Super Bowl คือนัดชิงชนะเลิศของศึกคนชนคน NFL โดยในทุก ๆ ปีผู้คนทั่วโลกกว่า 100 ล้านคนต่างจับจ้องให้ความสนใจมหกรรมกีฬาครั้งยิ่งใหญ่นี้ จึงทำให้มันกลายเป็นหนึ่งในอีเวนต์กีฬาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก แต่อีกหนึ่งสิ่งที่ผู้คนให้ความสนใจนอกจากการแข่งขันอันเข้มข้นในสนามก็คือโชว์ในช่วงพักครึ่งหรือที่รู้จักกันดีในชื่อ Super Bowl Halftime Show โดยในทุกปีจะมีศิลปินระดับซูเปอร์สตาร์ผลัดเปลี่ยนกันมามอบความบันเทิงสุดมหัศจรรย์ให้กับผู้ชมในสนามและหน้าจอทีวีทั่วทั้งโลก ถึงจะเป็นแค่ช่วงเวลาสั้น ๆ แต่มันคือเวทีที่ศิลปินทุกคนต่างใฝ่ฝัน เพราะคงไม่มีโชว์ไหนอีกแล้วที่จะมีผู้ชมมากมายขนาดนี้ โชว์สุดมหัศจรรย์ของ Michael Jackson ในปี 1993 สะกดผู้ชมได้อยู่หมัด ไร้ซึ่งคำครหาต่อฉายา ‘King of Pop’ โชว์สุดมันส์ของ Bruno Mars ในปี 2014 ที่แสดงศักยภาพของเขาออกมาอย่างเต็มที่ ทำให้ทุกคนต่างยอมรับว่าเขาคือ King of Pop คนใหม่อย่างแท้จริง พร้อมด้วยการเซอร์ไพรส์ของวงร็อกระดับตำนาน Red Hot Chili Peppers ที่มาเพิ่มดีกรีความเดือดของโชว์ขึ้นไปอีกขั้น ‘Super Bowl Halftime Show ที่ดีที่สุดตลอดกาล’ ของ Prince สุดยอดศิลปินผู้ล่วงลับ ที่ไม่ต้องใช้เอฟเฟ็กต์มากมาย ไม่มีอะไรยิ่งใหญ่อลังการ เพียงแค่ความสามารถของเขาเพียว ๆ ผู้ชมก็ตกอยู่ในภวังค์ราวต้องมนตร์แล้ว เหล่านี้คือ Super Bowl Halftime Show ที่ตราตรึงใจ
Netflix ตอนนี้นอกจากกระแสซีรีส์การเมืองผสมซอมบี้จากเกาหลีอย่าง ‘Kingdom’ แล้ว ซีรีส์อีกหนึ่งเรื่องที่ได้รับความนิยมและถูกพูดถึงไม่แพ้กันเลยก็คือ ‘Conversations with a Killer: The Ted Bundy Tapes’ ซีรีส์เชิงสารคดีที่เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตของ Ted Bundy ฆาตกรต่อเนื่องอันโด่งแห่งสหรัฐอเมริกาในช่วงยุค 70 ไม่ให้โด่งดังได้อย่างไร เพราะช่วงเวลาแค่ 4 ปี (ค.ศ. 1974-1978) Ted Bundy ข่มขืนและฆ่าหญิงสาวทั่วทั้งอเมริกาไปกว่า 30 ราย และนี่แค่เฉพาะรายที่มีหลักฐานเท่านั้น ว่ากันว่าเหยื่อของ Ted จริง ๆ แล้วอาจมีมากกว่า 100 รายด้วยซ้ำ Ted ถือเป็นฆาตรกรต่อเนื่องที่ฉลาดเป็นกรด เขาจบการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยและทำงานเป็นผู้ช่วยให้กับนักการเมือง แตกต่างกับฆาตกรต่อเนื่องส่วนใหญ่ที่มาจากสภาพสังคมแย่ ๆ ไม่ก็เป็นอาชญากรมาก่อน ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องง่ายเลยกว่าที่ตำรวจจะสามารถจับกุมเขาได้ อย่างไรก็ตามสี่เท้ายังรู้พลาด Ted Bundy ยังรู้พลั้ง ในที่สุดเขาก็หนีความผิดที่ก่อไว้ไม่พ้น หลังจากถูกจับ สิ่งที่ Ted ทำไว้ก็ค่อย ๆ โดนขุดคุ้ยให้ชาวโลกได้รับรู้ แน่นอนว่าทุกคนตื่นตะลึงกับวีรกรรมของ Ted เพราะไม่มีใครคาดคิดว่าภายใต้ใบหน้าหล่อเหลาคมคาย
สร้างความแปลกใจต่อวงการมอเตอร์สปอร์ตทั่วโลกไม่น้อย สำหรับข่าวการเอาชนะอดีตนักขับรถสูตร 1 ในสนามแข่งจริงของโปรเกมเมอร์วัย 23 ปี ที่ไม่เคยมีประสบการณ์ในสนามแข่งจริงแม้แต่วินาทีเดียว โดยอาศัยเพียงการฝึกซ้อมจากโปรแกรมจำลองที่ถูกเรียกว่า Virtual Motorsports อย่างสม่ำเสมอเท่านั้น ระหว่างการแข่งขัน Race Of Champion (ROC) ซึ่งเป็นการแข่งขันที่รวบรวมเอานักกีฬามอเตอร์สปอร์ตในทุกรูปแบบ มาจัดแข่งแบบพบกันหมด โดยงานดังกล่าวจัดขึ้นเป็นครั้งแรกในปี 1988 และ ROC 2018 ณ กรุงริยาด ประเทศซาอุดีอาระเบียถือเป็นการเปิดโอกาสให้นักแข่งที่ฝึกฝนจากโปรแกรมเสมือนจริง ๆ เข้าร่วมด้วยเป็นครั้งแรก แต่ใครจะไปเชื่อว่าหนึ่งปีหลังจากนั้นใน Race Of Champion 2019 ที่ประเทศเม็กซิโก ก็เกิดเรื่องเซอร์ไพรส์วงการมอเตอร์สปอร์ตทันที เนื่องจาก Enzo Bonito นักแข่งที่ฝึกฝนจากโปรแกรมจำลองวัย 23 ปี สามารถเอาชนะ Lucas Di Grassi อดีตนักขับรถ Formula 1 ที่เคยอยู่กับทีม Virgin Racing Team ในช่วงปี 2010-2014 และยังเป็นนักแข่ง Formula E ในสังกัดทีม
แม้ว่ายาเสพติดจะเป็นสิ่งที่ผลิตขึ้นเพื่อมนุษย์ แต่กลับกลายเป็นว่าไม่ได้มีแค่มนุษย์เท่านั้นที่เสพติดสารสังเคราะห์อย่างยาเสพติด เพราะเร็ว ๆ นี้ ผลวิจัยออกมาว่าผงขาวอย่างโคเคนสามารถสร้างผลกระทบเป็นวงกว้างและทำให้สิ่งมีชีวิตอื่นนอกจากมนุษย์เสพติดมันได้เช่นกัน เพราะยาเสพติดไม่เพียงแต่ทำลายร่างกายของมนุษย์และส่งผลกระทบในแง่ลบต่อสังคมเท่านั้น ธรรมชาติเองก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน ด้วยเหตุนี้เองทำให้เหล่านักวิจัยได้ออกมาเตือนว่าโคเคนที่ปนเปื้อนลงในแหล่งน้ำกำลังส่งผลกระทบอย่างมากต่อปลาไหลที่อาศัยอยู่ในยุโรปและโคเคนนั้นส่งผลกับตัวปลาไหล รวมถึงส่งผลต่อวงจรการผสมพันธุ์ ถ้าปลาไหลติดโคเคนก็เสี่ยงทำให้สูญพันธุ์ได้ เนื่องด้วยปริมาณโคเคนที่ปนเปื้อนในแหล่งน้ำทั่วทั้งยุโรป ทำให้นักวิทยาศาสตร์ได้ทดลองและวิจัยเพื่อหาคำตอบเกี่ยวกับผลกระทบของโคเคนต่อเหล่าปลาไหล โดยการใส่ผงโคเคนลงในตู้ปลาที่อยู่ในห้องปฏิบัติการและรอผลเป็นเวลากว่า 50 วัน หลังจากที่ทีมวิจัยใส่โคเคนลงในตู้ปลาในปริมาณเทียบเท่ากับแหล่งน้ำที่มีสารเสพติดปนเปื้อน ก็พบความผิดปกติบางอย่างที่เกิดขึ้นกับปลาไหล เพราะพบสารเสพติดตกค้างอยู่ในร่างกายของปลาไหลจำนวนมากทั้งในสมอง กล้ามเนื้อ ผิวหนัง รวมถึงเหงือกที่มีอาการกล้ามเนื้อบวมผิดปกติ รวมถึงฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงโดยใช้เวลาเพียงแค่ 10 วันเท่านั้น ท้ายที่สุดแม้จะย้ายปลาไหลไปยังตู้ที่มีน้ำบริสุทธิ์แล้วแต่ปลาไหลเหล่านี้ก็ยังคงมีอาการผิดปกติจากสารเสพติดที่ได้รับ Capaldo หนึ่งในทีมวิจัยกล่าวถึงกรณีดังกล่าวว่าทุกส่วนในร่างกายของปลาไหลได้รับผลกระทบทั้งหมด สิ่งน่ากลัวที่สุดคือโคเคนที่อยู่ในน้ำจะเข้าไปเพิ่มระดับคอร์ติซอลซึ่งเป็นฮอร์โมนกลุ่ม steroid ที่จะหลั่งออกมาเมื่อเกิดความเครียด กระตุ้นตับให้สร้างน้ำตาลออกมาสู่กระแสเลือด ส่งผลให้ร่างกายกระตุ้นการใช้ไขมันมากขึ้น ปัญหาจากการต้องการไขมันนั้นส่งผลต่อปลาไหลเป็นอย่างมาก เนื่องจากวงจรชีวิตของปลาไหลนั้นจะต้องสะสมไขมันให้เพียงพอก่อนจะออกเดินทางไกลเพื่อไปผสมพันธุ์ และเมื่อระดับฮอร์โมนคอร์ติซอลเพิ่มสูงขึ้นก็จะส่งผลให้การผสมพันธุ์ของปลาไหลกลายเป็นเรื่องยาก เพราะเมื่อกล้ามเนื้อของปลาไหลเกิดอาการบวม จะทำให้ความสามารถในการว่ายน้ำระยะไกลลดลง นอกจากนี้เมื่อปลาไหลที่อาศัยอยู่ในแหล่งน้ำที่มีโคเคนปนเปื้อน พวกมันจะไม่ต้องการการผสมพันธุ์ตามธรรมชาติส่งผลให้อัตราการสืบพันธุ์ลดลง และถึงแม้จะย้ายปลาไหลที่มีโคเคนอยู่ในร่างกายไปยังแหล่งน้ำสะอาดแล้ว แต่เหล่าปลาไหลที่ได้รับโคเคนก็ไม่สามารถฟื้นตัวได้ในระยะสั้น ๆ จึงเป็นปัญหาระยะยาวที่ส่งผลต่อระบบนิเวศน์ แล้วทำไมถึงได้มีโคเคนอยู่ในแหล่งน้ำทั่วทั้งยุโรป ? นั่นเพราะโคเคนเป็นหนึ่งในยาเสพติดที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย และสามารถเดินทางผ่านน้ำหรือปัสสาวะของผู้เสพจากห้องน้ำลงสู่บ่อบำบัดน้ำเสียและไหลลงสู่แหล่งน้ำธรรมชาติ รวมถึงในบางครั้งที่เหล่าผู้เสพและผู้ขายต้องการทำลายหลักฐานก็มักจะนำผงขาวไปทิ้งลงน้ำกันเป็นจำนวนมาก โดยในวารสาร Science of the Total Environment ก็ได้ยืนยันแล้วว่าปลาไหลยุโรปมีความเสี่ยงที่จะเสพติดโคเคนจริง
กลุ่มก่อการร้าย AL-SHABAAB กลายเป็นประเด็นที่ถูกพูดถึงไปทั่วโลก UNLOCKMEN เองก็เพิ่งนำเสนอเรื่องราวของพวกเขาไปไม่นานนี้ (ตามอ่านได้ที่: “ความดุเดือดของกลุ่มก่อการร้าย AL-SHABAAB” พวกเขาคือใครและต้องการบอกอะไรกับโลก ?) และถ้าพูดถึงกลุ่มก่อการร้าย AL-SHABAAB แล้วก็คงต้องพูดถึง SAS สังกัดของนายทหารอังกฤษผู้บุกเดี่ยวเข้าไปสังหารผู้ก่อการร้ายและช่วยเหลือตัวประกันในโรงแรมดุสิต D2 ออกมาได้อย่างปลอดภัย อะไรทำให้ทหารของหน่วย SAS แข็งแกร่งได้ถึงขนาดนี้ ? จุดเริ่มต้นของหน่วย SAS Special Air Service หรือ SAS เป็นหน่วยรบพิเศษทางอากาศแห่งกองทัพอังกฤษที่ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1941 และอยู่ถึงปี 1945 ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 มีความสามารถโดดเด่นเหนือชั้นเทียบได้กับหน่วย Delta Force และ Navy Seal ที่โด่งดังของกองทัพสหรัฐฯ เดิมทีหน่วยกองทัพสุดโหดนี้ไม่ได้ใช้ชื่อว่า Special Air Service ตั้งแต่แรก แต่เพราะเหตุการณ์ฉุกเฉินในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 มักสร้างวีรบุรุษเสมอ ในช่วงเวลานั้นฝ่ายสัมพันธมิตรนำโดยประเทศอังกฤษต่อสู้กับฝ่ายอักษะที่นำโดยเยอรมนี และเมื่อกองทัพนาซีตัดสินใจบุกเข้าตะวันออกกลางเพื่อแย่งชิงพื้นที่ในอียิปต์ทำให้เกิดหน่วยรบบ้าดีเดือดอย่าง SAS ขึ้น เนื่องจากจำนวนคนในกองทัพสัมพันธมิตรในอียิปต์มีจำนวนน้อย กลุ่มคอมมานโดเล็ก ๆ
หลายคนเคยบ่นว่า รถแรง กี่แรงอาชาก็เป็นได้แค่ม้าบ้าน วิ่งได้แค่ตามกฎหมายกำหนด สุดท้ายซื้อมาก็ไม่ได้อะไร นั่งอั้นกันอยู่บนถนน เราจะจ่ายเยอะกว่าไปเพื่ออะไร ซึ่งก็ไม่แปลกเพราะเราเองก็เคยคิดแบบนั้นเหมือนกัน แต่นั่นก็ก่อนที่จะรู้จักกับถนนสายนี้ Autobahn ทางหลวงพิเศษของเยอรมนีที่ทำให้เราอยากไปเหยียบประเทศเยอรมนีมากกว่าที่เคย ความเร็วไม่ใช่ฆาตกรบนท้องถนน ก่อนจะเริ่มพูดถึงถนนเส้นนี้ เรื่องที่เราไม่อยากพลาดยกมาพูดถึงคือประเด็นเรื่องการขับขี่ด้วยความเร็วที่คนมักมองว่าคร่าชีวิตคนบนท้องถนน คนส่วนใหญ่มักคิดว่าการเหยียบมิดไมล์มันสัมพันธ์กับอุบัติเหตุ ซึ่งส่วนหนึ่งอาจจะใช่ แต่ถ้าจะมองกันอย่างยุติธรรมอีกนิด ความเร็วคงไม่ใช่ประเด็นเดียวของอุบัติเหตุ ข้อมูลจาก OECD’s International Transport Forum ปี 2013 คือหนึ่งในเครื่องยืนยันว่าความเร็วไม่ใช่ทั้งหมดของปัญหา เพราะเมื่อเผยจำนวนผู้เสียชีวิตแล้ว ประเทศเยอรมนีมีจำนวนผู้เสียชีวิตราว 3,339 คน สูงกว่าประเทศฝรั่งเศสที่จำกัดความเร็วเพียงเล็กน้อย (คนเสียชีวิต 3,268) และน้อยกว่าสหรัฐอเมริกาที่ออกกฎหมายจำกัดความเร็วเกือบ 10 เท่า เนื่องจากสถิติผู้เสียชีวิตของสหรัฐฯ สูงถึง 30,000 คน เมื่ออุบัติเหตุไม่ใช่เรื่องของความเร็ว เราคงต้องมามองมุมกลับกันบ้างว่าโครงสร้างถนนหรือเปล่าที่มีผลกับเรื่องนี้ และทำให้เราต้องจำกัดความเร็วความมัน เพราะแท้จริงแล้วถนนไม่ใช่แค่รางโง่ ๆ ให้รถแล่น ลาดยางเสร็จก็จบไป ไม่ต้องไปเหลียวแลอีก หลุมบ่อเล็กน้อย หรือลูกระนาดก็สร้างอุบัติเหตุถึงชีวิตได้ รวมถึงสภาพอากาศที่แปรปรวนก็มีผล ฝนตกถนนลื่นก็เป็นสิ่งที่สร้างอุบัติเหตุได้บ่อยเช่นกัน สิ่งเหล่านี้ไม่นับรวมคนที่อยู่หลังพวงมาลัยซึ่งควรครองสติในการขับขี่ให้ได้ เคารพกฎกติกาบนท้องถนน ฯลฯ
เหตุการณ์วางระเบิดและบุกกราดยิงที่โรงแรม Dusit D2 ในเมืองไนโรบี เมืองหลวงของประเทศเคนยากลายเป็นข่าวดังครึกโครมไปทั่วโลก หลังจากเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว กลุ่มก่อการร้าย Al-Shabaab อ้างว่าอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์โจมตีในครั้งนี้ Al-Shabaab เป็นใคร? และพวกเขาทำแบบนี้ทำไม? Al-Shabaab หรือกลุ่มอัล-ชาบับ ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2006 เป็นกลุ่มก่อการร้ายมุสลิมหัวรุนแรงที่เป็นผลผลิตจากความวุ่นวายทางการเมืองภายในประเทศที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง หลังจากโค่นล้มผู้นำเผด็จการซึ่งเป็นฐานอำนาจเดิม กลุ่มก่อการร้ายนี้มีฐานกำลังอยู่ในสหพันธ์สาธารณรัฐโซมาเลียบริเวณใกล้กับประเทศเคนยา หัวหน้ากลุ่มของ Al-Shabaab คือนาย Ahmad Umer วัย 47 ปี เขาคือชายที่ทางการสหรัฐฯ ต้องการตัวเป็นอย่างมากถึงกับตั้งค่าหัวให้ถึง 6 ล้านดอลลาร์ คิดเป็นเงินไทยราว 190 ล้านบาท และเฝ้าจับตากลุ่มก่อการร้ายนี้เป็นพิเศษเนื่องจากกลุ่มก่อการร้าย Al-Shabaab นั้นมีความเกี่ยวข้องกับกลุ่มก่อการร้ายชื่อดังอย่างกลุ่ม Al-Qaeda แต่ภายหลังทั้งสองฝ่ายมีอุดมการณ์บางอย่างต่างกัน กลุ่มก่อการร้ายทั้งสองกลุ่มจึงแยกกันอย่างชัดเจน แม้จะเป็นกลุ่มก่อการร้ายชาวมุสลิมหัวรุนแรง แต่สมาชิกระดับสูงของกลุ่ม Al-Shabaab นั้นมีคนจากหลากหลายเชื้อชาติเข้าร่วมด้วย และคาดว่ามีสมาชิกราว 8,000-10,000 คน โดยมีเป้าหมายร่วมกันคือตั้งรัฐบาลอิสลามเคร่งจารีตให้สำเร็จ กลุ่มก่อการร้ายที่มีสมาชิกเกือบหมื่นคนหารายได้และอาวุธสงครามมาจากไหน? เหล่านักวิเคราะห์คาดว่าที่มาของรายได้หลักคือการดีลกับเจ้าหน้าที่ท่าเรือขนส่งสินค้าหลายแห่งในแถบแหลมแอฟริกา ในปี 2011 สหประชาชาติเคยประเมินรายได้ของกลุ่มก่อการร้าย Al-Shabaab ว่าสร้างรายได้กว่า
บ่อยครั้งที่ภาพยนตร์เลือกหยิบเรื่องราวเกี่ยวกับความทรงจำมาเล่าอย่างเหนือจริง ทั้งการถ่ายโอนความทรงจำของคนหนึ่งไปสู่อีกคน เมื่อโอนความทรงจำสำเร็จเราก็จะกลายเป็นคนคนนั้น เราจะมีลักษณะและบุคลิกที่เหมือนกันเพราะใช้ความทรงจำเดียวกัน สิ่งเหล่านี้ดูเป็นสิ่งที่เป็นจริงได้แค่จินตนาการหรือหนังเท่านั้น แต่ UNLOCKMEN อยากจะบอกว่าการถ่ายโอนความทรงจำไม่ได้มีแค่ไหนหนัง Sci-fi อีกต่อไป เพราะนักวิทยาศาสตร์สามารถถ่ายโอนความทรงจำของสัตว์ได้แล้ว แม้จะยังไม่สามารถถ่ายโอนความทรงจำของมนุษย์ได้ แต่การถ่ายโอนความทรงจำของสัตว์สำเร็จถือเป็นความก้าวหน้าครั้งใหญ่ที่ทำให้วงการวิทยาศาสตร์พัฒนาไปอีกขั้น มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียหรือที่เรียกกันสั้น ๆ ว่า UCLA ได้เริ่มทำการทดลอง Memory transplant เปลี่ยนถ่ายความทรงจำของหอยทากทะเล Aplysia californica ได้สำเร็จ ผลการวิจัยครั้งนี้ตีพิมพ์ลงวารสาร eNeuro รายงานถึงการฝึกให้หอยทากทะเลกลุ่มหนึ่งสร้างกลไกเพื่อป้องกันตัวเองจากอันตรายเมื่อโดนกระแสไฟอ่อน ๆ สัมผัสบริเวณส่วนหาง โดยสาเหตุที่เลือกใช้หอยทากทะเล Aplysia californica นั้นเป็นเพราะเซลล์ประสาทของหอยทากทะเลชนิดนี้มีระบบกลไกการทำงานที่คล้ายกันหลายอย่างกับเซลล์ประสาทของมนุษย์ ผลจากการฝึกให้หอยทากกลุ่มตัวอย่างมีปฏิกิริยาต่อสิ่งเร้าและรู้จักป้องกันตัว ในที่สุดหอยทากทะเลกลุ่มนี้ก็เรียนรู้ที่จะหดตัวกลับเข้าเปลือกเพื่อไม่ให้ตัวเองต้องโดนกระแสไฟฟ้าช็อตอีกครั้ง และหลบอยู่ในเปลือกนานกว่า 50 วินาที ซึ่งถือว่าเป็นพฤติกรรมการหลบหนีที่นานกว่าหอยทากกลุ่มอื่น ๆ ที่ไม่เคยได้รับการฝึก เมื่อสอนให้หอยทากมีปฏิกิริยาตอบสนองแตกต่างจากหอยทากทั่วไปได้แล้ว ทีมนักวิทยาศาสตร์ได้สกัด RNA ของหอยทากกลุ่มนี้ออกจากระบบประสาทและนำไปฉีดให้กับหอยทากทะเลอีกกลุ่มหนึ่งที่ยังไม่เคยถูกฝึกให้หลบหนีจากกระแสไฟฟ้าช็อต ผลลัพธ์ที่ออกมาน่าทึ่งเพราะหอยทากกลุ่มหลังที่ไม่เคยผ่านการฝึกมาก่อนมีปฏิกิริยาตอบสนองแบบเดียวกับหอยทากที่ผ่านการฝึก โดยการถ่ายโอน RNA ไม่ทำให้หอยทากทะเลกลุ่มที่สองได้รับบาดเจ็บหรือสร้างความเสียหายทางกายภาพจากการทดลองครั้งนี้อีกด้วย กุญแจสำคัญของการถ่ายโอนความทรงจำอยู่ใน RNA ที่มีชื่อเรียกแบบเต็ม ๆ ว่ากรดไรโบนิวคลีอิก (Ribonucleic acid
ปี 2004 โลกได้รู้จักกับ Motorola RAZR โทรศัพท์มือถือพับได้สุดหรูที่เหล่าลูกคุณหนู นักธุรกิจ ดารานักแสดงต่างต้องมีพกพาติดตัวอย่างน้อยหนึ่งเครื่อง ด้วยความหล่อหรูหราในการออกแบบ วัสดุที่บอกถึงความหรูหราได้ด้วยมือสัมผัส และความสามารถในการช่วยฆ่าเวลาหรือแก้เขินด้วยการเปิดปิดรัว ๆ แม้จะตั้งราคาไม่ค่อนข้างสูงในยุคนั้น แต่เสน่ห์ของมันก็สามารถทำยอดขายได้มากถึง 130 ล้านเครื่องทั่วโลก ซึ่งล้วนเป็นสิ่งที่ Smartphone ปัจจุบันไม่สามารถทำให้เราได้ ด้วยจุดเด่นที่ไร้ใครมาเหมือน Motorola RAZR จึงมักจะมีข่าวลือว่ามันจะคืนชีพกลับมาในยุค 4G ก็หลายครั้ง แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่ยังเคยกลับมาได้จริง ต่างกับข่าวความเคลื่อนไหวครั้งล่าสุดที่ออกมาจากทาง Motorola และบริษัทแม่ Lenovo จับมือกับ Verizon ในอเมริกา เตรียมนำ Motorola RAZR กลับมาแน่ครั้งนี้ในจำนวนจำกัด 200,000 เครื่อง ในราคาแพงมหาโหดถึง $1,500 หรือราว 50,000 บาทเลยทีเดียว แม้มันจะไม่แพงไปกว่าบรรดา Apple XS Max แต่คาดว่าความสามารถของ RAZR น่าจะทำได้ไม่มากเท่าอย่างแน่นอน Paul Pierce ทีมผู้ออกแบบ Motorola
เมื่ออาวุธเคมีที่มีคุณสมบัติทำลายล้างสูงอย่างแก๊สพิษไม่ได้ถูกใช้แค่ในสมรภูมิรบเท่านั้น แต่ยังมีเป้าหมายเพื่อทำลายล้างประชาชนทั่วไปด้วย ดังนั้นไม่ว่าใครต่างก็ต้องเตรียมรับมือกับอากาศปนเปื้อนที่พร้อมจะฆ่าเราได้ทุกเมื่อ ชีวิตที่ต้องใส่หน้ากากกันแก๊สพิษตลอดเวลาจะเป็นอย่างไร ? UNLOCKMEN จะพาย้อนเวลาไปสู่ยุคที่ทุกคนต่างก็ต้องใส่หน้ากากเข้าหากัน สงคราม ควันและแก๊สเป็นสิ่งที่ถูกใช้งานคู่กันมาตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว โดยการใช้ควันไฟไล่ต้อนศัตรูคู่ตรงข้ามให้ออกมาจากถ้ำ และในบางครั้งก็เพิ่มสารหนูลงไปในวัตถุดิบที่ใช้เผาไหม้ก็จะยิ่งเพิ่มประสิทธิภาพมากขึ้น เมื่อมีแก๊สพิษจึงทำให้มีหน้ากากกันแก๊ส จุดเริ่มต้นของสังคมหน้ากากจึงเริ่มต้นขึ้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ที่นับเป็นการนำ Chemical weapons หรืออาวุธเคมีมาใช้อย่างจริงจังเป็นครั้งแรก ไม่ว่าจะเป็นแก๊สน้ำตาที่เป็นอาวุธเคมีรุ่นแรกจากคลังแสงที่กลุ่มทหารฝรั่งเศสนำมาเริ่มใช้ในปีค.ศ. 1914 เมื่อทหารฝ่ายตรงข้ามสูดดมเข้าไปจะทำให้เยื่อบุโพรงจมูกระคายเคือง ส่งผลต่อหลอดลม ปอด รวมถึงดวงตา นอกจากแก๊สน้ำตาแล้วยังมีคลอรีนของฝ่ายกองทัพเยอรมัน เมื่อสูดดมเข้าไปจะส่งผลกระทบต่อระบบทางเดินหายใจและระบบการมองเห็น ทำให้ร่างกายเกิดสภาวะ Asphyxia หรือที่เรียกว่าภาวะร่างกายขาดออกซิเจนเฉียบพลัน มีอาการเจ็บหน้าอก อาเจียน และเสียชีวิตภายใน 2-3 นาที รวมไปถึงอาวุธเคมีชนิดอื่น ๆ อย่าง ฟอสจีน และ มัสตาร์ด จึงเรียกได้ว่าในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 เป็นช่วงที่ต่างฝ่ายต่างก็งัดอาวุธเคมีขึ้นมาสู้กันอย่างดุเดือด เมื่ออาวุธเคมีทวีความร้ายกาจมากขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้ทั้งสองฝ่ายต่างต้องเร่งผลิตหน้ากากกันแก๊สพิษขึ้นมาใช้อย่างจริงจัง แต่หน้ากากในช่วงแรกนั้นไม่สามารถต้านพิษจากสารเคมีที่ลอยอยู่ในอากาศได้ 100% จึงทำให้หน้ากากเริ่มร้อนขึ้นเรื่อย ๆ จนเผาใบหน้าของผู้สวมใส่ และเมื่อถอดหน้ากากออกก็จะต้องสูดดมแก๊สพิษ ซึ่งไม่ว่าจะใส่หรือถอดก็แย่อยู่ดี อาวุธเคมีมีประสิทธิภาพอย่างมากในการลดจำนวนฝ่ายตรงข้ามจึงทำให้บางครั้งมีการทิ้งระเบิดเคมีลงในเมืองใหญ่ ประชาชนต้องสูดดมอากาศที่เป็นพิษ แต่ละฝ่ายจึงต้องเร่งหาวิธีเพื่อป้องกันการจู่โจมของประเทศฝ่ายตรงข้ามที่ไม่รู้ว่าจะปล่อยระเบิดเคมีเมื่อไหร่