จากข้อเท็จจริงที่ว่าผู้คนส่วนใหญ่ใช้เวลา 1/3 ของชีวิตไปกับการนอน จึงแทบปฏิเสธไม่ได้ว่าห้องนอนนั้นถือเป็นอีกพื้นที่สำคัญของชีวิต ซึ่งนอกจากจะทำหน้าที่เป็นห้องสำหรับพักผ่อน ห้องนอนยังเป็นพื้นที่ที่สามารถสะท้อนตัวตนของเราออกมาได้เป็นอย่างดีผ่านเฟอร์นิเจอร์ รวมถึงข้าวของต่าง ๆ ที่เราเลือกใช้ภายในห้อง ด้วยเหตุผลนี้ทำให้ผู้คนทั้งหลาย รวมถึงผู้ชายอย่างเรา ๆ ต่างก็อยากมีห้องนอนในฝันที่ตกแต่งออกมาในรูปแบบที่ตัวเองปรารถนา ในสไตล์ที่เป็นตัวเองอย่างที่สุด แต่ถึงแม้ใจจะอยากแต่งห้องแบบเต็มที่ ก็ใช่ว่าจะจับต้นชนปลายความต้องการในหัวให้ออกมาเป็นรูปเป็นร่างของห้องนอนในฝันได้ชัดเจนขนาดนั้น วันนี้ UNLOCKMEN จึงขอแนะนำ 5 สไตล์การตกแต่งห้องนอนแมน ๆ ให้ออกมาเท่สมใจ เพื่อเป็นจุดตั้งต้นของไอเดียการออกแบบพื้นที่ส่วนตัวอย่างห้องนอนที่ถ่ายทอดความเป็นตัวเองออกมาได้ชัดเจนที่สุด และที่สำคัญคือต้องไม่หลุดคอนเซ็ปต์ความเท่ในแบบที่ผู้ชายอย่างเราต้องการ ไอเดียแรกสำหรับผู้ชายสายคลาสสิก เน้นคุมโทนสีน้ำตาลของพื้นห้อง และเฟอร์นิเจอร์ไม้ ขาดไม่ได้กับโซฟาหนังดี ๆ เอาไว้นั่งอ่านหนังสือสักตัว พร้อมเพิ่มความโดดเด่นสร้างลูกเล่นให้กับห้องไม่ให้ถูกกลืนไปด้วยสีน้ำตาลเพียงอย่างเดียวด้วยการเลือกเตียงนอน หรือ ตกแต่งผนังหัวเตียงในโทนสีเทา ซึ่งให้ความแตกต่างแต่ก็ยังกลมกลืนกับอารมณ์โดยรวมของห้องนอนสไตล์นี้ ถ้าความเรียบง่ายคือรูปแบบการใช้ชีวิตที่โปรดปราน การแต่งห้องนอนแนวมินิมัลคือทางเลือกที่น่าสนใจ เพราะในความน้อยก็ยังมีความเท่แฝงอยู่ภายใต้ผนังห้องสีเทาเข้มตัดกับสีน้ำตาลอ่อนของเนื้อไม้ที่นำมาตกแต่งกรุเป็นผนังหัวเตียง และสำหรับเฟอร์นิเจอร์ที่เข้ากับห้องนอนแนวนี้เราแนะนำว่าควรหาเฟอร์นิเจอร์เรียบ ๆ ที่ไม่เน้นดีเทลของพื้นผิวและรูปทรงอะไรมากมายมาใช้ พร้อมเพิ่มมิติให้กับห้องด้วยการใช้สีดำเข้ามาแซมในส่วนของกรอบบานประตู, หน้าต่าง หรือไม่ก็โชว์ความติสท์ด้วยกรอบรูปสีดำเรียบ ๆ ก็ดูเท่ไม่ใช่เล่น อีกหนึ่งทางเลือกของหนุ่มสายมินิมัล แต่เพิ่มความอบอุ่นในแบบฉบับนิปปอนขึ้นมาอีกนิด เฟอร์นิเจอร์ รวมถึงผนังหัวเตียงไม้สีอ่อนยังเป็นหัวใจสำคัญหลักในการสร้างอารมณ์ความอบอุ่นเรียบง่ายให้กับห้องนี้ ที่แตกต่างออกไปก็จะเป็นในเรื่องของการเพิ่มสีสันรวมถึงลูกเล่นงานดีไซน์ข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ ให้ห้องนอนห้องนี้ดูมีรายละเอียดและความขี้เล่นที่เพิ่มมากขึ้น
หนังสือไม่เพียงบอกเล่าเรื่องราวภายใน แต่ยังสะท้อนเรื่องราวของคนอ่านด้วยว่ามีความสนใจเรื่องไหน ความสัมพันธ์ระหว่างคนกับหนังสือจึงเป็นเรื่องที่ไม่สามารถแยกขาดจากกันได้ นี่จึงเป็นโอกาสดีที่เราแอบทำโปรเจกต์ลับ ๆ นี้ขึ้นโดย Snapshot หนังสือที่เราพบในสถานที่ต่าง ๆ ที่ไปเยือนและนำมาเล่าสู่กันฟังเพื่อแนะนำต่อให้ชาว UNLOCKMEN ได้อ่านกัน เผื่อใครที่ชื่นชอบไลฟ์สไตล์ของเจ้าของหนังสือจะเห็นมุมมองอีกด้านที่กว้างขึ้น ที่สำคัญมันยังถือเป็นการปลุกกระแสการอ่านหนังสือล็อตเก่าที่ยังคงเจ๋งเสมอไว้ให้เรามีโอกาสไปพลิกอ่านกัน สำหรับครั้งนี้สถานที่ที่เราตามไป Snap คือ Apos the HQ สถานที่ทำงานของ Apostrophys Group แต่บอกก่อนว่าทั้ง 5 เล่มนี้ไม่ได้เป็นการ Recommend จากชาว Apos แต่อย่างใด หากเป็นความคิดเห็นและการคัดเลือกของเราที่คิดว่าน่าสนใจและต้องการนำมาบอกต่อ Very Thai : everyday popular culture เริ่มต้นเล่มแรกด้วยหนังสือปกแข็งสีชมพูแสบสันจำนวน 320 หน้าที่เขียนด้วยภาษาอังกฤษทั้งฉบับ แต่ไม่ได้ยากเกินความเข้าใจ ข้างในเล่มว่าด้วยเรื่องวัฒนธรรมของไทยที่เราเห็นจนชินตา แต่ชาวต่างชาติที่มาไทยแทบทุกคนล้วนต้องอุทานว่า “อย่างนี้ก็มีด้วยเหรอ” ไม่ว่าจะเป็นเรื่องทิชชู่สีชมพูในร้านอาหาร รถแท็กซี่ที่ตกแต่งด้วยการแปะโน่นนี่เต็มรถ ไปจนถึงการจัดชุดอาหารเล็ก ๆ แล้วปักธูปเพื่อบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ความโดดเด่นของเล่มนี้อยู่ที่มุมมองการนำเสนอจากผู้เขียนหนังสือที่เล่าเรื่องพาซื่อจากความเป็นชาวต่างชาติ แต่มีผลกับการปรับมุมมองที่เคยจำเจของเราไปอย่างสิ้นเชิง แถมยังต่อยอดความคิดให้เราตั้งคำถามกับทุกสิ่งรอบตัวได้มากขึ้นด้วย ดังนั้น Very Thai หรือ
เดินเข้าสู่ปีที่ 50 สำหรับอัลบั้มในตำนานของสี่เต่าทองที่รู้จักกันในชื่อ The White Album เพราะนอกจากต้นสังกัดอย่าง Apple Records จะมีแผนในการ Re-master อัลบั้มออกมาวางขายอีกครั้งในช่วงปลายปีนี้แล้ว พวกเขายังมีโปรเจกต์ปล่อยของที่ระลึกสุดเท่เป็นเครื่องเล่นแผ่นเสียงที่สร้างเพื่อฉลองครบรอบครึ่งศตวรรษของ Iconic Album ในชื่อ 2Xperience SB Turntable : The Beatles White Album Edition อีกด้วย The White Album คือสตูดิโออัลบั้มที่ 9 ของ The Beatles ถูกปล่อยออกมาครั้งแรกในเดือนพฤศจิกายน ปี 1968 จริง ๆ แล้วชื่อของอัลบั้มคือ The Beatles (เดอะบีเทิลส์) เหมือนชื่อวงแต่เพราะการเปิดตัวพร้อมปกอัลบั้มสีขาวล้วนไร้ลวดลาย แฟนเพลงเลยติดปากเรียกกันว่า The White Album แทน หน้าปกสไตล์ Minimalist ชิ้นนี้ถูกออกแบบโดย Richard Hamilton ศิลปินแนว Modern Art
ถ้าพูดถึงชื่อของ Michael Jordan ผู้ชายหลายคนรู้จักเขาในฐานะนักบาสเกตบอลในตำนาน อีกส่วนน่าจะรู้จักมาจากแบรนด์รองเท้าอย่าง AIR JORDAN ซึ่งความยิ่งใหญ่ทั้งหมดเกิดขึ้นด้วยฝีมือและฝีเท้าในสนามที่หาตัวเปรียบได้ยาก ถึงแม้ทุกวันนี้เขาจะวางมือไปนานแล้วก็ตามแต่เรื่องราวของเขาก็ยังถูกพูดถึงเสมอ ไม่ใช่แค่นั้นเพราะอะไรก็ตามที่ตัว MJ ได้สัมผัสก็จะคงมูลค่ามีราคาเสมอไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหน นั่นก็คือรองเท้าที่ MJ เคยใส่ลงแข่งขันและถูกนำมาจัดประมูลให้ Sneakerhead ตัวจริงสะสมกัน มาดูกันว่าแต่ละคู่หน้าตาเป็นยังไงและราคาของมันไปไกลแค่ไหนกันแล้ว AIR JORDAN 12 “FLU GAME” รองเท้าจากแมตช์ที่ทำให้ Michael Jordan ดูเหมือนยอดมนุษย์ ย้อนกลับไปในการแข่งขัน NBA รอบ FINAL ปี 1997 เกม 5 ระหว่าง Chicago Bulls และ Utah Jazz ทั้งสองเสมอกันอยู่ 2 ต่อ 2 เกม ถ้าใครขึ้นนำเกมต่อไปก่อนจะมีโอกาสได้แชมป์สูงมาก ปรากฏว่าก่อนเริ่มเกมในวันนั้น Michael Jordan ดันไม่สบายขึ้นมากะทันหัน แต่ก็ยังฝืนลงทำการแข่งขันในสภาพอิดโรยตลอด 4 ควอเตอร์ ทำไป 38 แต้มพาบลูส์พลิกชนะด้วยสกอร์ 90-88 หลังเกมเค้ายื่นรองเท้า
เมื่อไม่กี่อาทิตย์เราเพิ่งพูดคุยกับเพื่อนไปถึงความรู้สึกตื่นเต้นเลือดสูบฉีดหลังจากที่ตั้งตารอคอยเพราะได้ยินข่าวคราวมานานเกี่ยวกับงานศิลปะสุดยิ่งใหญ่ที่มีชื่อว่า BAB (แบ๊บ) ซึ่งย่อมาจาก Bangkok Art Biennale (บางกอก อาร์ต เบียนนาเล่) ที่กำลังจะจัดขึ้นในกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นงานที่จัดขึ้นเพียง 2 ปีครั้งเท่านั้น และมีความพิเศษกว่าเทศกาลศิลปะอื่นที่เคยเกิด เนื่องจากเป็นการจัดแสดงงานศิลป์ที่เปิดให้ดูกันฟรี ๆ จากศิลปินจำนวนมากถึง 75 คน 33 ประเทศ รวบมาไว้ในสถานที่แห่งเดียวคือ “กรุงเทพฯ” ที่ ๆ เรากำลังย่ำเท้าอยู่ตอนนี้ แต่สิ่งที่ได้ยินจากเพื่อนกลับเป็นคำว่า “เฮ้ย! มีด้วยเหรอ” ดังนั้น เพื่อไม่ให้เพื่อน ๆ ชาว UNLOCKMEN คนไหนต้องพลาดการเสพศิลป์ครั้งนี้แล้วร้องเสียดายกันภายหลัง เพราะย้ำอีกครั้งว่างานจัดแค่ 2 ปีครั้งเท่านั้น แถมสิ่งที่คุณจะได้เห็นปีนี้ก็อาจจะไม่ได้เห็นในปีหน้า อยากดูอาจต้องเสียค่าตั๋วบินไปดู เราจึงขอเปิดวาร์ปไปชมงานตามพื้นที่ต่าง ๆ ที่จัดแสดงทั่วกรุงเทพฯ ด้านล่าง สนใจชมผลงานของศิลปินคนไหนเป็นพิเศษก็อย่าพลาดไปดูกันล่ะ 101 BANGKOK ART BIENNALE เพื่อให้สนุกกับการเปิดแรลลี่ดูงานศิลปะ BAB 2018 มากขึ้น
เพราะแฟชั่นและสไตล์มีการเกิดใหม่ขึ้นมาบนโลกเสมอ แต่ในเวลาเดียวกันมันก็คือการวนกลับมาใช้กลิ่นอายเดิม ๆ ที่เคยรับความนิยม นำมาปรับปรุงใหม่อีกครั้งผ่านการดีไซน์และการใช้งานที่ต่างกันออกไป ซึ่งทั้งสองก็มีเอกลักษณ์และลายเส้นเป็นเสน่ห์ของตัวเอง แต่จะเจ๋งแค่ไหนถ้าเราจับเอาข้อดีในของทั้ง 2 ยุคสมัยมามัดรวมกันไว้ในสิ่งเดียว เหมือนกับที่ Adidas ทำกับรองเท้าทั้ง 8 คู่ในคอลเลกชันที่ปล่อยออกมาล่าสุดในชื่อ “Never Made” Never Made คอลเลกชันรองเท้าใหม่จากแบรนด์กีฬาสุดเก๋าอย่าง Adidas Original พึ่งเปิดตัวไปหมาด ๆ ที่งาน Hypefest ณ มหานครนิวยอร์กเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งทาง Adidas บอกว่ามันคือ “Collection of Hybrid Sneakers” สร้างมาจากแนวความคิดที่ต้องการผสมผสานระหว่างรูปแบบของ UPPER รองเท้าจากยุค Old School ที่เป็นตำนานในอดีต ให้เข้ากับนวัตกรรม Mid-Sole ของรองเท้า New School ยุคปัจจุบัน ประกอบไปด้วยรองเท้าจำนวน 8 คู่จาก 3 คอลเลกชันได้แก่ 70s-inspired, 80’s-influenced และ 90’s Tech มาดูกันต่อว่าในแต่ละเซตจะมีคู่ไหนสวยถูกใจหนุ่ม
ผู้ชายทุกคนมีรสนิยมเกี่ยวกับการถ่ายรูปแตกต่างกันออกไป บางคนชอบความรวดเร็ว ความยืดหยุ่นในด้านการใช้งานจากกล้องดิจิทัลสมัยใหม่ แต่ก็มีบางส่วนที่ยังคงหลงใหลในเสน่ห์ของรูปจากกล้องฟิล์มอย่างเหนียวแน่น แต่เพื่อตอบโจทย์คนที่ชอบความเจ๋งของทั้งสองอย่าง จึงมีคนออกแนวความคิดว่าอยากเอากล้องฟิล์มโมเดลคลาสสิกมา Custom รวมกับรูปแบบการล้างภาพในตัวที่รวดเร็วของ Instant Camera ทำให้เกิดเป็น Hasselblad-Instax เครื่องนี้ขึ้นมา Eddie Cohen เจ้าของไอเดียดังกล่าวเป็นนักออกแบบรวมถึงอดีตพนักงานของ Apple Inc. เขาคือชายผู้ชื่นชอบเดินทางถ่ายภาพผู้คนในสถานที่ต่าง ๆ แต่กลับไปเจอปัญหาเมื่อมีคนเข้ามาขอรูปถ่ายจากเขา ซึ่งคงต้องรอให้กระบวนการล้างฟิล์มเสร็จก่อน พูดง่าย ๆ ว่าให้ทันทีเลยไม่ได้ทำให้เขาเกิดไอเดียอยาก Custom กล้องถ่ายรูปที่ตอบโจทย์การใช้งานของตัวเองออกมา โดยวางแผนไว้ว่าจะจับคู่กล้องฟิล์มสัญชาติสวีเดนปี 1950 รุ่น Hasselblad 500C/M มาผสมเข้ากับ Instant Camera ที่ได้รับความนิยมในยุค 90’s อย่าง FujiFilm Instax 9 ขั้นตอนแรกคือศึกษาการทำงานของกล้องทั้งสองตัว Eddie Cohen มองว่า Hasselblad 500C/M มาพร้อมระบบเซ็นเซอร์ตัวรับภาพแบบ Medium Format ที่อาจทำให้ภาพที่ถ่ายออกมามีขนาดไม่พอดีกับฟิล์มแบบ Instant ซึ่งมันต้องเป็นปัญหาเพราะฟิล์มแต่ละม้วนก็ไม่ได้ราคาถูก แถมรูปขนาดเล็กที่ได้มายังบอกเล่าความสวยงามของสิ่งที่ถ่ายได้ไม่เพียงพออีก จึงต้องทำการปรับแต่งตัวโหลดฟิล์มของ FujiFilm Instax 9 ให้มีขนาดการรับภาพเหมาะกับตัวรับภาพจากกล้อง แต่ก็ติดปัญหาความพอดีเพราะอุปกรณ์ทั้งสองชิ้นซึ่งไม่ได้ถูกสร้างเพื่อใช้งานร่วมกัน หลังลงมือวัดขนาดส่วนประกอบทั้งสองชิ้นให้รู้ความกว้าง-ยาวจนได้ตัวเลขที่เหมาะสมแล้ว
หลังจากอวดโฉมครั้งแรกไปแล้วในงาน Pebble Beach เมื่อกลางปีที่ผ่านมาล่าสุดค่ายรถสัญชาติอิตาลี Ferrari ก็ตัดสินใจเปิดสเปคทั้งหมดของรถซุปเปอร์คาร์คันใหม่ล่าสุด FERRARI 488 PISTA SPIDER โมเดลพัฒนาต่อจาก 488 SPIDER ที่ออกมาสู่ตลาดก่อนหน้านี้ ในระหว่างจัดแสดงในงาน PARIS MOTOR SHOW 2018 มาดูกันว่ารูปแบบสมบูรณ์ที่ถูกพัฒนาเสร็จแล้วจะออกมาถูกใจพวกเรามากแค่ไหน FERRARI 488 PISTA SPIDER ถือเป็นซุปเปอร์คาร์รุ่นที่ 50 ของค่าย Ferrari ซึ่งเป็นเหมือนเวอร์ชันพัฒนาแล้วของรถตระกูล 488 ที่หยิบจับส่วนดีของรถคันอื่น ๆ มาปรับปรุงและแต่งเติมไว้ในคันเดียว เริ่มจากหัวใจสำคัญอย่างเครื่องยนต์ 488 PISTA SPIDER V8 Twin-Turbocharged 3.9-liter ที่ให้กำลังมากถึง 720 แรงม้า ซึ่งเป็นบล็อคเครื่องที่ผ่านการรีดน้ำหนักให้น้อยลง แต่ยังคงประสิทธิภาพด้านความเร็วเอาไว้ครบถ้วน โดยเปลี่ยนกระบอกลูกสูบให้บางยิ่งขึ้น รวมถึงใช้เพลาข้อเหวี่ยงและ flywheel เป็นไทเทเนียมพ่วงกับชุดวาล์วและสปริงแบบพิเศษ ทำให้มีน้ำหนักเบากว่าเครื่องต้นแบบถึง 19 กิโลกรัม แต่แข็งแรงปลอดภัย พร้อมรองรับแรงบิดมหาศาลได้มากกว่าเดิม 488 PISTA SPIDER สั่งงานชุดเกียร์แบบ F1
หลังจากมีข่าวลือออกมาก่อนหน้านี้ว่า Virgil Abloh ผู้กุมบังเหียนงานออกแบบเสื้อผ้าแผนก Menswaer จากห้องเสื้อสุดหรูอย่าง Louis Viutton กำลังมีแผนจะร่วมงานแบรนด์ Retail ยักษ์ใหญ่สัญชาติสวีเดนอย่าง IKEA เพื่อออกแบบสินค้าร่วมกันมาตั้งแต่ช่วงเดือนมิถุนายนปีที่แล้ว ความคืบหน้าล่าสุดตอนนี้พวกเขาได้เปิดตัว Pop-up Store ของ Virgil Abloh x IKEA แห่งแรกขึ้นเพื่อใช้แสดงงานที่อยู่ในคอลเลกชันล่าสุด “markerrad” โดยเป้าหมายแรกคือมหานครปารีส “STILL LOADING“ คือชื่อของ Pop-up Store แห่งแรกที่ Virgil Abloh และ Henrik Most ซึ่งเป็นทั้ง Creative Leader ของ IKEA และ Project Partner เป็นผู้กำหนดขึ้น โดยเลือกจะแปลงโฉมไนท์คลับชื่อดังใจกลางเมืองปารีส Nuits Faives เพื่อใช้เป็นสถานที่จัดแสดง โดยคอนเซ็ปต์ของมันถูกเล่าจากปาก Virgil Abloh ว่า “เราพยายามจับกลุ่มคนที่ต้องการตกแต่งบ้าน โดยมีโจทย์ว่าต้องการบ้านที่มาจากตัวตนของตัวเองและมีความแตกต่างจากบ้านทั่วไป เพราะคนส่วนใหญ่มักเติบโตมาจากบ้านซึ่งมีสภาพแวดล้อมมาจากความคิดและความต้องของพ่อแม่หรือคนอื่น เราเลยตั้งใจออกแบบผลงานออกมาเพื่อเอาใจคนที่มองหาสิ่งใหม่ รับรองว่าทันทีที่เห็น ทุกคนจะอยากซื้อมันกลับบ้านในทันที “ ภายใน Pop-Up ประกอบไปด้วยชุดพรมสไตล์โมเดิร์นซึ่งเราเคยเห็นกันมาแล้ว แต่รอบนี้เราจะได้ทราบถึงเรทราคาของมันด้วย โดยพรมสีดำมาพร้อมกับคำว่า “GREY” ราคา 129
ดูเหมือนจะเป็นปีที่ร้อนแรงสำหรับค่ายรถสปอร์ตสัญชาติเยอรมนีอย่าง Porsche หลังปล่อยรถรุ่นงาม ๆ ออกมามากมายเพื่อเอาใจแฟน ๆ Porsche Hardcore อย่างเช่น Project 993 Turbo S Classic Series และล่าสุดพวกเขาได้รื้อฟื้นอีกหนึ่งตำนานของค่ายเจ้าของฉายา “Moby Dick” อย่าง Porsche 935 กลับมาอีกครั้งโดยโอกาสพิเศษนี้จะผลิตออกมาเพียง 77 คันเท่านั้น หลายคนอาจคิดว่า Porsche คงให้ความสำคัญแค่กับรถโมเดลในตำนานอย่าง 911 หรือรูปแบบแห่งอนาคตอย่าง Taycan เท่านั้น แต่ในครั้งนี้กลับต่างกันออกไป Porsche 935 เองก็เป็นหนึ่งในส่วนสำคัญของการก้าวขึ้นมาเป็นบริษัทผลิตรถยนต์แถวหน้าของวงการในปัจจุบันเช่นกัน เพราะชื่อเล่น Moby Dick ของมันได้มาจากการโชว์ศักยภาพจนสามารถคว้าแชมป์ Lemans ในปี 1978 มาได้ แม้ไม่นานหลังจากนั้นจะหมดยุคของมันและต้องย้ายเข้าไปอยู่ในพิพิธภัณฑ์ก็ตามที แต่หลายคนก็ยังจดจำความเจ๋งของมันได้เสมอ จนทำให้ 935 ถูกนำกลับมาอีกครั้ง แม้ครั้งนี้จะเป็นการสร้างมาเพื่อใช้ในสนามแข่งอย่างเดียวก็ตาม แม้เป็นเรื่องน่าเสียดายที่เราจะไม่ได้เห็น Porsche 935 มาโลดแล่นอยู่บนถนนปกติ เพราะ Porsche