เราเชื่อว่าโดยพื้นฐานของมนุษย์ ในวันเริ่มแรก ทุกคนน่าจะมีศักยภาพเท่ากัน แต่สิ่งที่แตกต่างกันไปก็คือประสบการณ์ ความรู้ ต่างคนต่างมีลักษณะนิสัยขึ้นอยู่กับความชอบส่วนตัว คนที่รู้เยอะ จินตนาการเยอะ ก็อาจจะได้เปรียบคนที่ไม่ค่อยได้เสพความรู้รอบตัวมากนัก บางคนได้ท่องโลกบ่อย เข้าถึงความรู้ได้มากกว่า ก็ได้เปรียบไป แต่ในยุคของโลก INTERNET ทำให้ข้อจำกัดตรงนั้นถูกทำลายไป ทุกคนเข้าถึงข้อมูลได้เท่ากัน อยู่ที่แต่ละคนจะใช้มันเสพความรู้เรื่องอะไร แต่เคล็ดลับที่ BILL GATES และ ELON MUSK บอกไว้เสมอ ก็คือแหล่งความรู้ของพวกเค้านั้นมาจาก ‘การอ่าน’ แต่การอ่านเองก็มีทั้งอ่านแล้วได้ประโยชน์ กับอ่านแล้วได้บันเทิง เวลาเราเห็นสถิติที่บอกว่า คนไทยอ่านหนังสือปีละ 8 บรรทัด อาจจะคิดว่าไม่จริง เราก็อ่านอยู่ตลอดเวลา อ่านทั้งวัน อ่านทุกวัน โดยเฉพาะเรื่องดราม่าและข่าวบันเทิง ความต่างจากการอ่านที่ GATES และ MUSK บอกก็คือ เราจะได้ประโยชน์จากมัน ต่อเมื่อมันเป็นบทความหรือหนังสือที่มีประโยชน์ มีสาระ ช่วยพัฒนาความรู้และจินตนาการทางใดทางหนึ่ง BILL GATES บอกว่า “การอ่านเนื้อหาที่มีประโยชน์ สอนให้เราได้ความรู้ที่เราไม่รู้ มุมมองที่เราคิดไม่ถึง เหมือนเป็นการให้อาหารสมองตลาดเวลา จะบอกว่าการอ่านทำให้ผมประสบความสำเร็จ ก็ไม่ผิดเลย”
ฟุตบอลโลก 2018 ครั้งนี้คงไม่มีใครเหมาะกับวลี ‘From Zero to Hero’ มากไปกว่า Gabriel Jesus กองหน้าดาวโรจน์ของทีมชาติบราซิลอีกแล้ว เพราะถ้าย้อนไปเมื่อ 4 ปีก่อน ฟุตบอลโลก 2014 ที่ประเทศบราซิลเป็นเจ้าภาพ Gabriel Jesus ในวัย 17 ปี ขณะนั้นเขาเป็นเพียงนักเตะฝึกหัดของสโมสร Palmeiras แน่นอนว่ารายได้ย่อมไม่เพียงพอต่อการดำรงชีพ ดังนั้นเขาจึงรับจ็อบพิเศษด้วยการเป็นช่างทาสีตามกำแพงหรือพื้นถนนต้อนรับฟุตบอลโลกที่กำลังจะมาถึง แต่เพชรยังไงก็คือเพชร หลังจากจบศึกฟุตบอลโลก 2014 Gabriel Jesus ก็เริ่มโชว์ฟอร์มได้ยอดเยี่ยมจนได้รับโอกาสลงเล่นในทีมชุดใหญ่ของ Palmeiras และเขาก็ไม่ทำให้โค้ชและเพื่อนร่วมทีมผิดหวัง กระหน่ำประตูได้เป็นกอบเป็นกำจนเป็นที่หมายปองจากหลายสโมสรยักษ์ใหญ่ในยุโรป และก็เป็นทีมเรือใบสีฟ้า Manchester City ที่คว้าตัวเขาไปครองได้สำเร็จด้วยค่าตัว 27 ล้านปอนด์ ซึ่งนี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น Gabriel Jesus ไม่หยุดการพัฒนาตัวเองไว้เท่านี้ เขาพิสูจน์ตัวเองว่าฝีเท้าเป็นของจริง ก้าวขึ้นมาเป็นผู้เล่นตัวหลักของทีม และสุดท้ายก็สามารถพาต้นสังกัดคว้าแชมป์ Premier League ได้สำเร็จ เมื่อฟอร์มดีขนาดนี้ การมีชื่อติดทีมชาติบราซิลมาลุยศึกฟุตบอลโลก 2018 จึงไม่ใช่เรื่องแปลก จากวันที่เขานั่งทาสีอยู่ข้างสนามฟุตบอล ถึงวันที่เขาเป็นซูเปอร์สตาร์พาทีมบ้านเกิดลุยฟุตบอลโลกใช้เวลาเพียง 4
ภาษากายนั้นเป็นสื่อในการสื่อสารอย่างหนึ่งที่มนุษย์ทุกคนสามารถแสดงความหมายต่าง ๆ ออกมาได้แม้ไม่ต้องใช้คำพูดใด ๆ ก็ตาม มันมีทั้งประโยชน์มากมาย แต่ก็เป็นโทษได้หากเราไม่ระมัดระวัง ยิ่งถ้าเป็นภาษากายที่ทำให้ผู้อื่นรู้สึกในแง่ลบแล้ว ยิ่งต้องสำรวจตัวเองกันหน่อยว่าเราเองทำบ่อยมั้ย มันกลายเป็นความเคยชินหรือเปล่า ? และที่แย่ที่สุดก็คือ มันอาจทำให้เราสูญเสียโอกาสดี ๆ ที่นาน ๆ จะมาทีก็ได้ จากผลการสำรวจของ TalentSmart ที่ทดสอบกับคนกว่าล้านคนพบว่า ประมาณ 90 เปอร์เซ็นต์ของกลุ่มคนที่มีตำแหน่งงานในระดับสูง มักจะมีตัวเลข EQ ที่ค่อนข้างพุ่ง ซึ่งกลุ่มคนเหล่านี้รู้ดีว่าพลังของภาษากายนั้นมีมากแค่ไหน และมักจะสำรวจตัวเองในเรื่องนี้เสมอ เพราะฉะนั้น เพื่อความไม่ตายน้ำตื้นของผู้ชายที่กระหายความสำเร็จอย่างเรา มาดูกันดีกว่า ว่าภาษากายแบบไหนที่อาจพาเราดำดิ่งได้แบบไม่รู้ตัว จะได้หลีกเลี่ยงพฤติกรรมเหล่านี้ก่อนสายเกินไป ใช้มือมากเกิน อย่าคิดลึกครับหนุ่ม ๆ การใช้มือมากเกินในที่นี้คือการขยับมือไม้มากเกินเวลาสนทนา ราวกับว่าคุณกำลังจะใช้กำลังภายในอะไรอย่างนั้น ซึ่งมันดูเหมือนกับว่าคุณปรุงแต่งสิ่งที่ต้องการจะสื่อสารมากเกินไป พยายามควบคุมมือไม้ให้ดี ใช้เท่าที่จำเป็น อาจจะผายมือออกมาช้า ๆ โชว์ฝ่ามือให้ทุกคนเห็นเวลาที่พูดอะไรออกไป แบบนี้จะทำให้คนอื่นรู้สึกว่าคุณไม่ได้เสแสร้ง ดูรุ่นใหญ่ และมั่นใจ กอดอกตลอด การกอดอกเป็นภาษากายกึ่งอัตโนมัติเวลาที่คุณสร้างกำแพงทางความคิดขวางไอเดียของคนที่สนทนาด้วย แม้ว่าจะยิ้มอยู่ หรือกอดอกหลวม ๆ ก็อาจทำให้คนข้างหน้ารู้สึกอึดอัดได้ไม่มากก็น้อย พยายามอย่ากอดอกแบบเหมือนทากาวไว้
สิ่งที่ผู้ชายส่วนใหญ่คาดหวังกับชีวิตการงานคือการเจองานที่ชอบ เอ็นจอยกับงานที่ใช่ และได้รับการยอมรับในสังคมการทำงาน ทว่าการทำงานเก่งเพียงอย่างเดียวอาจไม่ไช่คำตอบของการถูกยอมรับก็ได้ มีบางคนเหมือนกันที่ทุ่มเทกับการทำงานอย่างหนักทุกวัน แต่ก็ยังถูกเพื่อนร่วมงานเบือนหน้าหนี แถมโดนผู้บริหารเพ่งเล็ง แบบนี้มันเป็นเพราะอะไร ? ถ้าเราทำงานอยู่ในบริษัทหรือองค์กรต่าง ๆ ที่ต้องร่วมงานกับผู้อื่น มันย่อมมีกฏกติการ่วมกัน มีความเป็นสังคม และมันเป็นสิ่งที่ทำให้เรากลายเป็นวิญญาณไร้ความหมาย ไร้คนเคารพได้หากชอบแตกแถว หรือวางตัวไม่เหมาะสม พอเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นเราก็จะรู้สึกขาดความสุขในการทำงาน แม้ว่าลักษณะงานและรายได้จะดีก็ตาม ชีวิตที่ออฟฟิศก็จะหมดสนุก ถ้าปล่อยไว้แบบนี้รับรองว่าเซ็งแย่ ไม่ก็ท้อแท้จนแค่ทำงานไปวัน ๆ ความมันส์ก็จะค่อย ๆ ลดลงไปจนเหลือศูนย์ แต่เราจะไม่ปล่อยให้เรื่องนี้เกิดขึ้นแน่นอน UNLOCKMEN มีวิธีเหมาะ ๆ ที่จะช่วยให้คุณได้รับการยอมรับรอบด้านในที่ทำงานมาฝากกัน อย่าไปจริงจังมากเกิน ผู้ชายอย่างเรามักจะหมกมุ่นกับเรื่องงาน ราวกับว่างานตรงหน้าคือคู่เดท จนบางครั้งก็เหนื่อยมากเกินไป ถ้ารู้สึกรักงานขนาดนั้นก็อยากให้ลองเปรียบเทียบเรื่องงานกับเรื่องความรักไปเลย คุณต้องแสดงความชัดเจน นายจ้างของคุณก็ต้องเห็นความทุ่มเทของคุณเช่นกัน แต่ไม่ใช่ว่าโหมหนักมากเกินถึงค่ำมืดดึกดื่นไม่เว้นวันหยุด แบบนี้อาจเป็นความรักที่ไม่ค่อยรักตัวเองเท่าไหร่ บนโลกที่โหดร้ายแบบนี้โชคคงไม่ได้เข้าข้างเราเสมอไป ถ้าเราทุ่มเทกับอะไรมากเกินไปแบบไม่เตรียมใจ เกิดพลาดพลั้งขึ้นมาด้วยความซวย ก็ไม่รู้จะช่วยใจของตัวเองอย่างไรเหมือนกัน เพราะฉะนั้นลดความจริงจังเรื่องงานลงมาบ้าง ย้ำว่าลด “ความจริงจัง” ไม่ใช่ลด “ความตั้งใจ” บางคนอาจจะคิดว่าการทุ่มเทแบบไม่ลืมหูลืมตาจะเป็นเกราะป้องกันไม่ให้เขาตกงาน แบบนี้เป็นการสร้างความกดดันให้กับตัวเอง และถมความเหนื่อยเข้าไปอีก ทางที่ดีควรทำงานให้เต็มที่แบบไม่เกินตัว และหาแผนสำรองให้กับชีวิตบ้าง
มองไปทางไหนก็พาให้รู้สึกเบื่อไปหมด ยิ่งหมดไฟในใจแล้ว ต่อให้เปลี่ยนไปนั่งทำงานที่ไหนก็ไม่ได้ช่วยให้มีไฟขึ้นมาเอาซะเลย ปลุกไฟจากภายนอกอาจไม่ช่วยเท่าไหร่ ลองหันมาปลุกไฟในใจให้กลับมาลุกโชนอีกครั้งจะดีกว่า UNLOCKMEN ชวนคุณมาดู 5 หนังที่จะให้คุณได้เจอมุมมองใหม่ ๆ ในการทำงาน เผื่อว่าจะมีเรื่องไหน สะกิดความคิดของเราให้เกิดไฟขึ้นมาได้อีกครั้ง ต่อให้ไม่ได้ อย่างน้อยก็ขอให้เราได้ข้อคิดอะไรบางอย่างผ่านตัวละครหลากหลายแนวที่พร้อมจะมาเล่าเรื่องราวชีวิตการทำงานของตัวเองให้ฟัง The Secret Life of Walter Mitty (2013) Director : Ben Stiller เรื่องราวยอดฮิตที่เราอยากให้ดูจริง ๆ สำหรับใครที่รู้สึกอุดอู้เหลือเกิน เมื่อก้าวพ้นประตูออฟฟิศเข้าไปสู่โลกของการทำงานแบบลูปเดิม ๆ มาผจญภัยไปพร้อม ๆ กับ Walter Mitty (Ben Stiller) หนุ่มออฟฟิศที่เบื่อชีวิตไม่แพ้กับเรา ๆ ที่ทำงานในบริษัทนิตยสาร LIFE แต่แล้วเมื่อโลกหมุนไป สื่อสิ่งพิมพ์ไม่อาจคงอยู่ได้เหมือนแต่ก่อน LIFE จึงจะผันตัวไปทำสื่อออนไลน์แทน เมื่อฉบับสุดท้ายมาถึง เขาดันทำภาพถ่ายที่ต้องใช้ในเล่มหายไป เรื่องราววุ่นวายมันเกิดขึ้นตรงนี้ เขาต้องออกไปตามหาช่างภาพของภาพใบนั้น การออกตามหาช่างภาพครั้งนี้ เขาต้องเดินทางไปเจอเรื่องราวผจญภัยแบบที่ชีวิตของหนุ่มออฟฟิศจืด ๆ คนนึงไม่เคยพบเจอมาก่อน โดยในเรื่องจะเล่นกับความช่างฝันของเขา ให้เราได้เดาเอาเองว่าฉากนี้คือเรื่องจริงหรือจินตนาการของเขา
ในวันที่สมองตีบตัน หันไปทางไหนก็ดูจะไม่ได้ Inspiration จากอะไรเลย อยากจะเป็นเหมือนคอมพิวเตอร์ กด Restart สักทีก็กลับมาใช้งานได้คล่องปรื๋อ แต่คนเรามันทำแบบนั้นไม่ได้น่ะสิ หมดสนุกกับสิ่งที่ทำ ตั้งคำถามกับตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า ว่านี่กูกำลังทำอะไรอยู่ ? หากเราประสบปัญหาแบบนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า บอกเลยว่ามันคืออาการของคนหมดไฟ ฟังดูเศร้า แต่อย่าเพิ่งท้อไปเลยหนุ่ม ๆ UNLOCKMEN จะพามาปลุก PASSION ในตัวให้ร้อนแรง ด้วยคำถามเจ๋ง ๆ ที่จะทำให้มองเห็นทางไปต่อให้กับตัวเอง พร้อมวิธี Relax ให้สมองลื่นไหล พร้อมจะลุยต่อกับไอเดียที่พรั่งพรูในหัว ทำไมอาการ “หมดไฟ” มาไวกว่าที่คิด ? ถึงเราจะบอกว่า Passion เนี่ย มันไม่จำเป็นต้องลื่นไหลกันตลอดเวลา แต่ชีวิตจริงของเรามันร่ำร้องบอกให้เราวิ่งเข้าหา “Dream Job” เพราะเราจะเหมือนยืนอยู่ท่ามกลางทะเล Passion ที่ไม่มีวันหมด แม้จะรู้ว่ามันไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้องก็ตาม เพราะความจริงแล้ว Dream Job มันอาจจะไม่ได้ตอบโจทย์ในเรื่องของรายได้ที่น่าพอใจ หรือเหตุผลอื่น ๆ ที่นอกเหนือจากเหตุผล “กูอยากทำว่ะ” เรื่องของอาชีพก็ยังคงเป็นอะไรที่ซับซ้อนพอ ๆ กับการใช้ชีวิตของเรานั่นแหละ
ความเครียดจนปวดหัว ความกังวลจนมวนท้อง และความตื่นเต้นจนตัวสั่น เป็นความรู้สึกปกติของมนุษย์ที่มักจะเกิดขึ้นก่อนที่จะเผชิญกับสิ่งท้าทาย ถ้ามองในแง่บวก ความรู้สึกดังกล่าวนั้นก็พอที่จะสะท้อนความตั้งใจจริงของเราที่จะฝ่าฟันมันไปให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน เรื่องชีวิต หรือเรื่องใด ๆ ที่มีความหมายพอที่เราจะมุ่งมั่นกับมัน แต่สิ่งที่มักจะเกิดขึ้นก็คือความกลัวที่จะลงมือทำสิ่งใหม่ โปรเจ็คต์ที่คิดไว้ก็ไม่กล้าทำเสียที กลัวเจ๊ง กลัวไม่เท่ กลัวเขว กลัวมันออกมาบูด ๆ สุดท้ายไม่ยอมย้ายตูดออกมาจาก safe zone แล้วลงมือทำซะ เพราะกลายเป็นคนที่วิตกกังวลเกินเหตุ ถ้าเป็นแบบนี้นาน ๆ เข้า อาจจะทำให้เราไม่มีการพัฒนาตัวเองได้ ทีมงาน UNLOCKMEN เชื่อว่าผู้ชายทุกคนมีศักยภาพ แต่อาจจะมีความรู้สึกบางอย่างที่มาขวางกั้นการปลดล็อกตัวเอง จึงขอนำเหตุผลหลักที่ทำให้เราไม่กล้าลงมือทำมาตีแผ่ และไอเดียที่จะช่วยเปลี่ยนมุมมองให้คุณลุยอย่างไม่กลัวมาแนะนำกัน ตามนี้เลยครับ “มันไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตาย” เรื่องเกิด-แก่-เจ็บ-ตาย นั้นเราอาจควบคุมไม่ได้ แต่ไอ้ประโยคที่ว่า “มันไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตาย” นี่แหละ ทำให้คนเราขาดพลังในการสร้างสรรค์สิ่งต่าง ๆ มาเยอะแล้ว ถ้าเราคิดว่าความฝันของจะกลายเป็นความจริงจากการใช้เวลาแค่ 2-3 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ในเวลาว่าง แบบนี้คิดใหม่ดีกว่า เราต้องทุ่มเทสุดตัวเพื่อเป้าหมายของเรา ถ้าแค่ครึ่งหนึ่งของผลงานที่ออกมาก็พาเราเซ็งแล้ว ก็อย่าทุ่มเทแค่ครึ่ง ๆ กลาง ๆ และถ้ารู้สึกไม่แฮปปี้กับสิ่งที่เป็นอยู่
คุณว่าที่มาของ “อำนาจ” ที่ทำให้คนแต่ละคนแตกต่างกันคืออะไรหากไม่นับรวมต้นทุนที่บางคนคาบติดตัวมาตั้งแต่เกิดอย่างทรัพย์สินเงินทอง ถ้าคำตอบของคุณคือ “ความสามารถ” หรือทักษะที่เราจะวัดกันจากผลงานอย่างเดียวมันก็ออกจะเป็นการฝันกลางวันไปหน่อย เพราะในโลกความเป็นจริง “คนเก่ง” ที่ไม่ได้ไปต่อ กองตายเกลื่อนมีอยู่เป็นกองทัพเพราะขาดสกิลสำคัญคือ “การนำเสนอความเก่ง” หรือ “การสร้างอำนาจจากคำพูด” กว่าจะได้แสดงความเก่งสู่สายตา “คำพูด” มันจึงต้องผ่านด่านก่อน เพื่อให้ชาว UNLOCKMEN ไต่อันดับขึ้นไปท็อปฟอร์ม โดดไปอยู่แนวหน้าที่พูดอะไร แบบไหนใครก็ฟังก็เชื่อ เราคัดวิธีสร้างความมั่นใจมาให้ทดสอบด้วยตัวเองกันแล้ว บอกเลยว่างานนี้ดึง insight มาจากการวิเคราะห์เหล่า CEO ที่เคยให้ข้อมูลกับการนำเสนอของ IPO road-show หรือการขายหุ้นสดใหม่ที่ไม่มีใครสามารถพยากรณ์ได้ว่ามันรุ่งหรือร่วง ซึ่งแค่ 30 วินาที นักลงทุนก็รู้ทันทีว่าคำพูดพวกนั้นจะแหกกระเป๋าพวกเขาไปได้หรือเป็นแค่เรื่องแหกตาปาหี่ จากปัจจัยการมองเพียง 5 อย่างนี้เท่านั้น ชุดเนี้ยบกว่าคนทั้งห้อง 25 % เลิกพูดเถอะว่าแต่งตัวยังไงก็ไม่สำคัญ หากกางเกงเจเจหรือขาก๊วยที่สวมมามันไม่ได้ยัดเงินตุงมาเต็มกระเป๋ากางเกง เพราะทันทีที่เดินก้าวเข้ามาในห้องเพื่อจะพูดนำเสนออะไรก็ตาม คนเขาก็มองและตัดสินคุณตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้ว เพราะฉะนั้นความประทับใจแรกและความเป็นมืออาชีพเลยเกาะอยู่ตามเสื้อผ้า ซึ่งคีย์สำคัญมันอยู่ที่ 25% ที่คุณต้องบวกมันเพิ่มขึ้นมาให้เหนือกว่าคนทั้งห้อง ต้องมีสไตล์กว่า ต้องเป็นทางการกว่า นั่นคือการช่วงชิงความเชื่อที่ดีได้ EXPERT RECOMMEND: Matt Eversmann
เรื่องงานผู้ชายอย่างเราไม่มีหวั่น เรื่องเล่นผู้ชายอย่างเราก็ไม่กลัว แต่ถ้าพูดถึงช่วงเวลาพักในวันทำงานผู้ชายอย่างเรามักจะงง ๆ ว่าจะกินข้าวแล้วเล่นมือถือดีไหม ? จะพูดคุยวางแผนงานกับเพื่อนในออฟฟิศโอเคหรือเปล่า ? หรือจะหอบหมอนไปแอบงีบชาร์จพลังไปเลย ? เพราะเวลาพักที่มีมากสุดแค่ 60 นาทีที่จะพักยังไงก็ดูไปไม่สุดทาง ยิ่งเวลาพักช่วงบ่าย 30 นาที หรือเวลาที่เราพักเอง 5-15 นาทีซึ่งดูน้อยนิดจนนั่งถอนหายใจก็หมดเวลาแล้วก็ยิ่งทำให้ผู้ชายอย่างเราต้องกุมขมับว่าจะใช้เวลาพักเหล่านี้ไปกับอะไรดี ? ที่สำคัญใช้เวลาพักอย่างไร ถึงจะกลับมาปั่นงานได้เต็มสูบ เรามีสูตรลัดมาให้เลือกใช้กัน พัก 5-15 นาที : จิ๋วแต่แจ๋ว ถ้าขยับตัว ทำสมาธิและมองต้นไม้ แม้เวลา 5-15 นาทีจะดูเป็นเวลาที่ไม่มากและไม่สำคัญเอาเสียเลย แค่ใช้เวลานั่งดูลิสต์สิ่งที่ต้องทำหรือตอบอีเมลแป๊ป ๆ ก็หมดเวลาแล้ว แต่ผู้เชี่ยวชาญอย่าง Maura Thomas ที่เขียนหนังสือเกี่ยวกับการทลายกำแพงในการทำงานบอกว่าสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับการพัก 5-15 นาทีคือ “ต้องพาตัวเองออกไปเคลื่อนไหว” โดยอาจจะเดินขึ้นลงบันไดสัก 1-2 ชั้น เดินออกไปนอกออฟฟิศสักหนึ่งช่วงตึก หรือแม้แต่ยืดแข้งยืดขาอยู่ในออฟฟิศก็ได้ การเคลื่อนไหวเหล่านี้จะช่วยเรื่องความคิดสร้างสรรค์และการโฟกัสให้คุณได้อย่างไม่น่าเชื่อ นอกจากนั้นการสูดหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อทำสมาธิกับตัวเองอาจจะ 2 นาที หรือมากกว่านั้นก็จะช่วยให้การกลับมาทำงานเป็นไปอย่างสดชื่นมีชีวิตชีวามากขึ้น
ผู้ชายสายบ้าพลังที่ทำงานเต็มสูบมาโดยตลอดอย่างเรา มักชินกับวิธีคิดที่ว่าอารมณ์ดีคือพลังบวก เราต้องอารมณ์ดีตลอดเวลา เมื่อไหร่ที่เกิดอารมณ์ลบ ๆ อารมณ์แย่ ๆ ขึ้นมาเราเลยยิ่งหัวร้อนหงุดหงิดจัดการตัวเองไม่ได้ เพราะรู้สึกว่าอารมณ์เชิงลบเหล่านี้แม่งไร้ค่าจริง ๆ แต่ UNLOCKMEN อยากให้ปรับความคิดใหม่ เพราะอารมณ์ลบ ๆ มันก็สำคัญเหมือนกัน เพราะมันเป็นสัญญาณที่กำลังเตือนให้เราปรับตัวกับอะไรบางอย่างตรงหน้า แต่ถ้าไม่รู้ว่ามันกำลังเตือนอะไรวันนี้ UNLOCKMEN จะมาตีแผ่ให้เห็นกัน ความโกรธคือเครื่องเตือนถึงความไม่ยุติธรรม! ความหัวร้อนอย่างอารมณ์โกรธมักเป็นอารมณ์ลบอันดับต้น ๆ ที่ถูกสังคมมองว่าควรสะกดมันไว้ให้มิด อย่าได้แหลมขึ้นมาให้ใครเห็นเห็นเป็นอันขาด ยิ่งบ้านเราที่พุทธศาสนามักพูดว่าโกรธคือโง่ด้วยแล้ว เราจึงมองอารมณ์โกรธในแง่ลบตลอดมา แต่จริง ๆ แล้วความโกรธช่วยกระตุ้นและขับเคลื่อนไปสู่การกระทำบางอย่าง รวมถึงคอยบอกเราว่าเมื่อไหร่ได้เวลาที่ต้องวางขอบเขตให้ชีวิตการทำงานแล้ว เพราะเมื่อเราโกรธนั่นแปลว่ามีใครบางคนกำลังล้ำเส้นความอดทนที่เราตั้งไว้ขึ้นมา ที่สำคัญความโกรธนี่แหละที่จะเป็นแรงกระตุ้นให้เราเรียกร้องอะไรบางอย่างเมื่อความไม่ยุติธรรมเกิดขึ้น ความโกรธจึงเป็นสัญญาณสำคัญในการบอกว่ามีคนกำลังล้ำเส้นเราอยู่ สิ่งที่เราต้องดูคือ เราวางเส้นไว้แคบเกินไปไหม ? ขยายเส้นได้หรือเปล่า ? แต่ถ้าเรามั่นใจว่าเส้นเราคือมาตรฐานปกติแต่มีคนล้ำเข้ามา นั่นแปลว่าได้เวลาลงมือเรียกร้องความยุติธรรมให้ตัวเองแล้วล่ะ ความวิตกกังวลเป็นสัญญาณว่าเราจะไม่ยอมให้เกิดความผิดพลาด หลายครั้งเวลาจะทำโปรเจกต์ใหญ่ ความวิตกกังวลมักจะมาเยือน แม้หลาย ๆ คนจะบอกว่า โธ่ ถ้าคุณเตรียมตัวดีคุณจะไม่วิตกกังวลเลย ซึ่งไม่เป็นความจริงเสมอไป เพราะบางคนต่อให้เตรียมตัวดีแค่ไหน ความวิตกกังวลก็ยังตามติดเหมือนวิญญาณอาฆาตอยู่ดี อย่ามัวคิดว่ามันทำให้ทุกอย่างพัง เพราะจริง ๆ