มุมมองที่เรามีต่อชีวิต กำหนดว่าเราพอใจแล้ว ยังอยากขับเคี่ยวให้มันเข้มข้นกว่านี้ หรืออยากจะผ่อนคลายให้มันลื่นไหลกว่าที่เป็น ในขณะที่มุมมองของคนอื่นมีต่อเราจะเป็นเหมือน Hint ที่คอยแนะนำเราอยู่ห่าง ๆ ในวันที่เราไม่อาจมองเห็นตัวเองได้ชัดเจนนัก ดังนั้นไม่ว่าเรามีมุมมองต่อตัวเราแบบไหน การได้เห็นมุมมองของคนอื่น อาจจะเป็น Case Study ที่ดีสำหรับการใช้ชีวิตของเรา แม้ว่าชีวิตคนเราไม่อาจใช้บทเรียนของคนอื่นได้ 100% ก็ตาม ลองมาดูมุมมองเข้มข้นของชีวิตผ่านซีรีส์บน Netflix ที่จะมาพลิกมุมมองของเราให้ได้ลองไปยืนในด้านอื่นที่ไม่คุ้นเคยกันบ้าง Black Mirror เทคโนโลยีที่ช่วยโอบอุ้มเราให้อยู่บนความสะดวกสบาย ให้เราได้ใช้ชีวิตลื่นไหลกว่าแต่ก่อน ในตอนที่ยังคงพึ่งพาระบบ Manual หรือ Analog กันอยู่ เราอาจมองว่าชีวิตที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยีที่ล้อมรอบแบบนี้มันช่างสมบูรณ์แบบ จนนึกภาพไม่ออกว่า ถ้าเราขาดสิ่งเหล่านี้ไปเราจะใช้ชีวิตยังไงไหว ลองมาดูเรื่องนี้ เรื่องราวของเทคโนโลยีในอีกด้านที่คอยกลืนกินเราอย่างช้า ๆ เหมาะกับคนเวลาน้อยมาก ๆ เพราะเท่ากับว่าใช้เวลาดูตอนนึงแค่ 40 นาที แถมเนื้อเรื่องยังจบในตอนอีกต่างหาก แกนเรื่องหลักของทุกซีซั่นคือการใช้เทคโนโลยีในทางที่ชวนให้เกิดความหมิ่นเหม่ทางศีลธรรม จนเกิดคำถามเกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยีในชีวิตของเราว่าขอบเขตของมันควรอยู่แค่ไหน เราหรือมันกันแน่ที่จะเป็นฝ่ายควบคุม เป็นฝ่ายที่ถือไพ่เหนือกว่า อาจจะฟังดู Sci-Fi เสียเหลือเกิน แต่เชื่อเถอะว่าเรื่องนี้ถ่ายทอดออกมาได้ดี เข้าใจง่าย และออกมาในเชิงการตั้งคำถามกับชีวิตไม่ได้มีเนื้อหาเฉพาะ Geek IT เท่านั้น
ของบางชิ้นเราซื้อไปก็ไม่รู้ว่าทำอะไร แต่พอซื้อมาแล้วมันรู้สึกดีกว่าไม่ซื้อ และแม้หลายคนจะบอกว่ามึงมันบ้าวัตถุเราก็ยังยินดีจะซื้อต่อไปมากกว่าอยู่ดี ถ้าคุณคือคนหนึ่งที่ทุ่มทุนจ่ายเงินเพื่ออะไรสักอย่างไม่สิ้นสุดโดยไม่รู้ตัวว่าทำไมถึงทำ ก่อนจะโหมซื้อของให้รางวัลตัวเองจนกระเป๋าแฟบ ลองอ่านบทความนี้อีกทีเพราะมันอาจจะทำให้คุณเข้าใจตัวเองและคนรอบข้างได้ดีขึ้นและบางทีอาจเปลี่ยนทัศนคติให้คุณเก็บเงินเพิ่มในปีนี้ได้ด้วย ผลงานวิจัยล่าสุดที่ตีพิมพ์ใน International Journal of Psychology เผยว่าคนใจบางหรือรู้สึกไม่มั่นคงต่อสภาพแวดล้อม ความสัมพันธ์และการใช้ชีวิตมักใช้วิธีซื้ออะไรบางอย่างถมหลุมความรู้สึกของตัวเอง เพราะเขาคิดว่าการซื้อวัตถุสักชิ้นมาครอบครองจะสร้างความมั่นคงทดแทนช่องว่างในใจได้ ของยิ่งเยอะ ใจยิ่งร้าวราน? ที่มาของการทดลองนี้เริ่มต้นจากความคิดตั้งต้นเรื่องการช้อปบำบัดว่ามีผลมาจากความรู้สึกไม่มั่นคงทางใจของนักซื้อทั้งหลาย และความรู้สึกอยากครอบครองนี้คาดว่ามาจากความไม่มั่นคงทางใจ ซึ่งน่าจะเกิดจากความสัมพันธ์ระหว่างคนในครอบครัวและคนรอบข้างที่ไม่ดีนัก เรียกง่าย ๆ ว่าไม่สมหวังในความรัก ไม่สามารถครอบครองความรักก็หันมาครอบครองของแทน เพราะอกหักไปของก็ยังอยู่กับเราเป็นความสัมพันธ์ที่มั่นคงถาวร หรือคนขาดความอบอุ่นในครอบครัวก็มีแนวโน้มที่จะหันมาซื้อของทดแทนความรู้สึกนั้นแทน ของที่ไม่เคยได้ในวัยเด็กกลายเป็นอะไรที่ต้องพิชิตในวันที่มีเงินซื้อ Ying Sun และเพื่อนร่วมงานจาก Beijing Key Laboratory of Experimental Psychology จึงทำการทดลองพิสูจน์สมมุติฐานนี้ โดยทำการทดลองกับคนจำนวน 237 คน ถามคำถามเกี่ยวกับการปฏิสัมพันธ์ร่วมกับคนรอบข้าง และคนรัก แล้วนำมาเปรียบเทียบกับคำถามที่ว่าด้วยสิ่งสำคัญในชีวิตที่มีตัวแปรเป็นทั้งสิ่งที่ชี้ว่าเป็นเราเป็นคนประเภทวัตถุนิยมและไม่ใช่วัตถุนิยม ตัวอย่างคำถามบางส่วนที่อยู่ในแบบทดสอบเหล่านี้ พวกเราคิดคำตอบไว้ในใจดูก่อนไปดูผลวิจัยได้ “เรารู้สึกกังวลว่าคู่รักของเราไม่แคร์เราเท่าที่เราแคร์เขา” “เรารู้สึกกังวลเวลาคู่รักเข้าใกล้” “เราชอบใช้ของหรูหรามีระดับ” “ชีวิตของเราจะดีขึ้นเมื่อได้เป็นเจ้าของบางอย่างที่เราไม่มี” เมื่อตอบคำถามเหล่านี้เสร็จผู้วิจัยจะเริ่มวัดความเป็น “วัตถุนิยม” ในตัวของผู้ทดสอบด้วยการโชว์ชุดคำบางอย่างบนจอคอมพิวเตอร์อย่างคำว่า “เงิน” “ท้องฟ้า” รวมทั้งคำที่ไร้ความหมายอื่น ๆ เพื่อให้ผู้เข้าร่วมกดคำที่เขาคิดว่ามีความหมายกับชีวิตและกดเลือกคำที่คิดว่าไม่มีความหมายอะไร ผลการทดลองชี้ชัดว่าใครที่มีอ่อนไหวกับเรื่องความสัมพันธ์มักให้ความสำคัญกับสิ่งของที่เป็นวัตถุมากกว่า
ความกระหายที่จะเรียนรู้ไม่หยุดยั้งคืออีกคุณสมบัติสำคัญที่จะทำให้ผู้ชายอย่างเราอยู่รอดได้ในยุคสมัยที่อะไรก็เคลื่อนไปไวจนเราตามไม่ทัน จินตนาการดูว่าถ้ารอบตัวเรากำลังเคลื่อนไปข้างหน้า แต่เราหยุดอยู่กับที่ไม่เรียนรู้อะไรใหม่ ๆ เลย การอยู่กับที่ก็ไม่ต่างอะไรจากการถอยหลังจนตามอะไรไม่ทันอีกต่อไป การเรียนรู้จึงเป็นอีกกุญแจสำคัญที่จะทำให้เราพัฒนา ไม่กลายเป็นมนุษย์ตกรุ่นในวันที่ AI กำลังพร้อมาแทนที่เราทุกขณะ แต่ไม่ใช่แค่การเรียนรู้เท่านั้นแต่การเรียนรู้ได้ไวดังใจคิดก็เป็นอีกสกิลสำคัญที่ต้องมีติดตัว สำหรับใครที่ไม่รู้จะเริ่มตรงไหน เราจะเรียนรู้ให้ไวได้อย่างไรบ้าง UNLOCKMEN พามาเตรียมเรียนรู้อย่างเร็วไวไปพร้อม ๆ กัน เขียนด้วยมือเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นการเรียนแบบไหน แต่จงจำไว้กระดาษและปากกานี่แหละคืออาวุธลับของการเรียนรู้ได้ไว จดจำได้ไว แม้โลกจะมีอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์มากมายที่สะดวกสบายมากกว่า แต่การจดลงบนกระดาษกลับกลายเป็นวิธีที่ส่งเสริมการเรียนรู้ได้ดีกว่าการใช้อุปกรณ์เหล่านั้น เราไม่ได้พูดลอย ๆ แต่งานวิจัยจากสองนักวิจัยอย่าง Pam Mueller และ Daniel Oppenheimer ชี้ให้เห็นว่าคนที่เรียนรู้ด้วยการจดลงกระดาษจะเรียนรู้ได้มากกว่าคนที่ใช้คอมพิวเตอร์จดเนื้อหาแม้คนที่ใช้คอมพิวเตอร์จดจะจดได้มากกว่าก็ตาม คำอธิบายก็คือการจดด้วยปากกานั้นทำให้เราจดได้ช้ากว่า จึงทำให้เรารู้จักที่จะสรุปความตามที่เราเข้าใจ และรวบคอนเซปต์ของการเรียนรู้ในแต่ละครั้งได้ไวและดีกว่าการพิมพ์เอา ซึ่งการพิมพ์ทำได้ไว เราจึงแค่ลอกสิ่งที่ฟังหรือดูลงไปโดยไม่เกิดกระบวนการเรียนรู้ หรือการวิเคราะห์ประเด็นในแบบของเรา ดังนั้นถ้าลงคอร์สเรียนสกิลใหม่ ๆ ไม่ว่าจะออนไลน์หรือออฟไลน์ครั้งหน้า ทำเท่ ทำวินเทจ คว้าสมุดเท่ ๆ ปากกาคูล ๆ สักด้ามแล้วจด แทนที่จะอัดเสียงหรือพิมพ์เถอะ ฟังคนอื่นสอน ก็สอนคนอื่นต่อ อีกวิธีการที่ช่วยให้เราเรียนรู้ได้ไวอย่างไม่น่าเชื่อคือ “การสอนคนอื่น” เรามักเข้าใจผิดว่าก่อนที่เราจะไปสอนคนอื่นได้เราจะต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนั้นระดับหาตัวจับยากก่อน ซึ่งไม่จำเป็นเสมอไป
เทศกาลแห่งการเฉลิมฉลองเข้ามาทีไร ผู้ชายอย่างเราเป็นต้องได้เมาหัวราน้ำทุกที ปกติก็เมาอยู่แล้วแต่เมื่อเวลาแห่งความสุขใกล้เข้ามา สารพัดปาร์ตี้ สารพันเพื่อนเก่าที่ไม่ได้เจอกันมานานก็มีแต่จะนัดกันไปดื่มด่ำเมามายจนเรียกได้ว่าเมาทุกวัน! แต่เคยสังเกตไหมว่าเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์แต่ละชนิดให้รูปแบบการเมาที่แตกต่างกัน บางชนิดเมาอึน ๆ เมาช้า ๆ ไหล ๆ บางชนิดเมาแล้วคึกเป็นพิเศษอยากสนุก อยากเฮฮา หรือบางชนิดก็เมาเซ็กซี่ เมายั่วยวนไปเลยก็มี เราไม่ได้คิดไปเองแต่อย่างใด เพราะชนิดของเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ส่งผลต่อรูปแบบการเมาของมนุษย์จริง ๆ “เรื่องเหล้าเราจริงจัง” คตินี้คงไม่ได้มีแค่เราชาวไทยเท่านั้น แต่ Global Drug Survey ก็จริงจังจนสำรวจเรื่องพฤติกรรมและความรู้สึกหลังการกินเหล้าประเภทต่าง ๆ พบว่า Gin คือเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ที่กินแล้วหัวร้อนเกรี้ยวกราดมากกว่าเหล้าประเภทอื่น ๆ หนึ่งในสามของผู้ดื่มเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์รายงานว่าพวกเขารู้สึกหัวร้อน เกรี้ยวกราดเมื่อพวกเขากระดก Gin ในปริมาณมาก โดยมีผู้ดื่ม Gin แล้วเกรี้ยวกราดสูงกว่าผู้ดื่มไวน์และเบียร์ถึง 20% Mark Bellis ศาสตราจารย์ผู้มีส่วนร่วมในงานวิจัยนี้ระบุว่าในช่วงหลายศตวรรษที่ผ่านมา ประวัติศาสตร์ของ Gin Vodka และเหล้ากลั่นประเภทอื่นก็มีเรื่องความรุนแรงเข้ามาเกี่ยวข้อง และการศึกษาครั้งนี้ก็ยิ่งทำให้เห็นชัดไปอีกว่าแม้ในยุคปัจจุบันการดื่มเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ประเภทเหล้ากลั่น (Tequila,Vodka, Rum, Gin, Whiskey, Brandy, Liqueur ) ก็ยังเกี่ยวเนื่องกับความรู้สึกเกรี้ยวกราดหัวร้อนมากกว่าเครื่องดื่มชนิดอื่น
หลายคนคงเคยได้ยินเกี่ยวกับเรื่องของมิตรภาพลูกผู้ชายที่แบ่งออกได้หลายประเภทมาก ๆ ทั้งเคยไม่ถูกกัน เคยต่อยตีกัน แต่สุดท้ายก็กลายมาเป็นเพื่อนตายที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันโดยไม่รู้ตัว หรือผู้ชายที่สนิทกันเพียงเพราะความเมาในคืนก่อนหน้า ขับรถรุ่นเดียวกัน หรือเชียร์บอลทีมเดียวกัน ทั้งหมดทำให้เกิดการสร้างมิตรภาพแบบลูกผู้ชายที่ยากจะแตกหัก ถึงขนาดงานวิจัยยังบอกว่า ความสัมพันธ์แบบลูกผู้ชายยั่งยืนกว่าความสัมพันธ์แบบชาย-หญิง งานวิจัยชิ้นหนึ่งที่ถูกเขียนไว้บน Men and Masculinities เกี่ยวกับความสัมพันธ์แบบลูกผู้ชายที่เรียกว่า Bromance ซึ่งคำ ๆ นี้เกิดขึ้นในช่วงทศวรรษที่ 1990 จากการนำคำว่า Brother รวมกับ Romance กลายเป็น Bromance หมายถึง มิตรภาพในแบบผู้ชาย แนวคิดเรื่อง Bromance มีขอบเขตที่กว้างมากตั้งแต่เพื่อนรักไปจนถึงคู่รัก แต่ในที่นี้ UNLOCKMEN จะขอพูดถึง Bromance ในรูปแบบเพื่อนสนิทมิตรสหาย ทีมวิจัยจาก University of Winchester in England ได้ศึกษาว่าทำไมความสนิทของผู้ชายถึงอยู่ได้นานกว่าความสัมพันธ์แบบหนุ่มสาว คำตอบที่ได้นั้นมีความน่าสนใจไม่น้อย เกือบทั้งหมดตอบว่า Bromance คือความสัมพันธ์ที่มีความเชื่อใจและไว้วางใจกันเหมือนกันพี่น้อง ในระดับที่จะยอมบอกความลับบางอย่างให้ฟังได้ เพราะความสบายใจจึงทำให้สามารถบอกเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ปรึกษากันได้ดีกว่าความสัมพันธ์แบบคู่รักระหว่างชาย-หญิง ในด้านสุขภาพ การมีเพื่อนสนิทของผู้ชายนั้นยังส่งผลดีต่อสุขภาพจิต ช่วยคลายความเครียด เติมเต็ม Self-Esteem สร้างความรู้สึกมั่นใจในการเข้าสังคมมากขึ้นได้อีกด้วย นอกจากนี้ผู้ชายด้วยกันจะเข้าใจกัน รู้ถึงตัวตนและสิ่งที่เป็น ในจำนวนนักศึกษาที่ทางทีมวิจัยได้ไปสัมภาษณ์กล่าวว่า เพื่อนผู้ชายจะตัดสินเขาน้อยกว่าบรรดาเหล่าแฟนสาว
ปัจจุบันโรคซึมเศร้านั้นเป็นโรคที่เกิดขึ้นกับวัยรุ่นและกลุ่มวัยทำงานมากที่สุด ทำให้หลายคนมองข้ามโรคซึมเศร้าที่เกิดขึ้นกับพ่อแม่มือใหม่หรือหญิงสาวตั้งครรภ์ ซึ่งเป็นเรื่องที่ควรให้ความสำคัญไม่แพ้กัน เพราะด้วยความไม่รู้ทำให้สังเกตอาการได้ยาก หากรับมือไม่ทันก็จะสร้างความสูญเสียให้แก่คู่สามีภรรยาที่กำลังจะสร้างครอบครัวเป็นอย่างมาก สำหรับคุณพ่อคุณแม่มือใหม่ เมื่อรู้ว่ากำลังจะมีลูก สิ่งที่ทั้งคู่มักพุ่งเป้าให้ความสนใจเป็นส่วนใหญ่คือการศึกษาอาการในช่วงตั้งครรภ์ ซึ่งในบางครั้งอาจจะลืมและมองข้ามการศึกษาอาการและผลกระทบต่าง ๆ หลังคลอด อย่างเช่นอาการซึมเศร้าหลังคลอดบุตร ที่จะถือเป็นจุดเปลี่ยนและเป็นช่วงเวลาอันตรายที่ส่งผลกระทบต่อครอบครัวได้มากกว่าที่คิด อาการซึมเศร้าหลังคลอด เป็นเรื่องที่ต้องหมั่นสังเกตและให้ความใส่ใจกันเป็นอย่างมาก เคยมีกรณีชายหนุ่มที่ต้องสูญเสียภรรยาไปด้วยโรคซึมเศร้าหลังคลอด อย่างเช่นกรณีของ Kim Chen ที่แต่งงานกับแฟนสาวพยาบาล และเมื่อแฟนสาวของเขาตั้งครรภ์ ทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดีจนถึงขั้นสร้างครอบครัวด้วยกัน กระทั่งเมื่อภรรยาของเขาคลอดลูกก็เริ่มเกิดความเครียด เวลาผ่านไปสองเดือน ภรรยาของเขาได้หายตัวไป Chen โทรแจ้งตำรวจและสุดท้ายก็พบว่าภรรยาของเขาได้เสียชีวิตลงจากการฆ่าตัวตายเพราะความเครียดจากโรคซึมเศร้าหลังคลอดบุตร ดังนั้นการหมั่นดูแลเรื่องอารมณ์ของภรรยาหลังคลอดลูกจึงเป็นเรื่องสำคัญที่ผู้ชายเรามองข้ามไม่ได้เด็ดขาด โดยอาการซึมเศร้าหลังการคลอดบุตรแบ่งได้เป็น 3 ระยะ ระยะที่หนึ่ง ภาวะอารมณ์เศร้าหลังคลอด หรือ Postpartum Blue ที่คนนิยมเรียกสั้น ๆ ว่า Baby Blue อาการในระยะแรกถือเป็นอาการปกติที่สามารถเจอได้ทั่วไปสำหรับคุณแม่ที่พึ่งคลอด โดยจะมีความรู้สึกเศร้าซึมประมาณ 3-10 วันหลังจากคลอดบุตร เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนอย่างฉับพลัน รวมถึงความเครียดและแรงกดดันจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น เรื่องความสัมพันธ์ของคู่สมรส สุขภาพของทารก การคลอดบุตรก่อนกำหนด รวมถึงสภาวะทางเศรษฐกิจและสังคม ด้วยเหตุผลต่าง ๆ จึงทำให้มีอาการอ่อนเพลีย
อีกความเจ็บปวดของสาว ๆ ที่ผู้ชายอย่างเราเราไม่อาจเข้าถึงได้คือ “ประจำเดือน” สิ่งที่เราจินตนาการได้ใกล้เคียงที่สุดก็คงจะเป็นความหงุดหงิดจากความไม่สบายตัว และอาการปวดท้องที่จะตามมาด้วย เลยทำให้สาว ๆ ดูจะอารมณ์ไม่ค่อยคงที่และอ่อนไหวเป็นพิเศษในช่วงนี้ เบื้องหลังเรื่องราวเหล่านั้นคือ เธอต้องเผชิญกับความกังวลตลอดทั้งวัน ว่าจะเลอะมั้ย ถึงเวลาเปลี่ยนหรือยัง อาการปวดท้องที่ขึ้น ๆ ลง ๆ ความไม่สบายตัว แค่ฟังก็ชวนให้หงุดหงิดตามแล้ว แล้วไอ้ช่วงอารมณ์ที่อ่อนไหวของสาว ๆ เนี่ย คนที่ใกล้ตัวอย่างพวกเรามันจะโดนลูกหลงอยู่ทุกครั้งไป UNLOCKMEN ขอแนะนำเทคนิคดี ๆ เตรียมพร้อมในวันนั้นของเดือน ไม่ให้หนุ่ม ๆ ต้องกลายเป็นสนามอารมณ์ ไม่ใช่แค่เพื่อตัวเอง แต่ทำเพื่อให้เธอรู้สึกถึงความใส่ใจของเราอีกด้วย Note ไว้ในปฏิทิน วิน-วินทั้งสองฝ่าย แม้มันจะเป็นเรื่องของผู้หญิงโดยตรง แต่ใช่ว่าสาวทุกคนจะจำวันนั้นของเดือนได้ บางคนแทบจะไม่ได้ใส่ใจด้วยซ้ำ มาก็มา ไม่มาก็เชิญ หนุ่ม ๆ อย่างเราลองเป็นฝ่ายจดบันทึกเองบ้าง ว่าเธอเริ่มมีประจำเดือนวันไหน พอถึงเดือนต่อไป จะมาบวกลบไม่เกิน 7 วัน เราเองจะได้เตรียมตัวกับเรื่องนี้ ที่เป็นเหมือนระเบิดแบบสุ่มที่ไม่อาจคาดเดาได้ และดูเป็นคนใส่ใจขึ้นมาอีกสิบคะแนนเต็ม หรือถ้าเราเป็นหนุ่มละเอียดรอบคอบขึ้นมาอีกหน่อย ลองเป็นแอปฯ ที่ช่วยคำนวณระยะตกไข่และวันมีประจำเดือนล่วงหน้าแบบครบครัน ของหวานบันดาลสุข ด้วยอารมณ์ที่แกว่งไปมาเหมือนลูกตุ้มนาฬิกาจนเราไม่อาจตามได้ทัน
ความสูญเสียเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับชีวิตของคนเราอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเสียความสัมพันธ์ การจากไปของใครสักคนตามอายุขัย การจากไปอย่างกระทันหัน หรือการพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รัก แต่ละคนต่างมีเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ที่แตกต่างกัน เราเลยไม่อาจให้ใครมาทำความเข้าใจได้แบบ 100% UNLOCKMEN ชวนหนุ่ม ๆ มาซึมซับเรื่องราวร้าวรานนี้ผ่าน 5 หนังแห่งความสูญเสีย เพื่อให้ได้เตรียมตัวต่อสิ่งที่จะเกิดขึ้นได้แบบทันท่วงที Manchester by the Sea (2016) Director : Kenneth Lonergan ใช่ว่าทุกคนจะรับมือกับปัญหาทางอารมณ์ได้เท่ากัน เราไม่อาจนิยามได้ว่าเหตุการณ์ไหนร้ายแรงกว่ากัน บางคนเลือกที่จะยืนหยัดต่อสู้ บางคนเลือกที่จะปิดผนึกมันไว้ในก้นบึ้งของความคิด บางคนเลือกที่จะวิ่งหนีมันไปให้ไกล Lee Chandler เองก็เลือกวิธีนั้นเขาหนีเรื่องราวแสนเจ็บปวดที่เขาต้องเผชิญ ด้วยการไปให้ไกลจากเมือง Manchester (เป็นเมืองที่อยู่ในรัฐ Massachusetts, USA ไม่ใช่เมือง Manchester ในอังกฤษแต่อย่างใด) แต่เขาก็ไม่อาจหลีกหนีไปได้ตลอด ในวันที่ได้รับข่าวร้ายเรื่องพี่ชายที่จากไป เขากลับมาร่วมงานอันเศร้าโศกนี้แล้วพบว่าลูกของพี่ชายต้องมาอยู่ในความดูแลของเขาด้วย ลำพังดูแลตัวเองก็ไม่ค่อยจะไหว มาดูกันว่าเขาจะสามารถ Handle เรื่องราวทั้งหมดนี้ด้วยตัวคนเดียวได้อย่างไร แม้เนื้อเรื่องจะฟังดูหนักหน่วง แต่ด้วยการแสดงที่เป็นไปอย่างธรรมชาติ ทำให้เราค่อย ๆ ซึมซับเรื่องราวของพวกเขาอย่างไม่เร่งรีบ ทำความเข้าใจในทุกปัญหาที่เขาต้องเผชิญ และเมื่อดูจบอาจจะเป็นเราเองนี่แหละ ที่สัมผัสได้ถึงความร้าวรานข้างในของตัวละครได้จริง ๆ The Pianist
ช่วงใกล้สิ้นปี เวลาที่น้อยลงสะกิดให้เรารู้ตัวว่าการเปลี่ยนแปลงบนปฏิทินใกล้เข้ามาทุกที เวลาสามร้อยหกสิบกว่าวันที่ผ่านมา เราอาจใช้เวลาไปกับความเคลื่อนไหวของชีวิตจนลืมเติมเต็มบางสิ่งให้ตัวเอง เราอาจเหน็ดเหนื่อยกันการเดินทางตลอดหนึ่งปี ลองเติมความพิเศษเหมือนเป็นการให้รางวัลตัวเอง ความเหนื่อยที่ผ่านมาของเราจะได้ไม่รู้สึกเสียเปล่า หากยังไม่มีตัวเลือกในใจ UNLOCKMEN ขอแนะนำสิ่งใกล้ตัวที่เราอาจมองข้ามไป แต่มันอาจเป็นของขวัญแสนพิเศษให้กับตัวเอง เพื่อชดเชยความเหนื่อยและเป็นการเริ่มต้นใหม่ที่ดีสำหรับปีที่จะมาถึง ทริปท่องเที่ยวต่างประเทศ การท่องเที่ยวเป็นเหมือนการซื้อประสบการณ์ให้ตัวเอง ให้เราได้ออกไปพบเจอสถานที่ใหม่ ๆ ผู้คนที่ใช้ชีวิตต่างวัฒนธรรมกับเรา เรียนรู้ แลกเปลี่ยน ประสบการณ์ในทุกสถานที่ที่เราไป ให้รู้ว่าโลกนี้ยังมีอะไรอีกมากที่เรายังไม่เคยสัมผัส การท่องเที่ยวจึงเป็นการลงทุนที่ยังไงก็คุ้มค่า เพราะสิ่งที่เราได้กลับมามันมากกว่าอะไรที่จ่ายอยู่แล้ว ลองมองหาสถานที่เจ๋ง ๆ ที่คุณเคยเล็งไว้เมื่อนานมาแล้วแต่ยังไม่มีโอกาสเสียที ที่ผ่านมาที่เรายังไม่ได้ลงมือท่องเที่ยว อาจเป็นเพราะเราไม่ได้มีเวลามากพอที่จะวางแพลนไว้ก็ได้ ถือโอกาสนี้นี่แหละ ใช้เงินซื้อประสบการณ์ให้ตัวเองด้วยการวางแพลนท่องเที่ยวข้ามปี ที่พัก การเดินทาง Budget เตรียมพร้อมทุกอย่างเอาไว้ เสิร์ฟจานเด็ด มื้อดี ๆ เรียกน้ำย่อย ริวิวร้านดีร้านเด็ดที่เคยเลื่อนผ่านบน Newsfeed แล้วชวนให้น้ำลายสอ ร้านแล้วร้านเล่าผ่านไป เงินไม่เอื้ออำนวยบ้าง เวลาไม่เป็นใจบ้าง เลยยังไม่ได้ลิ้มชิมรสอาหารมื้อเด็ดนั้นเสียที แม้มันจะไม่ได้เป็นของที่อยู่ยาว บางคนก็มองว่ากินแล้วก็ย่อยไป อาหารตามสั่งมันก็อิ่มเท่ากัน เลยไม่กล้าจะเสียเงินกับอาหารราคาแพงต่อหนึ่งมื้อ ลองทุ่มเงินซื้อรางวัลให้ตัวเองแบบชัดเจนสุด ๆ ด้วยประสบการณ์ลิ้มรสอาหารที่ไม่อาจได้กินกันบ่อย ๆ อย่างน้อยเราก็ได้จดจำรสชาติของมัน ยามเคี้ยวอย่างละเมียด รสชาติกระจายไปทั่วปาก ก็เป็นอีกตัวเลือกที่ดีสำหรับคำว่ารางวัลชีวิต
บรรยากาศฝุ่น ๆ ที่เหมือนใส่ฟิลเตอร์เบลอ เฟดภาพตึกตรงให้จาง ถ้าเป็นที่อื่นเราคงคิดว่าเข้าหน้าหนาวเต็มที่แล้วอยากโดดออกไปเที่ยวนอกบ้าน แต่สำหรับกรุงเทพฯ ตอนนี้เลี่ยงไว้จะดีกว่าเพราะแทนที่จะได้เที่ยวสงสัยจะได้ไปหาหมอแทน และในช่วงเช้าวันนี้ (21 ธันวาคม) ประกาศแล้วว่ามีพื้นที่เสี่ยงที่มี PM.25 สูงเกินมาตรฐาน (50 ไมโครกรัม / ลูกบาศก์เมตร) จำนวน 20 พื้นที่ และ 14 แห่งมีผลกระทบต่อสุขภาพ ซึ่งมีสาเหตุจากสภาวะอากาศปิดและการจราจร แต่ตอนนี้อัปเดตล่าสุดช่วงบ่าย มีพื้นที่เสี่ยงที่มีผลกระทบต่อสุขภาพเพิ่มจำนวนขึ้นถึง 19 แห่ง เราจึงนำมาแจ้งเพิ่มเติม ลองมาเช็กไปพร้อมกัน พื้นที่ริมถนน ตรวจวัดค่าสถานที่ติด Red Zone ของ PM.25 เวลา 15.00 น. โดยเผย Red Zone 19 แห่งดังนี้ เขตวังทองหลาง ด้านหน้าปั๊มน้ำมัน เอสโซ่ ซ.ลาดพร้าว 95 เขตปทุมวัน บริเวณริมถนนจามจุรีสแควร์ เยื้อง MRT สามย่าน เขตบางรัก