นักร้อง นักแสดง นักธุรกิจ คือสิ่งที่ชายคนนี้สามารถทำได้พร้อมกัน และทำมันได้ดีเสียด้วย
หลายคนคงเคยรู้จักนักแสดงหนุ่มผิวสีมากฝีมืออย่าง Michael B. Jordan จากภาพยนตร์ Creed รวมไปถึง Fantastic 4 ( 2015 ) วันนี้เขากลับมาอีกครั้งในหนังยอดมนุษย์เช่นเคย แต่เป็นการกลับด้านย้ายค่ายมาสู่อ้อมอกของ Marvel Studios แทนในบทบาท Erik Killmonger หรือ N’Jadaka ตัวร้ายจากภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์แห่งปีอย่าง Black Panther แต่ความท้าทายเกิดขึ้นกับเขาอีกครั้ง เมื่อผู้กำกับของ Black Panther อย่าง Ryan Coogler ต้องการให้ Michael รับบทบาทของ Erik Killmonger อย่างสมบูรณ์แบบที่สุด โดยเริ่มจากเรียนรู้ศิลปะป้องกันตัว รวมถึงการใช้อาวุธต่าง ๆ แต่สิ่งที่ดูจะเน้นมากที่สุดคงจะเป็นเรื่องของรูปร่างและกล้ามเนื้อของ Erik Killmonger ถึงขนาดจ้าง Corey Calliret นักกายภาพชื่อดังให้มาเป็นเทรนเนอร์ส่วนตัวและย้ายโรงยิมขนาดย่อม ๆ ไปไว้ที่บ้านของ Michael ใน Los Angeles เลยทีเดียว เดิมที
พอถึงสุดสัปดาห์ทีไรก็เป็นเวลาแห่งการรื่นเริงสังสรรค์ต้องมีการนัดก๊วนเพื่อนออกไปนั่งดื่มเพื่อพักผ่อนจากการทำงานที่เหนื่อยล้ามาตลอดทั้งอาทิตย์ โดยส่วนมากมักจะพูดว่า แก้วเดียวเดี๋ยวกลับบ้าน ซึ่งมันไม่เคยมีกฎแก้วเดียวในวงเหล้าอยู่แล้ว หลังจากกระหน่ำซัดเครื่องดื่มมึนเมาไปอย่างเต็มเหนี่ยวปัญหาโลกแตกที่เจอหลังจากดื่มคือ “จะหนีด่านยังไงดีวะ?” โดยเฉพาะช่วงนี้คุณพี่ตำรวจยิ่งเข้มงวดกับนโยบายเมาไม่ขับเสียเหลือเกิน ไหนจะมีด่านตรวจมากมายบริเวณโซนเที่ยวอีกทำให้จากที่จะได้กลับไปนอนพักผ่อนเสาร์ อาทิตย์ กลายเป็นนอนเล่นในซังเต ดังนั้นทีมงาน UNLOCKMEN ขาดริ้งค์ขอรวบรวมวิธีการผ่อนหนักให้เป็นเบาเวลาที่เจอด่านตรวจแล้วต้องเป่าแอลกอฮอล์ หรือทริกสำหรับหลบเลี่ยงกับด่านตรวจ นมเปรี้ยว วิธีคลาสสิคที่พูดกันมานมนานถึงแม้นมเปรี้ยวจะไม่ได้ลดปริมาณแอลกอฮอล์แบบฮวบฮาบ แต่มันก็ช่วยทำให้ปริมาณแอลกอฮอล์ที่ฝังตัวอยู่ในลมหายใจลดลงได้ค่อนข้างเยอะ ดังนั้นถ้าเกิดคุณรู้สึกว่ามีอาการเมาเล็กน้อยและรู้ตัวว่าต้องขับรถให้หลบเข้าเซเว่นหานมเปรี้ยวกินก่อนจะกลับบ้านสัก 20 นาที กินไปเยอะ ๆ ก่อนออกเดินทางน่าจะช่วยฟื้นความสดชื่นและยังลดความเสี่ยงได้ ( ยี่ห้อที่เวิร์คสุดจากประสบการณ์คนรอบข้างคือ ยาคูลท์ )* หมากฝรั่ง โดยหลักการของเครื่องเป่า ส่วนใหญ่ที่มันดักจับคือแอลกอฮอล์ที่ค้างอยู่ในช่องปากตามซอกฟัน กระพุ้งแก้ม ลิ้น ดังนั้นมีวิธีผ่อนหนักเป็นเบาคือทำความสะอาดมันซะ พอจะกลับบ้านก็หยิบมันมาเคี้ยว ๆ นั่งรอเวลา หมากฝรั่งจะไปช่วยดับกลิ่นในปากในระดับก็น่าจะลดจำนวนเปอร์เซ็นต์แอลกอฮอล์ในร่างกายได้ไม่มากก็น้อย แปรงฟัน หรือบ้วนปาก อันนี้คือเหตุผลเดียวกับหมากฝรั่ง ถ้าคุณไม่ขี้เกียจหรือเมามายจนขาดสติ และโชคดีดันพกแปรงกับยาสีฟันมาก็บรรเลงมันเลย หรือจะหา Listerine มาบ้วนปากก็ยังได้ พอปากเรากลิ่นลดลงเวลาเป่าก็น่าจะผ่านด่านได้ไม่ยากเช่นกัน แต่วิธีนี้มีความเสี่ยงที่จะโดนสูงพอสมควร กาแฟ แอลกอฮอล์ทำให้เราเมาเพราะเข้าไปกดประสาท ส่วนกลาง ถ้าจะแก้ที่ต้นเหตุก็ต้องใช้สารจำพวกคาเฟอีน ซึ่งเจ้าสารพวกนี้จะช่วยกระตุ้นประสาทส่วนกลาง และกาแฟดำร้อน ๆ คือคำตอบที่ดีที่สุด พอกินเหล้าเสร็จก็หาแวะร้านกาแฟสั่งกาแฟร้อน
แม้ชายชาตรีรักสันติอย่างเราจะไม่ชอบใช้กำลังและสร้างความเดือดร้อนให้กับใครแต่ก็ห้ามประมาท เพราะความซวยอาจมาเยือนได้ บางทีนั่งดื่มกาแฟชิล ๆ ดันมีคนมาโผล่มาเล่นงาน(ผิดตัว) กำลังจะเปิดประตูรถดันเจอโจรบุกโจมตีแบบเซอร์ไพรส์ หรือกำลังก้มหน้าแชทกับสาวจนติดลมดันเจอไอ้โม่งเข้ามาทำร้ายเพื่อฉกสมาร์ทโฟนในมือ อย่าคิดว่าโชคน่าจะเข้าข้างเราเสมอไป เรื่องแบบนี้อาจเกิดขึ้นได้กับทุกคน ทีมงาน UNLOCKMEN มีวิธีการป้องกันตัวเองด้วยการเปลี่ยนให้สิ่งของในชีวิตประจำวันให้กลายเป็นอาวุธที่พวกตัวร้ายต้องเข็ดขยาดมาฝาก ***ขอย้ำว่าจุดประสงค์ของบทความนี้เขียนขึ้นเพื่อเป็นแนวทางให้ทุกคนนำเอาไปปรับใช้ในการป้องกันตัวเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาชี้นำวิธีการใช้ความรุนแรงแต่อย่างใด ลูกผู้ชายอย่างเราต้องไม่ทำร้ายผู้อื่นก่อนนะครับ รับกาแฟไหมครับคุณโจร? ไม่มีอะไรเทียบได้กับกลิ่นกาแฟหอมกรุ่นยามเช้า แต่ถ้ากำลังรินกาแฟร้อน ๆ จาก “กาต้มกาแฟ” แล้วเจอโจรพุ่งมาทำร้าย อย่ากังวลครับ ในมือของคุณไม่ใช่แค่ภาชนะที่บรรจุความหอมละมุนเท่านั้น แต่ยังเป็นยอดอาวุธอีกด้วย นำกาต้มกาแฟร้อนฟาดไปที่ใบหน้าของผู้ประสงค์ร้าย ดาเมจแรกที่เขาต้องเจอคือความมึน ต่อเนื่องด้วยคมแก้วที่บาดริมฝีปาก ปิดฉากด้วยความร้อนจากกาแฟที่ทำให้โจรอยากกลับใจ อ่อ ถ้ารินกาแฟใส่ถ้วยแล้ว เริ่มจากสาดกาแฟใส่หน้าก่อนเพื่อให้เขาสตัน จากนั้นจับ “ถ้วยกาแฟ” ให้มั่นแล้วซัดไปที่ใบหน้าของเขาเลย รับรองว่าคอมโบนี้ดับซ่าผู้ไม่หวังดีได้แน่นอน หรือถ้าใช้ “กระบอกน้ำโลหะ” ก็ช่วยได้ ยิ่งมีน้ำเป็นตัวถ่วงน้ำหนักยิ่งเพิ่มดาเมจให้กับผู้ที่เข้ามาทำร้ายเรา ดับร้อนคนร้ายไฟแรง “ถังดับเพลิง” ตามออฟฟิศไม่ได้มีประโยชน์แค่ช่วยชีวิตคุณจากอัคคีภัยเท่านั้น แต่ยังสามารถป้องกันตัวเองจากการโดนทำร้าย และสวนกลับได้อย่างเห็นผล คุณกำลังวิ่งหนีคนร้ายในตึกแห่งหนึ่งราวกับฉากหนังบู๊ จากนั้นคุณบังเอิญเจอถังดับเพลิงสีแดง ๆ (แวบแรกคงจะคิดว่าไม่ได้ต้องการเลย) ตั้งสติ ยกถังดับเพลิงหนัก ๆ ขึ้นมาด้วยแรงที่ได้จากอะดรีนาลีน ตั้งหลักตั้งรับ ยกการ์ดให้มั่น
ในวันที่ (เขาว่ากันว่า) หนังสือกำลังจะตายและร้านหนังสือหลายร้านทยอยปิดตัวไปอย่างเงียบเชียบ ราวกับว่าลมหายใจสุดท้ายของหนังสือกำลังรวยริน แต่ร้านหนังสืออิสระหลายร้านก็ยังคงยืนเด่นด้วยอัตลักษณ์ ด้วยวิธีคิดที่ชัดเจนว่าร้านหนังสือต้องไม่ใช่แค่พื้นที่ซื้อ-ขายหนังสือ แต่ต้องมีลมหายใจ มีชีวิต มีพื้นที่ให้ผู้คนเชื่อมโยงอยู่ในนั้นด้วย UNLOCKMEN เลยถือโอกาสนี้คุยกับ “แป๊ด-ดวงฤทัย เอสะนาชาตัง” เจ้าของ candide books (ร้านหนังสือก็องดิด) ที่ก็เชื่อเช่นนั้น เชื่อเช่นว่าหนังสือจะไม่ตาย ร้านหนังสือจะไม่ตายเช่นกันตราบใดที่เชื่อมโยงกับผู้คน และต่อให้วันหนึ่งร้านหนังสือต้องตายลง เธอก็ไม่ได้ว่าอะไรตราบใดที่ผู้คนยังคงอ่านอยู่ แต่ถ้าถามว่าเธอเชื่อมั่นในการเป็นคนทำหนังสือแค่ไหน เธอก็ตอบเราได้เต็มปากเต็มคำว่า “ทุ่มให้ทั้งชีวิต ไม่เคยคิดถึงอย่างอื่นเลย” แล้วอย่างนี้จะอดใจไม่ให้อยากคุยกับเธอได้อย่างไร… ทำงานเกี่ยวกับหนังสือมาตลอดเลยไม่ว่าจะเป็นกองบรรณาธิการ ทำสำนักพิมพ์ ร้านหนังสือ อะไรทำให้เราเชื่อในการทำงานกับหนังสือได้ขนาดนั้น พี่ไม่สามารถทำอะไรทีไม่เกี่ยวข้องกับหนังสือได้ ตั้งแต่พี่เรียนจบมา งานแรกก็ทำนิตยสาร จากนั้นทำพ็อคเก็ตบุ๊ค จนสุดท้ายก็มาทำสำนักพิมพ์เอง ก่อนจะมาทำร้านหนังสือ พี่ก็คิดไม่ออกเลยว่าจะทำอาชีพอื่นได้ มีอาชีพเดียวที่เราอยากทำ ตั้งแต่มัธยม ก็มาทางนี้ตลอดไม่เคยไปทางอื่นเลย ถ้าถามว่าเชื่อมั่นไหม ก็ทุ่มทั้งชีวิตไม่ได้คิดถึงอย่างอื่นเลย ที่บ้านอยากให้ทำงานราชการเพราะที่บ้านเป็นคนต่างจังหวัด ป๊าก็จะถามตลอดว่าไม่ทำราชการเหรอ แต่พอเราทำจนเลี้ยงตัวเองได้ และส่งเงินกลับไปที่บ้านได้ด้วย เขาก็เห็นว่า อ้าว มันก็ทำได้นี่หว่า อาชีพแบบนี้ ถึงจะทำงานกับหนังสือเหมือน ๆ กัน ในมุมมองเราการเป็นเจ้าของร้านหนังสือ เป็นกองบรรณาธิการ เป็นนักเขียน
นับว่าเป็นข่าวร้ายสำหรับนักดื่มสายแข็งเพราะตอนนี้โลกกำลังประสบปัญหา เตกีล่า ขาดตลาดอย่างรุนแรงและเชื่อว่าจะส่งผลต่อราคาของเหล้าสีใสดีกรีแรงบาดคอชนิดนี้ในอนาคตอันใกล้อีกด้วย ข่าวนี้น่าจะทำเอาเหล่าคอทองแดงต้องออกอาการเซ็งไปตาม ๆ กัน เพราะมีข่าวจาก Reuter ได้ระบุว่าพืชอากาเว่สีน้ำเงิน (blue agave) ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักในการผลิต เตกีล่า ไม่สามารถปลูกและเก็บเกี่ยวได้ตามเป้าหมาย ซึ่งในปีนี้สามารถเก็บเกี่ยวได้เพียง 18 ล้านกิโลเท่านั้น จากปกติ 42 ล้านกิโล ทำให้ราคาของอากาเว่พุ่งสูงขึ้นจาก 3.8 เปโซต่อกิโลกรัม เป็น 22 เปโซ พืชอากาเว่สีน้ำเงินถือเป็นพืชมหัศจรรย์ที่ขึ้นใน เตกีล่า รัฐฮาลิสโก ประเทศ เม็กซิโก และเป็นศูนย์กลางส่งไปยังบริษัทผลิตน้ำเมาถึง 140 แห่งทั่วโลกด้วยกัน ทำให้เกิดความกังวลว่าในปีนี้เหล้าเตกีล่าจะมีราคาสูงแถมหายากมาก ๆ อีกด้วย จนมีข่าวว่าถึงกับเกิดคดีขโมยต้นอากาเว่ในเม็กซิโกกันแล้ว ด้วยเหตุนี้ เรื่องจึงร้อนถึง Tequila Regulatory Council ที่ต้องมานั่งหารือกันอย่างจริงจังเพื่อหาทางออกในการแก้ไขปัญหานี้ แต่ก็ไม่ง่ายเพราะพืชอากาเว่ ต้องใช้เวลาปลูกอย่างน้อย 7-8 ปี กว่าจะสามารถนำมาแปรรูปเป็นเครื่องดื่ม เตกีล่าได้ และก็ไม่ใช่ว่าทุกภูมิอากาศจะสามารถปลูกได้ดีเหมือนกับในเม็กซิโก ดังนั้นทางออกสำหรับเรื่องนี้ยังคงปริศนา และถ้าหากยังคงเป็นอย่างนี้ต่อไป รับรองว่าคงจะมีแต่มหาเศรษฐีเงินถุงเงินถังเท่านั้นที่จะได้ดื่มมัน แต่ทั้งนี้นอกจากเหตุผลที่ว่าผลผลิตอากาเว่ไม่ดี แต่ยังมีอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้เตกีล่าขาดตลาดนั่นก็เพราะพฤติกรรมการดื่มอย่างบ้าคลั่งโดยเฉพาะชาวอเมริกาและญี่ปุ่น
ปฎิเสธไม่ได้เลยว่าในชีวิตวัยทำงานของหนุ่ม ๆ อย่างพวกเรา ต้องเผชิญทั้งความเครียด ความกดดัน จนพาลให้กิจวัตรประจำวันอื่นเสียขบวนไปด้วย ซึ่งอันที่จริงแล้วมันมีวิธีลดความเครียดและสามารถเคลียร์สมองได้อย่างง่ายดายเพียงแค่สูดลมหายใจเท่านั้น เพราะหลายคนคงจะเคยได้ยิ่งผู้ใหญ่พร่ำสอนว่าเวลาที่บันดาลโทสะโมโหหรือเครียดจนไม่สามารถควบคุมตนเองได้ให้ลองหายใจเข้าออกลึก ๆ แล้วสติจะกลับคืนมา ซึ่งนั่นก็เป็นเรื่องจริงที่ช่วยได้ แต่การฝึกหายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้คุณสามารถลดความเครียดลดลงได้อย่างเหลือเชื่อ เนื่องจาก TalentSmart หน่วยงานกลางที่เชี่ยวชาญเกี่ยวกับเรื่องอารมณ์ (EQ) ได้ทำการศึกษาจำนวนกว่า 1 ล้านคนโดยกว่า 90% ของผู้ที่ฝึกหายใจอย่างถูกต้องสามารถควบคุมสถานการณ์ต่าง ๆ และเอาชนะความเครียดได้อย่างง่ายดาย มาถึงตรงนี้แล้วเราเชื่อว่าผู้อ่านน่าจะมีข้อสงสัยว่าแค่หายใจเข้าออกมันจะไปยากอะไร แต่เชื่อหรือไม่ว่าในชีวิตประจำวันคุณกำลังหายใจได้อย่างไม่เต็มประสิทธิภาพ เพราะใช้เพียงส่วนบนของปอดเท่านั้น ซึ่งออกซิเจนที่สูดเข้าไปไม่ได้ลงไปอย่างเต็มปอด ดังนั้นจึงไม่สามารถเข้าไปจัดการความเครียดได้ โดยเฉพาะความเครียดที่มาพร้อมความดันเลือดสูง การสูดลมหายใจเข้าไปอย่างช้า ๆ จะช่วยขยายหลอดเลือดให้สูบฉีดจนสามารถผ่อนคลายลงได้ มาดูถึงผลเสียของการที่เราไม่ได้หายใจอย่างถูกต้องว่าถ้าเกิดหนุ่ม ๆ ไม่ทำจนเป็นนิสัยแล้วจะต้องเจอกับอะไรตามมาบ้าง ระบบประสาทที่ไม่สมดุล – เนื่องจากลมหายใจมีส่วนสำคัญต่อการรักษาสมดุลของร่างกายและส่งต่อไปยังระบบประสาททันที ดังนั้นการหายใจที่ผิดหลักจะส่งผลต่อความเครียดตามไปด้วย ทางเดินหายใจและหลอดเลือดตีบแคบลง – เนื่องจากเราไม่ได้รับเอาอ๊อกซิเจนเข้าไปอย่างเต็มที่ จึงทำให้ความดันโลหิตสูงจนนำไปสู่การทำงานหนักของหัวใจ มิหน้ำซ้ำอาจพาลไปถึงโรคหัวใจได้ ประสิทธิภาพพลังงานลดลง – อวัยวะทุกส่วนล้วนต้องการอ๊อกซิเจนไปล่อเลี้ยง ไม่ว่าจะเป็นสมอง หัวใจ และกล้ามเนื้อ หากคุณไม่ได้ฝึกการหายใจอย่างถูกวิธี จะทำให้ สมองคิดได้ช้าลง หัวใจทำงานหนักขึ้น กล้ามเนื้ออ่อนแรง เหนื่อยง่ายอีกด้วย ดังนั้นชาว
ในสมรภูมิคอนเทนต์ออนไลน์ที่ฟาดฟันกันอย่างดุเดือดชื่อของสื่อออนไลน์อย่าง The MOMENTUM เป็นอีกชื่อที่เด่นชัดขึ้นมา แต่ภายใต้ความเชื่อที่ว่าข่าวหรือคอนเทนต์ออนไลน์ต้องไว ต้องจัดจ้านและดึงดูด “นิ้ว-อรพิณ ยิ่งยงพัฒนา” บรรณาธิการบริหาร The MOMENTUM กลับยืนยันหนักแน่นว่า “ต้องคิดตลอดว่าถ้าเราเขียนอะไรไปในวันนี้มันอาจจะถูกแชร์ไปในวันอื่นก็ได้ แล้วเราต้องคิดว่าถ้ามันถูกแชร์ไปในวันอื่น คอนเทนต์จะต้องยังอ่านได้” คอนเทนต์ออนไลน์ของ The MOMENTUM จึงไม่ได้ว่าด้วยความไว แต่เป็นคอนเทนต์ที่ออกมาเร็วปานกลาง แต่หนักแน่น เข้มขม เต็มไปด้วยการตั้งคำถามและเปิดกว้างชวนให้คิดตาม แถมมีน้ำเสียงเฉพาะตัวภายใต้ฝีมือบรรณาธิการบริหารอย่าง “นิ้ว-อรพิณ ยิ่งยงพัฒนา” UNLOCKMEN ใช้โอกาสนี้พูดคุยกับเธอในวันที่สื่อออนไลน์ถูกตั้งคำถามว่าฉาบฉวยจริงไหม? มาไวแล้วจะไปไวด้วยจริงหรือเปล่า? ในวันที่ The MOMENTUM ถูกทิ้งไปและเธอตั้งใจว่าจะไม่ทำงานบริหารแล้วอะไรทำให้เธอเลือกเดินเข้ามา? ในฐานะบรรณาธิการบริหาร เราคิดว่า The MOMENTUM ในปัจจุบัน ทั้งภาพลักษณ์ ตัวตน วิธีคิด เมื่อเทียบกับ The MOMENTUM เดิม มันเติบโตเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง เราค่อนข้างเปลี่ยนเยอะ แต่ต้องบอกก่อนว่าเราชื่นชมใน The MOMENTUM ตั้งแต่ตั้งต้น ตอนปี 2016 ที่มีทั้ง The
อาชีพ โอกาส ความทันสมัย ความสะดวกสบาย สิ่งเหล่านี้คือเหตุผลหลัก ๆ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้กรุงเทพฯ เมืองฟ้าอมร เปรียบเสมือนจุดหมายปลายทางของความฝัน เป็นจุดศูนย์รวมของคนรุ่นใหม่มากมายหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นคนพื้นถิ่นชาวกรุงโดยกำเนิด รวมถึงผู้คนจากทั่วทุกสารทิศ ที่เข้ามาใช้ชีวิตไล่ล่าความสำเร็จร่วมกันอยู่ที่นี่ ภายใต้ความแตกต่างของรูปแบบชีวิตที่ถูกให้คำจัดกัดความด้วยคำว่า “Urban Lifestyle” หรือวิถีชีวิตคนเมือง ถ้าฟังแค่ชื่อวิถี Urban Lifestyle ภาพแรกที่ฉายขึ้นมาในหัวคือชีวิตที่รายล้อมไปด้วยความสะดวกสบาย ทันสมัย เต็มไปด้วยอาชีพหน้าที่การงาน โอกาสในการสร้างธุรกิจนับไม่ถ้วน ซึ่งมันช่างดูโก้เก๋เท่ไม่ใช่เล่น แต่จริง ๆ แล้วเรามั่นใจว่าเหล่า Urban Men ทั้งหลายน่าจะรู้ซึ้งถึงความวุ่นวายในการใช้ชีวิตที่ต้องประสบพบเจอในแต่ละวันเป็นอย่างดี ทั้งในเรื่องของการแข่งขันกับเวลา ต้องหัวปั่นอยู่กับความเร่งรีบ ซึ่งทุกนาทีที่หมุนไปอย่างรวดเร็วนั่นคือเวลาที่เป็นเงินเป็นทองที่ไม่มีใครอยากให้สูญเสียไปโดยเปล่าประโยชน์ และเมื่อลองมาทบทวนดี ๆ จะเห็นว่าสิ่งที่เรียกว่าวิถีชีวิตแบบคนเมืองนั้นกลับกลายเป็นรูปแบบการใช้ชีวิตซึ่งแทบจะไม่มีเวลาเหลือให้ได้ “ใช้ชีวิต” อย่างมีความสุขแบบที่มนุษย์ควรจะเป็น และต้องยอมรับว่าสิ่งนี้กำลังเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อภาวะความเครียดของผู้คนในสังคมเมือง ซึ่งฟังดูแล้วหลายคนคงรู้สึกขยาดวิถีคนเมืองจนอยากจะเปลี่ยนรูปแบบชีวิต พาตัวเองย้ายสำมะโนครัวหนีไปจากเมืองใหญ่ให้รู้แล้วรู้รอด แต่ในความเป็นจริงเชื่อว่าทุกคนต่างก็รู้ดีว่าชีวิตมันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น แต่เราอยากบอกว่ามันก็ไม่ได้ยากที่จะหาทางออก ในการปรับตัว ปรับวิธีคิดเพื่อให้มี Urban Lifestyle ที่มีความสุขอย่างแท้จริง ด้วยวิธีง่าย ๆ แค่ 2 วิธีเท่านั้น
คุณมีรอยสักหรือเปล่า? ถ้ามี รอยสักก็เป็นบางสิ่งที่แสดงความเป็นตัวคุณได้แบบสุดขั้วมากพออยู่แล้ว แต่จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเราบอกคนอื่นว่า เฮ้ย รอยสักเรามาจาก Tattoo Artist ที่ไม่มีแขนว่ะ! อ้าวเฮ้ย! แล้วเขาใช้อะไรสักให้เรา แล้วมันจะออกมาสวยไหม Tattoo Artist ที่ไม่มีแขนเขาจะทำงานกันอย่างไร วันนี้ไม่ต้องทนสงสัยอีกต่อไป เพราะนี่คือเรื่องของ Tattoo Artist ที่โคตรสร้างแรงบันดาลใจ เพราะจากการไม่มีแขน สู่การมีแขนเทียม ไปจนถึงการมีแขนเทียมเป็นเครื่องสักอัจฉริยะที่สรรค์สร้างศิลปะได้แม้ไร้แขนจริง JC Sheitan Tenet เป็นชายชาวฝรั่งเศสผู้ สูญเสียแขนขวาท่อนล่างไปเมื่อ 24 ปีก่อน แน่นอนว่าในขณะนั้น ความหม่นเศร้าย่อมแผ่ขยายปกคลุมรอบ ๆ ตัวเขา เพราะเขาจินตนาการไม่ออกเลยจริง ๆ ว่าชีวิตเขาจะไปในทิศทางไหนต่อ ยิ่งจินตนาการว่าเขาจะกลับมาวาดภาพ เขียนภาพอย่างที่เคยทำได้ยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่ แต่โลกใบนี้ก็สอนให้เรารู้จริง ๆ ว่า ไม่มีอะไรใหญ่หรือไกลเกินความฝันของเราเพราะเมื่อปี 2016 JC Sheitan Tenet ได้แขนเทียมเป็นของตัวเอง แต่ที่แม่งโคตรจะคูลกว่านั้นคือมันเป็นแขนเทียมพิเศษที่โมดิฟายเข้ากับเครื่องสักอีกด้วย! JC Sheitan Tenet เป็น Tattoo Artist