พอโตเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวแล้ว หลายคนต้องออกจากบ้านมาอยู่คนเดียว และห่างเหินกับคนรอบตัวมากขึ้น ทำให้พอเจอปัญหารุมเร้าแล้วเครียด ก็ไม่สามารถรับมือกับมันได้เหมือนเดิม จะมองซ้ายมองขวาก็ไม่เห็นใครที่จะขอคำปรึกษาได้ ถ้าใครกำลังมีช่วงเวลาแบบนี้ เราอยากแนะนำให้ทุกคนเริ่มให้กำลังใจตัวเองกัน ซึ่งวิธีเหล่านี้จะช่วยให้เราดีขึ้นได้โดยที่ไม่จำเป็นจะต้องพึ่งพาใคร ให้เวลากับตัวเอง ในแต่ละวันเราอาจวุ่นอยู่กับการทำตามใจคนอื่น ไม่ว่าจะเป็น เจ้านาย คนในครอบครัว หรือ เพื่อน จนลืมที่จะทำอะไรเพื่อตัวเองไป นาน ๆ เข้าก็อาจรู้สึกเหมือนหลงทาง ดังนั้น เพื่อให้เรากลับมาใช้ชีวิตอย่างมีความหมายดังเดิม เราควรหาเวลาว่างอย่างน้อย 10 – 15 นาทีในการอยู่กับตัวเอง ซึ่งเราสามารถใช้เวลาตรงนั้นทำอะไรก็ได้ ไม่ว่าจะเป็น นอน นั่งสมาธิ หรือ เดินไปรอบห้อง แต่จำไว้ว่าพอยซ์ของกิจกรรมนี้ คือ การทำให้เราหันมาสนใจและตอบสนองความต้องการของตัวเอง ซึ่งจะช่วยให้เราเกิดแรงจูงใจในการใช้ชีวิตมากขึ้นได้ อย่าคิดว่ากำลังแข่งกับคนอื่นอยู่ นิสัยอย่างหนึ่งที่หลายคนมักชอบทำ คือ การเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น เช่น เห็นคนอื่นก้าวหน้ากว่า แล้วเกิดอาการดูถูกตัวเอง เป็นต้น ซึ่งปัญหานี้ทำให้เกิดผลเสียต่อตัวเรา คือ มันบั่นทอนกำลังใจ และทำให้เรามองข้ามสิ่งสำคัญที่เราต้องทำอยู่เสมอ ดังนั้น เราควรโฟกัสที่ตัวเองมากกว่าคู่แข่ง และหาทางว่าจะทำให้ผลงานของตัวเองดียิ่งขึ้นอย่างไรจะดีกว่า เปลี่ยนความคิดเรื่องความล้มเหลวใหม่ เพราะความสิ้นหวังมักทำให้เราไม่กล้าลงมือทำอะไรใหม่ ๆ
คนวัยทำงานต้องการหลายสิ่ง ไม่ว่าจะเป็น สังคมการทำงานที่ดี ประสิทธิภาพในการทำงาน รวมถึง สถานที่ที่เอื้ออำนวยต่อการนั่งทำงาน เช่นไม่มีเสียงรบกวนที่มาดึงความสนใจเราจากงาน แต่บางครั้งเราก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะถูกรบกวนด้วยเสียง ไม่ว่าจะเป็น เสียงคนคุยกัน หรือ เสียงก่อสร้าง บางครั้งเสียงเหล่านี้ก็ดังมากจนเราเสียสมาธิไม่เป็นอันทำงาน เราเลยอยากจะมาแนะนำวิธีการรับมือกับเสียงรบกวนเหล่านี้ เพื่อฟื้นคืนประสิทธิภาพในการทำงานของเราให้กลับมาดังเดิม สิ่งแวดล้อมที่ไม่สงบส่งผลต่อคุณภาพในการทำงาน ถ้าเราทำงานในที่ที่มีเสียงดัง ประสิทธิภาพในการทำงานอาจจะลดลง อ้างอิงจากงานวิจัยชิ้นหนึ่งที่ได้รับการเผยแพร่ในวารสาร British Journal of Psychology (2004) ซึ่งได้ขอให้กลุ่มตัวอย่างที่เป็นพนักงานปฏิบัติ 2 ภารกิจ ได้แก่ จดจำและนึกถึงงานประพันธ์ และคิดเลขในใจอย่างง่าย โดยในระหว่างการทดลอง ทีมวิจัยได้เปิดบันทึกเสียงรบกวนประเภทที่เกิดขึ้นทั่วไปในออฟฟิศให้ผู้เข้าร่วมการทดลองฟังด้วย ผลการวิจัยพบว่า สิ่งแวดล้อมที่ทำงานที่เต็มไปด้วยเสียงรบกวน (noisy office environments) สามารถลดความแม่นยำในการทำงานของพนักงานลง ได้67% แต่เมื่อเสียงรบกวนที่เกิดจากการสนทนาลดลง ความสามารถในการโฟกัสงานของพนักงานกลับเพิ่มขึ้นมา 48% แถมความเครียดของพนักงานยังลดลง 27% อีกด้วย นอกจากงานวิจัยชิ้นนี้แล้ว ยังมีงานวิจัยอีกชิ้นหนึ่ง (2005) ซึ่งได้เปรียบเทียบความพึงพอใจในการทำงานของคนที่ทำงานในโอเพนออฟฟิศ และคนที่ทำงานในคอกทำงาน (cubicles) และพบว่า คนกลุ่มแรกมีความพึงพอใจในเสียงรบกวนมากกว่าคนกลุ่มที่สอง โดยคนกลุ่มที่สองพบเจอกับปัญหาจากการได้ยินเสียงคนพูดโทรศัพท์ การได้ยินเสียงคนพูดคุยกัน
แม้หลายคนจะยอมรับได้แล้วว่า “ชีวิตไม่ยั่งยืน” ยังไงสักวันหนึ่งเราก็ต้องตายจากคนที่เรารักไป แต่ในใจของเรากลับพยายามหนีจากความตายอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน เพราะมนุษย์จะกลัวความตายเป็นธรรมชาติ เราเลยพยายามใช้ชีวิตกันอย่างระมัดระวังที่สุด เพื่อให้ชีวิตของตัวเองยืนยาว ซึ่งเป็นเรื่องที่เฮลตี้ แต่บางคนอาจได้รับผลกระทบจากความกลัวมากเกินไป จนไม่สามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติ ซึ่งเดี๋ยวเราจะอธิบายในช่วงท้ายของบทความว่าจะมีวิธีอะไรบ้างในการรับมือกับ ‘อาการกลัวความตาย’ มากเกินไปเพื่อให้เรากลับมาใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้ดั่งเดิม ที่มาที่ไปของอาการกลัวตาย อาการกลัวตาย (หรือ thanatophobia) เป็นเรื่องที่ถูกพูดถึงตั้งแต่สมัย ซิกมันด์ ฟรอยด์ แล้ว และมีความชัดเจนมากขึ้น เมื่อ เอิร์นเนส เบกเกอร์ มนุษยวิทยา ได้เสนอว่า มนุษย์ทุกคนกลัวตาย เพราะไม่สามารถยอมรับความคิดเกี่ยวกับการตายหรือความตายได้ จนเป็นที่มาของทฤษฎี Terror Management Theory (TMT) ซึ่งอธิบายว่า มนุษย์ต้องต่อสู้กับความขัดแย้งภายในตัวเองอย่างต่อเนื่อง ซึ่งความขัดแย้งว่านี้ คือ ความขัดแย้งระหว่างความปราถนาที่จะมีชีวิตอยู่ และการรับรู้ว่าความตายเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ การรับรู้ว่าสักวันหนึ่งเราต้องตาย กระตุ้นให้มนุษย์พยายามรักษาความเชื่อหรืออุดมการณ์ของตัวเองไว้อย่างหนาแน่น เพราะสิ่งเหล่านี้ทำให้พวกเรารู้สึกว่าชีวิตของตัวเองมีความหมาย เลยจำเป็นที่จะต้องใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับมัน นอกจาก TMT แล้วยังมีทฤษฎีอื่น ๆ ที่พยายามอธิบายอาการกลัวตายเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็น Separation Theory ที่พยายามชี้ว่า ประสบการณ์ในวัยเด็กส่งผลต่ออาการกลัวความตายในวัยผู้ใหญ่
คำพูดของเราสามารถสร้างความขัดแย้งได้เสมอ เพราะเราอยู่สังคมที่เต็มไปด้วยคนที่มีความคิดเห็นแตกต่างต่างกัน ถ้าเราไม่รู้วิธีการรับมือกับคำพูดหรือความเห็นต่างอย่างถูกต้อง ความขัดแย้งมันก็ยิ่งหนักหนาสาหัสมากขึ้นได้ ในบทความนี้ UNLOCKMEN เลยอยากพาทุกคนไปทำความเข้าใจว่า ทำไมการแสดงความคิดเห็นถึงทำให้คนทะเลาะกันได้ พร้อมกับ แนะนำวิธีการแสดงความคิดเห็นในเรื่องที่อาจกระทบกับอีกฝ่าย โดยป้องกันความขัดแย้งที่จะเกิดขึ้น และช่วยให้ทุกคนอยู่ร่วมกันได้นานๆ ทำไมการแสดงความคิดเห็นถึงทำให้คนทะเลาะกันได้ สาเหตุหนึ่งที่ทำให้เรารู้สึกไม่ดีกับคนที่เห็นต่างจากเรา อาจเพราะเราสามารถได้รับความเจ็บปวดจากคำพูด หรือ คำด่า ซึ่งงานวิจัยหลายชิ้นแสดงให้เห็นว่า คำพูดสามารถสร้างความเจ็บปวดได้ไม่ต่างจากการถูกตีด้วยไม้หรือทุบด้วยก้อนหิน และอาจมีผลรุนแรงจนสามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตของคนได้ งานวิจัยชิ้นหนึ่งจากมหาวิทยาลัย Friedrich Schiller University Jena ได้ทำการทดลองทั้งหมด 2 ครั้ง โดยครั้งแรกทีมนักวิจัยให้ผู้เข้าร่วมการทดลอง 16 คน อ่านคำพูดที่เกี่ยวข้องกับความเจ็บปวด เช่น “plaguing” (ภัยพิบัติ) “tormenting” (ทรมาน) “grueling” (ทรหด) พร้อมกับ จินตนาการถึงสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับคำ ๆ นั้นไปด้วย ส่วนในการทดลองที่สอง ผู้เข้าร่วมการทดลองถูกขอให้ทำการทดลองเดิมอีกครั้งหนึ่ง แต่ในครั้งนี้จะมีการใช้ brain-teaser เพื่อดึงดูดความสนใจของผู้เข้าร่วมการทดลองด้วย โดยในการทดลองทั้งสองครั้ง ผู้เข้าร่วมการทดลองจะถูกสแกนสมองด้วยเครื่อง functional magnetic resonance imaging (fMRI)
เดี๋ยวนี้ความเศร้าเป็นเรื่องที่สังเกตได้ยาก เพราะคนยุคนี้เก็บซ่อนความรู้สึกกันเก่งขึ้น จากการที่เรามีโซเชียลมีเดีย ซึ่งเป็นดั่งพื้นที่โอ้อวดชีวิต และทำให้เราเปรียบเทียบกับคนอื่นมากขึ้น ซึ่งมันก็ทำให้เราปฏิเสธความอ่อนแอทางจิตใจอย่างภาวะซึมเศร้ามากขึ้นเช่นกัน ปัจจุบันคนเศร้าจำนวนมากเลยเลือกที่จะปิดบังความเจ็บปวดทางใจของตัวเองเอาไว้ให้ใครเห็น และเกิดอาการที่เรียกว่า smiling depression ขึ้นมา WHAT IS SMILING DEPRESSION? ยิ้มซึมเศร้า หรือ Smling Depression เป็นคำอธิบายอาการที่เราพยายามซ่อนภาวะซึมเศร้าไว้ในใจ โดยการเสแสร้งว่าตัวเองโคตรมีความสุขกับชีวิต ซึ่งอาจเป็นเพราะพวกเขาไม่อยากทำให้คนอื่นกังวล อับอายที่ตัวเองเป็นซึมเศร้า คิดว่าการเป็นซึมเศร้าจะทำให้ตัวเองดูอ่อนแอ หรือ รับไม่ได้ที่ตัวเองมีความผิดปกติ พวกเขาจึงเลือกที่จะปิดบังอาการเศร้า และแสดงออกมาในทางตรงกันข้าม คนที่เป็น Smiling Depression มักเจอความเสี่ยงมากกว่าคนอื่น เพราะไม่มีใครรับรู้อาการของพวกเขา และพาพวกเขาไปรับการรักษาที่ถูกต้อง เมื่อพวกเขาต้องเผชิญหน้ากับอาการซึมเศร้าเพียงลำพัง โอกาสในการหายจากอาการซึมเศร้าก็น้อยลง และเสี่ยงฆ่าตัวตายสูงกว่าคนที่เป็นโรคซึมเศร้าปกติ HOW TO COPE WITH SMILING DEPRESSION ? การรับรู้ว่าอาการซึมเศร้าของตัวเอง และยอมรับมัน อาจเป็นก้าวแรกที่จะทำให้เรามีอาการดีขึ้น เพราะเมื่อเรารู้ว่าตัวเองมีปัญหาแล้ว เรามักจะพยายามค้นหาวิธีแก้ปัญหาเสมอ มันจึงช่วยลดโอกาสในการทำร้ายตัวเองหรือฆ่าตัวตายที่เกิดจากการมีภาวะซึมเศร้าได้ ซึ่งคนที่เป็นซึมเศร้ามักมีอาการเหล่านี้ ได้แก่ น้ำหนักลด ความอยากอาหารน้อยลง นอนไม่หลับ
พอเริ่มเข้าสู่วัยทำงานแล้ว หลายคนคงเริ่มรู้สึกว่าชีวิตมันยากขึ้นกว่าเดิมมาก เพราะเจอกับการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น ต้องแข่งกับคนอื่นมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น เรื่องงาน ความสัมพันธ์ การใช้ชีวิต ต้องทำอะไรหลายอย่างที่ไม่เคยทำในวัยเด็ก ต้องตัดสินใจเรื่องต่าง ๆ ด้วยตัวเองมากขึ้น หรือ บางคนอาจต้องย้ายออกมาอยู่คนเดียว สิ่งเหล่านี้อาจทำให้เราตกอยู่ในภาวะที่เรียกว่า Quarter-Life Crisis และจะทำให้เราไม่สามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขเหมือนเดิมได้ WHAT IS A QUARTER-LIFE CRISIS ? วิกฤตหนึ่งส่วนสี่ชีวิต (Quarter-Life Crisis) คือ ภาวะที่คนวัยหนุ่มสาว (อายุ 18 – 30 ปี) ตกอยู่ในความเครียดและความกังวลในเรื่องคุณภาพชีวิตของตัวเอง เพราะพวกเขานำตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่นในวัยเดียวกัน หรือ ขาดเป้าหมายในการใช้ชีวิต ซึ่งคนที่เจอกับปัญหานี้มักรู้สึกว่าตัวเองกำลังติดอยู่ในปัญหาอะไรบางอย่าง และไม่สามารถหนีออกมาได้ เช่น หางานไม่เจอมาเป็นเวลานาน ทำงานที่ไม่รู้ทำไปเพื่ออะไร (dead-end jobs) มาเป็นเวลานาน หรือ หาแฟนมานานเท่าไหร่ก็ยังไม่เจอสักที เมื่อพวกเขารู้สึกว่าความพยายามของตัวเองช่างไร้ค่าไร้ความหมาย หรือ ทำอย่างไรก็ไม่ได่ในสิ่งที่คาดหวังสักที สุดท้ายพวกเขาก็จะตั้งคำถามกับชีวิตของตัวเอง เช่น “ทำไมคนอื่นแต่งงานมีลูกกันหมดแล้ว
เคยไหม ? ตื่นขึ้นมาแล้วรู้สึกว่าเหมือนยังไม่ตื่น เกิดอาการสะลึมสะลือ คิดอะไรไม่ค่อยออก แถมยังรู้สึกควบคุมตัวเองได้ไม่เต็มที่ตลอดวัน ถ้าใครกำลังเป็น อาจกำลังตกอยู่ในภาวะสมองเหนื่อยล้า (Brain Fog) ก็เป็นได้ ซึ่งอาการนี้เกิดขึ้นได้จากการทำงานของสมองที่ผิดปกติ ทำให้เกิดผลเสียต่อการใช้ชีวิตของเรา UNLOCKMEN เลยจะมาอธิบายสาเหตุที่ทำให้เราเกิดอาการ Brain Fog และวิธีการป้องกันและบรรเทาอาการ Brain Fog ด้วย เพื่อให้คนอ่านรอดพ้นจากอาการ Brain Fog กันถ้วนหน้า WHAT IS BRAIN FOG SYNDROME ? Brain Fog Syndrome คือ อาการเหนื่อยล้าทางจิตใจที่สามารถเกิดขึ้นจากการทำงานของสมองที่ผิดปกติ โดยสารเคมีในสมองที่ทำหน้าที่เชื่อมต่อข้อมูลสัญญาณไฟฟ้าระหว่างเซลล์เกิดอาการเสียสมดุล สมองของเราเลยทำงานได้แย่ลง และเราเกิดปัญหาในการใช้ชีวิตต่าง ๆ เช่น ไม่สามารถคิด หรือ นึกอะไรไม่ค่อยออก เกิดความสับสนมึนงง ไม่สามารถโฟกัสกับชีวิตประจำวัน และพูดในสิ่งที่คิดได้ยากขึ้น อาการนี้สามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็น ผลของการขาดน้ำ ผลของความเครียด ผลของการพักผ่อนไม่เพียงพอ ผลของการขาดวิตามิน B-12 ผลข้างเคียงจากการทานยาบางชนิด
เมื่อเทคโนโลยีทำให้เราสามารถทำงานนอกออฟฟิศได้ง่ายขึ้น เราสามารถทำงานได้จากทุกที ไม่ว่าจะเป็น บ้าน ร้านอาหาร หรือ ร้านกาแฟ สิ่งที่ตามมา คือ เราอาจเกิดความสับสนระหว่างเวลาในการใช้ชีวิต และนำไปสู่ปัญหาต่าง ๆ เช่น ความเครียด ไม่มีแรงจูงใจในการทำงาน จนสุดท้ายราอาจเจอกับความล้มเหลวทั้งในเรื่อง Work และเรื่อง Life บทความนี้ UNLOCKMEN อยากให้ทุกคนรู้จักวิธีการกำหนด work-life boundaries หรือ ขอบเขตระหว่างการใช้ชีวิตประจำวันและการทำงาน ซึ่งจะช่วยให้เราสามารถบริหารเวลาได้ดีขึ้น และเป็นผู้ชนะทั้งการใช้ชีวิตและการทำงาน WORK-LIFE BOUNDARIES คืออะไร ? ถ้าจะสรุปคอนเซ็ปท์ของ work-life boundaries ให้เข้าใจง่ายที่สุด มันคือการที่เราไม่เอาเวลาทำงานมาทำเรื่องส่วนตัว และไม่เอาเวลาทำเรื่องส่วนตัวมาทำงาน ซึ่งการกำหนด work-life boundaries ที่ชัดเจนก็มีงานวิจัยยืนยันด้วยว่า ส่งผลดีต่อการทำงานเหมือนกัน เช่น งานวิจัยของ เอลเลน เอินส์ท คอสเสก (Ellen Ernst Kossek) จากมหาวิทยาลัยมหาวิทยาลัยเพอร์ดู พบว่า การบริหาร work-life
หลังจากที่ทั่วโลกเกิดปัญหาโควิดขึ้นมา หลายคนคงเกิดอาการกลัวการออกจากบ้านพอสมควร เพราะตอนนี้มันยังไม่มีวิธีการใดที่สามารถป้องกันการติดโรค COVID-19 ได้แบบ 100% แถมยังการันตีไม่ได้ด้วยว่าวัคซีนจะช่วยทำให้เราปลอดภัยได้จริง เมื่อคนส่วนใหญ่รู้สึกว่าตัวเองสามารถติดโรคได้ตลอดเวลา และไม่สามารถคาดเดาได้ว่าปัญหานี้จะจบลงเมื่อไหร่ ความเครียด ความกังวล ความหวาดระแวงโรคระบาด ก็มารังควานพวกเขา ทำให้พวกเขาไม่สามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข บางคนอาจได้รับผลกระทบร้ายแรง จนถึงขั้นเป็นโรคกลัวไวรัสโคโรนา (coronaphobia) ซึ่งเป็นปัญหาด้านสุขภาพที่ส่งผลเสียต่อการใช้ชีวิตพอสมควร เราเลยอยากมาแนะนำวิธีรับมือกับอาการกลัวไวรัสโคโรนา เพื่อให้พวกเรากลับมาใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้อีกครั้ง แบบไหนถึงเรียกว่าเป็น coronaphobia ? ความกลัวไม่ใช่เรื่องแย่เสมอไป เพราะบางครั้งมันก็ช่วยให้เราระมัดระวังตัว และเตรียมพร้อมรับมือกับโรคระบาดอย่างดีที่สุด แต่ถ้าความกลัวมีมากเกินไป จนเกิดเป็นโรคกลัวไวรัสโคโรนา (coronaphobia) ขึ้นมา มันก็อาจทำให้เราใช้ชีวิตได้อย่างแย่ลงได้ ลองเช็คตัวเองดูว่ามีอาการเหล่านี้หรือไม่ กลัวติดเชื้อ COVID-19 เกินเหตุ ปกป้องตัวเองอย่างหนาแน่น แม้ในเวลาทำกิจกรรมที่รักษาระยะห่างทางสังคมได้ง่าย เช่น สวมถุงมือและหน้ากากในระหว่างการออกกำลังกายในสวนสาธารณะ อยู่ในสภาวะกลัวและกังวลอย่างหนักเป็นเวลานานหลายสัปดาห์จนถึงหลายเดือน หลีกเลี่ยงทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็น สถานที่ คน กิจกรรม แม้จะได้รับการยืนยันแล้วว่ามีความปลอดภัย เสียเวลาชีวิตไปกับการตรวจหาสัญญาณหรืออาการของโรคระบาด รวมถึง การหาข้อมูลเกี่ยวกับไวรัสบนโลกออนไลน์ หมกมุ่นกับการล้าง การทำความสะอาด และการฆ่าเชื้อสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่รอบตัว รวมถึง
มันต้องมีเพื่อนสักคนและที่เราเห็นมันดูเศร้า ๆ ตลอดเวลา บางครั้งมันก็ชอบตั้งสเตตัสเศร้า ๆ บางครั้งมันก็ชอบอยู่คนเดียว บางครั้งมันก็ดูสิ้นหวังยังไงชอบกล สิ่งเหล่านี้อาจแสดงให้เห็นว่า เพื่อนของเราอาจจะมีอาการเสพติดความเศร้าก็ได้ ถ้าใครกำลังมีอาการแบบนี้อยู่ เราอยากแนะนำให้อ่านบทความต่อไป เพราะเราได้เอาตัวช่วยที่จะทำให้ทุกคนเลิกเศร้าและมีความสุขมากขึ้นมาฝากเช่นกัน ทำไมเราถึงเสพติดความเศร้า ? ปกติคนเรามักจะมองหาความสุขในชีวิตอยู่เสมอ การเสพติดความเศร้าจึงฟังดูยังไงชอบกล แต่ความสุขกับความทุกข์เป็นสิ่งที่สามารถเกิดขึ้นพร้อม ๆ ได้ เพราะสองอย่างนี้ไม่ได้หักลบกันเอง เราสามารถป่วยแล้วมีความสุขไปด้วยได้ เราสามารถเบื่อแล้วมีความสุขไปด้วยได้ เราสามารถเป็นทุกข์และมีความสุขไปด้วยได้ นอกจากนี้ บางคนอาจเป็นประเภทที่ชื่นชอบความรู้สึกแย่ ๆ อีกด้วย ซึ่งมีงานวิจัยชิ้นหนึ่งที่ศึกษาคนที่ชอบดูหนังสยองขวัญ และพบว่า บางคนมีความสุขกับการไม่มีความสุข กล่าวคือ พวกเขามีความสุขกับการถูกหลอก ทั้งหมดนี้เราจึงกล่าวได้ว่า อาการเสพติดความเศร้าเกิดขึ้นได้จริง ซึ่งสาเหตุของอาการเสพติดความเศร้ามีหลากหลายมาก ไม่ว่าจะเป็น กลัวความสุข เติบโตมาในครอบครับที่เคร่งขัดมากเกินไป มองไม่เห็นคุณค่าในตัวเองและรู้สึกว่าตัวเองไม่สมควรได้รับความสุข ยึดติดกับประสบการณ์แย่ ๆ ในอดีต และรู้สึกเคยชินกับความเจ็บปวด ฯลฯ แต่ไม่ว่าจะสาเหตุไหน การเสพติดความทุกข์ก็ส่งผลเสียต่อเราได้หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น ไม่ดูแลตัวเอง หันไปใช้สิ่งเสพติดเพื่อหลีกหนีอารมณ์เศร้า ไม่จริงจังกับเป้าหมายในชีวิต ไม่มีความสุขเมื่อประสบความสำเร็จ ไม่มีความสุขในความสัมพันธ์ ฯลฯ วิธีการเลิกเสพติดความเศร้า เมื่อความคลั่งเศร้าส่งผลเสียอย่างที่บอกไปแล้ว