หากเราเป็นศิลปิน เราจะทำยังไงให้คนจดจำเราได้ ? เราจะใช้โลโก้สุดเท่ เราจะเป็นแฟชั่นไอคอน ขายคาแรกเตอร์สุดจี๊ดจ๊าด หรือเราจะระเบิดความมันส์ อาศัยลีลาการร้องเล่นจากฝีมือ ทั้งหมดนี้ ล้วนแล้วแต่เป็นภาพลักษณ์โดยรวมของวง ที่สมาชิกต่างยอมรับและให้มันเป็นภาพแทนของพวกเขา มันจึงต้องคิดมาอย่างดีแล้ว เพราะมันเป็นเหมือน First Impression นั่นแหละ แต่ละวงต่างก็มีภาพลักษณ์ที่แตกต่างกันไป คล้ายบ้าง ซ้ำบ้าง แต่สุดท้ายมันก็คือคนละตัวตนกันอยู่ดี เรื่องของเรื่องคือเราอยากแนะนำวงอินดี้ร็อกอย่าง The Neighbourhood ที่มีจุดเด่นอันชัดเจนคือ ภาพขาวดำ ทั้งปกอัลบั้มและ MV มาล้วงลึกถึงเบื้องหลังสีสันอันหม่นหมองและบทเพลงที่มอดไหม้ ของพวกเขาไปพร้อมกัน ทำความรู้จัก The Neighbourhood สำหรับคอเพลงอินดี้ร็อก คงจะคุ้นหูกันดีกับเพลงของ The Neighbourhood ที่ดูเผิน ๆ เหมือนคำนี้มันจะสะกดไม่ถูก แต่ชื่อวงดนตรีเนี่ย มันไม่ใช่เรื่องที่จะพลาดกันได้ง่าย ๆ แน่นอนว่ามันคือความตั้งใจของทางวงที่จะสะกดแบบนี้ ไม่ใช่ตั้งใจสะกดผิด แต่มันเป็นการสะกดแบบ British เพื่อไม่ให้ชื่อไปซ้ำกับวงสัญชาติอเมริกันที่มีอยู่แล้วนั่นเอง ห้าหนุ่มจาก California ที่เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่ไหนแต่ไร พวกเขาใช้ชีวิตแบบแสบพอตัว บางคนไม่พบไฮสกูลด้วยซ้ำ แต่ประสบการณ์แสบสันเหล่านั้น ทำให้พวกเขาเหนียวแน่นกันมาจนถึงตอนนี้ รวมตัวกันเมื่อปี 2011 ใช้เวลาหนึ่งปีถ้วนในการขับเคี่ยวเอาผลงานแรกออกมาสู่วงการ เป็น
บทความนี้เป็นเพียงความเห็นส่วนตัวจากคนชอบดูหนังคนหนึ่งเท่านั้นและมีการสปอยตอนจบของภาพยนตร์หลายเรื่อง ตลอดระยะเวลาชั่วโมงครึ่ง 2 ชั่วโมง หรืออาจมากกว่านั้นของภาพยนตร์หนึ่งเรื่อง ทุกช็อต ทุกซีน ทุกไดอะล็อก ล้วนแล้วแต่มีความสำคัญทั้งสิ้น อย่างไรก็ตามซีนที่ทำให้ผู้ชมจดจำภาพยนตร์เรื่องนั้นได้ดีที่สุดและตราตรึงในใจไปอีกนานสำหรับเรามันคือซีนจบ เพราะมันคือการสรุปเรื่องราวทั้งหมด ยิ่งไปกว่านั้นมันเป็นการปูทางให้เราได้รู้ชีวิตของตัวละครหลัง End Credit ที่เราจะไม่ได้เห็นแล้ว ภาพยนตร์ทุกเรื่องมีตอนจบในแบบของตัวเอง แต่สำหรับเราตอนจบจะสมบูรณ์ยิ่งขึ้นถ้าได้เพลงเพราะ ๆ เข้ากับเนื้อเรื่องบรรเลงขึ้นมา วันนี้เราจะมาพูดถึงเพลงเหล่านั้น เป็นการย้อนรำลึกความทรงจำ ที่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน ความประทับใจก็ไม่เคยเสื่อมคลาย Song: A Real Hero – College & Electric Youth Movie: Drive (2011) แค่ชื่อเพลง A Real Hero ก็อธิบายภาพยนตร์เรื่องนี้ได้หมดทุกอย่างแล้ว เพราะ Drive ผลงานการกำกับของ Nicolas Winding Refn เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับนักขับรถนิรนามอย่าง Driver ที่ในตอนกลางวันประกอบอาชีพสุจริตเป็นสตันท์แมนให้กับกองถ่ายภาพยนตร์ แต่ในตอนกลางคืนเขาอาศัยอยู่ในโลกมืด ทำหน้าที่ขับรถพาอาชญากรหลบหนี ชีวิตแต่ละวันของ Driver ผ่านไปอย่างไร้ความหมาย จนกระทั่งเขาได้เจอกับเพื่อนบ้านสาวอย่าง Irene ความสัมพันธ์ที่งดงามก็ค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นอย่างช้า ๆ แต่ทั้ง 2 ต่างก็รู้ดีว่ามันคือความรักที่เป็นไปไม่ได้
หากเราเปิดภาพยนตร์สักเรื่องดู แบบที่ไม่รู้มาก่อนว่านี่คือเรื่องอะไร สิ่งที่ทำให้เราเดาได้ว่านี่คือหนังของผู้กำกับคนไหน คงจะเป็น Signature ของภาพที่เราได้เห็นและเทคนิคการเล่าเรื่อง เหมือนกับเวลาเราคุ้นตากับลายเส้นอันเป็นเอกลักษณ์ของนักวาดการ์ตูน คุ้นกับสำนวนสละสลวยของนักเขียน ผู้กำกับหลายคนก็มักจะมีเอกลักษณ์ของตัวเองจนเรารู้ได้ในทันทีว่านี่คือผลงานของเขา อย่างภาพยนตร์หม่นหมองของ Tim Burton สีฟ้าอมเขียวและภาพสโลวโมชั่นแบบไร้ที่มาของ Zack Snyder และทุกอย่างที่ดูสมมาตรไปหมดในมุมมองของ Wes Anderson หากใครได้ดูภาพยนตร์ของ Anderson มาบ้าง คงพอจะนึกภาพ Mood and tone ของเรื่องออก ว่าเรากำลังจะพูดถึงอะไร ไม่ว่าจะเป็นการจับคู่สีที่ชาญฉลาด ตัวละครเพี้ยน ๆ รวมทั้งมุมมองที่แสนจะสมมาตรมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ จนสิ่งเหล่านี้กลายเป็นเอกลักษณ์ของเขา ชนิดที่ว่าดูเรื่องไหนก็เจอมันเรื่องนั้นนั่นแหละ แฟน ๆ หลายคนเองก็ชื่นชอบภาพยนตร์ของเขาเพราะฟินกับความสมมาตรที่ได้ชม เคยสงสัยกันบ้างไหม ว่าทำไมรูปร่าง ภาพ มุมมองที่สมมาตร มันถึงทำให้เราฟินจนรู้สึกว่ามันคือสัดส่วนที่ใช่ของมวลมนุษยชาติ เราจะมาหาคำตอบนี้ไปพร้อมกัน สัดส่วนสุดพึงใจ ความลงตัวของสัดส่วนธรรมชาติ ความสมมาตรคือสัดส่วนที่เราคุ้นเคยกันดี เพราะมันคือสัดส่วนที่ธรรมชาติรังสรรค์ ไม่ต้องมองหาที่ไหนไกลเลย ลองมองที่ตัวเราเองนี่แหละ ตอนที่เราแบ่งเซลล์แล้วประกอบร่างมาเป็นตัวเราอย่างในทุกวันนี้ มันคือการประกบเข้าหากันแบบสมมาตร ลองสังเกตดูว่าร่างกายของเรา มันจะมีเส้นตรงกลางลำตัว ชัดเจนที่สุดคงเป็นเส้นตรงหน้าท้อง หากผ่าร่างกายเราในแนวแกน Y มันจะแบ่งครึ่งได้แบบสมมาตรพอดิบพอดี
เรื่องราวเร้นลับชวนขนหัวลุกสุดคลาสสิกจากทั้งวงการวรรณกรรมและภาพยนตร์ อย่าง Dracula ถูกนำมาสร้างในเวอร์ชั่นจอแก้วและจอเงินหลายต่อหลายครั้ง รวมทั้งหนังสือเองที่ได้รับการตีพิมพ์แบบนับไม่ถ้วน ด้วยเนื้อเรื่องสุดคลาสสิกที่ใคร ๆ ต่างรู้จักตำนานผีดูดเลือดแห่ง Transylvania จึงทำให้ทุกเวอร์ชั่นเข้าถึงผู้บริโภคได้อย่างง่ายดาย แต่สำหรับวงการภาพยนตร์ เรื่องราวผีดูดเลือดของท่าน Count Dracula จะให้นับว่าเวอร์ชั่นไหนที่เป็นตำนานที่สุด ทุกเสียงคงชี้ไปในทิศทางเดียวกันที่ Bram Stoker’s Dracula (1992) ฝีมือการกำกับของ Francis Ford Coppola ที่ได้รับกระแสตอบรับในแง่บวกอย่างล้นหลาม ไม่ใช่แค่ยุคนั้น แต่ยังคงขึ้นชื่อมาจนถึงทุกวันนี้ มาแกะรอยความคลาสสิกของที่ทำให้เรื่องนี้กลายเป็นตำนานของฝั่ง Horror ในวงการจอเงิน รวมทั้งอิทธิพลของเรื่องนี้ที่ส่งต่อมาถึงภาพยนตร์สยองขวัญรุ่นหลัง Dracula จากปลายปากกาของ Bram Stoker ชื่อของ Bram Stoker ที่ปรากฎอยู่บนชื่อภาพยนตร์อย่างเป็นทางการเนี่ย เป็นชื่อของนักเขียนชาวไอริช เจ้าของผลงานนวนิยายเรื่อง Dracula เรื่องราวของแวมไพร์ในปราสาทที่เรารู้จักในชื่อ Count Dracula ตัวละครเรื่องนี้ได้รับแรงบันดาลใจจาก Vlad Țepeș ผู้ปกครองเมือง Transylvania ที่เป็นฉากหลังในเรื่องนั่นเอง ซึ่งเนื้อเรื่องก็เป็นอย่างในภาพยนตร์ที่เราได้ดูกันนั่นแหละ สรุปง่าย ๆ ก็คือ Francis Ford Coppola ทำภาพยนตร์สยองขวัญโดยการหยิบเอาเรื่องของท่าน Count Dracula จากต้นเนื้อเรื่องฉบับเวอร์ชั่นนิยายของ Bram Stoker มาถ่ายทอดสู่จอเงิน เนื่องจากใช้เนื้อเรื่องเดียวกันแทบทั้งหมด
เราคุ้นเคยกับ The Secret Life of Walter Mitty ผลงานการกำกับและแสดงเป็นตัวเอกของ Ben Stiller ในแง่ของการเป็นหนังปลุกพลัง Feel Good ให้กับเหล่ามนุษย์ออฟฟิศชีวิตจำเจ มีเหตุให้ได้ออกไปผจญภัยตามสถานที่ต่าง ๆ ที่วิวธรรมชาติโคตรสวย จนเราไม่อยากจะเชื่อว่ามีวิวแบบนี้อยู่จริง ไม่ได้เปิดหูเปิดตาแค่ตัวเอกอย่าง Mitty เท่านั้น แต่ยังทำให้เรามีไฟลุกออกไปตามหาสถานที่แสนพิเศษแบบนั้นบ้าง เอาจริง ๆ หนังก็ดูเป็นพล็อตสูตรสำเร็จ แต่ทำไมมันถึง Impact กับคนดูจนเกิดกระแสปากต่อปากได้ขนาดนี้ เราจะมาแกะรอยประเด็นต่าง ๆ ที่เจอในเรื่องนี้ (เท่าที่เก็บได้) ซึ่งมีการเปิดเผยเนื้อหาสำคัญของเรื่องบางส่วน เอาเป็นว่า ใครที่ยังไม่ได้ดู เราแนะนำให้ไปดูแล้วกลับมาอ่านอีกทีจะดีกว่า ส่วนใครที่ดูแล้ว ลองมา Recap เรื่องราวและประเด็นที่น่าสนใจไปพร้อมกับเรา Recap เรื่องย่อ ภาพยนตร์เรื่อง “The Secret Life of Walter Mitty” เรื่องราวชีวิตที่แสนจำเจของ Walter Mitty (Ben Stiller) พนักงานออฟฟิศที่อยู่ในตำแหน่งเดิมของนิตยสาร LIFE มายาวนาน เขารักบริษัท ทุ่มเทกับหน้าที่ที่ได้รับ
ทุกการจากไปสร้างความเจ็บปวดให้กับคนที่อยู่ข้างหลังเสมอ โดยเฉพาะการจากไปอย่างไม่มีวันกลับของใครสักคน เพราะความสูญเสียแบบที่ไม่อาจย้อนคืนได้ มันทำให้เราทำได้เพียงระลึกถึงสิ่งที่เขาทิ้งไว้ให้เท่านั้น เช่นเดียวกับ Keith Flint ที่จากไปอย่างกะทันหัน ไม่มีเวลาให้ใครได้ตั้งตัวทัน ทั้งคนรอบตัวและแฟนเพลงทั่วโลก เราคงไม่อยากเจาะจงลงไปว่า สาเหตุของการจากไปของเขาคืออะไร ขุดคุ้ยขึ้นมาก็ไม่น่าเป็นผลดีกับฝั่งไหน เราจึงขอพูดถึงเรื่องราวแสนพิเศษที่เขาได้ทิ้งไว้ให้กับวงการดนตรีและโลกใบนี้ เพื่อเป็นการระลึกถึงเขาอย่างนอบน้อมที่สุด เราคงคุ้นเคยกับ Flint ในภาพลักษณ์สุดแสบ ทรงผมและสีสันแสนจะสะดุดตา ที่เห็นแล้วเป็นอันต้องเหลียวมอง ก่อนที่เขาจะมาอยู่ในภาพลักษณ์นี้ เขาเป็นเพียงเด็กน้อยที่ต้อง Suffer กับโรคประจำตัวอย่าง “Dyslexia” หรือโรคบกพร่องทางการอ่าน ที่ส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวันของเขาอย่างมาก จนต้องออกจากโรงเรียนตั้งแต่อายุ 15 มาทำอาชีพช่างซ่อมหลังคา เขาเริ่มต้นการก้าวเข้ามาในวงการด้วยเรื่องสนุก ๆ ที่เขาเริ่มกับ Liam Howlett ในตอนที่ยังเป็นดีเจในคลับ เมื่อครั้งที่พบเจอกันครั้งแรก การพูดคุยอย่างออกรสเรื่องรสนิยมทางดนตรี พาให้บทสนทนาของทั้งคู่เดินไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว เรื่องราวในวันนั้นจบลงที่ Liam ทำ Mixtape ให้สำหรับ Flint ใช้ในโชว์ จนสุดท้ายความไปด้วยกันได้ทั้งในเรื่องมิตรภาพและการร่วมงาน ทำให้พวกเขาเริ่มก่อตั้งวงอิเล็กทรอนิกส์ The Prodigy ในปี 1990 ร่วมกับเพื่อน ๆ ของเขา รวมทั้ง Liam ที่มาเป็นมือคีย์บอร์ดและคนแต่งเพลงให้กับวง และการแจ้งเกิดกับ “Firestarter”
จากที่เคยเป็นเหมือนวัฒนธรรมไกลตัว แต่ตอนนี้ต้องยอมรับว่า ‘ไอดอล’ ได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของสังคมไทยอย่างสมบูรณ์แล้ว แน่นอนว่าเมื่อมีคนชอบก็ต้องมีคนไม่ชอบเป็นธรรมดา แต่ก่อนที่จะวิพากษ์วิจารณ์อะไรเราก็อยากให้ทุกคนรู้จักกับวัฒนธรรมนี้จริง ๆ เสียก่อน ภาพยนตร์สารคดีที่เราหยิบมาพูดถึงในวันนี้อาจจะมีคำตอบให้ใครหลายคนได้ว่าไอดอลคือใคร? พวกเธอมีบทบาทหน้าที่อย่างไร? หรือแท้จริงแล้วพวกเธอเป็นเพียงวัตถุทางเพศที่อุ้มชูวัฒนธรรมชายเป็นใหญ่เท่านั้น? Tokyo Idols และเรื่องราวของริโอะ Tokyo Idols เลือกที่จะเล่าเรื่องราวของ ‘ริโอะ’ ไอดอลสาวใต้ดินวัย 19 ที่ถึงแม้ว่าเธอจะยังไม่โด่งดังมากนักแต่ก็มีฐานแฟนคลับเหนียวแน่นพอสมควร แต่อย่าเพิ่งเข้าใจว่านี่คือสารคดีตามติดชีวิตไอดอล เพราะถึงแม้ตัวหนังจะโฟกัสที่ตัวริโอะเป็นหลัก ถ่ายทอดให้ผู้ชมได้เห็นภาพว่าเธอทุ่มเทกับอาชีพนี้ขนาดไหน ถึงขนาดปั่นจักรยานไปทั่วประเทศญี่ปุ่นเพื่อพบปะแฟนคลับ แต่ก็มีอีกหลายมุมมองจากหลายฝ่ายที่น่าสนใจไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวของไอดอลเด็ก, ไอดอลระดับชาติอย่าง AKB48, ความคิดเห็นของนักหนังสือพิมพ์และนักวิเคราะห์, หรือแม้กระทั่งเหล่าโอตะที่ทุ่มเททุกอย่างเพื่อคนที่เขารัก ตัวหนังพยายามจะตั้งคำถามถึงวัฒนธรรมไอดอลตลอดเวลา ทั้งในแง่ความหมิ่นเหม่ทางศีลธรรมเรื่องเพศ, ความเกี่ยวข้องกันระหว่างไอดอลกับวัฒนธรรมชายเป็นใหญ่, ความเหงาที่ดูเหมือนจะส่งเสริมวัฒนธรรมนี้ให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น, หรือแม้กระทั่งการวิพากษ์เหล่าโอตะว่าเป็นตัวปัญหาของสังคม ซึ่งด้วยมุมมองแบบนี้ของตัวหนัง Tokyo Idols จึงเป็นสารคดีที่เปิดกว้างสำหรับทุกคน ไม่ว่าคุณจะคิดเห็นเกี่ยวกับไอดอลว่าอย่างไรก็ตาม ความรักที่บริสุทธิ์หรือแค่ความเพ้อฝันจอมปลอม? สำหรับบางคนความรักของโอตะที่มีต่อไอดอลอาจจะดูเพ้อฝันหรืออาจจะถึงขั้นน่าขยะแขยง แต่สำหรับ ‘โคจิ’ ดูเหมือนว่ามันจะมีความหมายและยิ่งใหญ่กว่านั้นมาก โคจิคือหนุ่มใหญ่วัย 43 กะรัต เขาเคยมีชีวิตที่เพียบพร้อม เคยมีคนรักและถึงขั้นเกือบจะได้ลั่นระฆังวิวาห์ แต่แล้วทุกสิ่งก็ไม่เป็นไปตามที่คิด เขาจึงเลือกหันหลังให้กับความรักในชีวิตจริงและใช้เงินเก็บทั้งชีวิตเปย์ให้ริโอะ ทุ่มเททั้งแรงกายแรงใจติดตามเธอไปทุกที่ บ้าหรือเปล่า? ไม่แปลกที่คนภายนอกจะมองโคจิว่าเพ้อฝัน เพราะต่อให้เปย์ยังไงริโอะก็ไม่มีทางหันมามองเขาหรอก อย่างไรก็ตามคำอธิบายของโคจิก็ทำให้เราเข้าใจมากขึ้น เขาเล่าว่าชีวิตเขานั้นมันพังทลายลงไปแล้ว
จัดซีรีส์ตามหมวดมาให้ก็หลายครั้ง แต่ซีรีส์ที่ค้างอยู่ในหัวก็ไม่หมดไปเสียที ถ้าจะมัวแนะนำแต่เรื่องเด็ดเรื่องดัง จนไปที่ไหนก็เจอลิสต์เดิม ๆ คงน่าเบื่อแย่ หากอยากลองรสชาติใหม่ ๆ กับอะไรที่มัน Underrated ลองมาดู 5 เรื่องนี้ที่เราแนะนำ สารพัดให้เลือกดูตามความชอบ อาจจะไม่คุ้นหูสักเท่าไหร่ แต่ทุกเรื่องเราดูมาแล้ว อยากบอกต่อ Empire เกมหักเหลี่ยมกันในครอบครัว เข้มข้นไม่ต่างจาก Game Of Thrones เรื่องราวของครอบครัว Lyon เจ้าของค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ในอเมริกา Lucious Lyon (Terrence Howard) เสาหลักแห่งครอบครัวและค่ายเพลงผู้ถีบตัวเองขึ้นมาจากสลัม ไต่เต้าขึ้นมาด้วยพรสวรรค์ด้านเพลง Hip-Hop ที่เขามีอยู่เต็มเปี่ยม ด้วยความช่วยเหลือจาก Cookie Lyon (Taraji P. Henson) ที่ยอมติดคุกแทน Lucious เพื่อให้เขาและลูก ๆ ทั้งหมดได้มีอนาคตต่อไป ด้วยสุขภาพที่ไม่แน่นอน Lucious จึงอยากหาคนมารับไม้ต่อจากเขา จึงเป็นบททดสอบลูก ๆ ทั้งสามที่ต่างมีคาแร็กเตอร์และความสามารถที่ต่างกันออกไป การเฉือนคมของพี่น้องที่เหมือนจะรักกันก็เกิดขึ้นจากตรงนี้ รวมทั้งสิงโตที่ยอมกินลูกตัวเองหากถูกแว้งกัดอย่าง Lucious ก็ไม่รามือให้กับลูก ๆ ของตัวเองเช่นกันหากใครคิดจะชิงบัลลังก์ของเขาไปก่อนเวลาที่เหมาะสม Forever การมีชีวิตเป็นอมตะนั้นเป็นพรจากสวรรค์หรือเป็นคำสาปจากนรกกันแน่
ในวันที่ดูเหมือนอะไรก็ไม่เข้าข้าง เคว้งคว้างจนเหมือนกับว่าลอยออกไปแสนไกล จนไม่มีใครหันมาเห็นเราอีกต่อไปแล้ว ไม่ว่าจะเจ็บมากเจ็บน้อย ล่องลอยออกไปไกลแค่ไหน ลองหยิบหูฟังให้พร้อม แล้วกดปุ่ม Play เจ้า Playlist นี้ หลีกหนีความเจ็บช้ำไปกับ 20 เพลงสุดชิลล์ที่ช่วยฮีลความรู้สึก แม้จะไม่ได้ดีขึ้นในตอนนี้ อย่างน้อยก็ได้หนีเรื่องราววุ่นวายไปก่อน สักช่วงเวลาสองชั่วโมงที่เริ่มตั้งแต่เพลงแรกจวบจนเพลงสุดท้ายของ Playlist นี้ ใครที่สะดวกฟังบน Spotify ตามไป Follow ให้หายช้ำกันได้ที่ Playlist เหมือนเดิม Harry Styles – From the Dining Table Iron & Wine – Passing Afternoon S. Carey – Rose Petals Damien Jurado – The Last Great Washington State Nothing But Thieves
ท่ามกลางอนิเมะมากมายใน Netflix ‘Kakegurui’หรือในชื่อไทย ‘โคตรเซียนโรงเรียนพนัน’ ผลงานของอาจารย์ โฮมูระ คาวาโมโตะ กับอาจารย์ โทรุ นาโอะมูระ คือหนึ่งในเรื่องที่มีความโดดเด่นและเอกลักษณ์เฉพาะตัวมากที่สุด ไม่ว่าจะด้วยพล็อตแปลกใหม่ไม่ซ้ำกับใคร ฉีกขนบเนื้อเรื่องแนวโรงเรียนแบบเดิม ๆ อย่างไม่มีชิ้นดี งานภาพโดดเด่นหวือหวา ฉูดฉาดเร้าอารมณ์ นอกจากนั้นการออกแบบตัวละครก็ทำได้ยอดเยี่ยม ทุกตัวละครมีมิติในตัวเอง จนทำให้คนดูอย่างเราทั้งรักทั้งเกลียดได้อย่างประหลาด โดยรวมแล้ว Kakegurui คืออนิเมะชั้นเลิศที่สมควรหามาดูด้วยประกาศทั้งปวง และไม่ใช่แค่ความบันเทิงเท่านั้นที่จะได้รับ ภายใต้เรื่องราวของโรงเรียนที่เต็มไปด้วยการพนันแห่งนี้ยังแฝงประเด็นที่น่าสนใจเอาไว้มากมาย ซึ่งในวันนี้เราจะมาพูดถึงมันกัน เอาล่ะ ไปเล่นการพนันแบบหลุดโลกกันเถอะ! ในโลกจำลองที่การพนันคือทุกสิ่ง เรื่องราวทั้งหมดเริ่มต้นขึ้นเมื่อ ยูเมโกะ จาบามิ เด็กสาวลึกลับได้ย้ายเข้ามาเรียนในโรงเรียนเอกชน เฮียคคะโอ ในช่วงกลางเทอม ซึ่งถ้าจะอธิบายโรงเรียนแห่งนี้ให้เข้าใจได้ง่าย ๆ มันคือโรงเรียนคนรวย ที่ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็เต็มไปด้วยลูกคนใหญ่คนโตของประเทศญี่ปุ่น และนอกจากการเป็นโรงเรียนสำหรับชนชั้นสูงแล้ว ความพิเศษอีกอย่างของเฮียคคะโอที่ไม่มีที่ไหนเหมือนคือที่นี่ตัดสินทุกอย่างด้วย ‘การพนัน’ เนื่องจากโรงเรียนนี้เต็มไปด้วยเหล่าลูกคนรวย ดังนั้นเงินคือทุกอย่าง ชนชั้นสถานะของนักเรียนทุกคนถูกกำหนดด้วยเงิน ไม่ใช่หน้าตา ผลการเรียน หรือกีฬา ยิ่งไปกว่านั้นผู้ที่มีอำนาจสูงสุดของโรงเรียนกลับไม่ใช่ผู้อำนวยการ แต่คือเหล่าคณะกรรมการนักเรียนที่มั่งคั่งด้วยเงินตราและฝีมือด้านการเล่นพนัน เมื่อคุณไม่มีเงิน คุณก็ต้องเล่นพนันเพื่อให้ได้มันมา! เด็กใหม่อย่างยูเมโกะ จาบามิรู้สึกยังไงกับกฎประหลาดของโรงเรียนนี้? ทุกคนต่างคิดว่าเธอจะเป็นปลาเล็กให้เหล่าเซียนพนันในโรงเรียนงาบได้แบบสบาย ๆ แต่ผิดคาด เพราะแท้จริงแล้วยูเมโกะคือคนที่บ้าการพนันยิ่งกว่าใคร และฝีมือเธอก็ยอดเยี่ยมเสียจนสามารถทำให้โลกการพนันของเฮียคคะโอต้องปั่นป่วนหลังจากเข้ามาเพียงไม่กี่วัน ไม่มีเงินก็จงกลายเป็นสัตว์เลี้ยง ไม่ใช่แค่ความสนุก แต่ Kakegurui