ไม่ว่าใครก็รู้ดีว่าผู้ชายกับรถยนต์นั้นเป็นของคู่กันมาแต่ไหนแต่ไร รถเปรียบเสมือนของคู่ใจที่ผู้ชายเราแทบขาดไม่ได้ สำหรับบางคนมันเป็นเพียงเครื่องทุ่นแรงในการเดินทาง มีประโยชน์ตอนขับไปง้อสาวหรืออวดความเท่บนท้องถนนเท่านั้น แต่กับผู้ชายบางคนรถยนต์มีคุณค่าและสำคัญยิ่งกว่านั้น เพราะมันคือลูกชายสุดที่รักและเปรียบดั่งชีวิตจิตใจของผู้ชายเราเลยก็ว่าได้ ต่อให้คุณจะหมั่นทำความสะอาดและขัดสีฉวีวรรณรถขนาดไหน ก็ไม่ได้แปลว่าพวกคุณจะสามารถเข้าใจความรู้สึกและความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับรถได้ทั้งหมด วันนี้ UNLOCKMEN เลยอยากชวนหนุ่ม ๆ มาถอดรหัสจากสัญญาณเตือนที่บอกว่าลูกชายของคุณคันนี้กำลังเริ่มมีปัญหาแล้ว! เสียงตบที่เพิ่มขึ้นด้วยความเร็วรถ ขณะที่รถยนต์กำลังวิ่งบนท้องถนน หากคุณได้ยินเสียงตบดังปับ ๆ เป็นสัญญาณที่บอกว่ายางล้อรถของคุณกำลังจะแย่ เพราะเสียงตบที่เกิดขึ้นมาจากการที่ยางกำลังจะแยกตัวออกจากโครงยาง แล้วหากหนุ่ม ๆ ยังดึงดันขับรถด้วยความเร็วสูงจะยิ่งเพิ่มแรงเสียดทานและเกิดความร้อนตามมา จนท้ายที่สุดมันจะทำให้ยางและล้อรถของคุณสึกหรอ ไม่ก็หลุดออกไปจากคันรถเลย กลิ่นของแพนเค้กไซรัป สำนวนที่ว่า “หวานเป็นลม ขมเป็นยา” ยังคงใช้ได้เสมอแม้กับเรื่องรถ เพราะเมื่อใดที่คุณได้กลิ่นหอมหวานราวกับไซรัปที่ราดบนแพนเค้กเล็ดลอดมาจากช่องเครื่องยนต์ นั่นแปลว่ารถยนต์ลูกรักของหนุ่ม ๆ เริ่มเกิดปัญหาขึ้นแล้ว เพราะแท้ที่จริงกลิ่นหอมหวานที่ว่านั่นคือ Ethylene Glyco หรือสารประกอบอินทรีย์ที่ใช้ป้องกันการแข็งตัวจากความเย็น ซึ่งมันกำลังรั่วไหลและกระจายกลิ่นออกมาจนเตะจมูกคุณ แล้วนี่เป็นสัญญาณที่บอกว่าหม้อน้ำของคุณเก่า แตก หรืออาจชำรุดได้ แอ่งน้ำมันบริเวณที่จอดรถ เคยเป็นไหมครับ? เวลาจอดรถยนต์อยู่กับที่ แต่ไม่รู้ว่ามีน้ำมันที่ไหนรั่วซึมมาจากใต้ท้องรถ แล้วหนุ่มบางคนก็เลือกจะเพิกเฉยเพราะคิดว่าคงไม่มีปัญหาอะไรมาก แต่จริง ๆ แล้วแอ่งน้ำมันใต้ท้องรถกำลังบอกว่าวันนี้อากาศค่อนข้างชื้น หรืออาจบอกว่าคุณลืมเสียบปลั๊กท่อระบายน้ำก็ได้ เมื่อคุณมองเห็นน้ำมันรั่วซึมออกมา โปรดสังเกตสีและตำแหน่งของมันให้ดี ถ้ามันเป็นน้ำเปล่าใส ๆ แปลว่ามันรั่วมาจากคอนเดนเซอร์เครื่องปรับอากาศ
เคยได้ยินคำถามนี้ไหม ‘คุณเป็น Dog Person หรือ Cat Person?’ รู้หรือไม่ว่าการแบ่งมนุษย์ออกเป็น ไทป์หมา และ ไทป์แมว คือหนึ่งในวิธีจำแนกอุปนิสัยที่ได้รับการยอมรับและใช้กันอย่างแพร่หลายไม่น้อยไปกว่า Introvert หรือ Extrovert เลยทีเดียว เผลอ ๆ อาจเข้าใจได้ง่ายกว่าด้วยซ้ำไป เคยมีผู้เปรียบเปรยไว้ว่า “หมารู้สึกว่าทุกอย่างของมันขึ้นอยู่กับคุณ ส่วนแมวคิดว่าทุกอย่างของคุณขึ้นอยู่กับมัน” และความแตกต่างระดับสุดโต่งนี่เองที่ทำให้การจำแนกแบบนี้ถือกำเนิดขึ้นมา แต่ก็ใช่ว่าคนเลี้ยงหมาจะต้องเป็น Dog Person และคนเลี้ยงแมวจะต้องเป็น Cat Person เสมอไป แล้วถ้าคุณไม่ได้เลี้ยงทั้งสองอย่างจะรู้ได้อย่างไรว่าอยู่ไทป์ไหน? เรามาทำความเข้าใจสิ่งนี้ด้วยภาพอธิบายง่าย ๆ ด้านล่างนี้ไปพร้อมกันดีกว่า ภาพที่คุณเห็นด้านบนนี้อ้างอิงมาจากแบบทดสอบที่เรียกว่า ลักษณะบุคลิกภาพใหญ่ 5 อย่าง (Big Five personality traits) ซึ่งเป็นทฤษฎีที่ใช้อธิบายบุคลิกภาพและสภาพทางจิตใจของมนุษย์ เพียงแต่ในภาพนี้มีการปรับเปลี่ยนภาษาให้ง่ายต่อการเข้าใจมากขึ้น โดยสรุปความแตกต่างของคนไทป์หมาและไทป์แมวออกมาได้ดังนี้ ตัวเอง: Cat Person ชอบทำอะไรคนเดียว / Dog Person ชอบทำกิจกรรมแบบหมู่คณะ ทัศนวิสัย: Cat Person ไม่ทำตามระเบียบแบบแผน /
ในยุคที่ผู้ชายเราไม่ได้มีหน้าที่แค่ล่าสัตว์เหมือนยุคหิน แต่ต้องทำ Multi-Tasking หลายอย่างพร้อม ๆ กัน เปลี่ยนจากการใช้แค่แรงกายไปให้น้ำหนักกับแรงสมองมากกว่า ภาวะความกดดัน การตัดสินใจมากมายที่รออยู่ รวมทั้งการลงมือสะสางทุกอย่างให้จบลงในแต่ละวันมักทำให้พวกเราหมดไฟไปดื้อ ๆ เหมือนกัน “อยากมีเวลาคิดให้มากกว่านี้” ถ้าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่คุณได้แต่คิดกับตัวเองมาหลายหนแต่ไม่มีโอกาสทำกับเขาสักที ลองหาวันตัดขาด วางมือจากทุกอย่าง จัดเวลาเพื่อ “คิด” เพียงอย่างเดียวสักครั้งดู เพราะนี่เป็นเทคนิคที่เจ้าพ่อ Microsoft อย่าง Bill Gates ใช้อยู่สม่ำเสมอช่วงที่เขาทำงานเป็น CEO ของ Microsoft และเรียกวิธีการนี้ว่า “Think Week” Think Weeks คือเทคนิคที่ Gates คิดค้นและลงมือทำในปี 1980 เพื่อสร้างประสิทธิภาพด้านการตัดสินใจ ต่อกรกับความกดดันที่พุ่งเข้าใส่แทบทุกวันจากความรู้สึกหมดพลัง หมดไฟ และหมดใจ ด้วยการลี้เข้าถ้ำไปอยู่ลำพัง 1 อาทิตย์ เดินทางไปยังกระท่อมลับส่วนตัวในแปซิฟิกตะวันตกเฉียงเหนือ หรือที่เรียกว่า Cascadia และลงมืออ่านเอกสารต่าง ๆ ที่ได้มาจากพนักงาน Microsoft ในภาวะที่ตัดขาดจากทุกคน เมื่อสิ้นสุดการปลีกวิเวกเข้าถ้ำไปใช้เวลากับการใช้ความคิดช่วง Think Weeks แล้ว ผลลัพธ์ที่ได้กลับมาคือการเปิดตัวของ
ช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์แต่ละคนต่างก็มีกิจกรรมแตกต่างกันไป บางคนอาจนอนดูหนังอยู่บ้านเฉย ๆ บ้างตีรถออกต่างจังหวัดไปยังริมทะเลเพื่อเล่นเซิร์ฟ หรือแค่ออกไปที่ใกล้ ๆ อย่างพาหมาไปเดินเล่น ออกไปเล่นสเกตกับกลุ่มเพื่อน จนถึงพาคนรักไปขับรถเล่นกินลม จะเห็นได้ว่ามีกิจกรรมเยอะแยะมากมายให้ผู้ชายอย่างเราได้มีอะไรทำช่วงสุดสัปดาห์ และ UNLOCKMEN ก็จะพาไปดูกิจกรรมสุดระห่ำของกลุ่มนักขับทางตอนใต้ของเมือง Los Angeles กับวัฒนธรรมที่เรียกว่า Lowriding Car และการนัดเจอกันในวันอาทิตย์ของคนคอเดียวกัน เรื่องราวผ่านภาพเกิดขึ้นได้เพราะ Jason Cordova ช่างภาพผู้ชื่นชอบการถ่ายรูปแบบสตรีต ถนน ผู้คน รถยนต์ ได้พบเพื่อนที่พาเขาไปยัง Los Angeles เพื่อเปิดประสบการณ์ใหม่ที่เหมือนเป็นโลกอีกใบของเขา เพราะ Jason ได้พบกับกลุ่มคนรักรถยนต์ที่จะนัดรวมตัวกันในคืนวันเสาร์ ซึ่งกลุ่มคนเหล่านี้เรียกรูปแบบการรวมตัวว่า Car Clubs นอกจาก Car Clubs ในวันเสาร์ ถัดมาอีกวันอย่างวันอาทิตย์จะเล่นใหญ่และจัดเต็มกว่าเดิม โดยจะเรียกการรวมกลุ่มในวันอาทิตย์ว่า LA Sunday พวกเขาจะนัดเจอกันในสวนสาธารณะที่มีชื่อเล่นว่า Lowrider park ที่พร้อมให้เหล่านักแต่งรถได้อวดโฉมรถคันเก่งของตัวเอง บ้างก็มาเพื่อวัดกันว่ารถของใครเจ๋งกว่ากัน สำหรับนักขับและนักแต่งรถใน Los Angeles ความเป็นกลุ่มเป็นก้อนของคนรักรถแน่นแฟ้นกว่าที่หลายคนคาดคิด เมื่อมีคนหน้าใหม่เขามาในกลุ่ม พวกเขาจะส่งต่อข้อความกันทันที แถม Jason ยังสะดุดตากว่าหน้าใหม่คนอื่นเพราะเขามักไปไหนมาไหนพร้อมกับกล้องโปรฯ ตัวใหญ่
ทุกคนตอนนี้ต่างรู้กันดีว่าโลกของเรากำลังร้อนขึ้นทุกวัน แต่ใครจะคิดว่าสภาพอากาศย่ำแย่ ฝุ่น มลภาวะ และความร้อนที่พร้อมแผดเผาทุกอย่างจะส่งผลต่อความรู้สึกและความเศร้าของมนุษย์โดยที่เราทุกคนไม่ทันรู้ตัว แถมพอจะเริ่มรู้สึกตัวขึ้นมา สภาพอากาศก็ทำให้เราเศร้าจนแทบยืนไม่ไหวเสียแล้ว เมื่อสิ่งรอบตัวอาจทำให้เราป่วยใจ UNLOCKMEN จึงอยากพาทุกคนไปทำความรู้จักกับ Climate Despair หรือ ความสิ้นหวังจากสภาพภูมิอากาศ ว่ามันคืออะไร เกิดขึ้นได้อย่างไร และต้องแก้ปัญหาที่ตรงไหนหากรู้สึกเศร้าเพราะผลจากอากาศที่แปรปรวน กรณีตัวอย่างที่ชัดเจนของ Climate Despair เริ่มต้นขึ้นในฤดูร้อนปี 2015 ที่ถือว่าร้อนจนถูกบันทึกเป็นสถิติ หญิงวัยกลางคนรายหนึ่งนาม Ruttan Walker เป็นนักกิจกรรมสิ่งแวดล้อมอาศัยอยู่ในรัฐ Ontario เธอพบความผิดปกติทางจิตใจตัวเองที่แสดงออกมาอย่างชัดเจนในช่วงฤดูร้อน ผลของอากาศร้อนระอุทำให้เธอเริ่มซึมเศร้าและเต็มไปด้วยความเครียด มันยากที่จะรู้สึกมีความสุขทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าโลกกำลังร้อนขึ้นและใกล้พังลงทุกวัน เวลาเธอมองหน้าลูกชายของตัวเองก็มีความรู้สึกผิดอยู่เต็มใจว่าตัวเองทำให้ลูกต้องมาพบกับจุดจบของโลก ซึ่ง Ruttan พยายามหาทางแก้โดยการไปพบแพทย์และรับการรักษาแต่ก็ไม่ดีขึ้นเท่าที่ควร “ฉันรู้ตัวดีว่าจะไม่มีวันทำร้ายตัวเอง แต่ฉันไม่รู้ว่าต้องใช้ชีวิตต่อไปอย่างไรเมื่อความกลัวกัดกินจิตใจอยู่ตลอดเวลา” สำหรับบางคนเมื่ออ่านมาถึงตรงนี้จะคิดว่าอาการ Climate Despair ที่เกิดขึ้นกับ Ruttan จะไม่มีวันเกิดขึ้นกับตัวเอง เพราะหล่อนอาจเป็นคนรักธรรมชาติและหลงใหลกับสิ่งแวดล้อมมากกว่าคนทั่วไป แต่แท้จริงแล้วความเศร้าจากสภาพอากาศสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน แต่กรณีของ Ruttan Walker อาจเรียกได้ว่าอยู่ในขึ้นรุนแรงและเป็นตัวอย่างที่ดีที่ทำให้ผู้คนทั่วไปรู้จักคำว่า Climate Despair มากขึ้น David Wallace-Wells นักข่าวและนักเขียนชาวอเมริกันเคยบอกเล่าเรื่องราวทำนองนี้ใน The Uninhabitable Earth หนังสือขายดีของเขาว่า ทุกคนเข้าใจถึงปัญหาและลึก ๆ แล้วต่างไม่สามารถหลีกเลี่ยงความวิตกกังวลเกี่ยวกับวันสิ้นโลกได้
ในยุคโลกาภิวัตน์ที่การเชื่อมต่อและข้อมูลข่าวสารผูกโยงกันทั่วโลกอย่างไร้พรมแดน เศรษฐกิจ สังคม การเมือง หรือแม้แต่เทคโนโลยีก็เปลี่ยนแปลงไปรวดเร็วแทบทุกมิติ ในขณะที่มนุษยชาติกำลังก้าวหน้าและชาญฉลาดขึ้นเรื่อย ๆ สภาพสังคมและวิถีชีวิตในตอนนี้ก็เป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้ความคิด ความอ่าน และความฝันของเยาวชนรั้วของชาติผันแปรไปจากเดิม เชื่อว่าในวัยเด็กความคิดที่อยากเป็นหมอ ทหาร ตำรวจ หรือแม้แต่นักบินอวกาศคงแวบเข้ามาในหัวผู้ชายเราอยู่บ่อย ๆ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าวันที่โตขึ้น ได้รู้จักโลกกว้างขึ้น และค้นพบอะไรใหม่ ๆ ที่ไม่เคยผ่านตาในวัยเยาว์ ก็ทำให้ความฝันในอาชีพและเป้าหมายในชีวิตของใครหลายคนเริ่มทิ้งห่างจากความคิดตอนเด็ก ๆ ที่เคยวาดไว้ เด็กไม่ได้อยากท่องอวกาศเหมือนดั่งวีรบุรุษ บริษัทผลิตของเล่น LEGO ได้สำรวจเด็ก 3,000 คน ที่มีอายุระหว่าง 5 ถึง 12 ปี ว่าโตขึ้นอยากเป็นอะไร ผลปรากฏว่าเด็ก ๆ อยากเป็นยูทูบเบอร์มากกว่านักบินอวกาศถึง 3 เท่า ขณะที่มีเด็กเพียง 11% เท่านั้นที่อยากเดินทางไปยังพื้นที่ไร้แรงโน้มถ่วงในฐานะนักบินอวกาศ เด็กชาวอเมริกันและอังกฤษใฝ่ฝันอยากเป็นวล็อกเกอร์และยูทูบเบอร์ ครู นักกีฬาอาชีพ และนักดนตรีตามลำดับ ส่วนที่อยากเป็นนักบินอวกาศมีเพียง 10% เท่านั้น แต่ความฝันที่ได้ล่องลอยในอวกาศอันไกลโพ้นยังไม่เลือนราง อย่างไรก็ตามเด็ก ๆ ทั่วโลกล้วนมีความคิดความอ่านและให้ผลการสำรวจต่างกันอย่างสิ้นเชิง เนื่องด้วยภูมิลำเนา
นอกจากการทำงานไปวัน ๆ สิ่งหนึ่งที่เวิร์กกิ้งแมนอย่างเราตั้งเป้าหมายเอาไว้เบื้องหน้าคงหนีไม่พ้น ‘ความสำเร็จ’ แม้มันจะเป็นเพียงคำนามนามธรรมที่ไม่มีรูป รส กลิ่น และเสียงที่แน่นอน แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันคือฟันเฟืองทรงประสิทธิภาพที่คอยขับเคลื่อนผู้ชายเราให้ตั้งใจใช้ชีวิตและมุ่งมั่นกับงานที่ทำ เพื่อหวังว่าสักวันเราอาจประสบความสำเร็จอย่างใครเขา เป้าหมายที่เรียกว่า “ความสำเร็จ” ไม่ได้มีไว้แค่พุ่งชน หากยังคอยเตือนใจในวันที่หนุ่ม ๆ ท้อแท้ หมดหวัง และคิดจะเลิกล้มสิ่งที่ตรากตรำทำมาเกือบตลอดชีวิต วันนี้ UNLOCKMEN ขอเป็นอีกแรงที่ช่วยพิสูจน์อัตราความสำเร็จของพวกคุณทุกคน ด้วย 5 สัญญาณที่บอกว่าคุณเริ่มก้าวขึ้นบันไดความสำเร็จไปแล้ว (แม้คุณอาจไม่เคยรู้ตัวมาก่อน) เข้าใจนิยามความสำเร็จ หากพูดถึงความสำเร็จหลายคนมักจะถูกพรางตาด้วยการมีบ้านหลังใหญ่โต รถยนต์หรูจอดขนาบข้าง และมีกลุ่มเพื่อนผู้ทรงอิทธิพล แต่แท้ที่จริงแล้วฐานะและวัตถุนิยมหาได้เป็นคำจำกัดความของความสำเร็จแต่อย่างใด เนื่องด้วยแต่ละคนนั้นมีเป้าหมายและจุดสูงสุดในชีวิตที่ต่างกัน นิยามความสำเร็จจึงเป็นเรื่องปัจเจกที่ไม่เข้าใครออกใคร มีงานวิจัยจาก Strayer University เผยว่า 90% ของคนอเมริกันเชื่อว่าความสุขเป็นตัวบ่งชี้ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่กว่าอำนาจทรัพย์หรือศักดิ์ศรี มี 67% คิดว่าความสำเร็จคือความสัมพันธ์อันดีต่อเพื่อนและครอบครัว ในขณะที่ 60% นิยามความรักในอาชีพที่เลี้ยงปากท้องว่าเป็นความสำเร็จ และมีเพียง 20% เท่านั้นที่เห็นว่าความมั่งคั่งทางการเงินเป็นตัวชี้วัดและกำหนดความสำเร็จ หากคุณเข้าใจความหมายของความสำเร็จในแบบฉบับของตัวคุณเองได้ นั่นแปลว่าคุณประสบความสำเร็จไปแล้วขั้นหนึ่ง มองโลกในแง่ดีและเต็มไปด้วยความหวัง ปฏิเสธไม่ได้ว่าเรื่องเลวร้ายเป็นอีกส่วนของชีวิต โลกอาจจะเหวี่ยงคนไม่ดีหรือเรื่องแย่ ๆ มากระทบไหล่เราอยู่บ่อยครั้ง แต่ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กหรือใหญ่แค่ไหน หากหนุ่ม
ทุกคนเติบโตมาท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่ต่างกัน ประสบการณ์ที่พบแตกต่างกัน เช่นเดียวกับการรับมือปัญหาของแต่ละคนที่ย่อมแตกต่างกันไปตามสิ่งที่สั่งสมมาจาก “ครู” ที่อยู่รอบข้าง แต่วันนี้บทเรียนจากครูที่เราพูดถึงไม่ใช่คนที่คอยบ่มเพาะให้ในช่วง 20 กว่าปีแรกของชีวิตอย่างพ่อแม่ หรือครูในสถาบันศึกษา แต่เป็นขวบปีของการทำงานที่อยู่หลังจากนั้นไปจนชั่วชีวิตการทำงาน ครูที่บอกว่า “คุณไม่มีทางเป็นเด็กไปได้ตลอดกาล” คุณยังจำเรื่องที่ “เจ้านาย” หรือ “หัวหน้า” ของคุณสอนได้ไหม ไม่ว่าเขาจะเป็นคนที่เท่าไหร่ก็ตาม เราจำได้แม่น จำได้ดี และคิดว่าคงเป็นประโยชน์กว่าถ้าจะแชร์บางส่วนที่หล่อหลอมมาให้หลายคนที่กำลังทำงานอยู่ตอนนี้ได้ฟัง ไม่ว่าคุณจะเป็นคนที่เด็กที่สุดในออฟฟิศวันนี้ หรือเป็นคนที่โตกว่าคนอื่น ๆ ท่ามกลางการทำงาน เพราะที่แห่งนี้ ทุกคนพกศักยภาพกับความสามารถตัวเองมาใช้แลกเงินเดือน ไม่มีใครอยากฟังคำตอบของเด็กไม่ยอมโต ส่วนการแก้ปัญหาไม่ใช่แค่คำขอโทษหรือแค่คัดคำผิดแล้วจบไปเพื่อรอให้วันนึงข้างหน้าเกิดเหตุการณ์ซ้ำอีกครั้ง เนื่องจากความเสียหายที่ตามมันใหญ่กว่าสอบไม่ผ่าน หรือโดนตำหนิ “อย่ามาหาพี่พร้อมปัญหา เอา SOLUTIONS มาด้วย” นี่คือประโยคแนะนำการทำงานที่อดีตหัวหน้าเคยพูดกับเราที่อยู่ในฐานะคนที่เด็กที่สุดในสายงานและตำแหน่งงานเสมอ ประโยคนี้ช่วงแรกเราเคยไม่เข้าใจ เคยบ่น เคยเถียงว่าถ้าแก้ได้เองแล้วมันจะไปลอดไปถึงหัวหน้าได้ยังไง คงจะไม่เดินมาหาแบบนี้ แต่เมื่อโดนสอนให้ตั้ง “สติ” ดับความร้อนรนแล้วคิดหาทางออก เราจึงจำเป็นต้องโตขึ้นโดยอัตโนมัติ คุยแบบคนทำงานคุยกันและคิดอย่างมีเหตุผลให้รอบคอบขึ้น ถอยออกมามองปัญหาจากมุมอื่นและหาทางออก ซึ่งเมื่อพิจารณาให้ดี เราพบว่ามี 5 อุปสรรคมายาที่ทำให้คิดว่าถึงทางตันจนทำงานไม่สำเร็จ ทั้งที่การแก้ไขปัญหามันไม่ได้มีเพียงทางเดียวเสมอไป ดังต่อไปนี้ เราให้เวลาทุกคน
เรื่องการทำความสะอาดบ้านก็เป็นอีกประเด็นที่ผู้ชายโดนสาว ๆ ก่นด่าเป็นประจำ แม้ปากเธอจะยังไม่ฉีกถึงรูหูดีแต่แค่นี้ก็เพียงพอจะทำลายโสตประสาทและสร้างความรำคาญใจให้เราได้ไม่น้อยเลย จริงไหม? แต่ก็นะ กลับมาจากทำงานเหนื่อย ๆ ไม่ว่าใครก็อยากพักผ่อนกันทั้งนั้น เกมก็ต้องเล่น บอลก็ต้องเชียร์ ซีรีส์ก็ต้องดู จะให้พวกผมไปเอาเวลาจากไหนมาทำความสะอาดห้องล่ะครับคุณผู้หญิง แม้ไม่ใช่ผู้หญิงทุกคนจะขี้บ่นจุกจิก แต่ก็ไม่ใช่ผู้ชายทุกคนที่จะรักษาความสะอาดมากพอจนทำให้พวกเธอพอใจ ทำให้ในบางครั้งหลายคนมักคิดว่าผู้ชายชาตรีอย่างเราไม่รอบคอบและปราศจากความละเอียดอ่อนจนมองไม่เห็นร่องรอยของสิ่งสกปรก แต่จริง ๆ แล้วศักยภาพในการสังเกตสิ่งปฏิกูลของผู้ชายก็ทำได้ดีไม่แพ้ผู้หญิงเลย ความสามารถในการมองเห็นที่เท่ากัน มีงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Sociological Methods & Research โดยนำผู้ชาย 327 คน และผู้หญิง 295 คน มาประเมินภาพห้องครัวและห้องนั่งเล่นว่าสะอาดหรือสกปรกในระดับใด ผลการสำรวจเผยว่าทั้งสองเพศต่างประเมินระดับความสะอาดและสกปรกได้ในระดับเดียวกัน นั่นแปลว่าผู้ชายเราก็มีดวงตาเฉียบคมทัดเทียมนกเหยี่ยวและทำเรื่องนี้ได้ดีไม่แพ้ผู้หญิง เพราะฉะนั้นที่บอกว่าผู้ชาย ‘ตาบอดต่อสิ่งสกปรก’ คงไม่ใช่เรื่องจริงนัก แต่ความขยันกลับมีไม่เท่ากัน ผลการสำรวจยังระบุว่าผู้หญิงนั้นทำงานบ้านหนักกว่าผู้ชายเสมอ เพราะผู้หญิงจะใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง 20 นาทีต่อวัน ซึ่งครอบคลุมทั้งการปรุงอาหาร ทำความสะอาด และซักรีด ในขณะที่ผู้ชายกลับใช้เวลาในฐานะพ่อบ้านเพียงครึ่งชั่วโมงต่อวันเท่า แม้ในสวีเดนจะมีการส่งเสริมความเท่าเทียมทางเพศอย่างหนัก แต่สาวสวีเดนก็ยังทำงานบ้านหนักกว่าผู้ชายถึงสองเท่าอยู่ดี ถูกสังคมตัดสินทั้งคู่แต่ให้ผลลัพธ์ที่ต่างกัน จริงอยู่ที่คนในสังคมติดภาพจำของ ‘ผู้ชายสกปรก’ มากกว่า ‘ผู้หญิงสกปรก’
ความเครียด เป็นสิ่งที่อาจเกิดขึ้นกับคุณโดยไม่รู้ตัว หากคุณมีอาการดังนี้ คุณกำลังจะเข้าสู่ภาวะความเครียดอย่างไม่รู้ตัว