‘คราฟต์เบียร์’ น่าจะเป็นหนึ่งในคำที่ผู้ชายสายปาร์ตี้อย่างเราได้ยินบ่อยที่สุดในรอบหลายปีที่ผ่านมา เพราะต้องยอมรับว่าก่อนหน้านี้บ้านเราคุ้นเคยแค่กับเบียร์ลาเกอร์ยี่ห้อดังไม่กี่ยี่ห้อ ดังนั้นการมาถึงของวัฒนธรรมคราฟต์เบียร์จึงเปรียบเสมือนการเปิดโลกให้กับบรรดาคอเบียร์ในบ้านเรา จึงไม่น่าแปลกใจที่คราฟต์เบียร์จะได้รับความนิยมในประเทศไทยอย่างรวดเร็ว เราเชื่อว่าหนุ่ม ๆ UNLOCKMEN น่าจะเคยลิ้มรสคราฟต์เบียร์กันมาบ้าง แต่ในวันนี้เราจะพาทุกคนไปทำความรู้จักมันให้มากขึ้น และจะขอแนะนำที่ชิว ๆ สำหรับจิบคราฟต์เบียร์แท้ ๆ สไตล์เบลเยี่ยมไว้เป็นตัวเลือกของทุกคน ขึ้นชื่อว่าคราฟต์เบียร์ ต้องคราฟต์ตั้งแต่คนเสิร์ฟยันคนดื่ม คราฟต์เบียร์คือเบียร์ที่เกิดจากการหมักด้วยกรรมวิธีที่มีความพิถีพิถันตามแบบฉบับดั้งเดิมของผู้ผลิตรายย่อยหรือคนธรรมดาแบบเรา ๆ ที่ต่างก็สรรสร้างรสชาติเฉพาะตัวแตกต่างกันไปตามวัตถุดิบและจินตนาการ พร้อมด้วยฉลากบรรจุภัณฑ์ที่เป็นเอกลักษณ์ ยกตัวอย่างเช่นในประเทศเบลเยียม ซึ่งขึ้นชื่อในเรื่องของคราฟต์เบียร์ จนถึงขั้นถูกยกให้เป็นมรดกโลก เนื่องด้วยอุตสาหกรรมการผลิตเบียร์ในเบลเยียมนั้นมีประวัติศาสตร์ยาวนาน และมีผู้ผลิตรายย่อยกว่า 200 ราย มีการผลิตเบียร์มากถึง 1,500 ชนิด ซึ่งคราฟต์เบียร์เบลเยียมที่เป็นที่นิยมและถูกพูดถึงกันมากที่สุดคงหนีไม่พ้น Trappist Beer เบียร์ที่ผลิตกันในโบสถ์โดยพระนักบวช ยกคราฟต์เบียร์เบลเยี่ยมแท้ ๆ มาไว้ที่ไทย คราฟต์เบียร์เบลเยี่ยมคือหนึ่งในลิสต์ที่คอเบียร์ไม่ควรพลาด ซึ่งข่าวดีคือไม่จำเป็นต้องตีตั๋วเดินทางไกลถึงยุโรปก็สามารถลิ้มลองได้ เพราะตอนนี้คราฟต์เบียร์ชั้นเลิศหลากหลายรสชาติได้ถูกยกมารวมไว้ที่ใจกลางย่านอโศก-นานา ณ BELGA Rooftop Bar & Brasserie ห้องอาหารบนดาดฟ้าชั้น 32 ของโรงแรม Sofitel Bangkok Sukhumvit อยู่ระหว่างสุขุมวิท
หากกำลังตามหาร้านนั่งชิลพร้อมบรรยากาศเป็นส่วนตัวท่ามกลางเมืองหลวงที่พลุกพล่านและวุ่นวาย ที่ที่ UNLOCKMEN จะพาไปวันนี้จะไม่ทำให้คุณผิดหวัง เพราะนอกจากคุณจะได้ดื่มด่ำค็อกเทลที่หนักแน่นและแปลกใหม่ บาร์แห่งนี้ยังเป็นเหมือนพื้นที่ส่วนกลางรอให้เราได้พบปะผู้คน เพื่อพูดคุย เพื่อแลกเปลี่ยน หรือเพียงเพื่อละเลียดบรรยากาศเงียบ ๆ ไปด้วยกัน บาร์ที่เราพูดถึงคือ Middle Bar ที่ตั้งอยู่บนชั้นสองของ Blue Bye Cafe ณ ซอยสุขุมวิท 36 ที่ที่คุณจะได้ลิ้มรสค็อกเทลเคล้าบรรยากาศที่ผู้ชายจะต้องหลงรัก ทันทีที่พาตัวเองมาถึง Middle Bar เราจะเจอคาเฟ่ด้านล่างก่อน ถ้ารอไม่ไหว อยากดื่มค็อกเทลใจจะขาดก็แนะนำให้เดินขึ้นมาที่ชั้นสองได้เลย แต่ถ้ามาหลังสองทุ่มเป็นต้นไปคาเฟ่ด้านล่างจะปิดทำการ เราจะต้องกดกริ่งหน้าบ้านเพื่อให้คุณตั้มผู้เป็นเจ้าของร้านเดินลงมารับ เช่นเดียวกับเวลากลับคุณตั้มก็จะลงมาส่งด้านล่าง ถือเป็นความใส่ใจเล็ก ๆ แต่กลับทำให้เราประทับใจได้มากอย่างไม่น่าเชื่อ เรามีโอกาสสนทนากับคุณตั้มหนึ่งในเจ้าของร้าน Middle Bar ถึงได้รู้ว่าก่อนจะมาเปิดบาร์ค็อกเทล คุณตั้มเคยเป็นทั้งช่างภาพ ทั้งเปิดร้านเสื้อผ้าวินเทจและเป็นเจ้าของคาเฟ่ชั้นล่างด้วย คุณตั้มเล่าว่าจุดเริ่มต้นของบาร์มาจากความเป็นคนชอบดื่ม ยิ่งเมื่อไปหลายร้าน ก็จะเห็นอะไรใหม่ ๆ ที่เป็นแรงบันดาลใจให้เขา เมื่อถึงจุดจุดหนึ่งเลยอยากเปิดร้านเป็นของตัวเองเพราะจะได้ดื่มในที่ของตัวเอง จึงเป็นที่มาของชื่อร้านอย่าง Middle Bar เพราะอยากให้ที่นี่เป็นพื้นที่กลางให้ทุกคนมาเจอกัน เมื่อเราถามถึงนิยามของ Middle Bar ว่าที่นี่ถือว่าเป็นบาร์สไตล์ไหน ก็ได้คำตอบที่น่าสนใจกลับมาว่า
เป็นที่เข้าใจกันดีว่าในทุกวันนี้ “ทักษะในการเข้าสังคม” เป็นสิ่งสำคัญอย่างหนึ่งในการใช้ชีวิตอย่างปฎิเสธไม่ได้ นอกจากเสื้อผ้าหน้าผมและการสนทนาที่ต้องเหมาะสมและถูกกาลเทศะแล้ว “การดื่ม” ยังเป็นอีกหนึ่งทักษะในการเข้าสังคมอย่างมีรสนิยมเช่นกัน (โดยเฉพาะสำหรับผู้ชาย) ถ้าไม่เชื่อก็ลองสังเกตเวลาที่ดูหนังจากฝั่งฮอลลีวู้ดดูสิครับ เกือบทุกเรื่อง (ยกเว้นหนังสำหรับเยาวชนนะ) ต้องมีฉากที่พระเอกใส่สูทผูกไทด์มานั่งอารัมภบทอยู่ที่บาร์คนเดียว ทักทายกับบาร์เทนเดอร์คู่ใจอย่างคุ้นเคย ก่อนที่เครื่องดื่มสีน้ำตาลประกายทองที่ถูกเรียกกันจนติดปากว่า “เหล้า” จะถูกรินและเสิร์ฟอยู่ข้างกายเขาอย่างประณีต ยกขึ้นมาจิบสักเล็กน้อยอย่างมีสไตล์ แล้วปิดซีนนี้ด้วยการถือแก้วพร้อมเดินเข้าไปจีบนางเอกแบบหล่อ ๆ (ซีนต่อไปจะเป็นอย่างไรต่อพอจะนึกออกกันนะครับ) จริงอยู่ที่เหล้านั้นถูกคิดค้นมาเพื่อสร้างความสุนทรีย์ในอารมณ์ แต่ถ้าเรามองลึกลงไปอีกนิดและหาข้อมูลอีกหน่อย ผมเชื่อว่าหลาย ๆ คนจะต้องประหลาดใจอย่างแน่นอน เพราะนอกจากความมึน(เมา) ที่มีให้แก่ผู้ดื่มแล้ว “เหล้า” นั้นยังมี “เรื่องเล่า” เยอะอีกด้วย โดยเฉพาะเหล้าชนิดนึงที่กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในบ้านเรา(แต่ทั่วโลกนิยมมานานแล้ว) นั่นก็คือ “Single Malt” Single Malt (ซิงเกิล มอลต์) คือวิสกี้ที่หมักและกลั่นจากมอลต์ของข้าวบาร์เลย์ (Malted barley) “Single” หมายความว่ามอลต์ที่ไหลรินอยู่ในขวดทั้งหมด ต้องมาจากโรงกลั่นเดียว (Single distillery) เท่านั้น “Malt” หมายความว่าวิสกี้นั้นต้องทำจากมอลต์ (Malted) ที่ได้จากธัญพืชล้วน ๆ ยิ่งถ้าเป็น
ด้วยไลฟ์สไตล์คนเมืองและสภาพแวดล้อมในปัจจุบัน เต็มไปด้วยปัจจัยมากมายที่พร้อมจะทำลายสุขภาพเราได้ตลอดเวลา ถึงเราจะรู้ดีว่าอะไรส่งผลเสียต่อสุขภาพ แต่เมื่อชีวิตต้องดำเนินต่อไป ต้องกิน ต้องใช้ คงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องก้มหน้ายอมรับชะตากรรม ถึงอย่างนั้นก็พอจะมีสิ่งที่เราสามารถเปลี่ยนแปลงได้ โดยไม่กระทบชีวิตประจำวันมากมาย นั่นก็คือ ‘พฤติกรรมการกิน’ ซึ่งเป็นสิ่งที่อยู่ใกล้ตัว แต่หนุ่ม ๆ อย่างเรากลับไม่ค่อยให้ความสำคัญเท่าไร วันนี้เราจึงอยากเชิญชวนมาปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินให้ดีขึ้น ด้วยการแนะนำ 5 ร้าน Organic Food ที่การันตีว่าทุกจานปลอดภัยไร้สารพิษแน่นอน Organic Supply ถึงแม้ในบทเพลงจะเต็มไปด้วยความเศร้าหม่น แต่ตัวจริงเขาเป็นคนรักสุขภาพและสิ่งแวดล้อมไม่น้อยสำหรับ ‘คุณเล็ก’ แห่ง ‘Greasy Cafe’ ที่ได้ร่วมกับเพื่อน ๆ ก่อตั้งร้าน Organic Supply ขึ้นมาในย่านลาดพร้าว โดยตั้งใจจะให้เป็นที่พบปะพูดคุยของสังคมคนรัก Organic เพียงแค่เปิดประตูเข้าไปในร้าน ก็รับรู้ได้ทันทีว่านี่คือร้าน Organic เนื่องจากการตกแต่งที่เน้นโทนเขียว-ขาว สบายตา ส่วนเฟอร์นิเจอร์ต่าง ๆ ก็เน้นใช้วัสดุจากไม้เป็นหลัก ทำให้คุณรู้สึกใกล้ชิดธรรมชาติง่าย ๆ แม้จะอยู่ในย่านที่รถติดที่สุดในประเทศก็ตาม ที่ Organic Supply มีผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติมากมายให้คุณได้เลือกจับจ่ายใช้สอย หรือถ้าอยากหาอะไรสบายท้องและปลอดภัยทาน ที่นี่ก็มีทั้งเบเกอรี่และเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพไว้บริการ รับรองว่าทุกเมนูดีต่อสุขภาพแน่นอน หรือจะไม่ซื้อ ไม่ทานอะไร เข้ามาเพื่อพูดคุยเฉย
14,922 กิโลเมตร คือระยะทางระหว่างเม็กซิโกกับประเทศไทย เรียกว่าห่างไกลกันคนละซีกโลก แต่ดูเหมือนว่านั่นจะไม่ใช่อุปสรรคต่อการเดินทางของวัฒนธรรมแต่อย่างใด เพราะคนไทยค่อนข้างรู้จักดินแดน ‘จังโก้’ แห่งนี้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวด้านบันเทิง กีฬา หรือแม้กระทั่งอาหาร ที่ไม่น่าเชื่อเหมือนกันว่าในบ้านเราจะมีร้านอาหารเม็กซิกันเกิดขึ้นมากมาย เราสันนิษฐานว่าน่าจะเป็นเพราะรสชาติของอาหารที่ไม่แตกต่างกันมากนัก มีความจัดจ้านเหมือนกัน ‘อยากทานอาหารเม็กซิกันจังเลย แต่ไม่รู้จะหาทานได้ที่ไหน’ ใครกำลังประสบปัญหานี้ วันนี้เรามีร้านอาหารเม็กซิกันรสชาติเลิศ บรรยากาศเยี่ยม มาแนะนำด้วยกันทั้งหมด 5 ร้าน The Missing Burro ร้านอาหารเม็กซิกันพันธุ์แท้ย่านทองหล่อ ที่กล้าบอกว่าพันธุ์แท้เนื่องจาก The Missing Burro ก่อตั้งโดยพี่น้องชาวเม็กซิกันที่ย้ายมาอาศัยในประเทศไทยเป็นเวลานาน ดังนั้นรสชาติที่ The Missing Burro นำมาเสิร์ฟจะเป็นรสชาติสไตล์เม็กซิกันแท้ ๆ ไร้การฟิวส์ชั่นใด ๆ ทั้งสิ้น ตัวร้านเป็นตู้คอนเทนเนอร์ตั้งอยู่ท่ามกลางบรรยากาศสบาย ๆ ในย่านทองหล่อ ซึ่งเราว่ามันดูเหมาะสมกับวิถีชีวิตของชาวเม็กซิกันที่เป็นคนสบาย ๆ เน้นความสนุกสนานเป็นหลัก เรียกว่าเมื่อได้หย่อนตัวนั่งแล้วแทบไม่อยากลุกเลยทีเดียว อาหารที่นี่ก็มีครบครัน เรียกว่ายกแผ่นดินจังโก้มาตั้งในทองหล่อเลยก็ว่าได้ ไม่ว่าจะเป็นนาโช, ทาโก้, เบอริโต้, Carnitas และอีกมากมาย เลือกสั่งได้เต็มที่เลย ใครอยากนั่งทานอาหารเม็กซิกันแท้ ๆ ในบรรยากาศสบาย ๆ The
เมนูยอดฮิตของร้านตามสั่งอย่าง “กะเพรา”เป็นอีกเมนูที่รสชาติจัดจ้านถูกปากคนไทยจึงครองใจคนทุกเพศทุกวัยไปแบบขาดลอย วันนี้เมนูกะเพราไม่ได้เป็นแค่เมนูซิกเนเจอร์ในร้านอาหารตามสั่งทั่วไปอีกแล้ว แต่ยังเป็นเมนูซิกเนเจอร์ของร้านนั่งดื่มบรรยากาศดีอย่าง “กะเพราผัด รัชบาร์ 32” ที่หยิบเอาเมนูนี้มาขายจนเป็นจานเด็ดของร้านที่ไม่สั่งไม่ได้ แค่กะเพราธรรมดาก็คงจะเหมือนร้านอื่นเกินไป มาลองกะเพรารสเด็ดเผ็ดถึงใจ ด้วยวัตถุดิบที่ตั้งใจคัดมาอย่างดีเหมือนกับทำกินเองของร้านนี้ แกล้มเบียร์เย็น ๆ ในร้านบรรยากาศอบอุ่นเป็นกันเองด้านใน หรือจะเป็นสวนด้านนอกที่ร่มรื่น ชวนให้ดื่มด่ำกับบรรยากาศแห่งความหรรษากันแบบ Open Air ลองไปทำความรู้จักกับเมนูเด็ดของร้านนี้ที่มันส์ไม่แพ้เมนูของพวกเขาไปพร้อม ๆ กัน ก่อนที่จะหยิบกุญแจรถออกเดินทางไปพิสูจน์ความเผ็ดร้อนกันในคืนนี้ ร้านนี้ซ่อนตัวอยู่ในซอยรัชดา 36 เดินทางง่ายใกล้ MRT ลาดพร้าว เข้าซอยมาให้มองทางขวามือไว้ จะเห็นบรรยากาศร่มรื่นที่ยื่นออกมานอกรั้วเล็กน้อย นั่นแหละ ถึงร้านแล้ว แม้ชื่อร้านจะชวนให้คิดว่านี่คือร้านอาหาร แต่ความจริงพรั่งพร้อมด้วยเครื่องดื่มบาดคอให้เราได้เมามายไปพร้อมกับบรรยากาศด้วยเช่นกัน บริเวณของร้านแบ่งเป็นสองส่วน คือส่วนด้านในบ้านและสวนด้านนอก ใครสะดวกนั่งตรงไหนสามารถจับจองพื้นที่กันได้ตามใจชอบ เดิมทีร้านนี้เป็นเหมือนร้านที่เพื่อนหลาย ๆ คนหุ้นกันทำ ความตั้งใจแรกคือเปิดร้านขายเฉพาะกะเพรา เพราะทุกคนชอบกินกะเพราเหมือนกันหมด แต่กะเพราเฉย ๆ ก็คงจะเบสิกเกินไป เติมรสชาติจัดจ้านจึงเป็นอีกหนึ่งจุดเด่นของร้าน ความเผ็ดร้อน เข้มข้น ดุเดือด ซ่อนตัวอยู่ในเนื้อฉ่ำ ๆ ทุกจาน ที่สำคัญยังไม่ต้องกลัวว่าปรุงใหม่แล้วรสชาติไม่เหมือนกัน เพราะทางร้านคิดถึงความง่ายและสะดวกจึงคิดค้นซอสกะเพราสูตรลับของร้านที่ปรุงขึ้นมาเองเป็นตัวชูรสขึ้นมาใช้ ส่วนใครที่ไม่สันทัดความเผ็ดระดับปรอทแตกไม่ต้องกังวล
What is Fine Dinning? ก่อนที่เราจะพาทุกคนไปดื่มด่ำกับศาสตร์แห่งอาหารชั้นเลิศในร้านที่เราอยากแนะนำ เรามาทำความรู้จักกันก่อนดีกว่าว่าคำว่า ‘Fine Dining’ ที่เราได้ยินกันบ่อย ๆ หรืออย่างน้อยก็ต้องเคยเห็นผ่านตานั้นความหมายที่แท้จริงของมันคืออะไร ไม่มีอะไรซับซ้อน Fine Dining ก็คือห้องอาหารตามความเข้าใจของคนทั่วไปนั่นแหละ เพียงแต่ความพิเศษของมันคือ บรรยากาศที่หรูหราเป็นทางการและบริการด้วยเมนูคุณภาพสูงกว่าร้านทั่วไป เครื่องดื่มจะให้บริการด้วยไวน์คุณภาพสูง รวมถึงมีบริการผู้เชี่ยวชาญด้านไวน์หรือ Sommeliers ประจำร้าน เพื่อให้คำแนะนำและเสนอไวน์ที่เหมาะกับอาหารแต่ละจาน แน่นอนว่าเมื่อเป็นห้องอาหารที่เป็นเลิศในทุกด้าน จึงปฏิเสธไม่ได้ว่าในเรื่องของราคานั้นก็จะสูงกว่าร้านธรรมดาทั่วไปด้วยเช่นกัน เอาล่ะอุ่นเครื่องความรู้กันพอหอมปากหอมคอ ไปดูทั้ง 5 ร้านที่เราอยากแนะนำกันเลยดีกว่า OSHA OSHA คือห้องอาหารสไตล์ไทยโมเดิร์นที่ได้รับการแนะนำจากมิชลินไกด์ ตั้งอยู่ใจกลางกรุงเทพย่านถนนวิทยุ โดดเด่นด้วยการรังสรรค์เมนูจาก เชฟหนุ่ม ธนินทร จันทรวรรณ ผู้คร่ำหวอดอยู่ในเมนูอาหารมามากกว่า 20 ปี นอกจากนั้นยังเคยร่วมงานกับเชฟระดับโลกมากมายไม่ว่าจะเป็น Heston Blumental จาก Fat Duck และ Dinner by Heston Blumental หรือแม้กระทั่งสุดยอดเชฟชื่อดังอย่าง Gordon Ramsey OSHA ตกแต่งร้านด้วยสไตล์ไทยที่งดงามทุกรายละเอียด เน้นโทนสีดำ-ทองเป็นหลัก ยิ่งช่วยทำให้ Fine Dining แห่งนี้หรูหรามีระดับขึ้นไปอีกขั้น อย่างที่บอกไปว่า
“Your education begins when you leave school. Not when you’re in school.” แม้ประโยคข้างต้นของ Robert Kiyosaki มหาเทพผู้เชี่ยวชาญเรื่องความรวยและสร้างไบเบิลเรื่องการลงทุนอย่าง “Rich Dad Poor Dad” จะเป็นสิ่งที่เราเห็นด้วย แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการเรียนใน “โรงเรียน” ยังคงเป็นปัจจัยหนุนนำที่ช่วยให้การเรียนรู้และดำเนินชีวิตจริงง่ายขึ้น นั่นจึงไม่แปลกที่เมื่อบางสถาบันมีการชุมนุมของคนเก่ง คนรวยโดยไม่ได้นัดหมายสร้างผลผลิตเป็น “เจ้าสัว” ระดับตำนานหลายคนในเมืองไทย จะเป็นเหมือนสถานที่ที่สร้างสปอตไลต์ส่วนตัวให้ใครก็อยากส่งบุตรหลานเข้ามาเรียน จากนี้ไป UNLOCKMEN ขอพาคุณไปรู้จักกับโรงเรียนถิ่นเจ้าสัวไทยที่ได้รับการขนานนามว่าผลิต “เจ้าสัว” มากที่สุดในเมืองไทยให้คุณรู้จักและลองชั่งตวงวัดในใจว่าคุณอยากส่งคนรอบข้างไปเรียนสถานที่แห่งนี้หรือไม่ “โรงเรียนเผยอิง” เปิดรั้วโรงเรียนจีน แน่นอนว่าศัพท์ “เจ้าสัว” ไม่ใช่คำใช้เรียกคนรวยไทย และชื่อ “เผยอิง” อ่านก็รู้ได้ทันทีว่าไม่มาจากคำไทยแท้ จุดเริ่มต้นของการสร้างโรงเรียนแห่งนี้จึงมีวัตถุประสงค์ที่ไม่ได้เน้นความเป็นไทยขนาดนั้น แต่ตั้งใจให้เป็นสถานที่สำหรับส่งบุตรหลานชาวจีนในแผ่นดินไทยเข้ามาเรียนเพื่อสร้างความแน่นแฟ้น เพราะเลือดมังกรไม่ว่าหยดอยู่ในแผ่นดินไหนก็ยังคงเข้มข้น ถ้าไม่ใช่รูปแบบของโรงเรียนเราจะมองเห็นสมาคมแซ่ต่าง ๆ ที่ตั้งกระจายตัวอยู่ทุกวันนี้ ซึ่งก่อตั้งมาเพื่อสนับสนุนเหตุผลใกล้เคียงกัน โรงเรียนเผยอิงสร้างขึ้นครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2459 หรือในสมัยของรัชกาลที่ 6 จากการระดมทุนของชาวจีนแต้จิ๋วในไทย
หลังจากที่คราวก่อนเราได้แนะนำ 5 ร้าน Omakase ที่เราชื่นชอบที่สุดกันไปแล้ว (GUIDE: 5 ร้าน OMAKASE ที่เราอยากแนะนำ เพราะทุกคำเสิร์ฟพร้อมจิตวิญญาณและความตั้งใจของเชฟ) นอกจากจะได้พิกัดร้านขั้นเทพแล้ว เรายังได้เล่าถึงความเป็นมาของวัฒนธรรมการกินแบบ Omakase ไว้ด้วย เป็นการประดับความรู้เสริมความมั่นใจก่อนไปนั่งประจันหน้ากับเชฟ แต่เรารู้ดีว่าราคาคอร์สของแต่ละร้านที่เราแนะนำไปนั้นทำเอาขนหน้าแข้งร่วงไปหลายเส้น เพราะความพรีเมียมของมัน ดังนั้นใน Omakase Guide ภาค 2 นี้ เราขอแนะนำร้าน Omakase ราคาประหยัด ที่พกแบงค์พันไปแค่ 3 ใบก็สามารถอิ่มอร่อยได้ตามขนบวัฒนธรรมญี่ปุ่นแท้ ๆ Sushi Hinata ถึงแม้จะตั้งอยู่ในห้างสรรพสิค้าหรูใจกลางเมืองอย่าง Central Embassy แต่คอร์ส Omakase ของ Sushi Hinata นั้นราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 2,000 บาทเท่านั้น เรียกว่าถูกแบบเหลือเชื่อถ้าเทียบกับทำเลและคุณภาพวัตถุดิบที่ได้รับ Sushi Hinata ตกแต่งร้านสไตล์ดั้งเดิม เน้นความสงบและเรียบหรู เมื่อเปิดประตูเข้าไปคุณจะเจอกับปลามากมายหลายชนิดวางเรียงรายอยู่บนเคาน์เตอร์จนอาจจะเข้าใจผิดว่านี่คือตลาดปลาสักแห่งในญี่ปุ่น นอกจากคุณภาพปลาที่สดใหม่ หวานฉ่ำตามธรรมชาติและฝีมือการปั้นขั้นเทพของเชฟ โยชิกิ ยามาดะ แล้วที่นี่ยังตกแต่งอาหารในคอร์สออกมาได้สวยงาม เพิ่มความประทับใจให้เรามากขึ้นไปอีก ใครอยากมาลอง
ความเมาเป็นความรื่นรมย์ของผู้ชายอย่างเรา ๆ ตราบใดที่ดื่มอย่างมีความรับผิดชอบต่อตัวเองและผู้อื่นได้จะเมาแค่ไหนก็คงไม่มีใครว่า ส่วนใครใคร่เมาแบบไหนก็แล้วแต่รสนิยมส่วนบุคคล เมาเรื้อน ๆ เมาลอย ๆ เมาน้อย ๆ เอาที่เราพอใจ แต่สำหรับ UNLOCKMEN เราเชื่อว่าการเมาเป็นศาสตร์และศิลป์ หากต้องการดื่มด่ำเครื่องดื่มในแก้วให้ถึงรสชาติเป็นพิเศษก็ต้องพาตัวเองไปดื่มด่ำเมามายในบาร์ที่มีความเป็นตัวของตัวเองชัด เรียกว่าเมาทั้งทีก็ขอเมาแบบมีสไตล์ เมื่อสิ้นปีและเทศกาลเฉลิมฉลองมาถึง เราก็ขอรวบรวม 5 บาร์ที่มีสไตล์ชัดเจนจนเราหลงใหลและอยากแนะนำให้ผู้ชายพากันไปเมาอย่างมีสไตล์ ละเลียดบรรยากาศอย่างมีสเต็ป หรืออยากเมาไม่มีสไตล์ในบาร์มีสไตล์ก็ไม่ผิด ขอแค่ลองไปเพราะมันชวนหลงใหลจนไปครั้งเดียวไม่พอแน่นอน THE KEY บาร์เล็กคอนเซปต์ใหญ่ที่ต้องมีกุญแจถึงจะไขเข้าไปได้ ‘The Key’ บาร์เล็ก ๆ สไตล์ Speakeasy เรียบหรู ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ในห้องลับที่ไหนสักแห่ง ก่อนเข้าเราต้องไปเช็คอินที่เคาน์เตอร์เพื่อรับคีย์การ์ดผ่านประตู เป็นกิมมิคเล็ก ๆ ที่สร้างสรรค์และเหมาะกับชื่อ The Key The Key ตั้งอยู่ใน JOSH HOTEL ที่นี่จึงเป็นบาร์ที่เสิร์ฟ Cocktail ซึ่งแต่ละแก้วอัดแน่นด้วยเรื่องราวการเดินทางของ Mr.JOSH คาแร็คเตอร์ที่ถูกออกแบบมาให้เป็นเจ้าของโรงแรมแห่งนี้เอาไว้ เขาเป็นชายหนุ่มกร้านชีวิต มากด้วยประสบการณ์ หลงใหลในการเดินทาง ชอบดื่มด่ำเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ จึงไม่ต้องแปลกใจเลยว่าการมาดื่มด่ำเมามายที่นี่นอกจากจะได้เมาค็อกเทลที่เต็มไปด้วยเรื่องราวสมใจ เราจะได้ดื่มด่ำตัวตนชายหนุ่มกร้านชีวิตอย่าง