รถยนต์ ถือเป็นอีกหนึ่งหลักฐานทางวัฒนธรรมที่สะท้อนความเป็นอยู่ของคนในแต่ละยุคได้ดี อย่างเช่นช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นยุคที่ประเทศญี่ปุ่นผลักดันการคมนาคมทางรถยนต์ ซึ่งเน้นการผลิตที่ต้นทุนไม่สูง ขนาดรถไม่ใหญ่ สอดคล้องกับเศรษฐกิจและการขยายตัวของคนและเมืองในช่วงฟื้นฟู เป็นยุคเริ่มต้นความนิยมรถไซส์เล็ก หรือ Kei Car ในญี่ปุ่น และในโอกาสครบรอบ 100 ปีของ Mazda วันนี้เราจะมาทำความรู้จักกับ R360 Coupe’ Microcars ที่ถือกำเนิดเมื่อ 60 ปีที่แล้ว และเป็นรากฐาน DNA ของรถ Mazda มาถึงในปัจจุบัน ในช่วงปี 1960 ขณะที่ USA นิยมรถ Muscle Car คันใหญ่แรงม้าเยอะ ประเทศญี่ปุ่นสนับสนุนให้ประชาชนใช้รถยนต์ไซส์เล็ก พละกำลังพอเพียง แลกกับผลประโยชน์ทางด้านภาษีและราคารถยนต์ที่ถูกสบายกระเป๋า แม้ Mazda R360 คันนี้จะไม่ใช่ Kei Car คันแรกของญี่ปุ่น แต่เป็นรถที่เปิดตัวแล้วได้ผลตอบรับดีมาก ด้วยขนาดที่กะทัดรัดเพียง 3 x 1.2 เมตร เครื่องยนต์วางหลัง 360
ถ้าพูดถึงรถมอเตอร์ไซค์เท่ ๆ สักคันที่เหมาะกับผู้ชายสายคลาสสิกอย่างเรา เชื่อว่าแวบแรกหนุ่ม ๆ คงจินตนาการภาพรถมอเตอร์ไซค์สไตล์ครุยเซอร์ (Cruiser) ที่โดดเด่นด้วยรูปร่างบึกบึน เบาะนั่งโหลดต่ำ และแฮนด์ยกสูง มาคู่กับไบเกอร์สวมกางเกงยีนส์และแจ็คเก็ตหนังสุดเฟี้ยว แต่ในบรรดาค่ายรถมอเตอร์ไซค์หลากสัญชาติบนโลก Indian Motorcycle ถือเป็นค่ายผู้ผลิตรถมอเตอร์ไซค์สไตล์ครุยเซอร์ที่น่าจับตามองที่สุดในตอนนี้ แม้จะถ่ายทอดอารมณ์ของมอเตอร์ไซค์คลาสสิกออกมาได้สุดขีดแบบไม่กั๊ก แต่ก็ไม่หลงลืมการพัฒนานวัตกรรมเพื่อการขับขี่ควบคู่ไปด้วย เมื่อไม่นานมานี้ Indian Motorcycle เพิ่งเปิดตัว ‘Scout Bobber Sixty 2020’ ที่เรียกว่าได้เสียงฮือฮาจากสิงห์นักบิดทั่วโลก เพราะโมเดลรุ่นนี้ถอดแบบโครงสร้างหลักของ Scout Bobber รุ่นพี่มาอย่างไม่มีผิดเพี้ยน ตั้งแต่ชุดเฟรม ระบบเบรก ระบบกันสั่นสะเทือน บังโคลนท้าย หรือแม้แต่ถังน้ำมัน เครื่องยนต์ V-Twin ของ Scout Bobber Sixty 2020 ลดปริมาตรความจุเครื่องยนต์จาก 1200 ให้เหลือ 999 ซีซี และลดขนาดให้เหลือเพียง 60 ลูกบาศก์นิ้วเท่านั้น มาพร้อม 5 เกียร์สปีด ขุมพลังขับเคลื่อนสูงสุด 78
หนุ่ม ๆ ที่หลงใหลในรถยนต์โดยเฉพาะโมเดลคลาสสิกที่ปล่อยออกมาระหว่างยุค 50’s-70’s คงไม่มีใครไม่รู้จักชื่อเสียงเรียงนามของยนตรกรรมคันจิ๋วแต่โคตรแจ๋วอย่าง FIAT 500 (เฟียต 500) ตำนานซิตี้คาร์ที่สร้างความเปลี่ยนแปลงต่อทั้งอุตสาหกรรมการผลิตและรูปแบบใช้งานรถยนต์ของผู้คนในทวีปยุโรปและทั่วโลก แต่อะไรคือเหตุผลที่ทำให้ Fiat 500 ครองความยิ่งใหญ่ได้ทั้งในยุคก่อนรวมถึงสามารถยืนระยะโมเดลตั้งแต่วันแรกมาจนถึงปัจจุบัน วันนี้ THE ICONIC CARS พาทุกคนไปทำความรู้จักยนตรกรรมคันจิ๋วเปลี่ยนโลกคันนี้ให้ดีขึ้นกว่าเดิม Fiat 500 เป็นรถยนต์ที่ผลิตโดย Fiat Automobiles ค่ายผู้ผลิตรถยนต์ที่ตั้งอยู่ในเมืองตูริน ประเทศอิตาลี เรื่องราวของมันเริ่มต้นในช่วงปลายยุค 50’s เป็นยุคสมัยที่เฟียตมีความคิดที่จะสร้างรถยนต์ขนาดเล็กขึ้นมาเพื่อใช้งานในเมืองที่มีถนนแคบและมีประชากรแน่นหนาให้เป็น People Cars เหมือนกับโฟล์คสวาเกนบีทเทิลในเยอรมนี พวกเขาต้องการผลิตรถยนต์ Economy Car ขนาดเล็กที่ตอบโจทย์ผู้คนสำหรับการใช้งานใช้ชีวิตประจำวัน แต่อีกเหตุผลสำคัญที่สุดคือมันต้องเป็นรถยนต์ที่มีราคาไม่สูงมาก มีค่าบำรุงรักษาต่ำ โดยได้นำแนวคิดรถยนต์ขนาดเล็กแบบวางเครื่องหลังเหมือนในบีทเทิลมาใช้ แต่ถ่ายทอดออกมาภายใต้งานดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์ของเฟียต งานออกแบบในครั้งนั้นตกเป็นหน้าที่ของ ดานเต้ จิอาคอซา นักออกแบบรถยนต์ชาวอิตาเลียนและพัฒนาจนสามารถเปิดตัวครั้งแรกในปี 1957 โดยตั้งชื่อว่า Fiat 500 ซึ่งในเจเนอเรชันแรกประกอบไปด้วยรถรุ่นที่มีความแตกต่างกัน 6 โมเดลด้วยกัน Fiat 500 หรือ Fiat
นอกจากจอมปาด จอมแทรก, หลอดไฟจ้าแยงตาสว่างไกลยันชาติหน้า, ขับช้าแช่ขวาไม่สนสี่สนแปดใด ๆ อีกสิ่งหนึ่งที่สามารถจุดชนวนอารมณ์ สร้างอาการหัวร้อนขณะใช้รถใช้ถนนได้ดีเป็นอันดับต้น ๆ คงหนีไม่พ้นเหล่าพลขับที่ไม่ยอมขยับก้านไฟเลี้ยว จะออกซ้าย ย้ายไปขวา หรือนึกจะเปลี่ยนเลน หักเลี้ยวเข้าซอยใด ๆ พี่แกก็แถเข้าไปดื้อ ๆ ยัดเยียดความเสี่ยงให้กับเพื่อนร่วมท้องถนนโดยไม่ถงไม่ถามสุขภาพกันสักคำ สำหรับความเสี่ยงที่เกิดขึ้น ขั้นเบาะ ๆ ก็แค่ใจหายใจคว่ำ หนักหน่อยก็ถึงขนาดชนโครมเข้าไป ทำให้เสียเวลา เสียทรัพย์ อาจลุกลามถึงขั้นเสียชีวิต หรือเลวร้ายที่สุดคือเคสต่อเนื่องของอาการตกใจจากรถไร้มารยาทจนต้องหักหลบไปชนเข้ากับผู้ขับขี่ดวงตกรายอื่นที่ขับตาม ๆ กันมา จนเกิดความบรรลัยสร้างความเสียหายต่อชีวิต และทรัพย์สินเพิ่มเติมเป็นวงกว้าง ในขณะที่รถคันต้นเหตุมารยาททรามยังขับต่อไปได้แบบชิลล์ ๆ ทั้งที่จริง ๆ แล้ว เรื่องคงไม่เกิดแค่พี่เปิดสัญญาณไฟเลี้ยวซึ่งใช้เวลาสั้นกว่าตอนที่พวกเราออกเสียงสรรเสริญว่า…่องตาย เสียด้วยซ้ำ สุดท้ายก็วนมาที่เรื่องเดิม อย่างที่รู้กันดีว่าไฟเลี้ยวนั้นใช้งานได้ง่ายดายโคตร ๆ แต่ทำไมไม่ค่อยใช้กัน และสิ่งนี้ได้กลายเป็นปริศนาลึกลับดำมืดคาใจหลายคนกับคำถามที่ว่า “จะเปลี่ยนเลน จะเลี้ยวรถแล้วทำไมไม่เปิดไฟเลี้ยวกันวะ?” ซึ่งข้อสงสัยนี้ไม่ได้มีเฉพาะชาวไทยแลนด์แดนสยามเท่านั้น เพราะอีกซีกโลก ประชาชนชาวฟลอริดา ประเทศสหรัฐอเมริกาก็สงสัยเรื่องความชุ่ยของคนที่ไม่เปิดไฟเลี้ยวเช่นเดียวกัน เรื่องมันเริ่มต้นที่นายแพทย์ John Golia จากเมือง Fort Lauderdale ตอนใต้ของรัฐฟลอริดา
หนุ่ม ๆ ที่เป็นแฟนของค่ายซูเปอร์คาร์จากประเทศอังกฤษอย่าง McLaren ปลายปีนี้เตรียมเฮกันได้เลย เพราะ McLaren เพิ่งประกาศเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ที่น้ำหนักเบาและทรงพลังที่สุดในตระกูล Longtail โดยขนานนามให้กับมันว่า 765LT 765LT เป็นรถยนต์รุ่นล่าสุดของ McLaren Super Series ต่อจากโมเดล 720S ที่มีขนาดตัวรถยาวกว่ารุ่นก่อนหน้าเล็กน้อย รวมถึงน้ำหนักเบากว่าถึง 80 กิโลกรัม โดยได้แรงบันดาลใจและใช้อุปกรณ์บางชิ้นเหมือนจาก McLaren Senna และวางแผนจะผลิตเพียง 765 คันเท่านั้น McLaren 765LT ยังคงดีไซน์ภายนอกเหมือนกับในรุ่น 720s ไม่ว่าจะเป็นไฟหน้ารวมถึงช่องอากาศด้านล่างตัวรถ แต่มีการเพิ่มช่องอากาศขนาดเล็ก 2 ช่องไว้บนซุ้มล้อหน้า รวมถึงใช้กระจกมองข้างสีทู-โทนที่เข้ากันอย่างลงตัว ดีไซน์ด้านหลังของ 765LT ใช้เป็นตระแกรงผสมกับคาร์บอนไฟเบอร์ รวมถึงชุดท่อไอเสียแบบ 4 ช่องที่หุ้มด้วยไทเทเนียมพร้อมกระจกแบบบางพิเศษสไตล์มอเตอร์สปอร์ต สำหรับหนุ่ม ๆ ที่กลัวว่าจะมีสีรถให้เลือกไม่จุใจสายซิ่งที่ชอบสีสัน ทาง McLaren เขาบอกมาว่าหายห่วง เพราะ 765LT นั้นมาพร้อมสีสันให้เลือกหลากหลายแน่ ๆ แต่อาจต้องรอยืนยันสีสันทั้งหมดอย่างเป็นทางการอีกครั้ง นอกจากนี้ยังให้ชุดยาง
911 รถรุ่นเรือธงของค่าย Porsche นั้นพัฒนาให้แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดปล่อยรถรุ่น Turbo S ของปี 2021 ออกมาแล้ว ว่ากันว่านี่คือรุ่นที่ทรงพลังที่สุดที่เคยผลิตมาของรหัสตัวถัง 992 ปี 2021 Porsche เตรียมเปิดตัวโมเดล 911 “Turbo S” ซึ่งผลิตออก 2 สไตล์ คือ Coupe (2 ประตู) และ Cabriolet (เปิดประทุน) ถือเป็นการขยายไลน์ของ 911 ในรหัส 992 ให้เพิ่มขึ้น หลังการเปิดตัวรุ่น Carrera S และ Carrera S4 ก่อนหน้านี้ 911 “Turbo S” ทั้ง 2 คันยังคงรูปแบบดีไซน์ตัวถังของรหัส 992 เอาไว้ แต่ขยายขนาดความกว้างของตัวรถให้มากขึ้นรวมถึงพัฒนาระบบอากาศพลวัตด้วยให้ดีขึ้นด้วย ทั้ง 2 คันมาพร้อมระบบโครงสร้างรถที่เรียกว่า Porsche Dynamic
BMW (บีเอ็มดับเบิลยู) ประกาศเปลี่ยน Logo หรือตราสัญลักษณ์ครั้งแรกในรอบ 23 ปีและเป็นโลโก้แบบที่ 6 ในรอบ 103 ปีแห่งการก่อตั้งแบรนด์ โดยรถยนต์คันแรกที่ติดตราสัญลักษณ์ใหม่คือ BMW Concept i4 รถยนต์ไฟฟ้าสุดล้ำ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้บีเอ็มดับเบิลยูหวังจะทำให้ผู้คนเข้าถึงรถยนต์ของพวกเขามากยิ่งขึ้นในอนาคต ปี 2019 บีเอ็มดับเบิลยูเป็นบริษัทที่มีมูลค่าสูงถึง 23.33 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ตามภายใต้ยอดขายที่ดีขึ้นต่อเนื่องพวกเขายังคงพัฒนาตัวเองให้พร้อมเข้าสู่โลกของผู้ผลิตรถยนต์สมัยใหม่ไปพร้อมกัน แต่ก่อนที่เราจะได้รู้จักรถยนต์คันใหม่ที่จะเปิดตัวออกมาในอนาคต วันนี้คอลัมน์ THE ICONIC CARS อยากพาทุกคนย้อนกลับไปทำความรู้จักโลโก้ในอดีตทั้ง 5 ของบีเอ็มดับเบิลยู รวมถึงยนตรกรรมที่โดดเด่นในยุคสมัยของโลโก้นั้น ๆ มาดูกันว่าตลอด 103 ปี สัญลักษณ์แห่งพลังจากแคว้นบาวาเรียนี้ได้สร้างอิทธิพลต่อวงการรถยนต์ไปแค่ไหนและมีรถรุ่นอะไรที่สร้างภาพจดจำให้กับตราสัญลักษณ์ของพวกเขาบ้าง มาทำความรู้จักไปพร้อมกัน Begin of BMW Logo! โลโก้ของบีเอ็มดับเบิลยูมีจุดเริ่มต้นที่ยาวนานโดยต้องย้อนกลับไปในปี 1913 หนึ่งปีก่อนที่สงครามโลกครั้งที่ 1 จะสิ้นสุดลง ชายที่ชื่อ Karl Rapp ตัดสินใจก่อตั้งโรงงานผลิตเครื่องยนต์และชิ้นส่วนเครื่องบินโดยใช้ชื่อว่า Rapp Motorenwerke ในช่วงแรกบริษัทของ Karl
Audi ถือเป็นอีกค่ายที่มีรถยนต์พลังงานไฟฟ้าหลายรุ่นเตรียมไว้สำหรับแข่งขันในตลาดในอนาคต หนึ่งในนั้นคือเอสยูวีอย่าง E-Tron 55 Quattro ที่เปิดตัวรถคอนเซ็ปต์ครั้งแรกในปี 2015 และเพิ่งส่งมอบรถคันแรกในลูกค้าไปเมื่อเดือนมีนาคมปี 2019 ที่ผ่านมา หลังเปิดตัว E-Tron กลายเป็นรถที่ได้รับความนิยมได้ทั่วทวีปยุโรปด้วยยอดจองเกิน 10,000 คัน รั้งตำแหน่งรถยนต์ที่ถูกสั่งจองเป็นอันดับ 2 ในเดือนธันวาคมปี 2019 ของประเทศเนเธอแลนด์ แต่พร้อมกันนั้น Audi ก็ได้ทำการพัฒนา E-Tron ออกมาเป็นเอสยูวีครอสโอเวอร์ในชื่อ E-Tron S และ E-Tron Sportback S แต่รถทั้ง 2 คันจะพัฒนาขึ้นจากรุ่นมาตรฐานในจุดไหนบ้าง มาชมไปพร้อมกัน เริ่มที่เรื่องสำคัญที่ทำให้ E-Tron S และ E-Tron Sportback S มีประสิทธิภาพมากขึ้น คือรถทั้ง 2 รุ่นเป็นรถยนต์พลังไฟฟ้าที่ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า 3 ตัว โดยมอเตอร์ 1 ตัววางไว้ที่เพลาขับด้านหน้าและอีก 2 ตัวที่เพลาขับด้านหลัง ทั้งหมดให้พลังรวมกันที่
ปี 2020 ค่ายรถยนต์ Alfa Romeo จะมีอายุครบ 110 ปี และแบรนด์แห่งความเร็วจากอิตาลีแบรนด์นี้ถือได้ว่ามีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนโลกแห่งยนตรกรรมมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็น Luxury Car, Sport Car หรือ Racing Car ล่าสุดพวกเขาฉลองอายุครบ 110 ปีของตัวเองด้วยรถรุ่นพิเศษอย่าง “GTA Giulia” “GTA Giulia” รุ่นฉลองการครบรอบ 110 ปีของ Alfa Romeo ได้แรงบันดาลใจจาก Alfa Romoe GTA ที่ผลิตระหว่างปี 1965-1969 โดยชื่อ GTA ย่อมาจาก Gran Turismo Alleggerita หรือภาษาอังกฤษแปลว่า Grand Touring Lightened Alfa Romeo ปรับแต่งน้ำหนักของ “GTA Giulia” ให้หายไปถึง 100 กิโลกรัมเพื่อให้สมกับชื่อรุ่นที่เป็นตำนานของมัน ทั้งส่วนหลังคาที่ใช้เป็นวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ กระจกข้างคาร์บอนตกแต่งด้วยลายธงชาติอิตาลี
Citroën (ซีตรอง) ค่ายผลิตรถยนต์จากฝรั่งเศสเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้าคันใหม่ของค่ายที่มาพร้อมขนาดกะทัดรัด โดยตั้งใจสร้างให้เป็น Urban Cars ที่ใช้งานในเขตเมืองพร้อมเปิดให้บริการทั้งแบบซื้อขาดและเช่าขับในราคาถูก โดยตั้งชื่อให้ว่า Ami หรือแปลเป็นชื่อไทยว่า เพื่อน ย้อนกลับไปในปี 2019 ซีตรองเปิดตัวรถยนต์คอนเซ็ปต์ชื่อว่า Ami One เพื่อฉลองครบรอบ 100 ปีของแบรนด์ นั้นคือโมเดลต้นแบบที่ซีตรองนำมาพัฒนาต่อเป็น Ami รุ่นปัจจุบันซึ่งรถยนต์ไฟฟ้าคันนี้จะมีฟังก์ชันอะไรน่าสนใจบ้าง มาชมไปพร้อมกัน Ami เป็นรถยนต์ไฟฟ้า 2 ที่นั่งมีความยาวหัวจรดท้ายที่ 2.41 เมตร สร้างขึ้นภายใต้รูปแบบที่วางไว้ให้ใช้อะไหล่น้อยชิ้นที่สุด ยกตัวอย่างคือบอดี้รถด้านหน้าและด้านหลังจะใช้ร่วมกันได้ ประตูทั้ง 2 ข้างที่เปลี่ยนทดแทนได้ ตัวรถมาพร้อมกระจกขนาดใหญ่ 3 ด้าน รวมถึงหลังคากระจกที่ช่วยให้มีทัศนวิสัยในการขับที่กว้างมากเมื่อเทียบกับขนาดของรถ ด้านขุมพลัง Ami ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 6 กิโลวัตต์ที่ให้พลังเทียบเท่า 8 แรงม้าทำให้รถทำความเร็วสูงสุดได้ที่ 45 กิโลเมตร/ชั่วโมงซึ่งเหมาะต่อการใช้งานในเขตเมือง เช่นไปซื้อของหรือออกกำลัง รถคันนี้มีระยะทางวิ่งอยู่ที่ 70 กิโลเมตรต่อการชาร์จเต็ม 1 ครั้ง ผ่านสายไฟบ้านโดยใช้เวลาชาร์จประมาณ 3 ชั่วโมง