวนการ ‘ออสโมซิส (Osmosis)’ ที่สมบูรณ์แบบสำหรับธรรมชาติของผม” ขอเล่าประวัติย่อสั้น ๆ กันสักนิด Hayao Miyazaki เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย Gakushuin University จบคณะเศรษฐศาสตร์
หลังจากเปิดตัวครั้งแรกภายในงาน Milan Design Week 2022 ที่จัดขึ้น ณ เมืองมิลาน ประเทศอิตาลี เมื่อวันที่ 6 มิ.ย. 65 ล่าสุด LAMBRETTA X300 ก็ถึงเวลาเปิดตัวอย่างเป็นทางการในประเทศไทย เมื่อค่ำคืนวันที่ 18 พ.ย. 65 ที่ผ่านมา ณ ลานพาร์ค พารากอน บรรยากาศในงานต้องบอกเลยว่ายิ่งใหญ่อลังการ สมศักดิ์ศรีครบรอบ 75 ปี LAMBRETTA เต็มไปด้วยเหล่าเซเลบคนสําคัญทั้งสายแฟชั่น ดนตรี ไลฟ์สไตล์ และสาวกรถสกู๊ตเตอร์ ตบเท้าเข้าร่วมงานอย่างคับคั่ง อาทิ มาร์โค เมาเร่อ, โต้ง Twopee, พลอย หอวัง, กอล์ฟ พิชญะ, โฟร์ ศกลรัตน์, แจ็ค แฟนฉัน, ปิ๊น Carnival, อาเบย์ ณรัฐ, เบ็น วราวุฒิ บราวน์, บู้
ตามปกติทั่วไปแล้วการตั้งชื่อร้านหรือชื่อบริษัทในบ้านเราโดยมากมักจะคำนึงถึงเรื่องโชคลาง ต้องตั้งชื่อแล้วรู้สึกมีกำลังใจ หรือตั้งแล้วรู้สึกได้ถึงความเจริญรุ่งเรืองที่จะเกิดขึ้นกับกิจการของตัวเอง แต่ไม่ใช่กับอู่ Harley-Davidson ของ คุณพัลลภ จำเนียรกาล หรือ “โนล (อ่านว่าโนน เพราะเจ้าตัวสะดวกแบบนี้ ฮ่า ๆๆๆ)” ที่ตั้งชื่อให้กิจการของตัวเองสุดกวนบาทาว่า “บรรลัยการาจ พังพินาศการช่าง” ซึ่งตั้งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากสวนสาธารณะและสวนพฤกษชาติ ศรีนครเขื่อนขันธ์ หรือที่ใครหลายคนรู้จักกันในชื่อบางกระเจ้า เรามาทำความรู้จักกับผู้ชายอารมณ์ดีคนนี้ กับการให้บริการภายใต้คอนเซปต์ “แพงและนานคือมาตรฐานของเรา!” เริ่มต้นด้วยชีวิตนักดนตรี เดิมทีคุณโนลไม่ได้มีอาชีพเป็นช่างมาตั้งแต่ตอนแรก เพราะสมัยก่อนเขาใช้ชีวิตในฐานะนักดนตรีกลางคืนด้วยการเล่นเบสมาก่อน และก็เป็นช่วงนี้เองที่เขามีจักรยานยนต์เป็นของตัวเองคันแรก ซึ่งจะว่าไปมันก็น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของการเริ่มได้ศึกษาการซ่อมรถด้วยเช่นกัน “ตอนนั้นผมเล่นดนตรีกลางคืนอยู่ ผมจะซื้อรถมอเตอร์ไซค์ทั่วไปแต่พ่อไม่ให้ซื้อ ผมก็เลยเอาเงินไปซื้อรถโบราณมาเลยโดยยังไม่บอกเขา พอซื้อมา พ่อออกมาเห็น คำแรกที่พ่อพูดคือ ‘ซื้อมาทำไมรถจับกัง’ รถที่ผมซื้อคือ MZ ทรงหยดน้ำ ตอนนั้นผมก็งงทำไมพ่อพูดอย่างนั้น พ่อเลยขึ้นบ้านไปเอารูปสมัยก่อนตอนขี่รถอังกฤษมาให้ผมดู คือผมก็รู้นะว่าพ่อผมเคยขี่มอเตอร์ไซด์ เคยฟังจากลูกน้องพ่อผม พวกทหารจะเรียกรถพ่อผมว่าเป็นชอปเปอร์ แต่ผมก็ไม่รู้ ผมก็นึกว่าพ่อขี่ชอปเปอร์ทั่วไป แต่จริง ๆ มันคือพวกรถอังกฤษที่พ่อผมขี่สมัยวัยรุ่น ทีนี้ก็ค่อย ๆ ศึกษามาเรื่อย ๆ เลย ช่วงนั้นประมาณอายุ 18
ความเป็นเกาะของประเทศญี่ปุ่นมีภูมิประเทศที่เป็นภูเขาครอบคลุมพื้นที่มากถึง 73% และป่าปกคลุม 69% ของประเทศ (อ้างอิงจากข้อมูลจากปี 2017) และเป็นที่รู้กันดีว่าแดนอาทิศอุทัยอุดมด้วยเหล่าผู้คนที่หลงใหลในความเร็วแทบจะทุกพื้นที่ เมื่อสมการของสถานที่อันแสนท้าทาย ผสมกับการเกิดของนักแข่งรถที่รักในความเร็ว เราจึงได้ Tōge สนามแข่งรถที่โอบล้อมด้วยความสวยงามแฝงอันตรายของธรรมชาติขึ้นมา UNLOCKMEN ขอพาทุกคนไปรู้จักกับสถานที่แข่งรถในตำนานของญี่ปุ่น ที่เป็นแรงบันดาลใจให้กับมังงะชื่อ Initial D และเป็นจุดกำเนิดของการ ‘ดริฟต์’ ของโลก พร้อมกับการสร้าง Drift King ขึ้นมา ที่มาของ Tōge หรือ Touge ในภาษาญี่ปุ่นมีความหมายว่า ‘ผ่าน’ ซึ่งใช้เรียกถนนที่สร้างเป็นทางโค้งรูปตัว S ที่ตัดอยู่บนรอบภูเขาที่มีอยู่ทั่วประเทศญี่ปุ่น สร้างขึ้นเพื่อลดการขึ้นของทางอันลาดชัน จนสามารถทำให้รถวิ่งเต็มที่ 2 เลนได้อย่างสะดวก ในอดีตแรกเริ่มเดิมทีมีเพื่อใช้สำรวจภูเขา ต่อมาจึงตัดถนนเพิ่มจนสามารถใช้สัญจรทั้งในการเดินทาง และเชิงพาณิชย์ได้ และเมื่อเข้าสู่ช่วงปี 80s – 90s เหล่านักแข่งรถก็เริ่มมองเห็นเส้นทางใหม่ ที่ท้าทายยิ่งกว่าสนามแข่งไหน ๆ ที่เคยมีมา การใช้เส้นทาง Tōge เป็นสนามแข่งรถนั้น ผิดกฎหมายมาก ๆ ในญี่ปุ่น
หลังจากเคยถอดออกจาก Netflix (ไทย) ไปแล้วครั้งนึง ตอนนี้ Death Proof ภาพยนตร์ปี 2017 ของเจ้าพ่อหนังคัลท์ยุคใหม่ Quentin Tarantino ก็กลับมาสตรีมมิ่งอีกครั้ง ใครที่ยังไม่เคยดูบอกเลยห้ามพลาด! ด้วยเสน่ห์ที่มีกลิ่นอายความสยองขวัญแบบปี 80s ซึ่งมาพร้อมกับความฟิล์มนัวร์ Noise มาเต็มที่ได้อารมณ์มาก ๆ และถ้าคุณรักรถ Vintage อย่าง Chevy Nova เรียกว่าจะได้เชยชมความงามที่มาพร้อมความแรงตลอดเรื่องกันเลยล่ะ สำหรับ Death Proof เควนตินเคยให้สัมภาษณ์ว่าเป็นผลงานที่ชอบน้อยที่สุดตั้งแต่เคยสร้างมา แต่ถ้าถามความเห็นของเราที่เป็นแฟนคลับเขา และเพิ่งจะดูเรื่องนี้อีกครั้งไปเมื่อไม่กี่วันก่อน ต้องบอกว่าไม่ได้รู้สึกว่าแย่ กลับกันคือยังเปี่ยมด้วยความคิดสร้างสรรค์ (และกวนตีน) สไตล์เควนตินเหมือนเดิม และที่ชอบมากโดยส่วนตัว คือการแตกไอเดียหัวข้อ ‘Death Proof’ อันเป็นเรื่องราวว่าด้วยรถซิ่งของสตั๊นแมนยุคเก่า ที่ใช้เพื่อชนจริง กระแทกจริง ไม่มี CGI ผสมใด ๆ มาเป็นเรื่องราว 2 ชั่วโมงได้อย่างสนุกจนน่าเหลือเชื่อ และปฎิเสธไม่ได้เลยว่าสิ่งที่น่าประทับใจนอกจากการได้เห็น Mary Elizabeth Winstead ใส่ชุดเชียร์ลีดเดอร์สีเหลืองแล้ว
ผู้ชายกับรถดูจะเป็นของคู่กันมาตลอดโดยเฉพาะในแง่ของการใช้งานขับขี่ แต่ถ้าจะพูดถึงการบำรุงรักษาก็อาจจะมีเขินกันบ้าง เราเชื่อว่ามีบางท่านอาจจะยังไม่รู้วิธีหรือยังไม่เคยแก้ไขปัญหาของรถคู่ใจด้วยเอง อันนี้ทีมงาน UNLOCKMEN ไม่ได้มีเจตนามาแซวกันนะครับ เราเข้าใจว่าด้วยภาระหน้าที่หลายอย่างที่ผู้ชายอย่างเราต้องลุยในแต่ละวัน อาจทำให้ไม่สามารถโฟกัสกับการดูแลยานพาหนะส่วนตัวได้ จึงต้องมอบภาระนี้ให้กับอู่หรือศูนย์บริการเป็นผู้ช่วยดูแลรถของเรา ซึ่งมันก็ดูจะเป็นทางออกที่ลงตัว แต่ถ้าสมมุติเกิดกรณีคับขันขึ้นมา การมี skill ติดตัวไว้บ้างก็จะช่วยเราได้เยอะ แถมยังเอาไว้ช่วยเหลือผู้อื่นได้ด้วย หนนี้เรามีวิธีการแก้ปัญหาสุดคลาสสิคนั่นก็คือ “การเปลี่ยนล้อ” มาฝากกัน สำหรับบางท่านที่อาจยังไม่รู้หรือไม่เคยจริง ๆ อันนี้เราถามมาจากช่างผู้ที่ชำนาญ รับรองว่านำมาประยุกต์ใช้ได้ง่าย ๆ จะได้ไม่อายเวลาเกิดเหตุการณ์ที่ต้องลงมือเอง ที่อยากนำเรื่องการเปลี่ยนล้อมาพูดถึงก่อนก็เพราะว่าช่วงนี้เป็นช่วงเทศกาลที่ใครหลายคนต้องเดินทาง แม้ว่าเราจะเช็กสภาพรถ สภาพยาง สภาพเราดีแล้ว แต่ก็อย่าประมาท เกิดไปเหยียบตะปูหรืออะไรคม ๆ เข้า ไม่ก็ดันไปจอดไว้สักที่แล้วเจอเจ้าถิ่นหยอกแรงปล่อยลมยางขึ้นมา อันนี้ก็ต้องแก้ปัญหากันไป แต่อย่ากังวล แค่ทำตามวิธีนี้ก็สามารถอยู่รอดบนถนนได้สบาย ๆ เตรียมพร้อมเสมอ ก่อนขับรถออกเดินทางทุกครั้งควรเช็กว่ารถเรามียางอะไหล่พร้อมอุปกรณ์เปลี่ยนยางที่พร้อมใช้มั้ย ส่วนใหญ่แล้วยางอะไหล่ก็จะถูกติดตั้งไว้ใต้ท้องรถด้านหลัง อย่าลืมตรวจสอบว่าลมยางอะไหล่ของเราโอเคหรือยังถ้าเกิดต้องนำมาใช้จริง ส่วนอุปกรณ์ที่ติดกับรถมาตั้งแต่แรกก็จะมีแม่แรงประจำรถ, ประแจถอดล้ออะไหล่ และ บล็อกถอดน็อตล้อ ถ้าทุกอย่างพร้อม ก็ลุยเลย เมื่อความซวยมาเยือน เราว่าทริปนี้มันต้องดีแน่ ๆ แต่บางครั้งโชคอาจไม่เข้าข้างเสมอไป เอาแล้วไง ทำไมมันแปลก ๆ
Françoise Sagan เป็นนามปากกาของ Françoise Quoirez ซึ่งคำว่า ‘Sagan’ มาจากชื่อตัวละครในนิยายของนักเขียนชื่อ Marcel Proust ซากองเป็นนักเขียนสาวชาวฝรั่งเศส ที่ใช้ชีวิตเหมือนรถแข่ง โฉบเฉี่ยวบนสนามด้วยความสวยงาม และจบการแข่งขันในเวลาที่ไม่นานนัก UNLOCKMEN ขอพาทุกคนไปรู้จักกับชีวิตที่น่าสนใจของเธอกัน หนังสือเล่มแรก Bonjour Tristesse (Hello Sadness) ‘ฟรองซัวส์ ซากอง’ เกิดในปี 1953 เป็นน้องคนเล็กสุดของครอบครัวที่มีลูก 3 คน ซึ่งเติบโตในหมู่บ้านทางตอนใต้ของฝรั่งเศสชื่อว่า Cajarc ทัศนียภาพของที่นี่ล้อมด้วยเนินเขาเตี้ย ๆ และติดริมแม่น้ำสวยงาม เมื่อเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น ซากองย้ายไปใช้ชีวิตอยู่ที่ปารีส พร้อมเข้าเรียนสาขาวรรณกรรมที่ Sorbonne Université และเริ่มใช้ชีวิตสุนทรีย์แบบสาวปาร์ตี้ในเมืองหลวง ตอนอายุ 18 ซากองใช้เวลา 7 อาทิตย์เขียนหนังสือชื่อ Bonjour Tristesse (Hello Sadness) จนเสร็จเรียบร้อย วางปากกา ปล่อยมือ ส่งเข้าโรงพิมพ์ และปล่อยให้มันทำหน้าที่สร้างชื่อเสียงให้เธอโด่งดังไปทั่ว ปักหมุดชื่อ Françoise