อีกไม่กี่อึดใจเท่านั้น มหกรรมกีฬาที่นักกีฬาจากทั่วโลกรอคอยก็กำลังจะเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ นั่นก็คือ ‘Tokyo 2020 Olympics’ ซึ่งในทุก ๆ ครั้งที่มีการจัดการแข่งขันกีฬา ‘Olympic’ ขึ้น ก็จะมีนักกีฬานับพันจากประเทศกว่า 200 ประเทศ มาร่วมการแข่งขัน และถ้าหากพูดถึงชื่อ Michael Phelps, Usain Bolt, Naomi Osaka ชื่อของนักกีฬา Super Star เหล่านี้คงจะเป็นที่รู้จักกันดีอยู่แล้ว แต่สำหรับ ‘Tokyo 2020 Olympics’ เราอยากจะขอแนะนำนักกีฬาใหม่ กับกีฬาชนิดใหม่ที่เพิ่มเข้ามาในปีนี้ และถูกยกย่องให้เป็นนักกีฬาที่น่าจับตามองมากที่สุดในทัวนาเม้นต์ นักกีฬาที่ว่านี้จะเป็นใคร และจะมีกีฬาชนิดใดบ้าง เดี๋ยวเราไปดูกันเลย Nyjah Huston (United States) ‘Skateboard’ คือ ประเภทกีฬาใหม่ที่ถูกนำเข้าสู่รายการการแข่งขัน Olympic ที่กรุง Tokyo เป็นครั้งแรก และอย่างที่เราเห็น ๆ กันว่า ในปัจจุบันคนนั้นเริ่มหันมาเล่นสเก็ตกันมากขึ้น ทำให้มีนักสเก็ตฝีมือดีใหม่ ๆ เกิดขึ้นมากมายทั่วโลก แต่สำหรับในรายการนี้
ใครเคยดื่มเหล้ากับคนรุ่นเก๋ารุ่นใหญ่จนเมาหัวทิ่ม เช้าอีกวันอาจจะสงสัยว่าทำไมในขณะที่เราทรมานจากอาการเมาค้าง (hangover) จนลุกจากเตียงไม่ไหว แต่คนรุ่นใหญ่กลับสามารถตื่นเช้ามาพร้อมอาการชิว ๆ สบาย ๆ ไปทำงานต่อได้แบบไร้ปัญหา ราวกับการเมาค้างทำอะไรพวกเขาเหล่านั้นไม่ได้เลย บัดนี้เราค้นพบคำอธิบายนั้นแล้ว กับผลวิจัยที่ชื่อ Alcohol Hangover Across the Lifespan: Impact of Sex and Age ซึ่งถูกตีพิมพ์ลงใน medical journal “Alcohol and Alcoholism” นักวิจัยได้ทำการทดลองกับบรรดานักดื่มจำนวน 761 คน อายุระหว่าง 18 ถึง 94 ปี เกี่ยวกับพฤติกรรมการดื่ม ที่ไหน เท่าไหร่ เวลาไหน ดื่มนานแค่ไหน และอาการ Hangover ในวันรุ่งขึ้นเพื่อดูความแตกต่างในแต่ละช่วงอายุ มีความน่าสนใจถูกค้นพบอย่างชัดเจนระหว่างคนสองกลุ่ม คนอายุมากจะเจอกับความทรมานจากการเมาค้างน้อยลง หรือแม้ในรายที่ดื่มหนักมาก แม้จะมีอาการบ้าง แต่จะไม่รุนแรงเท่าเด็กวัยรุ่นที่ร่วงยาวถึงบ่าย กลืนไม่เข้า คายไม่ออก นักวิจัยสรุปสาระสำคัญได้ว่า เมื่อนักดื่มอายุมากขึ้น ร่างกายจะมีประสบการณ์ในการรับมือกับอาการเมาค้างได้ดีขึ้นด้วย หรือเรียกว่าร่างกายผ่านอะไรมาเยอะจนเคยชินกับมันนั่นเอง
ปัญหาเรื่องการพักผ่อนไม่เพียงพอส่งผลเสียต่อมนุษย์ทุกคนได้มากมาย ผลร้ายของมัน ไม่ว่าจะเป็น ทำให้ไม่มีแรงในการใช้ชีวิต ขาดสมาธิในการทำงาน เคยทำชีวิตของใครหลายคนพังมานักต่อนัก และยิ่งไปกว่านั้น ปัญหานี้อาจทำให้เกิดโรคร้ายแรงอื่น ๆ ตามมาได้อีกเช่นกัน UNLOCKMEN เลยอยากมาแนะนำเทคนิคจาก NASA ที่จะช่วยให้ทุกคนสามารถนอนหลับได้ดีขึ้น บอกเลยว่าใครที่นอนหลับยาก ไม่ควรพลาดบทความนี้ด้วยประการทั้งปวง !! เริ่มจากสร้างตารางชีวิตประจำวัน เคยสงสัยไหมว่าบางครั้ง นอนเยอะ นอนหลายชั่วโมงแล้ว แต่ตื่นขึ้นมาก็ยังรู้สึกง่วงอยู่ นั่นอาจเป็นเพราะร่างกายของเรารับรู้เวลารับตื่นไม่ถูกต้อง ร่างกายของเรามีระบบที่เรียกว่า ‘นาฬิกาชีวิต’ (Biological Clocks) ซึ่งทำหน้าที่ในการควบคุมช่วงเวลาตื่นและหลับของเรา โดยการหลั่งฮอร์โมนและสารต่าง ๆ ออกมาเพื่อให้เราเรารู้สึกง่วง (เมื่อถึงเวลานอน) หรือ ตื่นตัว (เมื่อถึงเวลาตื่น) หากเรานอนไม่เป็นเวลา นอนดึก ตื่นสาย นาฬิกาเรือนนี้สามารถเกิดความผิดปกติขึ้นมาได้ และอาจทำให้เกิดปัญหาร้ายแรง เช่น โรคนอนไม่หลับ หรือ อาการเหนื่อยล้า ขึ้นมาได้ด้วย การกำหนดตารางเวลาตื่นนอน จะช่วยให้เรานอนเป็นเวลา และป้องกันไม่ให้นาฬิกาชีวิตผิดปกติ ซึ่งเวลาทำตารางเวลาควรให้ความสำคัญกับเรื่องธรรมชาติของนาฬิกาชีวิต และพฤติกรรมการนอนของตัวเอง อีกทั้งควรมีการระบุเรื่องวิธีการเปิดไฟ การกินอาหาร การออกกำลังกาย และข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการนอนของเราด้วย เพื่อให้เราสามารถลงมือทำจริงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
คนที่ชื่นชอบในการวิ่งคงไม่มีใครไม่รู้จัก ‘Eliud Kipchoge’ ยอดนักวิ่งชาวเคนย่า ที่ทำลายทุกขีดจำกัดของมนุษย์สร้างสถิติที่ไม่มีใครคิดว่าจะมีมนุษย์คนไหนทำได้ ด้วยการจบการวิ่งมาราธอนภายในเวลาไม่เกิน 2 ชั่วโมง ด้วยเวลา 1:59:40 และนั่นคงไม่ใช่เรื่องฟลุ๊ค เพราะก่อนหน้านี้ เขาก็เคยสร้างสถิติ 2:01:39 ซึ่งก็ถือว่าโหดมาก และเป็นเรื่องยากที่จะมีใครสักคนทำได้อยู่ดี บางคนอาจจะมองว่า เขานั้นมีพรสวรรค์ มีลักษณะทางกายภาพที่ดีจึงประสบความสำเร็จ ซึ่งจะว่าไปมันก็มีส่วน แต่นอกจากสิ่งเหล่านี้ ความพยายาม และวินัยในการฝึกซ้อมของเขา ก็ถือเป็นการทำงานอย่างหนัก และฐานความสำเร็จที่มั่นคง วันนี้เราจึงได้นำเอาโปรแกรมการฝึกซ้อมของ ‘Eliud Kipchoge’ แบบครบ ๆ ทุกด้าน และเป็นโปรแกรมที่อัพเดทล่าสุดในปี 2021 ซึ่งแหล่งข้อมูลดังกล่าว ได้ทำการติดตามการใช้ชีวิต และการฝึกซ้อมของ Kipchoge เป็นเวลาหลายเดือนก่อนจะลงทำการแข่งขัน มาให้เพื่อน ๆ ที่ชอบวิ่ง และกำลังอยากจะพัฒนาการวิ่งของตัวได้ลองนำไปทำตามกันดู KIPCHOGE TRAINING PROGRAM – A COMPLETE GUIDE แน่นอนว่าการซ้อมของนักกีฬาระดับนี้นั้น ต้องผ่านการคัดสรรค์มาแล้วว่าต้องเกิดประโยชน์มากที่สุด Kipchoge ได้แบ่งการฝึกซ้อมก่อนการแข่งขันออกเป็น 3 Phase
จะเป็นอย่างไรถ้าหากวันหนึ่งก็เกิดความรู้สึกเฉย ๆ กับทุกสิ่งรอบตัว ไม่ได้รู้สึกยินดีแต่ในเวลาเดียวกันก็ไม่รู้สึกเศร้า ไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นกลับรู้สึกว่างเปล่าและนิ่งเฉยไปหมดทุกอย่าง อย่านิ่งนอนใจเพราะสิ่งเหล่านี้อาจเป็นสัญญาณว่าเรากำลังพบเจอกับภาวะสิ้นยินดีก็เป็นได้ ภาวะสิ้นยินดี หรือ Anhedonia คืออาการไม่ยินดียินร้าย ไม่มีอารมณ์ร่วมหรือรู้สึกกับอะไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นความสุขหรือความเศร้า ทั้งที่เมื่อก่อนสิ่งต่าง ๆ รอบตัวสามารถสร้างความสุขให้กับตัวเองได้ เช่น การไปดูหนังที่ชอบ อยู่กับคนรัก หรือแม้กระทั่งเรื่องเซ็กซ์ ภาวะสิ้นยินดีเป็นความผิดปกติทางอารมณ์ หรือที่เรียกว่า mood disorder ชนิดภาวะซึมเศร้า ตามเกณฑ์การวินิจฉัยเกี่ยวกับอาการทางจิตเวชในคู่มือการวินิจฉัยและสถิติสำหรับความผิดปกติทางจิตที่มักเรียกสั้น ๆ กันว่า DSM-IV ซึ่งจัดทำขึ้นโดยสมาคมจิตเวชศาสตร์สหรัฐอเมริการะบุว่าภาวะสิ้นยินดีนั้นพบได้ในโรคจิตเภทและความผิดปกติทางจิตอื่น ๆ จากคำบอกเล่าของผู้ป่วยที่เป็นโรคซึมเศร้าหลายคนที่มีอาการของภาวะสิ้นยินดีต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าเกลียดความรู้สึกว่างเปล่านี้มากกว่าอาการของโรคซึมเศร้าที่เป็นอยู่เสียอีก เพราะการไม่สามารถทำตามสิ่งที่ตัวเองชอบได้เหมือนที่เคยเป็นอะไรที่ทุกข์ทรมานมาก สำหรับพวกเขาการที่ยังรู้สึกถึงความเศร้าก็ยังดีกว่าการไม่รู้สึกอะไรเลย เมื่อไม่อยากทำอะไร กิจวัตรในชีวิตประจำวันและบุคลิกของผู้ที่มีอาการภาวะสิ้นยินดีจะมีการเปลี่ยนแปลงโดยไม่รู้ตัว เช่น ถ้าแต่ก่อนเป็นคนกระตือรือร้นหรือไฮเปอร์ ก็จะเริ่มเปลี่ยนเป็นคนนิ่ง ๆ ไม่ยินดียินร้าย ดูไร้อารมณ์ขึ้นกว่าปกติหรือคนที่มีบุคลิกนิ่งอยู่แล้วก็จะมีความไม่เป็นมิตรมากขึ้นและเข้าสังคมน้อยลง Llorca & Gourion ศึกษาเกี่ยวกับภาวะสิ้นยินดีตามโรงพยาบาลต่าง ๆ พบว่า ผู้ที่มีภาวะสิ้นยินดีจะพบมากในแผนกผู้ป่วยนอกมากกว่าแผนกผู้ป่วยใน ซึ่งจากข้อมูลการศึกษาในแผนกผู้ป่วยนอกโรคเกี่ยวกับโรคซึมเศร้าแถบยุโรปจะเห็นได้ว่า ผู้ป่วยโรคซึมเศร้ามีภาวะสิ้นยินดีอยู่ในระดับรุนแรงอยู่ที่ร้อยละ 86.29 และกลุ่มคนเหล่านี้จะเฉยชากับเรื่องทางเพศ เพราะความผิดปกติของสารในสมองจะไปกดอารมณ์ความรู้สึกทางเพศ จึงทำให้ร้อยละ 60
การนอนบนเตียงนุ่มแสนนุ่ม อุณหภูมิห้องแสนสบาย ผ้าห่มหนากำลังดี ถือเป็นความสุขใจอย่างหนึ่ง หลายคนชอบนอนคนเดียว แต่หลายคนก็จำใจต้องนอนคนเดียวบนเตียงชวนฝันอย่างเดียวดาย เพราะโสด เพราะไม่มีใครข้างกาย หรืออาจเพราะไม่มีใครสักคนที่เชื่อใจมากพอจะให้เขามาเคียงข้างร่วมเตียง คล้ายว่าการนอนคนเดียว (สำหรับคนที่ต้องจำใจนอน) จะไม่ได้มีอุปสรรคแค่ความเดียวดายเท่านั้น เมื่องานวิจัยล่าสุดออกมาบอกว่าการนอนกับใครสักคนที่เรารักและเชื่อใจ ทำให้การนอนมีเสถียรภาพกว่าเมื่อเทียบกับการนอนคนเดียว Bed-Sharing in Couples Is Associated With Increased and Stabilized REM Sleep and Sleep-Stage Synchronization คืองานวิจัยชื่อโคตรยาวที่เพิ่งเผยแพร่สด ๆ ร้อน ๆ โดยงานวิจัยชิ้นนี้ระบุว่าคู่รักมีประสบการณ์การนอนหลับที่ลึกกว่า และถูกรบกวนน้อยกว่าเมื่อพวกเขาร่วมเตียงกัน เทียบกับการนอนเพียงลำพัง อย่างไรก็ตามงานวิจัยชิ้นนี้ถือว่าออกมาโต้ผลงานวิจัยหลายชิ้นก่อนหน้านี้ เช่น Two in a bed: The influence of couple sleeping and chronotypes on relationship and sleep. เมื่อปี 2016 ที่ระบุว่าการนอนร่วมเตียงกันนั้นอาจทำให้คุณภาพการนอนลดลง
หลายคนคงรู้จักผู้ชายคนนี้ในฐานะผู้ร่วมก่อตั้ง และร่วมปลุกปั้นร้าน CARNIVAL® จากร้านรองเท้าเล็ก ๆ ในสยาม ที่วางขายรองเท้าเพียงแบรนด์เดียว จนกลายมาเป็นร้าน Multi-Fashion แถวหน้าของเอเชียในปัจจุบัน ที่ไม่เพียงแค่ได้สิทธิ์ขายสินค้ารุ่นเอ็กซ์คลูซีฟจากแบรนด์ระดับโลกมากมาย เพราะกลยุทธ์การสร้างแบรนด์อย่างมีชั้นเชิงนั้นทำให้คอลเลกชันเสื้อผ้าและสินค้าอื่น ๆ ภายใต้แบรนด์ CARNIVAL® เองก็ได้รับความนิยมถล่มทลายไม่แพ้กัน แต่เชื่อว่าน้อยคนนัก ที่จะได้สัมผัสแง่มุมอีกด้านของตัวพ่อแห่งวงการสตรีทแฟชั่นอย่าง ‘ปิ๊น-อนุพงศ์ คุตติกุล’ หรือ ‘ปิ๊น CARNIVAL®’ ที่หันมาสนใจเรื่องสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะประเด็นของภาวะโลกร้อน ประเด็นที่ทุกวันนี้หลายคนอาจยังมองเป็นเรื่องไกลตัว และต้องบอกว่านี่เป็นโอกาสดีที่เราได้มาพูดคุยกับผู้ชายคนนี้ จึงพลาดไม่ได้ที่จะให้คุณปิ๊นเล่าย้อนไปถึงจุดเริ่มต้นแนวคิดการสร้างแบรนด์ CARNIVAL® ให้ผงาดขึ้นมายืนอยู่ในระดับแถวหน้าของวงการ รวมถึงเรื่องราวจุด ‘เปลี่ยน’ ที่ทำให้เขาหันมาตระหนักถึงปัญหาภาวะโลกร้อน จนลุกขึ้นมา ‘เปลี่ยน’ วิธีคิด ‘ปรับ’ รูปแบบการใช้ชีวิตส่วนตัวซึ่งถูกสะท้อนออกมาผ่านกลุ่มผลิตภัณฑ์ Sustainable ของแบรนด์ CARNIVAL® ไปพร้อมกัน “มันเริ่มต้นมาจากการที่ผมได้ไปเรียนต่อปริญญาโทที่ประเทศอังกฤษนะครับ คือจากที่เราอยู่เมืองไทยมาตลอดก็มีไปต่างประเทศ มีไปเที่ยวบ้าง ไม่ได้ไปแบบจริงจัง แต่พอได้มีโอกาสไปใช้ชีวิตที่นั่น เราก็เจออะไรที่มันแปลกใหม่ เหมือนเปิดโลกใหม่ กลายเป็นว่าเราสนใจเรื่องแฟชั่น เรื่องรองเท้า จริง ๆ รองเท้าเป็นไอเทมที่เด็กผู้ชายวัยรุ่นชอบอยู่แล้ว ใคร
ในขณะที่เรากำลังใช้ชีวิตตามปกติ เราเริ่มจะรู้สึกโอเคกับของที่ใช้ รายได้ที่มี แต่เมื่อเราเปิด Instagram หรือ Facebook เราก็ได้เห็นผู้คนใช้ชีวิตหรูหรา ทุกคนขับ Porsche ราวกับเป็นรถเริ่มต้นที่คนควรจะมี หรือทริปเรือ yatch กลางทะเลเป็นกิจกรรมวันหยุดปกติที่ใคร ๆ ก็ทำกัน ทันใดนั้นจากความสุข เรากลับรู้สึกทุกข์เพราะคิดว่าสิ่งที่มีอยู่ยังไม่พอ มันทำให้เราเกิดความสงสัยว่าคนอื่นมีรายได้เท่าไหร่ จากไหน และใช้เงินทำอะไรมากน้อยแค่ไหน และกลายเป็นความเครียดจากการเปรียบเทียบด้านการใช้เงิน ซึ่งเป็นความเครียดที่มีเพิ่มมากขึ้นในยุคที่ผู้คนนิยมเปิดชีวิต (ด้านดี) ผ่าน Social Media เป็นยุคที่ความอิจฉาเกิดขึ้นได้ง่าย อิจฉาได้ทุกเรื่อง คนนั้นทำงานน่าอิจฉา คนนู้นมีรถน่าอิจฉา คนนี้กินอาหารหรูน่าอิจฉา Aristotle เคยพูดไว้ตั้งแต่หลายร้อยปีก่อนว่า มนุษย์รู้สึกเจ็บปวดเมื่อเห็นคนอื่นมีชีวิตที่ดีกว่า ขนาดในยุคที่ไม่มี Social Media ไม่มีการสื่อสาร เจ้าเมืองต่าง ๆ ยังยกกองทัพไปตียึดครองเมืองกันเพราะเห็นว่าอีกฝ่ายมีชีวิตที่ดีกว่า Ethan Kross, professor of psychology, University of Michigan บอกว่าทุกวันนี้ Social media
ในยุคนี้เราพูดคุยกับคนแปลกหน้ากันง่ายขึ้น เพราะเรามี Social Media ที่ทำให้เราเข้าถึงคนทั่วทุกมุมโลกได้อย่างง่ายดาย แต่นอกจากจะทำให้เราคุยกันได้ง่ายขึ้นแล้ว มันยังทำให้เราจีบกันได้ง่ายขึ้น และโดน Breadcrumbing ได้ง่ายขึ้นเช่นกัน ความหมายของ Breadcrumbing Breadcrumbing หมายถึง พฤติกรรมการอ่อยที่คนทำไม่ต้องการพัฒนาความสัมพันธ์เป็นแฟน แต่เพื่อล่อลวงให้อีกฝ่ายสนใจตัวเองอย่างต่อเนื่อง โดย Breadcrumbing อาจมาในรูปแบบของการส่งข้อความหวาน ๆ โทรหากัน หรือ นัดเดท แต่ไม่เคยมีอะไรที่คืบหน้าไปมากกว่านั้น ซึ่งพอเวลาผ่านไป เหยื่ออาจเกิดความงุนงงในสถานะความสัมพันธ์ และอาจสะสมความเจ็บปวดเอาไว้ในส่วนลึกได้ สำหรับสาเหตุที่ทำให้คน Breadcrumbing นั่นมีหลากหลายมาก ไม่ว่าจะเป็น ต้องการหาคนคุยแก้เหงา อยากรักษาใครสักคนไว้เป็นทางเลือก หรือ ยังไม่พร้อมที่จะตัดความสัมพันธ์เลยยื้อไว้ก่อน ฯลฯ ถ้าเราเข้าใจเบื้องหลังพฤติกรรมของพวกเขาจะช่วยให้เรารับมือกับ Breadcrumbing ได้ดีขึ้น นอกจากนี้ เราควรสังเกตคนที่เข้ามาจีบเราด้วยว่าทำให้เรารู้สึกถึงสิ่งเหล่านี้รึเปล่า อีกฝ่ายไม่พยายามพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างเรา เช่น เวลานัดเดท เขามักยกเลิก หรือ ไม่มาตามนัดเสมอ อีกฝ่ายทำให้เราสับสนในสถานะความสัมพันธ์ อีกฝ่ายมักทำให้เราสนใจแล้วก็หายไปแบบดื้อ ๆ เช่น ใช้เวลาตอบข้อความนาน เราไม่เข้าใจพฤติกรรมของอีกฝ่าย ถ้าคุณตอบใช่หลายข้อ คุณอาจกำลังโดน
สังคมการทำงานถือเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้เราประสบความสำเร็จ เพราะถ้าเรามีเพื่อนร่วมงานที่ดี สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างเข้าขา เราก็จะสามารถสร้างงานที่มีคุณภาพได้อยู่เสมอ แต่ใช่ว่าเราจะเจอกับเพื่อนร่วมงานที่เข้าขากันได้เสมอไป บางทีเราก็ต้องทำงานกับเพื่อนร่วมงานที่มีปัญหา หรือเหม็นขี้หน้าเราได้เหมือนกัน UNLOCKMEN เลยอยากแนะนำให้ทุกคนรู้จักกับ Ben Franklin Effect ซึ่งจะช่วยให้เราผูกมิตรกับคนอื่นได้เก่งขึ้น Ben Franklin Effect คือ ปรากฎการณ์ทางจิตวิทยาที่ระบุว่า คนที่เคยช่วยเหลือคนอื่น มีแนวโน้มที่จะช่วยเหลือคนอื่นต่อไป โดยชื่อของมันมีที่มาจากเรื่องราวของ Benjamin Franklin นักคิดผู้ยิ่งใหญ่ของโลก ซึ่งเขาเคยมีศัตรูคนหนึ่งที่อยากเปลี่ยนให้เป็นพรรคพวก จึงได้ใช้วิธีการขอยืมหนังสือหายากจากศัตรูคนนั้น และส่งคืนภายในสัปดาห์พร้อมกับคำขอบคุณ แล้วหลังจากนั้นพวกเขาก็เป็นมิตรต่อกันมากขึ้น และว่ากันว่าทั้งสองเป็นเพื่อนกันจนวันตาย วิธีการสร้างมิตรแบบนี้ Benjamin Franklin เรียกว่า ‘Old Maxim’ แต่ภายหลังได้รู้จักกันในชื่อปรากฎการณ์ Ben Franklin Effect ซึ่งในปี 1969 ได้มีการศึกษาเรื่องนี้กันมากขึ้น โดยมีการศึกษาทดลองกับกลุ่มตัวอย่างราว 77 คน (ผู้ชาย 33 คน และหญิง 44 คน) พบว่าคนที่ให้ความช่วยเหลือศัตรูหรือคนที่เรารู้สึกไม่ชอบขี้หน้า จะรู้สึกดีกับคนนั้นขึ้นมาทันที (ถ้าคิดไม่ออก ให้นึกถึงความสัมพันธ์ของ