เมื่อโลกถูก disrupted โดย Coronavirus ส่งผลให้พวกเราต้องเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตอย่างสิ้นเชิง ไม่ว่าจะเป็นการประชุมเรื่องงาน การสังสรรค์กับเพื่อนฝูง หรือการพูดคุยหวานซึ้งกับคู่รัก ซึ่งแต่ละการใช้งานย่อมมีดีกรีของความลับ ความเป็นส่วนตัวที่แตกต่างกันออกไป แต่ถ้าพื้นที่การสนทนาที่ควรจะเป็นส่วนตัวผ่านโปรแกรม Zoom กลับถูกพบว่ามีช่องโหว่ด้านความปลอดภัย จน Hacker ทั่วโลกเจาะระบบเข้าไปก่อกวนการ Video call ของพวกเราได้อย่างง่ายดาย น่าจะเป็นปัญหาที่พวกเราต้องรู้เอาไว้ก่อนใช้งานครั้งต่อไป แม้ในบ้านเราอาจจะยังไม่รู้จักกับคำว่า Zoom Bombing แต่ในอเมริกา มีรายงานจากเจ้าหน้าที่ตำรวจเกี่ยวกับจำนวนคดีที่ถูกแจ้งเข้ามาเนื่องจาก Hacker เจาะระบบ Zoom เข้าไปก่อกวนในห้อง Video call พุ่งสูงขึ้นเป็นเทรนด์เดียวกับจำนวนผู้ใช้งาน Zoom ที่พุ่งสูงขึ้นเช่นเดียวกัน จินตนาการว่าคุณกำลังประชุมสำคัญกับผู้บริหารและลูกค้าระดับสูง ทันใดนั้นกลับมีคนแปลกหน้าส่งรูปโป๊ หรือตะโกนด่าทอด้วยคำหยาบคาย ทำให้การประชุมต้องล้มเลิกไป หรืออีกกรณีที่นักศึกษากำลัง present งานกับอาจารย์และเพื่อนในห้องผ่าน Zoom แต่กลับโดนก่อกวนด้วยคนแปลกหน้าที่ด่าเหยียดชาติกำเนิดจนการประชุมต้องล้มเลิกไป อาจจะทำไปเพื่อความสะใจ และยังอาจจะโดน Hack ข้อมูลลับ Password หรือโดนควบคุมเครื่องระยะไกล ทั้งหมดนี้คือ Cyberattack รูปแบบใหม่ที่เรียกว่า “Zoom Bombing” นั่นเอง
ตอนนี้วงการภาพยนตร์ฮอลลีวูดที่ว่าเข้มแข็งและไม่มีทางล้มง่าย ๆ เกิดเหตุระส่ำระสายไม่แพ้ธุรกิจประเภทอื่น ๆ กองถ่ายภาพยนตร์หลายเรื่องต้องเลื่อนการทำงานออกไปอย่างไม่มีกำหนด ภาพยนตร์ที่ถ่ายทำเสร็จแล้วเหลือเพียงแค่รอวันเข้าฉายในโรงก็ต้องถูกเลื่อนออกไป ในเวลาย่ำแย่สื่อบันเทิงก็ไม่สามารถทำหน้าที่ผ่อนคลายความรู้สึกให้กับผู้คนได้เหมือนเดิม ความเศร้าจากเหตุการณ์ไวรัสโควิด-19 ที่บานปลายทำให้ คริสโตเฟอร์ โนแลน (Christopher Nolan) ออกมาเขียนจดหมายถึงคนรักการชมภาพยนตร์ทั่วโลก คนที่เป็นคอหนังภาพยนตร์ต่างประเทศคงไม่มีใครไม่รู้จักชื่อของโนแลน ผู้กำกับภาพยนตร์ชื่อดัง ส่วนคนทั่วไปที่ไม่ได้เป็นแฟนหนัง หลายคนก็คงต้องเคยได้ดูผลงานการกำกับของเขาบ้าง เพราะโนแลนเป็นผู้กำกับหนังเรื่องดังทั้ง Batman Begins (2005) Inception (2010) Betman: The Dark Knight (2008) Interstellar (2014) และ Dunkirk (2017) ที่ใคร ๆ ต่างลงความเห็นว่าผลงานของเขานั้นยอดเยี่ยมในระดับปรมาจารย์ โรงภาพยนตร์คือสถานที่แรก ๆ ที่รัฐบาลหลายประเทศสั่งให้ปิดทำการ หลายคนได้รับผลกระทบกันเป็นโดมิโน ด้วยเหตุนี้เองเลยทำให้โนแลนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้กำกับที่หลงใหลการชมภาพยนตร์แบบดั้งเดิม (ดูในโรงภาพยนตร์) ออกมาแสดงความคิดเห็นลงในคอลัมน์ของ The Washington post ว่าอยากให้คนที่หลงรักการดูหนังแวะเวียนไปโรงภาพยนตร์อีกครั้งหลังจากเหตุการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสจบลง ใจความสำคัญของบทความที่โนแลนเขียนชวนให้คิดถึงบรรยากาศการดูหนังในโรงหนัง เขาเห็นความสำคัญของธุรกิจภาพยนตร์และรู้ถึงผลกระทบรุนแรงที่ธุรกิจได้รับ คนส่วนใหญ่เวลาพูดถึงหนังสักเรื่องก็มักนึกถึงนักแสดง ผู้กำกับ แต่ยังมีผู้คนในโลกธุรกิจภาพยนตร์อีกมากที่ถูกลืมทั้งคนโรงภาพยนตร์ ขายตั๋ว คนทำโฆษณา
การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อผู้คนทั่วโลกรวมถึงถึงธุรกิจจำนวนมาก หลายอุตสาหกรรมต้องหยุดชะงักเพราะความต้องการเป็นของสินค้าในตลาดลดน้อยลงหรือไม่มีความจำเป็นเลย ในเวลาเดียวกัน ไลฟ์สไตล์ของผู้คนที่เปลี่ยนไป(เฉพาะกิจ) สู่ชีวิตที่ต้องใช้เวลาอยู่บ้านมากขึ้นก็ทำให้มีหลายธุรกิจถือว่าช่วงเวลานี้เป็นช่วงของการกอบโกย โดยเฉพาะในดินแดนที่กัญชาเสรีในบางรัฐอย่างสหรัฐอเมริกาและประเทศแคนาดาที่ธุรกิจเกี่ยวกับกัญญาทั้งดอกสด ผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ รวมถึงอาหารแปรรูปล้วนกำลังอยู่ในช่วงขาขึ้นที่มียอดขายเพิ่มเป็นเท่าตัว สหรัฐอเมริกากลายเป็นประเทศที่มียอดผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 มากที่สุดในโลกด้วยยอดผู้ป่วยสะสมประมาณ 215,000 คน และเสียชีวิตแล้วกว่า 5,000 คน (ข้อมูล ณ วันที่ 2 เมษายน 2563) อย่างไรก็ตามระดับความรุนแรงของการแพร่ระบาดในแต่ละรัฐมีความหนัก-เบาแตกต่างกันไป ที่น่าเป็นห่วงที่สุดคงจะเป็นนิวยอร์กที่มีเคสผู้ป่วยมากกว่า 70,000 คน อย่างไรก็ตาม การแพร่ระบาดที่เริ่มทวีความรุนแรงมากขึ้น ทำให้หลายรัฐเริ่มประกาศให้ผู้คนกักตัวอยู่บ้าน หลายคนวางแผนสำหรับการกักตัวทั้งระยะสั้นและระยะยาวด้วยการกักตุนอาหาร เครื่องดื่มและของใช้ที่จำเป็น แต่สำหรับสายเขียวทั่วสหรัฐอเมริกาและแคนาดาอีกหนึ่งสิ่งที่พวกเขาต้องกักตุนไว้ให้เต็มโหลในยามฉุกเฉินแบบนี้คือกัญชา การแพร่ระบาดของโควิด- 19 ส่งผลให้ยอดขายกัญชาใน 11 รัฐที่กัญชาเสรีพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยระหว่างวันที่ 16-22 มีนาคมที่ผ่านมา ทั้ง 2 ประเทศมีมูลค่าการขายกัญชารวมกันเพิ่มขึ้นถึง 50 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันกับปีที่แล้ว สาเหตุเป็นเพราะบรรดาคนที่ชอบพืชจากพระเจ้าชนิดนี้ กังวลว่าสถานการณ์จะเลวร้ายลงจนพวกเขาไม่สามารถออกไปกักตุนของได้ เรียกว่ากันเหนียวเอาไว้ก่อน อย่างไรก็ตามความต้องการที่เพิ่มขึ้นจากการกักตุนไม่ได้เป็นเหตุผลเดียวที่ทำให้พืชชนิดนี้ได้รับความนิยม วลาดีเมียร์ บัวร์ตสตา ซีอีโอของ HappyMunkey บริษัทไลฟ์สไตล์กัญชาแบบครบวงจรผู้ชอบสนทนาแลกเปลี่ยนกับลูกค้าเล่าให้ฟังว่า เหตุผลที่ลูกค้าส่วนใหญ่สั่งซื้อสินค้ามากกว่าปกติเป็นเพราะว่า
พลังใจเป็นเรื่องแปลกประหลาด บางคราวในสภาวะมืดหม่นไร้แสงบางคนก็มีพลังใจเต็มเปี่ยมมากพอจะส่งต่อให้คนอื่นได้ ในขณะที่พลังใจของบางคนอาจพร้อมดับมอดสูญสลายเมื่อใดก็ได้ ทั้งโดยมีสาเหตุและไม่มีสาเหตุ โดยเฉพาะเมื่อสถานการณ์ COVID-19 ทำให้พลังใจของใครหลายคนสั่นคลอน การปลุกปลอบกันและกันในห้วงเวลามืดหม่นจึงเป็นสิ่งสำคัญ UNLOCKMEN ขอเลือกโควตคำพูดจากเหล่าผู้นำระดับโลกที่เคยกล่าวไว้เมื่อพวกเขาเผชิญภาวะสงคราม เพื่อส่งต่อพลังใจให้ทุกคนในวันที่อะไร ๆ ก็ไม่ง่ายเลย “ความกล้าหาญไม่ใช่การไม่กลัว แต่คือการก้าวไปข้างหน้าพร้อมเผชิญหน้ากับความกลัว” – Abraham Lincoln ในสภาวะที่ไม่มีอะไรแน่นอน มองไปทางไหนก็ไม่อาจหาความมั่นคงอะไรมาการันตีได้ ในฐานะผู้นำองค์กร หรือในฐานะมนุษย์คนหนึ่งคงพูดไม่ได้ว่าเรา “ไม่กลัว” แต่อย่างที่ Abraham Lincoln กล่าวไว้ในสถานการณ์อันยากลำบากยิ่งความกล้าหาญไม่ได้แปลว่าหัวใจของเราต้องปราศจากความกลัว แต่ไม่ว่าในความมืดหม่นหรือยากลำบากเพียงไหน เราต้องยอมรับว่าเรากลัว และหาทางเผชิญหน้ากับมันอย่างถูกวิธี UNLOCKMEN เชื่อว่าในสถานการณ์ COVID-19 นี้ เราล้วนมีความกลัวเกาะกุมตัวเราในหลากหลายรูปแบบ บางคนกลัวตกงาน บางคนกลัวไม่มีเงิน บางคนกลัวไม่มีกิน บางคนกลัวไม่ได้มีชีวิตสุขสบาย แต่ไม่ว่าความกลัวแบบไหน เราต้องไม่วิ่งหนีมัน สบตากับมันอย่างลึกซึ้ง แล้วถามว่าทำไมเราถึงกลัว? แล้วทำอย่างไรต่อไปได้บ้างถึงจะขจัดความกลัวนี้ไปได้? “กุญแจสำคัญที่จะปลดล็อกศักยภาพของเรา ไม่ใช่ความแข็งแกร่งหรือสติปัญญา แต่คือการพยายามอย่างต่อเนื่อง” – Winston Churchil ความแข็งแกร่งสำคัญ พอ ๆ กับที่สติปัญญาก็มีความหมายสูงล้ำในห้วงเวลาที่วิกฤตเข้าคุกคามชีวิต แต่จะแข็งแกร่งหรือมีสติปัญญาหลักแหลมแค่ไหนก็คงหมดความหมาย
“แม้รักกันมากแค่ไหนแต่คู่รักส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ตัวติดกันตลอด 24 ชั่วโมง” วลีข้างต้นคือสิ่งที่เกิดขึ้นกับคู่รักและครอบครัวคนทั่วโลก เพราะแต่ละคนต่างก็มีชีวิตเป็นของตัวเอง บางบ้านสามีออกไปทำงานส่วนภรรยาอยู่บ้าน หรือคู่รักบางคู่ก็มีงานทำด้วยกันทั้งคู่ ครอบครัวที่มีลูกแล้วก็ต้องแบ่งเวลากันดูลูกและแบ่งเวลาให้กับชีวิตส่วนตัว ไม่ต้องพูดถึงครอบครัวใหญ่ที่มีกันหลายคนทั้งปู่ ย่า พ่อ แม่ ลูก หลาน เราเชื่อว่าคงไม่มีใครอยู่กับคนอื่นตลอด 24 ชั่วโมงแน่นอน ตอนนี้ไวรัสโควิด-19 ทำให้คนส่วนใหญ่ต้องอยู่ติดบ้าน หลายประเทศสั่งห้ามประชาชนออกจากไปไหนถ้าไม่จำเป็น สำนักงานจำนวนมากสั่งให้พนักงานทำงานที่บ้าน ทำให้สมาชิกในครอบครัว คู่รักหลายคู่ต้องอยู่ด้วยกันตลอดเป็นเวลาหลายสัปดาห์ แต่แทนที่จะมีแต่ความโรแมนติก อยู่ด้วยกัน เห็นหน้ากันตลอด กลายเป็นว่าความรุนแรงในครอบครัวกลับพุ่งสูงขึ้นจนน่าใจหาย ประเทศฝรั่งเศสเริ่มปิดประเทศเมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2020 โดยตั้งเป้าว่าจนถึงวันที่ 25 เมษายน จะมีประชาชนออกจากบ้านน้อยลงเว้นแต่ออกไปซื้ออาหารหรือยารักษาโรค จูงสัตว์เลี้ยงไปเดินเล่นได้วันละครั้ง ออกไปออกกำลังกายวันละครั้งตามคำแนะนำของแพทย์ หลังจากเริ่มมาตรการฉุกเฉินได้สักพักรัฐบาลฝรั่งเศสพบความผิดปกติ หลังจากสั่งให้ประชาชนกักตัวอยู่บ้าน มีคนจำนวนมากโทรแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าถูกคนในครอบครัวทำร้ายร่างกายเพิ่มขึ้นถึง 36% ซึ่งจำนวนนี้แค่เฉพาะในเมืองปารีสเท่านั้น ส่วนเมืองอื่น ๆ ของฝรั่งเศสก็มีบันทึกเหตุทารุณกรรมเพิ่มขึ้น 32% รวมถึงมีคดีฆาตกรรมในช่วงวิกฤตไวรัสอีกสองคดี นักเคลื่อนไหวด้านสิทธิและความเท่าเทียมแสดงความเป็นห่วงต่อกรณีดังกล่าว พวกเขามองว่าการโดนสั่งให้กักตัวจะทำให้เหยื่อความรุนแรงขอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ได้ยากขึ้น เหยื่อต้องยกหูโทรศัพท์แจ้งความอย่างเดียวโดยไม่สามารถหลอกว่าจะออกไปทำธุระข้างนอกเพื่อขอความช่วยเหลือ หากการกักตัวอยู่แต่บ้านยังคงดำเนินต่อไปเป็นเดือน ๆ จะต้องมีคนโดยทำร้ายร่างกายเพิ่มขึ้นแน่นอน Marlene Schiappa รัฐมนตรีว่าการกระทรวงความเสมอภาคทางเพศ
การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ยังคงส่งผลกระทบต่อผู้คนทั่วโลก จำนวนผู้ติดเชื้อในหลายประเทศยังเดินหน้าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งความพร้อมของภาครัฐ รวมถึงการช่วยเหลือจากภาคเอกชนในแต่ละประเทศก็มีวิธีรับมือที่ได้ผลแตกต่างกันออกไป เช่นเดียวกันสหรัฐอเมริกาที่ปัจจุบันมียอดผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นเป็นอันดับ 1 ด้วยจำนวน 140,000 คน และเสียชีวิตไปแล้วกว่า 2,400 คน (ข้อมูล ณ วันที่ 31 มีนาคม 2563) ความสูญเสียในครั้งนี้ทำให้บริษัทรถยนต์อย่างฟอร์ดและ General Electric หรือ GE บริษัทอุตสาหกรรมยักษ์ใหญ่เตรียมจับมือกันผลิตเครื่องช่วยหายใจให้ได้หลักหมื่นเครื่องให้ได้ภายในเดือนกรกฎาคม สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในสหรัฐอเมริกายังคงเพิ่มจำนวนและไม่มีทีท่าว่าจะควบคุมได้ ทำให้บริษัทเอกชนยักษ์ใหญ่ในสหรัฐอเมริกาหลายแบรนด์เริ่มเปลี่ยนโรงงานของตัวเองเป็นโรงงานผลิตอุปกรณ์ป้องกันและอุปกรณ์ทางการแพทย์เพื่อช่วยสนับสนุนทีมแพทย์ที่ทำงานอยู่ด่านแรกให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ล่าสุดค่ายยนตรกรรมจากเมืองลุงแซมอย่างฟอร์ดก็กระโดดเข้ามาร่วมด้วยช่วยกัน แถมจับมือมาพร้อมกับบริษัทที่เชี่ยวชาญด้านอุตสาหกรรมการผลิตอย่าง GE โดยพวกเขามีความตั้งใจร่วมกันว่าจะสร้างเครื่องช่วยหายใจจำนวน 50,000 เครื่องภายในเวลา 100 วัน ฟอร์ดเตรียมกลับมาเปิดโรงงาน Rawsonville ในรัฐมิชิแกนอีกครั้ง ครั้งนี้ไม่ได้เปิดสำหรับผลิตรถยนต์แต่เพื่อผลิตเครื่องช่วยหายใจ และพัดลมดูดอากาศ โดยได้คำปรึกษาด้านเทคโนโลยีและช่วยในการนำเข้าวัสดุโดยบริษัท GE ทั้งสองบริษัทวางแผนการร่วมกันว่าจะผลิตเครื่องช่วยหายใจให้ได้จำนวน 50,000 เครื่องภายในเวลา 100 วันหรือภายในวันที่ 4 กรกฎาคม โดยมีคนงาน 500 คนสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันทำงานตลอด 24 ชั่วโมงเพื่อให้บรรลุแผนการแรกคือการผลิตเครื่องช่วยหายใจ
วิกฤตเศรษฐกิจโลกตอนนี้ พยากรณ์กันว่าสหรัฐฯ จะแย่กว่าตอนเจอวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ เพราะ Social Distancing สร้างปรากฏการณ์ Economic Distancing ตามมา คนไม่ได้ตกงานจากการเลิกจ้างแต่มาจากการกักกัน ภาวะเศรษฐกิจถดถอยแบ่งเป็นระลอกคลื่น 4 ลูก ได้แก่ สภาวะสังคมแช่แข็งกะทันหัน, คนตกงาน, คนเกษียณบั้นปลายพัง และอุตสาหกรรมการลงทุนที่โดนตัดแขนขา ตามลำดับ ไทยอยู่ในเฟสแจกเงิน แต่หากเป็นไปตามการพยากรณ์ที่เทียบกับสหรัฐฯ การแจกเงินให้คนไปเก็บไว้ ไม่ได้ทำให้คนหายตกงานและคนจะไม่ออกมาใช้เงิน ธุรกิจขนาดเล็กและ SMEs ที่โดนก่อนอาจจะไม่รอด จึงควรมีมาตรการด้านอื่นช่วยส่งเสริมและธุรกิจเหล่านี้ก่อนลูกโซ่ของโดมิโนตัวแรกจะล้มลง เมื่อถึงคราวอัดฉีดเงินหลังไวรัสจากไป รัฐควรมีส่วนสนับสนุนและอัดฉีดเพื่อให้กราฟที่ดิ่งเด้งขึ้นในเร็ววัน หากสถานการณ์ยืดเกินเดือน พ.ค. ซึ่งผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขหลายประเทศคาดการณ์ว่าอาจยาวได้ถึงปลายปี ก็มีโอกาสสูงที่บาดแผลนี้จะยิงยาวไป 4-5 ปี เมื่อไม่กี่วันก่อน เรามีโอกาสได้ออกไปข้างนอกซื้อของเข้าบ้าน เห็นชัดว่าธนาคารสีชมพูสาขาใกล้บ้านมีคนมาอออยู่หน้าธนาคารเพียบ มั่นใจได้ว่าช่วงนี้คงไม่ได้ออกันเพื่อเอาเงินเข้า แต่เป็นยืนรอถอนเงินออกเพราะไม่มั่นใจว่าสภาวะนี้เงินสดในมือจะพอใช้หรือเปล่า หรือถ้าวันไหนเกิดธนาคารปิด ถอนเงินออกมาไม่ได้เราจะเอาอะไรกินกัน? แล้วไวรัสหรือข้าวปลา อันไหนที่น่ากลัวกว่ากัน ? เศรษฐกิจตอนนี้มันตกหรือกระทบกันแค่ไหน UNLOCKMEN ขอสรุปเรื่องนี้เป็นเรื่องเล่าง่าย ๆ ที่เราย่อยมาจากบทความสัมภาษณ์ Mark Zandi หัวหน้าเศรษฐศาสตร์ของ
ชีวิตยามปกติที่เคยนอนในบ้าน กินอาหารข้างนอก ทำงานที่ทำงาน อยากผ่อนคลายก็ไปทะเลสักแห่ง ถูกสถานการณ์ COVID-19 บีบบังคับให้เราต้องกิน นอน ทำงาน ผ่อนคลาย มีชีวิตเกือบ 100% เต็มในสถานที่จำกัด บางคนอาจมีบ้านยังพอเดินไปเดินมาให้ผ่อนคลาย (แต่ก็ไม่อิสระเหมือนการได้ไปข้างนอกอยู่ดี) แต่หลายคนที่อาศัยอยู่ในห้องขนาดไม่ใหญ่มาก ยิ่งต้องเผชิญความท้าทาย ความกดดันทางอารมณ์มากขึ้นไปอีก ความโดดเดี่ยวในสถานที่คับแคบ การแบ่งเวลางานและเวลาพักผ่อน การพยายามหาหนทางผ่อนคลายให้ตัวเองจึงไม่ง่ายเลยสำหรับใครหลายคน จะมีใครเข้าใจ “วิธีมีชีวิตรอดในความโดดเดี่ยว” ดีไปกว่า Scott Kelly นักบินอวกาศผู้ต้องใช้เวลาบนสถานีอวกาศยาวนาน 1 ปี เขากิน นอน ทำงาน และผ่อนคลายที่นั่น ไม่ได้ออกไปใช้ชีวิตกลางแจ้ง หรือห่างจากสถานีอวกาศไปไหนไกลและนี่คือเคล็ดวิธีที่เขาอยากแนะนำ ในห้วงเวลาที่เราต้องอยู่ติดบ้านไปอีกพักใหญ่ อย่าปล่อยเวลาให้ไหลไป “กำหนดตารางเวลา” ให้ตัวเองเสมอ สิ่งหนึ่งที่ Kelly แนะนำคือเมื่อเราต้องอยู่ในสถานที่เดียวนาน ๆ แต่ทำสารพัดอย่าง เราต้อง “กำหนดตารางเวลา” ให้ตัวเอง ตัวเขามีตารางเวลาที่แน่นขนัด ตั้งแต่วินาทีที่ลืมตาตื่นไปจนถึงเข้านอน เพราะเรานั้นไม่สามารถใช้ “สถานที่” มาเป็นตัวกำหนดเวลาและกิจกรรมได้อีกแล้ว เช่น เมื่อก่อนเราไปถึงออฟฟิศ เราจะรู้โดยอัตโนมัติว่านี่คือเวลาทำงาน
ตอนนี้ใคร ๆ ก็ต้องอยู่บ้าน รวมถึงพวกเราชาว UNLOCKMEN ต้องอยู่ติดบ้าน พยายามออกไปข้างนอกให้น้อยเท่าที่จะทำได้ และการนั่ง ๆ นอน ๆ อยู่ในพื้นที่เดิมอาจทำให้เราเบื่อหน่าย บางคนดูหนังจนไม่รู้ว่าจะดูเรื่องอะไรแล้วก็มี จึงทำให้วันนี้เราอยากแนะนำแอนิเมชันที่ฉายบนระบบสตรีมมิง Netflix ไว้เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกสำหรับคนขี้เบื่อ แอนิเมชัน 7SEEDS สร้างจากมังงะที่ตีพิมพ์ลงในนิตยสารการ์ตูนรายเดือนโชโจปี 2001 และนิตยสารการ์ตูนรายเดือนฟลาวเวอร์ในปี 2002 ผลงานจากความคิดสร้างสรรค์ของทามูระ ยูมิ (Tamura Yumi) นักเขียนมังงะสไตล์สดใสที่คนไทยชอบเรียกกันว่า “การ์ตูนตาหวาน” แต่ถึงจะตาหวานภาพสวยน่ารักแต่เนื้อเรื่องส่วนใหญ่ของอาจารย์ยูมิมักมีเนื้อหาแหวกแนวจากการ์ตูนตาหวานเรื่องอื่น ๆ 7SEED จะเล่าเรื่องราวของคนญี่ปุ่นกลุ่มหนึ่งถูกนำไปปล่อยทิ้งไว้สักแห่งหนึ่งของโลก เด็กสาวชื่อ ‘นัตสึ’ ตื่นขึ้นมาพบว่าตัวเองอยู่บนเรือลำหนึ่งกลางมหาสมุทรกับคนแปลกหน้าอีกสองคน พวกเขาสามารถขึ้นฝั่งบนเกาะที่ไม่รู้จัก แถมพบว่ายังมีคนอื่นที่ติดอยู่บนเกาะด้วยเหมือนกัน ผู้รอดชีวิตทั้งนักเรียนมัธยมปลาย นักดนตรี ตำรวจหญิง แต่ละคนล้วนอุปนิสัยแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ทุกคนต่างต้องงัดความรู้และไหวพริบเท่าที่มีทำให้ตัวเองมีชีวิตรอดบนเกาะที่เต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตประหลาด เรื่องราวการเอาชีวิตรอดของมนุษย์ทำให้เราลืมภาพการ์ตูนตาหวานไปจนหมดสิ้น เพราะเนื้อหาของมังงะเรื่องนี้เล่นกับจิตใจคนได้อย่างไม่น่าเชื่อ มีคนที่เชื่อมั่นสุดหัวใจว่าหากร่วมมือกันทุกคนจะต้องออกไปจากเกาะให้ได้ และก็มีบางคนเชื่อว่ามนุษย์สามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมรอบตัว ดำรงชีวิตอยู่บนเกาะโดยไม่ต้องพยายามหาทางออกไป จนทำให้เราย้อนกลับมาคิดว่าหรือถ้าเป็นเองจะเลือกอยู่บนเกาะหรือไปตายเอาดาบหน้าดีกว่า ? “ที่นั่น มีแต่ภาพแห่งความสิ้นหวัง” แท้จริงแล้วมนุษย์ถูกจับมาอยู่รวมกันโดยโครงการ 7SEEDS เพื่อค้นหาเมล็ดพันธุ์ยอดเยี่ยมจากกลุ่มเซอร์ไววัลมาเป็นต้นแบบเพื่อรักษาเผ่าพันธุ์ของมนุษย์จากเหตุการณ์บางอย่างที่อาจทำให้เกิดการสูญพันธุ์ ท่ามกลางการ์ตูนภาพสวยกลับเต็มไปด้วยเรื่องราวหนักอึ้ง
“ไม่ว่าใครก็ติดไวรัสได้ ไม่ว่าจะรวยหรือจนหรือมีอำนาจล้นฟ้า” ประโยคดังกล่าวคือการนิยามถึงภัยร้ายจากการระบาดของไวรัสได้เป็นอย่างดี เพราะใคร ๆ ก็สามารถป่วยได้ด้วยกันทั้งนั้น จึงทำให้สถานการณ์การเมืองโลกในช่วงนี้ลดความร้อนระอุลงอย่างไม่น่าเชื่อ UNLOCKMEN จะพาทุกคนสำรวจไปทั่วโลกว่าประเทศน้อยใหญ่แต่ละที่เขามีมาตรการรับมือกับไวรัสอย่างไรบ้าง โดยเฉพาะประเทศที่มีคู่กรณีหรือไม่ค่อยจะลงรอยกัน ดูสิว่าไวรัสระบาดสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงทางการทูตมากน้อยแค่ไหน ช่วงแรกประเทศจีนเผชิญกับไวรัสโควิด-19 ทำให้คนทั่วโลกรู้จักเมืองอู่ฮั่นในฐานะเมืองแพร่เชื้อ ประเทศจีนกล่าวหาว่ากองทัพสหรัฐฯ อาจเป็นผู้ปล่อยเชื้อใส่ประเทศจีน ส่วนทางสหรัฐอเมริกากล่าวว่าเป็นจีนเองนี่แหละที่คิดค้นเชื้อโรคและเกิดความผิดพลาดจนทำให้คนตายไปจำนวนมาก ประเทศคู่กรณีอย่างไต้หวันกับจีนที่ทะเลาะกันอยู่บ่อย ๆ ก็ไม่น้อยหน้า เมื่อไต้หวันบอกว่าพวกเขาเตือนองค์การอนามัยโลก (WHO) ไปตั้งแต่แรกแต่กลับไม่มีใครสนใจฟัง เพียงเพราะไต้หวันไม่ถูกนับว่าเป็นประเทศในสายตาของจีนและองค์การอนามัยโลก ทางฝั่งญี่ปุ่นที่มีข้อพิพาทกับจีนแถมยังไม่ค่อยลงรอยกับเกาหลีใต้ก็มาร่วมวงครั้งนี้ด้วย สำนักข่าวญี่ปุ่นเรียกร้องให้จีนแสดงความรับผิดชอบเพราะเป็นประเทศแรกที่เกิดการแพร่ระบาด ส่วนเกาหลีใต้ก็มีท่าทีแข็งกร้าวเมื่อเกิดการระบาดใหญ่ทั่วประเทศ หลายเมืองเกิดการโทษกันไปมา ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ เรียกไวรัสโควิด-19 ว่า “ไวรัสจีน” องค์การอนามัยโลก (WHO) ออกแถลงการณ์เตือนผู้คนทั่วโลกว่าโปรดอย่าเรียกชื่อไวรัสชนิดนี้ว่า “ไวรัสจีน” เพราะการกระทำดังกล่าวจะสร้างภาพลักษณ์ผิด ๆ ให้กับเพื่อนร่วมโลก เพราะไวรัสไม่รู้เรื่องพรมแดน ไม่สนใจชาติพันธุ์อันแตกต่าง สีผิว หรือเงินเก็บที่คุณฝากธนาคารเอาไว้ ดังนั้นจึงอยากให้ทุกท่านอย่าสร้างภาพเหมารวมผิด ๆ ก่อให้เกิดความแตกแยก หลังจากหลายชาติต่างสลับสับเปลี่ยนวิวาทกันไปเรื่อย ๆ รู้ตัวอีกทีไวรัสโควิด-19 ก็แพร่กระจายไปทั่วโลกอย่างรวดเร็ว โดยย้ายจากจีนมาเป็นอิตาลีที่อาการหนักเข้าขั้นโคม่า ถัดจากอิตาลีคือสหรัฐฯ ที่มีผู้ติดเชื้อมากขึ้นจนน่าใจหาย และจำนวนผู้ติดเชื้อกับผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นเรื่อย