เครื่องดื่มแอลกอฮอล์บ้านเรามีเวลาเปิด – ปิด มีกำหนดเวลาขาย และเวลากินเราก็เป็นอันรู้กันว่าต้องช่วงเย็น ช่วงค่ำหลังเลิกงานเท่านั้นถึงจะเหมาะ เพราะถ้ากินก่อนนั้นเหมือนเราจะโดนตำหนิด้วยสายตา แต่ว่านั่นก็เป็นแค่ Timezone จากวัฒนธรรมในบ้านเราเท่านั้นไม่ได้รวมเส้นแบ่งเวลาอื่น โดยเฉพาะสำหรับเมืองเบียร์อย่างเยอรมันที่เขากินเบียร์กันต่างน้ำ กินหลังออกกำลังกาย กินแทบตลอดทั้งวัน เขายังมีวัฒนธรรมให้เน้นกินเบียร์ก่อนเที่ยงวันอีกด้วย! เรียกได้ว่าพอลืมตา คอที่แห้งผากของเราต้องร้องหาเบียร์ รินขึ้นซดแก้กระหายกันเลยทีเดียว ดื่มเบียร์เช้าช่วยย่อย การดื่มเบียร์เป็นศาสตร์หนึ่งไม่ต่างจากการดื่มไวน์ เบียร์มีความล้ำลึกของมัน มีหลายประเภท มีความหนักเบาตามช่วงเวลา และมีความคราฟต์ให้หลายคนต้องรู้สึกติดอกติดใจ สำหรับวัฒนธรรมการกินเบียร์ก่อนเที่ยงวันคือการดื่มเบียร์ในช่วง brotzei (มื้อที่ 2 ของช่วงเช้า ที่เริ่มกินกันช่วง 10 โมงเป็นต้นไป) พบมากใน “บาวาเรีย” หรือรัฐที่อยู่ทางเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของเยอรมัน เพื่อส่งเสริมวัฒธรรมการดื่มช่วงนี้มันจึงมีการผลิตเบียร์เฉพาะกินช่วงเช้านี้ โดยเขาเรียกมันว่า Hefeweizen (ออกเสียงว่า : HEH-feh-vite-zehn) เบียร์ชนิดนี้คือเบียร์เฉพาะที่ทำขึ้นจากวีท (ข้าวสาลี) แทนที่การใช้บาร์เลย์ ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักที่คอเบียร์ทุกคนลิ้มรสชาติกันเป็นประจำ วีทเบียร์นี้เหมาะกินกับอาหารเพราะให้รสชาติที่นุ่มกว่า สีสันเหลืองสว่างเองก็ให้รสชาติที่เบา แอลกอฮอล์ไม่หนักทำให้ดื่มได้ถี่ในช่วงเช้าไม่ต้องกลัวเมามายจนเสียอาการ ที่สำคัญการหมักวีทเบียร์ยังใช้ยีสต์ชนิดพิเศษที่เพาะมาโดยเฉพาะ ทำให้มีกลิ่นหอมนุ่มคล้าย กล้วย แอปเปิ้ล ซิตรัส ซึ่งเรียกได้ว่านี่คือหนึ่งจุดเด่นที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว กระตุ้นกระบวนการเผาผลาญอาหารให้ทำงานได้มีประสิทธิภาพขึ้นอีกด้วย
วันนี้ไม่รู้สึกประหม่าอย่างที่เคย เพราะถึงแม้เราจะสัมภาษณ์คนมาไม่น้อย แต่ทุกครั้งก็จะมีอาการประหม่าร่วมด้วย มากหรือน้อยขึ้นอยู่กับว่าเราสัมภาษณ์ใคร แต่ครั้งนี้ต่างออกไป อาจเป็นเพราะเรากับคนที่เราจะสัมภาษณ์รู้จักกันเป็นการส่วนตัว นั่งดื่มกันมาก็หลายครั้ง เขาคือผู้กำกับหนุ่มรุ่นใหม่ที่น่าจับตามอง งานทุกชิ้นมีเอกลักษณ์ชัดเจน ซึ่งถือเป็นโอกาสดีที่เรากับเขาจะได้คุยกันเรื่องงานที่เขาทำอยู่บ้าง เนื่องจากที่ผ่านมาถึงแม้เราจะรู้ดีว่าเพื่อนคนนี้เป็นผู้กำกับ แต่ส่วนใหญ่ก็คุยกันเรื่องสัพเพเหระทั่วไปตามประสาผู้ชายเสียมากกว่า สถานที่นัดหมายก็ไม่ใช่ที่ไหน เป็นร้านประจำที่เรากับเขาเคยนั่งดื่มด้วยกันบ่อย ๆ เรามาถึงในช่วงพลบค่ำตามเวลานัด พบว่า ‘ณัฐชนน วะนา’ หรือที่เราเรียกเขาติดปากว่า ‘วะนา’ นั่งรออยู่ก่อนแล้ว และหลังจากพูดคุยเรื่องทั่วไปจบลง บทสนทนาลงลึกก็เริ่มต้นขึ้น ณัฐชนน วะนา คือใคร ช่วยแนะนำตัวให้คนที่ยังไม่รู้จักเราหน่อยครับ? “สวัสดีครับ ณัฐชนน วะนา เป็นผู้กำกับฟรีแลนซ์ กำกับทั้งโฆษณา MV รวมถึงหนังของตัวเองด้วยครับ แต่ก็พยายามคิดโปรเจ็กต์ใหม่ที่แตกต่างจากสิ่งที่ตัวเองเคยทำอยู่เรื่อย ๆ ครับ” จากเด็กธรรมดาคนหนึ่ง อะไรคือจุดเริ่มต้นของการอยากเป็นผู้กำกับ Turning Point อยู่ตรงไหน? “เริ่มจากเราอยากเรียนศิลปะ เรียนเพ้นท์ เลยลองคุยกับที่บ้าน ที่บ้านเค้าอยากให้เราเรียนสื่อ เราก็รู้สึกสนใจ ซึ่งถือว่าเรารู้ตัวเร็วเพราะตอนนั้นเพิ่งม.4 เอง อาชีพผู้กำกับก็เข้ามาตั้งแต่ตอนนั้น เราก็ไม่ได้มีไอเดียอะไรเกี่ยวกับอาชีพนี้หรอก แต่พอได้เริ่มทำโปรเจ็กต์ส่วนตัวตอนเข้าปี 1 เราก็รู้สึกชอบ รู้สึกว่างานนี้มัน
เป็นที่รู้กันดีสำหรับเหล่าสิงห์อมควันว่าบุหรี่ไฟฟ้าเป็นสิ่งผิดกฎหมายในประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นแบบ Vaporizer หรือแบบ Heat-Not-Burn Tobacco แต่กลับกันหลายประเทศในโลกนั้น บุหรี่เหล่านี้ถือเป็นเรื่องปกติ ซึ่งปัจจุบันในบ้านเราก็ใกล้ถึงเวลาเข้าไปทุกทีแล้ว ที่บุหรี่ไฟฟ้าจะกลายเป็นสิ่งที่กฎหมายไทยยอมรับได้ (ตราบเท่าที่สามารถเก็บภาษีได้) การเกิดขึ้นของบุหรี่ไฟฟ้าเริ่มจากกฎหมายห้ามสูบบุหรี่ในพื้นที่สาธารณะ เพราะสังคมเริ่มรับรู้ถึงอันตรายของควันบุหรี่ที่ส่งผลกระทบต่อคนรอบข้าง จึงเริ่มมีผู้คิดค้นบุหรี่ไฟฟ้าที่ไม่มีการเผาไหม้แบบบุหรี่มวน ด้วยหวังว่าจะสามารถสูบบุหรี่ไฟฟ้าในพื้นที่ที่กฎหมายห้ามสูบบุหรี่ได้ รวมถึงเป็นการนำสารนิโคตินเข้าสู่ร่างกายที่สะอาดกว่าการสูบบุหรี่มวน เพราะไม่ต้องผ่านการเผาไหม้ของกระดาษมวนและใบยาสูบ ซึ่งเป็นที่มาของสารพัดสารเคมีอันตราย แถมยังส่งกลิ่นเหม็นติดตัวยากจะล้างออก หลังจากมีการเรียกร้องทั้งบนดินและใต้ดินมานาน กรมสรรพสามิตก็เตรียมเสนอเรื่องการเก็บภาษีบุหรี่ไฟฟ้า เพราะไม่ถือว่าเป็นยาเสพติดชนิดร้ายแรง แต่ฝ่ายกฎหมายกรมสรรพสามิตมองว่าบุหรี่ไฟฟ้าไม่ได้อยู่ภายใต้คำจำกัดความว่าเป็นบุหรี่ภายใต้ พ.ร.บ.ยาสูบ พ.ศ.2509 ทำให้กรมสรรพสามิตไม่มีอำนาจควบคุมสินค้าดังกล่าว จึงได้ยื่นเรื่องแก่รัฐมนตรีคลังคนใหม่ให้พิจารณา การพยายามผลักดันให้บุหรี่ไฟฟ้าเป็นสิ่งถูกกฎหมายในครั้งนี้เป็นผลจากการร้องเรียนของสถานทูตหลายประเทศ จากเหตุที่นักท่องเที่ยวถูกจับกุมเพราะนำบุหรี่ไฟฟ้าเข้ามาในไทย เนื่องจากระทรวงพาณิชย์ห้ามนำเข้า รวมถึงกระทรวงสาธารณสุขไม่อยากให้ประชาชนใช้บุหรี่ไฟฟ้า ส่งผลให้เกิดปัญหาทั้งผู้บริโภคในประเทศที่ต้องลักลอบซื้ออย่างไม่ถูกต้อง (แต่ก็หาซื้อง่าย ส่งตรงถึงมือได้ภายในวัน) และกระทบต่อเหล่านักท่องเที่ยวต่างชาติที่พกบุหรี่ไฟฟ้าติดตัวเข้ามาในไทย ซึ่งกรมสรรพสามิตมองว่าเป็นปัญหาสะสมที่ควรจะต้องแก้ไขเสียที แต่ถ้าบุหรี่ไฟฟ้ากลายเป็นสิ่งถูกกฎหมาย โรงงานยาสูบจะเป็นคนแรกที่คิดว่าตัวเองได้รับผลกระทบแบบเต็ม ๆ เพราะข้อกฎหมายรวมถึงข้อกำหนดเดิมที่ทำร่วมกันระหว่างโรงงานยาสูบ กรมควบคุมโรคติดต่อ และกรมการค้าต่างประเทศ ในการร่างประกาศกระทรวงเรื่องข้อห้ามบารากู่ และบุหรี่ไฟฟ้าในประเทศไทย ซึ่งข้อบังคับต่าง ๆ เหล่านี้สร้างรายได้มหาศาลให้แก่โรงงานยาสูบ ถ้าบุหรี่ไฟฟ้าเป็นเรื่องถูกกฎหมาย การแข่งขันกันอย่างเสรีจากผู้ผลิตต่างชาติที่มี Devices และสินค้าที่ทันสมัยกว่า จะมาสั่นสะเทือนโรงงานยาสูบผู้เคยยิ่งใหญ่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะถ้าจะแข่งขันด้านเทคโนโลยีระหว่างเอกชนกับรัฐวิสาหกิจ เรารู้ดีอยู่แล้วว่าผลจะเป็นยังไง ในด้านสุขภาพก็แตกออกเป็นสองเสียง
ใครทำงานแล้วรู้สึกว่าทำไมหัวหน้าชอบหาเรื่องเป็นประจำ หรือบางทีทำผลงานอะไรเจ้านายก็ไม่เคยมองเห็น บางทีอาจจะเป็นเพราะคุณหล่อมากเกินไป เพราะผลวิจัยล่าสุดจากอังกฤษและอเมริกาต่างค้นพบว่า ผู้ชายหน้าตาดีที่มีหัวหน้าเป็นผู้ชายเหมือนกัน มักจะมีปัญหา Stereotypes ไม่ชอบขี้หน้า และเจ้านายชายอาจจะรู้สึกถูกคุกคามได้ ซึ่งมีผลกับการบริหารทีมงานที่ไม่มีประสิทธิภาพในองค์กร ผลวิจัยนี้จัดทำขึ้นโดย University College London’s School of Management และ University of Maryland ได้ทำการวิจัยร่วมกันเกี่ยวกับการทำงานในบริษัท โดยแบ่งการวิจัยเป็น 4 สถานการณ์ใน 4 บริษัทที่แตกต่างกัน พบว่าในกลุ่มชายล้วนนั้น ผลของการตัดสินใจคัดเลือกพนักงานว่าจะให้เข้ามาทำงานหรือไม่ มีผลโดยตรงกับความหล่อของหน้าตาผู้ชายที่เข้ามาสมัคร ยิ่งหน้าตาดี ยิ่งมีแนวโน้มที่หัวหน้าผู้ชายจะตัดสินใจไม่รับเข้าทำงาน หรือรับแต่จะถูกผลักไปอยู่ในตำแหน่งที่ไม่ค่อยดีนัก เพราะหัวหน้าชายมักจะรู้สึกว่าผู้ชายหล่อเป็นภัยชนิดนึง ซึ่งอาจจะทำให้สูญเสียความยิ่งใหญ่ของตัวเองไป หรือที่เรียกกันง่าย ๆ ว่า ไม่ชอบขี้หน้าแบบไม่มีสาเหตุนั่นเอง Professor Sun Young Lee หนึ่งในทีมวิจัยบอกว่า ผลเสียของการคัดเลือกพนักงานจากหน้าตาของหัวหน้านั้นไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ มันเป็นอุปสรรคที่ทำให้บริษัทไม่ได้ร่วมงานกับตัวเลือกที่ดีที่สุดเพราะความลำเอียงส่วนตัวเกี่ยวกับรูปร่างหน้าตา ดังนั้นบริษัทและ HR จึงควรหาวิธีแก้ไขในการนำเสนอ Candidate โดยลดปัจจัยที่ทำให้เกิด Stereotypes แบบนี้ จะยิ่งทำให้การคัดเลือกคนมีประสิทธิภาพมากขึ้นเยอะเลยทีเดียว เช่นการไม่ให้หัวหน้าชายลงมามีผลกับการคัดเลือกคนจนกว่าจะได้แสดงผลงานหรือเข้ารอบลึก
“คุณเข้าโซเชียลมีเดียครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ และใช้เวลากับมันนานแค่ไหน” ว่ากันตามตรง ประโยคคำถามข้างต้นมันเป็นคำถามที่ส่วนตัวแล้วเราเองก็ไม่ค่อยอยากจะเอามาพูดถึงบ่อย ๆ เพราะมันเป็นเรื่องที่งานวิจัยหลายชิ้นระบุตรงกันอยู่แล้วว่าถ้าใช้มากไปก็อาจมีผลเสียตามมา แต่พวกเราหนุ่มเมืองยังคงต้องใช้มันเป็นช่องทางสื่อสาร ส่งงาน แชร์ความรู้ หรือประชุมงาน ดังนั้น เวลามีเรื่องอัปเดตเกี่ยวกับข้อมูลพฤติกรรมการใช้โซเชียลที่น่าสนใจ มีผลกับเราโดยตรง เราจึงเห็นว่าตัองเอามาบอกกัน เพราะอย่างน้อยรู้ไปก็ดีกว่าไม่รู้ ส่วนจะจัดสรรเวลาให้ดีขึ้นได้ไหม เราเองก็คิดว่าต่อให้แน่นแค่ไหนก็คงยังพอมีทางออกให้ได้บ้าง IG, SNAPCHAT & FACEBOOK gonna killed US? ล่าสุดในวารสาร Journal of Social and Clinical Psychology ประจำเดือนธันวาคมตีพิมพ์ผลวิจัยที่ว่าด้วยการเชื่อมโยงระหว่างการใช้โซเชียลมีเดียกับความเหงาว่ามันติดกันมาเป็นแพ็คคู่ โดย Penn research เขาวิจัยกันจริงจังด้วยการทดลอง “ตัดขาด” คนจากโซเชียลมีเดียทั้งหลาย ไม่ว่าจะ Facebook, Snapchat และ IG แล้วพบว่าสุขภาพมันดีขึ้นจริง ๆ การทดลองนี้ใช้คนเข้าร่วมวิจัยทั้งหมด 143 คน (ผู้หญิง 108 คนและผู้ชาย 35 คน) จากกลุ่มนักศึกษาระดับปริญญาตรีที่ University
โคเคนเป็นสิ่งที่ทุกคนรู้กันดีว่าคือสารเสพติดผิดกฎหมายที่ให้โทษแก่ร่างกาย และไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับมนุษย์ เพราะก่อนจะถูกสกัดจนเป็นผงขาวที่ใช้เสพกันอย่างในปัจจุบัน โคเคนได้ถูกใช้งานในรูปแบบต่างๆ มานานกว่าพันปีแล้ว ต้นกำเนิดของโคเคนนั้นเกิดจากใบโคคา พืชประจำถิ่นในอเมริกาใต้ที่มีความผูกพันอย่างยาวนานกับชนพื้นเมืองแถบเทือกเขาแอนดีส โดยจะนิยมเคี้ยวใบโคคาเวลาทำงาน เพราะสรรพคุณที่ช่วยให้กระปรี้กระเปร่า สามารถใช้เป็นยาชา ลดอาการ Altitude Sickness หรืออาการแพนิคที่สูงจากความดันอากาศและปริมาณออกซิเจนที่ลดลง เนื่องจากบริเวณเทือกเขาแอนดีสมีความสูงจากระดับน้ำทะเลถึง 2,000 – 4,000 เมตร ด้วยปัจจัยต่างๆ ทำให้ชนพื้นเมืองนิยมเคี้ยวใบโคคาและนำมาต้มดื่มเหมือนน้ำชากันอย่างแพร่หลาย คล้ายกับคนไทยในสมัยก่อนที่นิยมเคี้ยวหมาก ต่อมาสรรพคุณสารพัดประโยชน์ของใบโคคานั้นดันไปเข้าตาเภสัชกรชาวอเมริกันอย่าง ดร.จอห์น เพมเบอร์ตัน ที่คัดเลือกวัตถุดิบต่างๆ เพื่อผลิตเครื่องดื่มที่รู้จักกันทั่วโลกอย่าง Coca-Cola โดยใช้โคเคนเป็นหนึ่งในส่วนผสมปริมาณน้อยแค่ 9 มิลลิกรัมต่อขวดเท่านั้น เพราะจุดประสงค์ของโค้กในช่วงแรกคือเครื่องดื่มเพื่อบรรเทาอาการเสพติดฝิ่น บำรุงประสาท และลดอาการอ่อนเพลีย จนในที่สุดการใส่โคเคนในโค้กก็ได้ถูกยกเลิกไปในปี ค.ศ. 1904 เพราะถือเป็นสารเสพติดที่ผิดกฎหมาย และวงการแพทย์รับรู้ถึงผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายของโคเคน แล้วอะไรที่ทำให้โคเคนกลายเป็นสารเสพติดที่นิยมในงานปาร์ตี้ของเหล่าคนมีเงินในปัจจุบัน? ถ้าถามว่าทำไม ก็จะได้คำตอบแบบง่ายๆ กลับมาว่าเพราะสนุก เมื่อเสพแล้วจะรู้สึกเคลิ้ม อารมณ์ดี หัวเราะกับเรื่องง่ายๆ แถมยังลดความประหม่าในการเข้าสังคม ทำให้เอ็นจอยไปกับปาร์ตี้ และกระตุ้นความต้องการทางเพศให้มากกว่าปกติ ซึ่งโคเคนนั้นเป็นที่นิยมในหมู่สังคมเซเลปชาวอเมริกันและอังกฤษมากกว่าที่ไทย ถึงขนาดที่อังกฤษเคยได้ฉายาว่าเมืองแห่งโคเคนเพราะหาซื้อง่ายแถมราคาถูก ตรงกันข้ามกับในไทย เพราะราคาที่ค่อนข้างสูงของโคเคนทำให้กลุ่มผู้ใช้ถูกจำกัดเป็นวงแคบ จะต้องเป็นกลุ่มคนที่มีกำลังซื้อสูง
ทุกลมหายใจเข้าออกของผู้ชายอย่างเรา เต็มไปด้วยหน้าที่ความรับผิดชอบที่เราต้องดูแลเพื่อก้าวไปข้างหน้าในทุก ๆ วัน ทั้งหน้าที่การงานที่ต้องทำออกมาให้ราบรื่นที่สุด ทั้งการใช้เวลาในวันหยุดเพื่อเล่นให้สุดขีดความมันส์ รวมถึงการพักผ่อนเพื่อเยียวยาความเหนื่อยล้าในทุก ๆ วันให้กลับไปทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพและเล่นได้อย่างเต็มขุมพลัง แต่ทุกลมหายใจเข้าออกที่ต้องไต่อยู่ท่ามกลางเส้นแบ่งระหว่าง WORK PLAY LIVE อย่างบ้าคลั่งเกินไป หลายครั้งอาจกลืนกินความเป็นตัวเองของเราไปได้โดยที่เราไม่รู้ตัว จะดีกว่าไหมถ้าเราสามารถ BALANCE สามสิ่งนี้ได้อย่างสมดุล เพื่อที่จะเป็นตัวเองที่สามารถ WORK ได้ไม่มีหวั่น PLAY ได้ไม่มีหวาด และสามารถ LIVE ได้อย่างเต็มที่ เพราะเราเชื่อว่าชีวิตที่ดีเริ่มต้นที่การ BALANCE อย่างสมดุล เมื่อชีวิตทุกด้านสามารถไปด้วยกันได้อย่างลงตัว เมื่อนั้นเราจะสามารถเป็นตัวเอง แสดงความเป็นตัวตนออกมาได้อย่างอิสระไร้ขอบเขต เพราะ BALANCE ที่ดีเริ่มต้นที่พื้นที่อยู่อาศัย ชีวิตผู้ชายยุคใหม่อย่างเราส่วนใหญ่ ใช้เวลาหมดไปกับการ WORK PLAY และ LIVE จะดีแค่ไหนถ้าเรามีพื้นที่อยู่อาศัยที่ตอบโจทย์ให้เราสามารถผสมรวม WORK PLAY และ LIVE ได้อย่างลงตัว พื้นที่อยู่อาศัยที่ตั้งอยู่ในทำเลที่เอื้อให้เราสามารถเดินทางไปทำงานได้ภายในเวลาอันสั้นทำให้เราเหลือเวลาในการพักผ่อนและดูแลตัวเองเพิ่มเติมได้ พื้นที่อยู่อาศัยที่การเดินทางสะดวกสบายถึงขีดสุดตอบสนองการเล่นได้เต็มที่ และพื้นที่อยู่อาศัยที่ออกแบบมาอย่างใส่ใจผู้อยู่อาศัย แม้ว่าทำเลจะใกล้ที่ทำงานและที่พักผ่อนเพียงไหนก็ยังเต็มไปด้วยพื้นที่สีเขียวสร้างความผ่อนคลาย และให้ความเป็นส่วนตัวเพื่อสร้างบรรยากาศแห่งการชาร์จพลังความเป็นตัวเองได้อย่างเต็มที่ พื้นที่อยู่อาศัยที่ผสานเอา WORK PLAY
ความสุขในชีวิตคนเราตั้งแต่เกิดมาจนตายไปคืออะไร ? คำถามนี้สำหรับผู้ชายหลายคนอาจยังอยู่ในช่วงเดินทางตามหาคำตอบกันอยู่ แต่สำหรับ แทม หรือ พศิน อัธยาตมวิทยา เขาคงเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่ค้นเจอคำตอบพวกนั้นด้วยตัวเองแล้ว แม้ช่วงอายุจะอยู่ในรุ่นราวเดียวกันกับใครหลายคนซึ่งยังเลือกใช้ชีวิตอยู่อย่างไร้ความท้าทายภายใน Comfort Zone ของตัวเอง จากเด็กหนุ่มอายุ 20 ที่ลงมือเรียนรู้ด้วยตัวเอง จนสามารถเขียนหนังสือที่คนรักการถ่ายรูปหลายคนต้องรู้จักอย่าง Speed Of Light ต่อด้วยบทบาทผู้กำกับงานโฆษณาฝีมือโดดเด่น รวมไปถึงเรื่องราวความชื่นชอบในรถยนต์ที่มีมาตั้งแต่เด็ก สู่ชีวิตที่หลงใหลการอยู่หลังพวงมาลัยความเร็วสูง อะไรคือสิ่งที่เปลี่ยนแปลงเขาจากเด็กหนุ่มหัวรั้นให้กลายเป็นผู้ชายที่มีคุณภาพทั้งด้านการทำงานและการใช้ชีวิต วันนี้เรามาหาคำตอบไปพร้อมกัน “ชื่อแทมนะครับ พศิน อัธยาตมวิทยา ตอนนี้เป็นผู้กำกับครับทำเกี่ยวกับหนังโฆษณาแต่ก่อนหน้านี้จริง ๆ คนอาจรู้จักผมในฐานะการเป็นช่างภาพครับเพราะผมเริ่มถ่ายรูปมาตั้งแต่ก่อนเรียนมหาวิทยาลัย ใช้เวลาอยู่ตรงนั้นประมาณ 7 ปี ในฐานะช่างภาพที่มีความถนัดในเรื่องของ แสง เคยเปิดสอนเกี่ยวกับเรื่องแสงเป็นเรื่องเป็นราวมาก่อนและตอนอายุประมาณ 20 ปีก็มีหนังสือของตัวเองออกมาครับ” ศาสตร์แห่งแสง มีความสำคัญยังไง ? “สำหรับผมแล้วแสงมันค่อนข้างเป็นสิ่งที่แปลกประหลาดมากเลยนะเพราะเราสามารถมองเห็นมันตลอด แต่เวลาที่มันลงมากระทบตัว มันก็แค่สะท้อนออกไปโดยที่เราไม่รู้สึกอะไร แถมสามารถนำมาปรับแต่งให้วิ่งสวนทางกันได้แบบต่างคนต่างไป นอกจากนี้ยังบอกเล่าถึงรูปทรงและลักษณะพื้นผิวในแบบต่าง ๆ ได้ ยกตัวอย่างเช่นการถ่ายภาพรถยนต์ อีกเหตุผลหนึ่งคือถ้าเราเคยสังเกตดี ๆ จะมองเห็นว่าในที่เดียวกันแต่คนละเวลา ก็เป็นคนละแสง ในเวลาเดียวกันแต่อยู่คนละมุมโลกก็เป็นคนละแสง ทิศทางของมันเปลี่ยนไปอารมณ์ทุกอย่างก็เปลี่ยนหมด”
“เรื่องราวของวิญญาณดวงหนึ่ง ที่ผู้คุมบอกว่าเขาได้รับรางวัลจากสวรรค์ให้มาอยู่ในร่างโฮมสเตย์ของเด็กหนุ่มชื่อ มิน แลกกับต้องสืบหาเรื่องการตายของมินให้ได้ ภายใน 100 วัน ไม่อย่างนั้นเขาจะไม่ได้เกิดอีกเลย” Homestay คือภาพยนตร์ไทยโรแมนติกดราม่าธริลเลอร์ ที่ดัดแปลงมาจากวรรณกรรมญี่ปุ่น ‘Colorful’ ของ เอโตะ โมริ และได้ถูกสร้างเป็นแอนิเมชั่นญี่ปุ่น Colorful (2010) รวมถึงการแปลเป็นนิยายฉบับแปลไทยในชื่อ ‘เมื่อสวรรค์ให้รางวัลผม’ ถือเป็นงานเขียนที่สะท้อนมุมมองของคนที่ต้องเผชิญกับปัญหาชีวิต อาการโรคซึมเศร้า และสะท้อนให้เห็นถึงเหตุผลที่แท้จริงของการมีชีวิตอยู่ได้อย่างดีเยี่ยม ตัวหนังนำเสนอเรื่องราวของ ‘มิน’ เด็กผู้ชายคนหนึ่ง ผ่านมุมมองของดวงวิญญาณที่ไม่เคยรู้จักกับเด็กคนนี้มาก่อน เพียงแค่มาอาศัยอยู่ในร่างของเด็กหนุ่มชั่วคราว จึงจำต้องเริ่มทำความรู้จักตัวตนใหม่ที่เขาใช้เป็นโฮมสเตย์ เขาต้องสัมผัสกับปัญหาที่มินเจอโดยไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้เด็กผู้ชายคนนี้คิดอะไร รักอะไร หรือเกลียดอะไร และค้นหาว่าเพราะเหตุใดถึงทำให้มินต้องตาย ซึ่งแน่นอนว่าคำตอบเกี่ยวกับการมีชีวิตของมินคนใหม่นั้นแตกต่างจากมินคนก่อน เพราะแต่ละคนมองและจัดการกับปัญหาที่เจอไม่เหมือนกัน โดยจุดมุ่งหมายที่แท้จริงของหนังไม่ใช่การค้นหาว่าทำไมมินถึงตาย แต่เป็นการแสดงให้เห็นว่ามุมมองความคิดที่ต่างไปจากเดิมนั้นสามารถเปลี่ยนชีวิตเราได้ตลอดกาล สักครั้งหนึ่งในชีวิตทุกคนต้องเคยเจอปัญหาที่แก้ไม่ตก บางเรื่องที่ทำให้บรรยากาศรอบตัวดูแย่ไปหมด ส่งผลให้อารมณ์แปรปรวน เผลอตัดพ้อชีวิตว่าแต่ละวันมันช่างหดหู่เฮงซวย เฝ้าถามตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าถึงเหตุผลของการมีชีวิตอยู่ จนกระทั่งคิดไปถึงว่าถ้าตายเสียน่าจะยังดีกว่า ซึ่งเหตุการณ์เหล่านี้มักเกิดจากความผิดปกติทางเคมีในร่างกายที่ส่งผลต่อการตัดสินใจ และสุดท้ายความตายที่คิดว่าเป็นทางออกที่ดีก็ไม่สามารถไขแก้ปัญหาอะไรได้เลย ซ้ำร้ายยังสร้างความเสียใจให้คนอื่นในครอบครัวและรอบข้างอีกด้วย เรื่องวุ่นวายทุกอย่างไม่ได้จบดังที่หวัง ซ้ำยังมีผลกระทบถึงคนรอบตัวมากมายกว่าที่คิด เพราะทุกการกระทำย่อมมีผลตามมาเสมอ ดังนั้นขอจงอย่าเสียความเป็นตัวเอง แต่ในขณะเดียวกันก็ควรให้โอกาสตัวเองได้เห็นมุมมองของปัญหาจากผู้อื่นบ้าง และที่สุดแล้วความจริงที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้คือเราทุกคนล้วนมีหนึ่งชีวิตเท่านั้น การให้โอกาสกับตัวเองจึงไม่เคยเป็นเรื่องไร้ค่า เช่นเดียวกันว่า คำตอบของการใช้ชีวิตก็ไม่ได้มีเพียงคำตอบเดียวเสมอไป
“IREZUMI” คือการสักแบบชาวญี่ปุ่นดั้งเดิมขนานแท้ที่มีมาตั้งแต่โบราณในช่วงยุค Jomon หรือ Paleolithic ซึ่งถ้านับแบบสากลก็คือ ช่วงยุคหินเก่า (10,000 BC) จนมาถึงช่วยสมัย EDO (1600-1868) รอยสักเริ่มเข้ามามีอิทธิพลในกลุ่มคนชนชั้นต่าง ๆ โดยคนญี่ปุ่นเชื่อว่ารอยสักนั้น นอกจากจะเป็นสัญลักษณ์แล้ว มันยังเป็นสิ่งที่ส่งผลทางด้านจิตวิญญาณโดยตรงอีกด้วย จะว่าไปแล้ว จริง ๆ “IREZUMI” ก็มีความคล้ายคลึงกับการสักยันต์ของไทย ที่ครั้งโบราณทหารไทยก็ใช้การสักยันต์เพื่อยึดเหนี่ยวจิตใจ และเป็นการสร้างขวัญกำลังในการทำศึกสงครามเช่นกัน แต่การสักแบบญี่ปุ่นของจริง หรือที่เรียกว่า “IREZUMI” นั้น จะมีความเป็นเอกลักษณ์ และมีมนต์เสน่ห์แบบเฉพาะตัว ซึ่งโดยส่วนใหญ่จะเป็นรูปลวดลายของ สัตว์, ดอกไม้, เทพเจ้า และภาพเหตุการณ์จากเรื่องเล่าที่เป็นตำนาน หรือนิทานพื้นบ้าน ซึ่งโดยรวมแล้ว จะมีความหมายถึงความอดทน และความทะเยอทะยานของชีวิตเป็นหลัก เมื่อก่อนวิธีการสัก และหมึกสักที่ช่างสักชาวญี่ปุ่นใช้นั้น จะแตกต่างจากช่างสักในปัจจุบันนี้ โดยเฉพาะวิธีการสัก ที่ช่างจะใช้เข็มแซะเข้าไป ในลักษณะเหมือนใช้ สิ่ว สลักงานไม้ และหมึกส่วนใหญ่จะเป็นหมึกชนิดเดียวกับที่ใช้ในภาพพิมพ์ หรือที่รู้จักกันในชื่อ Nara Ink หรือ Nara Black ซึ่งเป็นหมึกที่มีชื่อเสียงเป็นอย่างมาก