ถ้าพูดถึง ‘ไบค์เกอร์’ หลายคนก็จะนึกถึงกลุ่มชายชาตรีหนวดเคราเฟิ้ม ใส่เสื้อหนัง สวมรองเท้าบู๊ท ขี่รถคันใหญ่ไปด้วยกันเป็นคาราวาน บางคนจะนึกถึงผู้คนที่ไม่อยู่ในกรอบและเต็มไปด้วยชีวิตชีวา ส่วนในต่างประเทศผู้คนมักพูดถึงแก๊ง Hell Angels, Outlaws, 69’rs หรือ Black Sabbath แต่ยังไม่ค่อยรู้จักแก๊งนักบิดชื่อว่า Motor Maids เท่าไหร่นัก UNLOCKMEN เคยเล่าเรื่องราวของชาวแก๊งนักบิดอยู่บ่อยครั้งทั้งแก๊ง Hell Angels หรือแก๊งนักซิ่งของฝรั่งเศส แต่เรายังไม่เคยเล่าเรื่องของสุภาพสตรีขี่บิ๊กไบค์จากยุค 40 ทั้งที่พวกเธอนั้นเต็มไปด้วยชีวิตชีวา แต่งตัวจัดจ้านได้เท่ไม่แพ้ผู้ชาย และจะไม่ยอมอยู่ในกรอบที่ถูกเขียนไว้ว่า ‘ผู้หญิงต้องแต่งงาน เป็นเมียที่ดี เป็นแม่ที่สมบูรณ์แบบ’ เพราะพวกเธอจะเป็นคนเลือกเส้นทางการใช้ชีวิตของตัวเอง ‘DOT ROBINSON’ สตรีหมายเลขหนึ่งแห่งวงการมอเตอร์ไซค์ ย้อนกลับไปช่วงปี 40 ห้วงเวลาแห่งสงครามโลก มีหญิงสาวชาวออสเตรเลียคนหนึ่งชื่อว่า Dot Robinson เกิดปี 1912 เริ่มเป็นที่รู้จักในวงการมอเตอร์ไซค์ของสหรัฐอเมริกา เธอมีความชอบแตกต่างจากหญิงสาวในยุคเดียวกัน เธอคลั่งไคล้มอเตอร์ไซค์มากและหลาย ๆ คนคาดว่าเธอได้รับอิทธิพลมาจากพ่อตัวเองที่เป็นนักออกแบบรถแถมยังเป็นนักแข่งมอเตอร์ไซค์อีก เธอชื่นชอบทุกอย่างเกี่ยวกับมอเตอร์ไซค์ พออายุ 16 ปี ก็แวะเวียนไปยังร้าน Harley-Davidson
เอาหมัดไปแลกปืน เอาคนเป็นกองทัพไปแลกโดรน ใครจะเอาไปแลก ? ตอนนี้ข่าวเปิดวอร์ระหว่างอิหร่านกับสหรัฐฯ ทำให้ต้องเชื่อว่า กี่ชีวิตก็คงไม่พอแลก หรือต่อให้เก่งแค่ไหนบารมีหนาอย่างไร ถึงคราวคนมันจะล่อจากระยะไกล เราก็ตายได้ง่าย ๆ อยู่ดี เพราะทุกวันนี้อาวุธลอบสังหารมันล้ำขึ้นทุกวัน แล้วคุณเคยรู้จริง ๆ ไหมว่า นอกจากสหรัฐฯ ที่มีกองกำลังติดอาวุธเหนือน่านฟ้าที่ยากจะต่อรอง ยังมีประเทศไหนอีกบ้างที่มีโดรนเก็บไว้ในบ้าน เพื่อคลายข้อสงสัย UNLOCKMEN จะพาทุกคนไปรู้จักประเทศที่มี UAV (Unmanned aerial vehicle) หรือ UCAV (Unmanned Combat Air Vehicle) เก็บไว้เป็นไพ่ไม้ตาย รู้หรือไม่ว่าตอนนี้ทั่วโลกมีกองทัพทางการทหารที่มีโดรนสังหารในครอบครองมากถึง 39 ประเทศ! แต่ประเทศไหนมาก่อน-หลัง เราเรียงลำดับไว้ตามตัวเลขด้านล่างแล้ว 1. สหรัฐอเมริกา เริ่มที่ประเทศแรก อย่างที่เรารู้ ๆ กันดีว่า สหรัฐฯ เป็นตัวจี๊ดของสงครามโดรน เพราะเป็นประเทศแรกเลยที่คิดค้นกลยุทธ์และอาวุธทางการทหารแบบนี้ แถมยังเป็นพ่อค้าอาวุธโดรนเจ้าหลักในตลาดด้วย การคิดค้นและประดิษฐ์โดรนครั้งแรกเกิดขึ้นในปี 2001 สืบเนื่องมาจากเหตุการณ์สะเทือนขวัญ 9/11 ที่สหรัฐฯ สูญเสียกองกำลังและพลเรือนจากเหตุการณ์ก่อการร้าย ดังนั้นอเมริกาจึงหันมาผลิตอาวุธอากาศยานไร้คนขับ
หลายคนลืมตาตื่นบนที่นอนแล้วเปิดโทรศัพท์ดูในตอนเช้าจะพบว่ามีข้อความต่าง ๆ จากเพื่อนฝูง คนในครอบครัวว่า ‘อย่าลืมใส่แมสก่อนออกจากบ้าน’ หรือจะเป็น ‘พรุ่งนี้ไปดูเครื่องฟอกอากาศกันไหม’ ทั้งหมดคือความห่วงใยของผู้คนที่พยายามปกป้องตัวเองและคนที่รักจากฝุ่นควันเป็นพิษ เรารักตัวเอง เรารักคนรอบข้าง แล้วรัฐบาลที่ห่วงใยประชาชนกำลังทำอะไรอยู่ ? เมื่อลุกจากเตียงแล้วเปิดหน้าต่างดูก็จะเห็นด้วยตาตัวเองว่าฝุ่นหนาฟุ้งกระจายอยู่ทั่ว เพราะปัญหาฝุ่นควันที่เรียกกันจนติดปากว่า PM 2.5 เป็นเรื่องใกล้ตัวกว่าที่คิดแถมในตอนนี้มันก็ยังคงอยู่ UNLOCKMEN จึงอยากพาทุกท่านไปพบกับประเทศต่าง ๆ ที่พบปัญหาเดียวกันกับประเทศไทย และดูสิว่ารัฐบาลของแต่ละประเทศมีนโยบายหรือวิธีแก้ปัญหาอากาศไม่สะอาดอย่างไรกันบ้าง อินเดีย เริ่มจากประเทศที่คนไทยส่วนใหญ่ต้องร้อง ‘อี๋’ กันเป็นแถบกับสาธารณรัฐอินเดีย เมืองที่ขึ้นชื่อเรื่องฝุ่น เมืองที่มีประชากรอยู่มากที่สุดในโลก ผู้คนกว่า 1.339 พันล้านคน เมืองที่แสนเป็นตัวของตัวเอง มีชนชั้นวรรณะ มีไลฟ์สไตล์แสนเฉพาะตัว เมื่อขึ้นชื่อว่าเป็นประเทศที่มีคนเยอะที่สุดในโลก การผลิตในระบบอุตสาหกรรมก็ต้องมากตามจำนวนประชากร อินเดียเองก็เจอปัญหามลพิษทางอากาศไม่ต่างจากไทย แถมมีทีท่าจะหนักกว่าบ้านเราด้วยซ้ำ โดยข้อมูลจากองค์การอนามัยโลกประจำปี 2561 ระบุว่าแต่ละปีมีประชากรโลกเสียชีวิตก่อนวัยอันควรด้วยมลพิษกว่า 6,500,000 คน และอินเดียก็เคยขึ้นเป็นอันดับหนึ่งเมืองที่มีมลพิษเยอะที่สุดในโลก นโยบายของรัฐบาลอินเดียที่เร่งจัดการกับปัญหานี้มีหลายทางด้วยกัน ทั้งสั่งลดการก่อสร้างและการรื้อถอนที่ทำให้เกิดฝุ่นทันที มีมาตรการฉีดพ่นน้ำไม่ต่างจากไทย แต่น้ำที่อินเดียใช้อัดแน่นด้วยคุณสมบัติไฟฟ้าสถิต ผลที่ออกมาคือน้ำคุณสมบัติพิเศษนี้สามารถดักจับฝุ่นได้ดีกว่าน้ำประปาธรรมดา เมื่อพบว่าค่าฝุ่นขึ้นสูงเกินกำหนด มีคำสั่งให้ปิดโรงไฟฟ้าพลังงานถ่านหินชั่วคราว ดึงมาตรการการจำกัดจำนวนรถยนต์ที่วิ่งอยู่บนท้องถนน เช่น รถยนต์เอสยูวีเครื่องยนต์
ต้องบอกว่าการเล่นเซ็กซ์และรสนิยมทางเพศของคนในยุคนี้ ก้าวหน้าไม่แพ้เทคโนโลยีและนวัตกรรมล้ำสมัย เมื่อโลกหมุน เปลี่ยนแปลง และเปิดกว้างขึ้นเรื่อย ๆ ทำเอาพฤติกรรมของมนุษย์เปลี่ยนตามไปด้วย ผู้ชายบางคนชื่นชอบการมีเซ็กซ์แบบรุนแรง รู้สึกดีที่ได้ทรมานคนอื่นให้เจ็บปวด หลงรักห้วงเวลาที่สวมบทบาทเป็นเจ้านายกับทาสสาว แถมยังสะใจทุกครั้งหากได้สบถคำหยาบในระหว่างร่วมรัก โดยมีเชือก โซ่ แส้ กุญแจมือ และความร้อนวาบของน้ำตาเทียนช่วยให้เซ็กซ์ของพวกเขาสมบูรณ์ขึ้น UNLOCKMEN เลยอยากพาหนุ่ม ๆ ไปขุดคุ้ยต้นตอของเซ็กซ์ซาดิสม์ที่มีมาตั้งแต่อดีตและคงอยู่มาจนถึงปัจจุบัน เตรียมลิ้มรสความทรมานและซึบซาบความเจ็บปวดไปพร้อม ๆ กัน! ความซาดิสม์แห่งอดีตกาล เราเชื่อว่าทุกคนล้วนมีด้านมืดซ่อนอยู่ในตัวทั้งนั้น แต่ไม่ใช่ทุกครั้งที่จะปลดปล่อยมันออกมาอย่างโจ่งแจ้ง ใต้มวลความมืดที่ซ่อนอยู่ในจิตใจใครหลายคน คงไม่มีอะไรมืดมิดดำสนิทและขมุกขมัวได้เท่ากับด้านมืดของมาร์กีส์ เดอ ซาด (Marquis de Sade) ชายชาวฝรั่งเศสผู้เป็นต้นกำเนิดของคำว่า ‘ซาดิสม์’ เขาเสพติดความรุนแรงและสุขใจที่ได้มีเซ็กซ์สัมพันธ์บนความเจ็บปวดของหญิงสาว ซาดว่าจ้างโสเภณียกซ่องมามั่วเซ็กซ์ที่ปราสาทหลังแต่งงานได้ 7 วัน เขาพันธนาการและทารุณพวกเธออย่างโหดเหี้ยมเกินมนุษย์ จับมัดมือมัดเท้า เฆี่ยนตีจนบอบซ้ำ ก่อนจะเสพสมทางเพศอย่างสบายใจ แถมไอ้ตานี่ยังปลุกปล้ำนิยายลามกจกเปรตจนโด่งดังกระฉ่อนโลก พรรณนาความซาดิสม์และรสนิยมวิปริตของเขาผ่านตัวหนังสือที่ไม่อาจบรรยายเป็นภาษาได้ จากผลงานอื้อฉาวแห่งยุคทำให้เหล่านักวิชาการนำชื่อของเขามาดัดแปลงเป็นคำศัพท์ ‘SADISM’ นิยามถึงอาการทางจิตชนิดหนึ่งที่ชอบเสพเซ็กซ์และระบายความใคร่อยากด้วยการทารุณ ความซาดิสม์ในปัจจุบัน คนซาดิสม์คือผู้ที่มีความสุขจากการทรมานคนอื่น ไม่ว่าจะก่อนมีเซ็กซ์หรือระหว่างมีเซ็กซ์ก็ตาม พวกเขามักเพลิดเพลินเมื่อได้สร้างความเจ็บปวดทั้งทางกายและทางใจแก่ผู้ร่วมรัก ซึ่งทางการแพทย์มองว่านี่เป็นการปลดปล่อยจินตนาการทางเพศที่ถูกระงับไว้ เป็นเหมือนสิ่งที่ช่วยชดเชยบางอย่างในชีวิตพวกเขา และนับเป็นความผิดปกติทางจิตเวชชนิดหนึ่ง
‘ลอสแอนเจลิสไม่เคยหลับ’ นี่คือคำกล่าวที่ได้ยินกันอยู่บ่อย ๆ เกี่ยวกับแอลเอ เมืองขนาดใหญ่ทางเศรษฐกิจของรัฐแคลิฟอร์เนียร์ แหล่งรวมผู้คนที่มีฝันและแหล่งบ่มเพาะอาชญากรออกมาก่อคดีในยามวิกาล เสียงบดยางของเศรษฐีนักซิ่งซูเปอร์คาร์และคนเมาเพิ่งกลับจากงานปาร์ตี้ พวกเขาเหล่านี้มีส่วนทำให้เกิดอาชีพ ‘ช่างภาพข่าวอาชญากรรม’ ถ้าเลือกได้คนส่วนใหญ่ก็คงจะอยากถ่ายสิ่งสวยงาม ถ่ายสิ่งที่ตัวเองชอบ แต่สำหรับช่างภาพสายข่าวอาชญากรรม พวกเขาจะต้องปรับวิถีชีวิตใหม่ให้สวนทางกับคนทั่วไป ถ่ายภาพไม่น่าดู และใช้ชีวิตในโลกสีเทา ๆ ที่ทำให้พวกเขามีกินมีใช้ ชีวิตของ Scott Lane มีไลฟ์สไตล์คล้ายภาพยนตร์เรื่อง Nightcrawler (หนังที่เล่าเรื่องราวของช่างภาพข่าวอาชญากรรมที่อยู่ตรงเส้นแบ่งระหว่างเงินกับจรรยาบรรณ) ส่วนชีวิตจริงของ Scott มีหน้าที่ถ่ายรูปส่งไปยังสำนักข่าวต่าง ๆ เขาพูดถึงงานของตัวเองว่ามันแสนง่าย เพียงแค่นอนตอนกลางวัน ทำงานตอนกลางคืน ออกตระเวนไปทั่วแอลเอเพื่อถ่ายภาพอุบัติเหตุใหญ่อย่างรถชน จับตาดูว่าจะมีโจรปล้นมินิมาร์ตหรือไม่ หาเหตุการณ์ไม่เข้าท่าเพื่อถ่ายรูปแลกกับเงิน เมื่อรู้เนื้องานที่ Scott ต้องทำอยู่ทุกวัน บางคนอาจจะอุทานว่านี่มันบ้า เพราะงานของเขาเสี่ยงไม่ต่างจากพวกเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือนักดับเพลิง เขาต้องลงพื้นที่จริง ยอมเอาชีวิตไปเสี่ยงเพื่อรูปถ่ายเพียงหนึ่งหรือสองใบ แถมต้องเห็นแต่ภาพน่าสยดสยอง ถ่ายรูปศพ บ้านที่กำลังไหม้ทั้งหลัง หรือแก๊งวัยรุ่นที่กำลังต่อยกัน อย่างไรก็ตาม Scott กล่าวว่าไม่ใช่ทุกครั้งที่ต้องเสี่ยง อย่างเหตุการณ์รถซูเปอร์คาร์ชนเสาไฟฟ้าจนเละ เขาก็เพียงเข้าไปถ่ายรูปรถที่ชนไปแล้วและส่งให้สำนักข่าวเท่านั้น งานของ Scott เริ่มต้นขึ้นเมื่อการจราจรแน่นขนัดในยามเย็นเริ่มคล่องตัว เขาจะขับรถไปทั่วลอสแองเจลิส เมืองที่ไม่เคยหลับใหล มองหาเหตุฉุกเฉิน
ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม ปี ค.ศ. 1988 ในวันที่ทุกสิ่งดำเนินไปตามปกติ ผู้โดยสารและลูกเรือหลายร้อยชีวิตกำลังเดินทางจากท่าอากาศยานลอนดอนฮีทโธรว์ ประเทศอังกฤษ บนเครื่องบินของสายการบิน Pan Am เที่ยวบินที่ 103 มีจุดหมายปลายทางคือท่าอากาศยานนานาชาติเจเอฟเค สหรัฐอเมริกา Paul Jeffreys มือเบสวง Be Bop Deluxe กับ Rachel Jones ภรรยาของเขาเป็นหนึ่งในผู้โดยสารของเที่ยวบินนี้ ทั้งคู่เพิ่งแต่งงานกันได้ไม่นานจึงตัดสินใจบินไปฮันนีมูนกันถึงอเมริกา โดยไม่อาจล่วงรู้เลยว่าจะมีหายนะอะไรเกิดขึ้นในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า และวันฮันนีมูนแสนสุขเหล่านั้นก็ไม่อาจมาถึง Paul Jeffreys และ Rachel Jones ในเมืองล็อกเกอร์บี ประเทศสก็อตแลนด์ หมู่บ้านเล็ก ๆ ทางตะวันออกเฉียงใต้เมืองกลาสโกลว์ ชาวบ้านที่อาศัยแถบนั้นได้ยินเสียงกึกก้องเหมือนฟ้าร้อง จากนั้นก็ได้ยินเสียงกระแทกดังสนั่นจนพื้นดินสั่นสะเทือนไปทั่วบริเวณ อะไรบางอย่างร่วงลงกระแทกพื้นดินอย่างรุนแรง ลูกไฟขนาดใหญ่ที่เกิดจากแรงระเบิดนั้นพุ่งขึ้นฟ้าสูงถึง 300 ฟุต และบ้านหลายหลังของชาวบ้านผู้ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ก็ถูกเผาวอดวาย จากรายงานพบว่า มีกลไก ‘ระเบิดแสวงเครื่อง’ ถูกซ่อนไว้ในกระเป๋าเดินทางของหนึ่งในผู้โดยสาร และเกิดระเบิดขึ้นในห้องเก็บสินค้า ศูนย์ควบคุมทางอากาศระบุว่าเรดาร์ตรวจจับว่าเครื่องบินลำนี้เกิดการระเบิดเกิดขึ้นก่อนทางอากาศ ไม่มีสัญญาณขอความช่วยเหลือ ลูกเรือไม่ได้สวมหน้ากากออกซิเจน
ใคร ๆ ต่างก็รู้ว่าสิ่งมีชีวิตที่สามารถเดินทางได้อย่างอิสระบนท้องฟ้าคือนก นกแต่ละชนิดต่างก็มีสไตล์การบินที่ไม่เหมือนกัน บางตัวบินระยะใกล้ บางฝูงบินข้ามทวีป เดินทางไปทั่วทุกมุมโลกโดยไม่ทิ้งร่องรอยเอาไว้ แต่ถ้าหากการบินของนกสามารถทิ้งร่องรอยเป็นภาพไว้ให้มนุษย์เห็นจะเป็นอย่างไร ? จะสวยงามเหมือนงานศิลปะ หรือว่าจะน่ากลัวคล้ายวันสิ้นโลก ? Xavi Bou (จาวี โบ) ช่างภาพวัย 38 ปี ผู้จบการศึกษาสาขาธรณีวิทยาและการถ่ายภาพจากประเทศสเปนก็เกิดความสงสัยเช่นเดียวกัน เพราะขนาดการเดินของมนุษย์ก็ยังทิ้งรอยเท้าไว้ งูเลื้อยไปมาก็ทิ้งรอยเอาไว้บนผืนทราย ว่าหากนกที่บินไปมาอย่างอิสระสามารถทิ้งร่องรอยของพวกมันเอาไว้กลางอากาศจะเป็นอย่างไร เส้นทางที่ได้จะคดเคี้ยว เป็นเส้นตรง หรือบิดเบี้ยวแบบไหน เมื่อคิดได้ดังนั้นเขาเริ่มสร้างโปรเจกต์จริงจังเพื่อค้นหาคำตอบ จาวีเริ่มสังเกตการบินของนก มองดูท้องฟ้ามากขึ้น พยายามจับเส้นทางการบินของนกเพื่อทำ ‘สิ่งที่มองไม่เห็นให้มองเห็นได้’ พร้อมกับนำความรู้ที่มีติดตัวอย่างการถ่ายภาพมาประยุกต์ให้เข้ากับธรรมชาติของนกและพยายามจะถ่ายทอดออกมา จนกลายเป็นภาพถ่ายที่แปลกตาไม่ซ้ำใคร จาวีใช้เทคนิคการถ่ายภาพและวิดีโอเข้ามาช่วยสร้างให้จินตนาการของเขาเป็นรูปธรรม เขาหยิบภาพของตัวเองที่ถ่ายเส้นทางการบินของนกจำนวนมากมารวมให้เป็นภาพเดียว ซึ่งเป็นเทคนิคการสร้างภาพนิ่งต่อเนื่อง (chronophotograph) ที่เหล่าช่างภาพต่างก็รู้จักกันดี โดยภาพนิ่งที่เคลื่อนไหวเปลี่ยนไปทีละเฟรมจะถูกบันทึกลงในแต่ละช่องของแผ่นฟิล์ม เมื่อนำมาเล่นต่อกันเรื่อย ๆ จะทำให้ภาพนิ่งสามารถเคลื่อนไหวได้ แต่เดิม chronophotograph ในสมัยก่อนมักถูกใช้คู่กับกล้องฟิล์ม แต่จาวีต้องการภาพที่คมชัดกว่านั้น เขาจึงเลือกใช้กล้องวีดิทัศน์ความละเอียดสูง จากนั้นเลือกฟุตเทจแต่ละช่วงเวลาทั้งหมดและนำมาซ้อนกันผ่านกระบวนการดิจิทัล เป็นเวลากว่า 5 ปี ตั้งแต่วันที่จาวีเริ่มต้นโปรเจกต์ เขาทำมันโดยไม่รู้ว่าผลที่ออกมาจะเป็นอย่างไร เมื่อภาพทั้งหมดเริ่มเป็นรูปเป็นร่าง ความสวยงามที่ไม่เคยเห็นมาก่อนก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าเขา
ถ้าพูดถึงสไตล์มินิมัลแบบญี่ปุ่นไม่ว่าจะเป็นแฟชั่น ข้าวของเครื่องใช้ คาเฟ่ ไปจนถึงโรงแรมและอาร์ตแกลเลอรี ชื่อแรกที่ใคร ๆ นึกถึงคงหนีไม่พ้นแบรนด์ Muji จากจุดเริ่มต้นปี 1980 ที่ Muji ออกแบบสินค้าและผลิตภัณฑ์สไตล์มินิมัลให้เป็นมิตรกับผู้คนและสิ่งแวดล้อม แถมเร็ว ๆ นี้ยังขยายไลน์จากแค่การขายสินค้าไปเปิดโรงแรมตามประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก อีกทั้งเติบโตไม่หยุดด้วยการหันมาผลิตบ้านสำเร็จรูปเพื่อแฟนคลับผู้ชื่นชอบที่พักอาศัยขนาดกำลังดีสุดมินิมัล Muji เริ่มหันมาสร้างบ้านสำเร็จรูปเมื่อปี 2004 ระหว่างนั้นก็ยังกระโดดเข้าสู่ธุรกิจซ่อมแซมและรีโนเวตอพาร์ตเมนต์อีกด้วย แถมเมื่อช่วงปี 2017 ยังได้สถาปนิกชื่อดังหลายท่าน เช่น Nao Fukasawa, Jasper Morrison และ Konstantin Grcic มาร่วมออกแบบพื้นที่ใช้สอยขนาดกะทัดรัดตรงตามความต้องการของชาวญี่ปุ่น ใคร ๆ ต่างก็รู้ว่าที่ดินในประเทศญี่ปุ่นมีราคาสูงมาก การซื้อที่ดินและจ้างสถาปนิกมาออกแบบสร้างสิ่งปลูกสร้างเองถือเป็นค่าใช้จ่ายที่หนักเอาการ บ้านสำเร็จรูปจึงถือเป็นตัวเลือกสำหรับคนรุ่นใหม่ที่อยากจ่ายเงินทีเดียว แต่ได้ทุกอย่างเพียบพร้อมตามต้องการ ทั้งสิ่งปลูกสร้าง สไตล์ที่ตอบโจทย์ และเฟอร์นิเจอร์ครบครัน “YOU NO IE” HOUSE OF MUJI แต่เมื่อ Muji ก้าวเข้าสู่ตลาดบ้านสำเร็จรูป กลับทิ้งช่วงการออกแบบบ้านใหม่
“ความสุข” คือสิ่งที่ใคร ๆ ก็อยากสัมผัส เพียงแค่ได้จินตนาการถึงห้วงเวลาที่จะทำให้เรามีความสุข หัวใจก็พร้อมโลดแล่นด้วยความยินดีแล้ว ปาร์ตี้สิ้นปีที่รอคอยมาแสนนาน ของขวัญปีใหม่ที่ลุ้นมากว่าจะฉีกกล่องมาเจออะไร หรือการฉลองวันเกิดที่รายล้อมไปด้วยคนที่เรารัก วินาทีแห่งความสุขเหล่านี้ แค่นึกถึง ใบหน้าก็ถูกระบายด้วยรอยยิ้มเสียแล้ว แต่ใครจะรู้ว่ามนุษย์บางคนนั้นต่างออกไป พวกเขากลัวที่จะมีความสุข เพียงแค่นึกถึงช่วงเวลาแห่งการเฉลิมฉลองและรู้ว่าตัวเองจะได้อยู่ท่ามกลางกลิ่นอายของความสุขนั่นก็ทำให้พวกเขาสั่นเทาได้ ถ้าคุณคือคนหนึ่งที่รู้สึกแบบนั้น คุณอาจอยู่ในภาวะ Cherophobia หรือภาวะกลัวความสุขก็เป็นได้ เมื่อความสุขอยู่ตรงหน้า แต่ถอยไม่ได้ เดินต่อไปก็เจ็บ ยิ่งใกล้เทศกาลแห่งการเฉลิมฉลองมากเท่าใด เราตระหนักว่ากำลังจะปีใหม่ กำลังจะสงกรานต์ กำลังจะมีปาร์ตี้ กำลังจะถึงคอนเสิร์ตศิลปินคนโปรด หรือกำลังจะถึงวันเกิด เรารู้ดีอยู่แก่ใจว่าวันเหล่านี้จะอบอวลไปด้วยบรรยากาศแห่งความสุข วันในปฏิทินกำลังคืบคลานเข้ามาเรื่อย ๆ เราไม่อาจหยุดเวลาได้ เราไม่อาจถอยย้อนกลับไปยังวันธรรมดา ๆ อันแสนสงบ แต่ไม่ว่าเราจะกลัวแค่ไหน ทุรนทุรายเพียงใด เราก็ต้องเดินต่อไปถึงให้วันแห่งความสุขนั้น และนั่นคือสาเหตุที่เราถอยไม่ได้ แต่ยิ่งเดินไปข้างหน้าเราก็ยิ่งเจ็บปวด Cherophobia มีที่มาจาก “chero” ในภาษากรีกที่หมายถึงความชื่นชมยินดี ความสุข ผสมรวมกับ “phobia” ที่แปลว่าความกลัว ผู้ที่ตกอยู่ในภาวะนี้จะเกลียดกลัวสถานการณ์ที่คนจำนวนมากหรือตัวเองจะมีความสุข อย่างไรก็ตาม Cherophobia นั้นไม่ถือเป็นโรคทางจิตเวช เมื่อพิจารณาตามหลักเกณฑ์การวินิจฉัยความผิดปกติทางจิต หรือ Diagnostic
หนุ่ม ๆ ที่ติดตามกีฬาหมัดมวยคงทราบกันดีว่าปี 2020 ที่กำลังจะมาถึงนี้ ยอดนักชกไร้พ่าย ฟลอยด์ เมย์เวทเธอร์ จูเนียร์ (Floyd Mayweather Jr.) ประกาศเตรียมกลับมาโชว์ฝีมือบนสังเวียนผ้าใบอีกครั้ง นับตั้งแต่การชกครั้งล่าสุดกับคอเนอร์ แม็คเกรเกอร์เมื่อปี 2017 ฟลอยด์ เมย์เวทเธอร์ จูเนียร์ โพสต์รูปตัวเองลงอินสตาแกรมพร้อมข้อความว่า “Coming out of retirement in 2020” เป็นนัยว่าปี 2020 นักชกผู้ไม่เคยแพ้ใครอย่างเขาเตรียมกลับมาสวมนวมอีกครั้ง แชมป์โลก 5 รุ่น เจ้าของฉายาพริตตี้บอย และ เดอะ มันนี่ เป็นนักมวยที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในประวัติศาสตร์ด้วยสถิติไม่เคยแพ้ ตลอดการชกอาชีพ 50 ครั้ง อีกทั้งพิสูจน์ฝีมือด้วยการดวลกับนักชกแถวหน้าจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็น ออสการ์ เดอลา โฮยา, ริคกี้ ฮัตตัน, ฮวน มานูเอล มาร์เกวซ และแมนนี่ ปาเกียว มีข่าวลือว่านักชกค่าตัวแพงจับมือกับดานา ไวต์ (Dana