ขึ้นชื่อว่าเป็นสุดยอดของ American heavy metal band ชนิดเด็กแรกเกิดยังคุ้นชื่อ เส้นทางดนตรีคงไม่มีอะไรจะยิ่งใหญ่ไปกว่าชื่อของ Metallica อีกแล้ว เก๋ามาตั้งแต่รุ่นคุณปู่ตั้งแต่ปี 1981 ที่ดังเป็นพลุแตกจากผลงานอัลบั้มที่ 3 ‘Master of Puppets’ ถือเป็นหนึ่งใน 5 ผู้ยิ่งใหญ่แห่งยุคนั้นเลยก็ว่าได้ แต่นอกจากจะร้อนแรงทางรูหูแล้ว วันนี้ชาวคณะ Metallica ยังขยายตำนาน เอาความร้อนแรงหนักแน่นมาใส่ในขวดเหล้า ให้ชาวเราได้ลิ้มรสชาติหนัก ๆ ทางปากและลิ้นสัมผัสบ้าง ด้วยการเปิดตัว ‘Blackened American Whiskey’ เครื่องดื่มมีดีกรีใหม่ล่าสุด ซึ่งแฟนเพลงคงคุ้นกับชื่อนี้ดี เพราะเค้าตั้งตามชื่อ Single แรก และเป็น Single ที่ดังที่สุดจากอัลบั้มที่ 4 ‘…And Justice for All’ ในปี 1988 หลายคนอาจสงสัย ว่าอยู่ ๆ จากนักดนตรีจะโดดมาบ่มเหล้าเลยทันทีแล้วรสชาติมันจะดีหรือ ‘Blackened American Whiskey’ เป็นการร่วมมือกันระหว่างสมาชิก Metallica กับ master distiller ‘Dave Pickerell’ เจ้าของ WhistlePig Rye Whiskey ที่โด่งดังในอเมริกา ซึ่งทั้งสองฝ่ายเห็นตรงกันว่าการสร้างแบรนด์ใหม่ขึ้นมา
EQ Silver Arrow เป็นคอนเซ็ปต์รถยนต์พลังงานไฟฟ้าล่าสุดจาก Mercedes-Benz ผลงานชิ้นโบว์แดงของประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายออกแบบอย่าง Gordon Wagener ที่มาพร้อมกับกับนวัตกรรมแห่งอนาคตอัดแน่นไว้เต็มคัน ซึ่งความแตกต่างและล้ำหน้าของมันทำให้เราเชื่อว่าคงไม่มีผู้ชายคนไหนจะกล้าปฏิเสธการได้เป็นเจ้าของอย่างแน่นอน Electric Car จากค่ายรถยักษ์ใหญ่ของเมืองเบียร์คันนี้เปิดตัวเมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมาใน Monterey Car Week แคลิฟอร์เนีย โดยถูกออกแบบมาเพื่อให้เกียรติกับรถยนต์ที่เร็วที่สุดในโลกของปี 1937 อย่าง Mercedes W125 ซึ่งถ่ายทอดต้นแบบการพัฒนารถยนต์ที่นั่งเดียวมาสู่ปัจจุบัน EQ Silver Arrow คันนี้มาพร้อมกับขุมพลัง 750 แรงม้า ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ที่ทำงานด้วยแบตเตอรี่ไฟฟ้าขนาด 80 กิโลวัตต์ ซึ่งถูกพัฒนาให้เสียงเบาสวนทางกับความแรงของเครื่องยนต์ แต่เสริมฟังก์ชันสำหรับผู้ชายที่ชื่นชอบความดุดัน ด้วยระบบการขับแบบ Sport และ Sport+ สามารถปล่อยเสียงเครื่องยนต์ให้ดุดันสนั่นหูแบบ Mercedes-AMG V8 หรือ Formular 1 ได้โดยสามารถทำระยะการวิ่งได้ประมาณ 250 กิโลเมตรต่อการชาร์จแบตเตอรี่เต็มหนึ่งครั้ง ดีไซน์ภายนอก EQ Silver Arrow มาพร้อมรูปทรงคล่องตัวด้วยความยาวตั้งแต่หัวจรดท้ายเพียง 5.3 เมตร ในเฉดสี Alubeam Silver รูปทรงโค้งมนที่จะสร้าง Aerodynamic ซึ่งจะช่วยเสริมสมรรถนะทั้งในด้านการทำความเร็วและระบบเบรก
ถือว่าเป็นรองเท้าที่ Collaboration กันอย่างยิ่งใหญ่ที่คนในวงการต่างเรียกขานกันว่าเป็นระดับ Super Bowl แห่งวงการ Sneaker เลยทีเดียว และยังวางขายต้อนรับช่วงเทศกาล Super Bowl 2019 พอดีด้วย (February 3, 2019) นั่นคือ SuperBowl Exclusive Bape x adidas UltraBoost เมื่อลายสามขีดกับลิงมาพบเจอกัน โดยก่อนหน้านี้ YeezyMafia ได้เผยโฉมออกมาให้เราเห็นกันไปแล้วรุ่นนึง ล่าสุดมีความเคลื่อนไหวอีกครั้งในโทนสีดำที่ขรึมเท่น้ำตาไหล เราจึงรวมไว้อัพเดทให้พร้อมกันซะเลย เริ่มจากช่วงสับดาห์ที่แล้ว YeezeMafia เผยโฉม Bape x adidas UltraBoost คู่แรก ที่มาในลวดลาย Camo เขียวของ Bape มีสัญลักษณ์ลิงยักษ์ผสมอยู่ประปรายกระจายทั่ว upper บริเวณ Cage ใช้ลาย 3 ขีดสีขาวขนาดใหญ่เด่นชัดกลางคู่ พื้น Sole ใช้สีดำทำให้โทนโดยรวมดูขรึมเท่ขึ้นกว่าพื้น Sole สีขาวปกติแบบในรุ่นก่อน คู่แรกคาดว่าจะวางขายช่วงมกราคม 2019 ราคาป้ายราว 6,500
เป็นเวลาเกือบ 20 ปีมาแล้ว หลังจาก Air-Cooled 911 คันสุดท้ายจากสายพานการผลิตของ Porsche ในรหัส 993 วันนี้ Porsche บังเอิญมีโครงสร้างเหลืออยู่ในโรงงานอีก 1 คัน จึงเป็นโอกาสดีที่จะหยิบมันมาสร้างใหม่ในรุ่น 2018 Porsche 993 Turbo S หนึ่งใน ‘Classic Series’ ที่เป็นการส่งข้อความถึง Singer และ Gunther Werks ว่าการสร้าง Porsche Classic ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงให้มันดูทันสมัยเหลือล้ำหน้าเกินไป แต่เป็นการสร้างรถที่เก็บรายละเอียดทุกอย่างเอาไว้เหมือนเดิม ที่จริงแล้ว Porsche มีการนำรถเก่ามาฟื้นสภาพใหม่หลายครั้งแล้ว แต่ส่วนใหญ่จะเป็นการทำไว้ใช้งานภายในหรือใช้โชว์ตาม Exhibition มากกว่า ต่างจาก 2018 Porsche 993 Turbo S Project Gold Classic Series คันนี้ที่ทำออกมาให้ลูกค้าได้เป็นเจ้าของ ใช้เวลาถึง 1 ปีครึ่งตั้งแต่การนำโครงรถที่ยังไม่เคยผ่านการใช้งาน จึงยังไม่เคยผ่านการจดทะเบียนใด ๆ ในทางปฏิบัติแล้วมันจึงเป็นรถใหม่เอี่ยมปี 2018 แต่ไม่สามารถจดทะเบียนสำหรับใช้งานได้ มันจึงเป็นรถสำหรับประมูลไปสะสมหรือใช้ในสนามแข่งโดยเฉพาะ ซึ่งเหตุผลที่ Porsche
เห็นป้ายโลโก้ Bugatti เปิดตัวรถรุ่นใหม่ทีไร สิ่งแรกที่หลายคนอยากรู้คือราคาเท่าไหร่ และวิ่งได้เร็วแค่ไหน ซึ่ง Bugatti Divo คันนี้มีราคา $6 ล้านเหรียญ แพงเป็น 2 เท่าของ Chiron ที่ $3 ล้านเหรียญ แต่มันไม่ได้วิ่งได้เร็วกว่าโมเดลเก่าเลย แต่ถึงกระนั้น Divo ก็สามารถทำความเร็วได้ถึง 380 km/h ซึ่งเจ้าของรถส่วนใหญ่น่าจะกดไม่ถึง Top Speed อยู่แล้ว สิ่งที่พิเศษกว่าใน Divo คือความเป็นรถที่สมบูรณ์แบบในทุกด้าน และสามารถพิชิตได้ทุกโค้งในทุกย่านความเร็ว เพราะมันถูก set up ให้มีบาลานซ์ในการขับขี่ที่สุดยอดกว่าที่ผ่านมา แน่นอนว่า Bugatti Divo แชร์โครงสร้างพื้นฐานมาจากรุ่นพี่ Chiron รวมถึงเครื่องยนต์ 8.0-liter W16 1,500 แรงม้า เช่นเดียวกัน แต่ Divo ได้ผ่านกระบวนการลดน้ำหนักลงด้วยการใช้ตัวถัง Carbon Fiber ไปกว่า 50 กิโลกรัม และมีการออกแบบ
ผู้ชายทุกคนมีเรื่องให้หลงใหลในชีวิตมากมายต่างกัน บ้างมี 2 บ้างมี 10 อยู่ที่ว่าอะไรทำให้เรามีความสุขได้ ถ้าทั้งสองสิ่งได้มาหลอมรวมเข้าด้วยกัน เพื่อสนองความอยากของตัวเอง เหมือนกับ James Turner ได้สร้าง Porsche 911 Paul Smith Artist Stripe ขึ้นมา โปรเจคส่วนตัวที่นำเอา The best of both world มารวมเข้าด้วยกันได้อย่างยอดเยี่ยมชิ้นนี้คือ Porsche 911 x Paul Smith Artist Stripe ที่งามงดหยดย้อย พึ่งผ่านการอวดโฉมในงานรวมยอดรถคลาสสิกอย่าง Le Mans Classic 2018 ไปหมาด ๆ และล่าสุดกับงาน GoodWood Festival Of Speed ในโอกาสฉลองวาระครบรอบ 70 ปีของ Porsche ในปีนี้ ซึ่งก็สวยเตะตาสุด ๆ ทั้งยามหยุดนิ่งและเมื่อโลดแล่นบนถนน จุดเริ่มต้นของโปรเจคนี้เกิดจากความชื่นชอบส่วนตัวของ James
การถ่ายรูปจะออกมาดีหรือไม่ดี จริงอยู่ว่าขึ้นอยู่กับคนถ่ายเป็นหลัก แต่กล้องที่ดีก็มีส่วนช่วยได้มากไม่แพ้กัน นี่เป็นเหตุผลที่หลายคนยอมจ่ายเงินหลายแสนบาทให้กับกล้อง Leica และโมเดลล่าสุดในตระกูล M Camera อย่าง Leica M10 ก็ได้กระแสตอบรับดีไม่น้อย ซึ่งถ้าเทียบประสิทธิภาพของ Full-frame Sensor ในบอดี้ขนาด Compact คงยากจะหาใครมาเอาชนะได้ อย่างน้อยก็ในด้านความคมและคาแรคเตอร์ที่ชัดเจน เป็นธรรมเนียมที่ Leica จะปล่อยเวอร์ชั่นอัพเกรดตามออกมาภายในระยะเวลา 1 ปี และวันนี้ก็ถึงเวลาของ Leica M10-P ราคา $7,995 แพงขึ้นจากเดิม $700 ที่แม้จะมีการพัฒนาจาก M10 ปัจจุบันไม่มากนัก แต่ก็ถือว่าเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับคนที่ยังไม่ได้จ่ายเงินสองแสนกว่าบาทให้กับ M10 ที่เหลือก็อยู่ที่ความแตกต่างว่าสิ่งที่เพิ่มขึ้นมา เป็นสิ่งที่คุณยินดีจะจ่ายเงินเพิ่มหรือไม่ สิ่งที่เพิ่มขึ้นมาใน M10-P นั้น ยอมรับเลยว่ามีไม่มาก เรียกว่าคนใช้ M10 โล่งอกไปตาม ๆ กัน ภายนอกสังเกตความแตกต่างได้จากการย้าย Leica Red Dot ออกไป มีการสลักโลโก้ Leica ไว้บน
ในโลกที่เทคโนโลยีกำลังแย่งพื้นที่ของการใช้ชีวิตแบบดั้งเดิมไป เรากลับชอบแนวคิดของ Tesla ที่ไม่ได้ต้องการผลิตรถยนต์มหัศจรรย์จนเปลี่ยนวิธีใช้งานในชีวิตประจำวันของพวกเรา สิ่งที่ Elon Musk ทำเป็นเพียงการพัฒนาสิ่งที่มีอยู่แล้วให้ดีขึ้น ซึ่ง Clay Alexander CEO ของ Ember บริษัทเจ้าของแก้วกาแฟอัจฉริยะก็ชื่นชอบเช่นกัน และใช้แนวคิดเดียวกันในการพัฒนาแก้วและมักกาแฟที่สามารถคงอุณหภูมิกาแฟได้ตลอด คนรักกาแฟย่อมรู้ดีอยู่แล้วว่ากาแฟที่เพิ่งชงเสร็จใหม่ ๆ มักจะมีร้อนเกินไป ทำให้รสชาติไม่ดี และระหว่างที่เรานั่งรอให้กาแฟเย็นด้วยธุระจุกจิก เรากลับพบว่ากาแฟมันได้เย็นเกินไปซะแล้ว ซึ่งไม่น่ารื่นรมย์นักถึงขนาดต้องเททิ้ง และการดื่มกาแฟ ก็ไม่จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์พิศดารอะไรมากมายนัก นอกจากแก้วและมักที่การใช้งานเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือระบบการคุมอุณหภูมิของ Ember ที่ยากจะลอกเลียนแบบ ถามนักกาแฟว่าอุณหภูมิที่ดีที่สุดในการดื่มคือเท่าไหร่ เกือบทุกคนจะต้องตอบว่า 50°C – 62.5°C ซึ่งเป็นอุณหภูมิ Default ที่ Ember Ceremic Mug ตั้งเอาไว้ให้ หรือจะเลือกปรับอุณหภูมิตามที่ต้องการในกรณีที่บางเมล็ดกาแฟต้องการร้อนกว่าหรือเย็นกว่าก็สามารถทำได้ และจะคงอยู่เท่านั้นตลอดไปจนกว่าแบตเตอรี่จะหมด เราจึงมั่นใจได้ว่าเมล็ดกาแฟราคาแพงที่หอบหิ้วมาจากต่างแดนจะไม่ถูกทิ้งอย่างเสียเปล่าอีกต่อไป ดูจากภายนอกแบบไม่สังเกตอาจจะไม่รู้ว่าแก้วกาแฟ Ember มีอะไรพิเศษต่างจากแก้วทั่วไปนอกจากดวงไฟ LED ด้านล่าง ซึ่งกว่าจะคิดค้นเทคโนโลยีและออกแบบให้ดูเหมือนแก้วกาแฟแบบนี้ได้นั้น ถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลย โดย Ember Ceremic Mug
ไม่ง่ายนักที่เราจะได้เห็นแบรนด์นาฬิกาหรูระยับสำหรับประดับข้อมือนักการเมืองอย่างบิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่ปัจจุบัน ปปช ยังใบ้รับประทานเพราะไม่รู้จะตอบประชาชนว่ายังไงดี แต่เรื่องนั้นเอาไว้ก่อน เพราะเรือนนี้เป็นการร่วมมือกันของ Richard Mille ที่ทำงานร่วมกับ Rambo กล้ามใหญ่ Sylvester Stallone เพื่อให้ภาพความเป็นนาฬิกาหรูสายลุยชัดเจนยิ่งขึ้น ผลงาน Masterpiece ชิ้นล่าสุดของ Richard Mille ชิ้นนี้เป็นไอเดียที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2014 ซึ่งเริ่มมาจากการเป็นแฟนผลงานการแสดงของ Stallone พระเอกที่ดังเป็นพลุแตกตั้งแต่ปี 1982 ด้วยภาพจำจากหนังบู๊ระเบิดป่าผ่าเมืองอยู่ตลอดเวลา Richard Mille ผู้เป็นเพื่อนกับ Stallone จึงเกิดได้แรงบันดาลใจจากคาแรคเตอร์เหล่านี้ และอยากสร้างสรรค์ผลงานให้เกิดเป็นนาฬิกาที่มีความทึกทนและฉลาดเฉลียว เอาตัวรอดได้ในทุกสถานการณ์บ้าง จึงเกิดเป็นนาฬิกา RICHARD MILLE RM 25-01 TOURBILLON ADVENTURE WATCH ที่ดูยังไงก็เหมาะกับคนสไตล์ Stallone สวมใส่บนข้อมือมากที่สุด เรื่องสเปคด้านการลุยของ RM 25-01 นั้นพิเศษแน่นอน หน้าปัดขนาด 50.85mm เหมาะกับข้อมือผู้ชายตัวใหญ่ หน้าปัดรวมถึงฝาปิดผลิตจาก Carbon
หลังจากหายหน้าหายตาจากโลกแฟชั่นไปสักพัก ในที่สุดก็กลับมาอีกครั้งสำหรับ Bum Bag , Fanny Pack หรือที่เราเรียกกันติดปากว่า กระเป๋าสะพายข้าง แต่รอบนี้ดูเหมือนว่าจะเขย่าเงินในบัญชีของเหล่า fashionista ทั้งมือเก๋าและสมัครเล่นได้ไม่น้อย เมื่อมีการโดดเข้ามากินโต๊ะ ร่วมแจมจากแบรนด์ดังต่าง ๆ มากมาย โดยไม่ยอมปล่อยให้โอกาสทำเงินของตัวเองไปหลุดลอยไปสักราย ไม่ต้องแปลกใจสำหรับชื่อของมัน เพราะเป็นแค่เรื่องความแตกต่างของการใช้ภาษาเท่านั้น เพียงแค่ Bum Bag คือคำเรียกของทางฝั่งอังกฤษ ส่วน Fanny Pack เป็นของฝั่งอเมริกานั่นเอง โดยเดิมทีในยุค 90’s Bum Bag เป็นกระเป๋าซึ่งออกแบบมาสำหรับใส่ของมีค่าขนาดเล็ก และคาดไว้ช่วงเอว แต่ช่วง 10 ปีที่ผ่านมา พบว่าการคาดไว้ที่เอวมีผลกระทบต่อสะโพก ทำให้ความนิยมตกลงไป แต่เมื่อไม่นานมานี้พบว่ามันกำลังกลับมาได้รับความนิยมอีกครั้ง โดยเกิดใหม่ในแฟชั่นระดับ Hi-end และเหมือนกระแสจะแรงขึ้นไปอีก ผลพวงจากที่ตัวพ่อในวงการแฟชั่นหลายคน ปรากฏตัวในลุคสตรีท พร้อมกับเจ้า Bum Bag เสมอ ไม่ว่าจะเป็น A$ap Rocky , Pharrell Williams ,