สำหรับ Car Enthusiast ทุกคน แค่เห็นชื่อ Pininfarina ก็สามารถนึกภาพรถดีไซน์ล้ำสวยงามตามออกมาได้ไม่รู้จบ และนี่ถือเป็นครั้งแรกที่สำนักออกแบบจาก Italy ดีไซน์ Driving Simulator สำหรับนักขับที่อยากซ้อมฝีมือแบบ indoor และแน่นอนว่าดีไซน์สวยล้ำนำโลกเหมือนเดิม Leggenda eClassic Driving Simulator ออกแบบและสร้างขึ้นด้วยวิธี hand-built ทั้งคัน ผลิตในโรงงาน Cambiano, Italy ซึ่งเป็น headquarter ของ Pininfarina จึงการันตีได้เรื่องการควบคุมคุณภาพในระดับสูงสุดเช่นเดียวกับการผลิตรถยนต์ที่ประณีต สร้างขึ้นเพื่อจำลองความตื่นเต้นของอารมณ์การขับขี่ในสนามแข่งด้วยรถยนต์คลาสสิค ความสวยงามของ Leggenda eClassic Driving Simulator นั้นห่างไกลจาก driving sim อื่น ๆ ที่คุณเคยเห็นมาทั้งชีวิต ส่วนบอดี้รถได้แรงบันดาลใจมาจาก Cisitalia 202 รถสปอร์ต two-seat grand tourer ที่ Pinin Farina ออกแบบในปี 40s ซึ่งเป็นรถที่สวยงามจนถูกเก็บรักษาไว้ใน
Cake ค่ายผลิตมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าจาก Sweden เปิดตัว Makka e-moped ยานพาหนะประเภทจักรยานยนต์เบาที่กึ่งกลางอยู่ระหว่างมอเตอร์ไซค์และจักรยาน ในดีไซน์เท่สุดล้ำแถมยังใช้พลังงานไฟฟ้า ออกแบบมาเพื่อช่วยให้การเดินทางใกล้ ๆ ในเมืองใหญ่เป็นเรื่องที่ง่ายมากขึ้น หลายคนอาจจะรู้จัก Cake ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้าน motorbike นี่จึงเป็นผลงานชิ้นแรกที่ฉีกกรอบเดิม ๆ ของแบรนด์ไปอย่างสิ้นเชิง โครงสร้างของ Makka ออกแบบอย่างเรียบง่ายแต่มีสไตล์โดดเด่น พร้อมคำนึงถึงประโยชน์ใช้สอยที่คนเมืองต้องการ ตัวรถผลิตจาก aluminum แบบ naked พร้อมหน้าจอ touchscreen display แสดงข้อมูลความจุแบตเตอรี่ ความเร็ว และเลือกโหมดการขับขี่ระหว่าง Extended range และ Balanced Performance มีที่วางเท้าเพื่อความสะดวกสบายในการขับขี่ ด้านหลังมี cargo rack พื้นที่สำหรับติดตั้งอุปกรณ์เสริมต่าง ๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็น กล่องใส่สัมภาระ ที่นั่งผู้โดยสาร หรือแม้แต่ child seat ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ ขนย้ายได้ง่ายด้วยน้ำหนักตัวรวมแบตเตอรี่เพียง 59 กิโลกรัม Makka
ช่วงนี้เหมือนอากาศไม่ค่อยเต็มใจ นอกจากเราอยู่บ้าน WFH กันแทบไม่เห็นแสงเดือนแสงตะวันแล้ว ฝนยังตกแทบทุกวันให้อารมณ์เราขุ่นมัวเข้าไปอีก UNLOCKMEN ไม่อยากให้คุณเหงาและเดียวดาย จึงจัด Playlist บทเพลงเกี่ยวกับฝนมาให้ฟังกัน โดยเราคัดเลือกเฉพาะวงร็อคเพื่อนำความร้อนแรงมาปะทะกับความชุ่มชื้นของสายฝน พร้อมเกร็ดเล็ก ๆ น้อย ๆ ของแต่ละเพลงที่น่าสนใจ เรามาฟังกันว่ามีบทเพลงไหนที่ตรงใจคุณกันบ้าง The Beatles – ‘Rain’ (1966) I can show you That when it starts to rain Everything’s the same I can show you I can show you เริ่มต้นกันด้วยบทเพลงแรกที่เรามักจะนึกถึงเมื่อฝนพรำ เพราะแค่พิมพ์คำว่า Rain เพลง ๆ นี้ก็จะแสดงตัวขึ้นเป็นเพลงแรกของเรา Rain ของคณะ 4 เต่าทอง The
Audemars Piguet แบรนด์เครื่องบอกเวลาชั้นสูงจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ได้นำเสนอนาฬิการอยัล โอ๊ค ออฟชอร์ 3 โมเดลใหม่ที่พัฒนาจากรุ่นดั้งเดิมในปี 1993 รังสรรค์ด้วยวัสดุที่แตกต่างกัน ได้แก่ สเตนเลส สตีล (Stainless steel) ไทเทเนียม(Titanium) และพิ้งค์โกลด์ 18 กะรัต ถึงแม้จะคงไว้ซึ่งรายละเอียดสำคัญของนาฬิการุ่นดั้งเดิม ทว่าเรือนเวลาขนาดหน้าปัด 42 มิลลิเมตรทั้ง 3 เรือนนี้มาพร้อมกลไกเซลฟ์ไวนด์ดิ้ง ฟลายแบ็ก โครโนกราฟ (Selfwinding Flyback Chronograph) คาลิเบอร์ล่าสุดจากโอเดอมาร์ ปิเกต์ รวมถึงระบบถอดเปลี่ยนสายด้วยตนเองแบบใหม่ อีกทั้งยังมีการปรับดีไซน์หน้าปัดเล็กน้อย พร้อมยังนำฝาหลังแซฟไฟร์กลับมาใช้อีกครั้งเพื่อนำเสนอกลไกโครโนกราฟซึ่งรังสรรค์อย่างประณีต แม้รังสรรค์ขึ้นด้วยแรงบันดาลใจจากนาฬิการอยัล โอ๊ค ออฟชอร์ รุ่นดั้งเดิมจากปี 1993 ทว่านาฬิกา 3 เรือนใหม่ในขนาดหน้าปัด 42 มิลลิเมตร มาพร้อมกลไกเซลฟ์ไวนด์ดิ้ง ฟลายแบ็ก โครโนกราฟใหม่ล่าสุด และระบบถอดเปลี่ยนสายด้วยตนเอง อีกทั้งยังมีการปรับดีไซน์บนหน้าปัดเล็กน้อย การทำงานที่มีประสิทธิภาพมากกว่าที่เคย นาฬิการุ่นรอยัล โอ๊ค ออฟชอร์ใหม่ทั้ง
แม้หนัง James Bond “No Time to Die” ลำดับที่ 25 จะโดนเลื่อนฉายไปนานแสนนาน คาดว่าไม่เกินเดือนหน้าอาจจะได้ดูพร้อมกันทั่วโลก ตอนนี้เราสามารถเสพความดุเดือดผ่าน Land Rover รุ่นพิเศษ “Defender V8 Bond Edition” สีดำสุดดุดันกันไปก่อน บอกเลยว่ามันเป็น edition ที่น่าเก็บสะสมมากจริง ๆ Land Rover Defender V8 Bond Edition รถที่แต่งเป็นพิเศษเพื่อฉลองการปรากฎตัวในภาพยนตร์ James Bond ตลอดระยะเวลา 38 ปี โดยในภาค No Time To Die นี้นอกจาก Defender ยังมี Range Rover Sport SVRs, Range Rover Classic และ Land Rover Series
Audemars Piguet เปิดตัวนาฬิการอยัล โอ๊ค ออฟชอร์ ไดเวอร์ ขนาดหน้าปัด 42 มิลลิเมตรรุ่นใหม่ที่ผลิตจำนวนจำกัดเพียง 300 เรือน เช่นเดียวกับนาฬิการอยัล โอ๊ค ออฟชอร์ ไดเวอร์ 3 โมเดลที่เปิดตัวในช่วงต้นปีที่ผ่านมา นาฬิการุ่นลิมิเต็ดเรือนนี้ขับเคลื่อนด้วยคาลิเบอร์ 4308 ซึ่งเป็นกลไกเซลฟ์ไวนด์ดิ้ง (Selfwinding) ล่าสุดของโอเดอมาร์ ปิเกต์ อีกทั้งยังใช้ระบบถอดเปลี่ยนสายนาฬิกาด้วยตนเอง พร้อมดีไซน์หน้าปัดที่ตอบโจทย์ทุกการผจญภัยครั้งยิ่งใหญ่ไม่ว่าจะบนบกหรือใต้น้ำ กลไกที่พร้อมสำหรับทุกการผจญภัย นาฬิการอยัล โอ๊ค ออฟชอร์ ไดเวอร์ รุ่นลิมิเต็ด อิดิชั่น มาพร้อมกลไกอัตโนมัติแบบล่าสุดของโอเดอมาร์ ปิเกต์ พร้อมการแสดงวินาทีและการแสดงวันที่แบบ Instant-Jump คาลิเบอร์ 4308 ถูกติดตั้งพร้อมกลไกที่ช่วยมอบเสถียรภาพและความแม่นยำเมื่อปรับฟังก์ชันของนาฬิกา สเกลเวลาการดำน้ำที่แสดงอยู่บนวงแหวนด้านในที่สามารถหมุนได้ของหน้าปัดสามารถเปิดใช้งานด้วยกลไกการคลิกแบบทิศทางเดียวที่ถูกติดตั้งให้เชื่อมกับเม็ดมะยมตรงที่ตำแหน่ง 10 นาฬิกา ฝาหลังแซฟไฟร์เผยให้เห็นเทคนิคการตกแต่งสุดประณีตของคาลิเบอร์ 4308 ไม่ว่าจะเป็นลาย โกตส์ เดอ เฌอแนฟ (Côtes de Genève) เทคนิคเทรตส์ ทิเรส์
โลกแห่งความเร็วของรถยนต์สมรรถนะสูงกำลังก้าวไปสู่มาตรฐานอีกขั้นด้วยเทคโนโลยี High-performance Hybrid ยืนยันด้วยนวัตกรรมชิ้นล่าสุดจาก Mercedes-AMG กับการเปิดตัว 2022 GT63 S E Performance ขุมพลังระดับ 831 แรงม้า แรงบิดมหาศาล 1400 นิวตันเมตรจากโรงงาน จากเดิมที่เราคาดว่าจะใช้ชื่อรหัส GT73 การเพิ่มตัวอักษร E เข้าไปในชื่อรุ่นนี้ ย่อมหมายถึงการใช้ขุมพลังใหม่ เครื่องยนต์ 4.0-liter twin-turbo V8 พร้อมมอเตอร์ไฟฟ้าติดตั้งที่เพลาท้าย เกียร์ AMG Speedshift MCT 9-speed พร้อม multi-clutch ช่วยรีดเค้นสมรรถนะให้กับรถบอดี้ 4 ประตูจนแรงแซง Brabus 800 แบบไม่ต้องจูนอะไรเพิ่ม ทิ้ง 2021 Mercedes-AMG GT Black Series 720 แรงม้า แรงบิด 800 นิวตันเมตร อดีต supercar ที่ร้อนแรงที่สุดจาก
งานดีไซน์ที่ดีต้องช่วยส่งเสริมชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนให้ดีขึ้นได้ด้วย นี่คือ “UNAwheel maxi” ตัวอย่างสุดยอดงานดีไซน์จาก SupremeMotors บริษัทสัญชาติ Russian ที่ถูกพูดถึงมากจาก iF Design Award 2021 ไอเดียที่ช่วยเปลี่ยนรถเข็นคนพิการให้สามารถเดินทางช่วยเหลือตัวเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยการเปลี่ยนให้เป็นยานพาหนะพลังงานไฟฟ้าด้วย design concept ที่เรียบง่ายและใช้ได้กับรถเข็นที่มีอยู่ทั่วไป ไอเดียของ UNAwheel maxi คือการออกแบบส่วนขับเคลื่อนด้านหน้า เป็นส่วน add-on ที่เชื่อมต่อกับรถเข็นคนพิการได้ทุกรูปแบบ ส่วน Hardware ประกอบไปด้วยแฮนด์สำหรับบังคับทิศทาง สามารถปรับระดับได้ตามรูปร่างของผู้ใช้งาน และส่วนขับเคลื่อนที่ใช้มอเตอร์ไฟฟ้า ดึงพลังงานจาก built-in battery สามารถขับเคลื่อนได้ด้วยความเร็วสูงสุด 20 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ใช้งานได้ระยะทาง 30 กิโลเมตรต่อการชาร์จไฟเต็มหนึ่งครั้ง วัสดุผลิตจากการผสมผสานเหล็กและพลาสติก รวมน้ำหนักเพียง 12 กิโลกรัม ขึ้นรูปด้วยเทคโนโลยีการตัดแต่งที่ทันสมัย บริเวณแฮนด์ผลิตจากยาง บอดี้ด้านหลังผลิตจากพลาสติกที่ปราศจากส่วนคมและดูดซับแรงกระแทกได้ดีในกรณีเกิดอุบัติเหตุ สามารถประกอบและถอดแยกออกจากรถเข็นได้อย่างง่ายดายภายใน 30 วินาที UNAwheel maxi มีหลากหลายดีไซน์ ซึ่งเวอร์ชันที่เราเห็นเป็นไอเดียการออกแบบล่าสุดของ SupremeMotors และไม่ว่าจะเป็นดีไซน์ไหน
หากเราจะเปรียบตำรวจเป็นสีใดสีหนึ่ง สี ๆ นั้นย่อมไม่ต่างกับสีขาวบริสุทธิ์ เพราะโดยหน้าที่และภาพลักษณ์นั้นของตำรวจที่ตั้งตัวอยู่ในฟากฝั่งแห่งความยุติธรรม เป็นที่พึ่งพาของประชาชน อยู่ตรงข้ามกับเหล่าอาชญากรผู้ร้ายอย่างสิ้นเชิง แต่มีหนังเรื่องหนึ่ง ที่วิพากษ์วิจารณ์การทำงานของตำรวจอย่างเผ็ดร้อน สะท้อนความตกต่ำถึงขีดสุดของอาชญากรในคราบผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ได้อย่างเข้มข้น จนตัวละครตัวนี้กลายเป็นหนึ่งในตัวร้ายบนโลกภาพยนตร์ที่เหี้ยมโหด ชั่วร้าย ใช้ช่องว่างทางกฏหมายในมือเปลี่ยนดำให้เป็นขาวอย่างเลือดเย็น บวกกับการแสดงที่เข้าถึงอารมณ์จนคว้ารางวัลใหญ่ไปครอบครองมาแล้ว มาทำความรู้จักกับวายร้ายที่รักคนล่าสุด เจ้าหน้าที่ตำรวจสุดเท่และโคตรโหด agent Alonzo Harris แห่งหนัง Training Day (2001) หนังอาชญากรรมคลาสสิคที่หยิบเอาโลกสุดดาร์คของเจ้าหน้าที่ตำรวจออกมาเปิดเผยให้พวกเราได้เห็น บทบาทที่ส่งให้ Denzel Washington คว้ารางวัลออสการ์ไปครอง สะท้อนให้เห็นว่าตำรวจสีเทาเข้มจนดำสนิทนั้นโฉดและโหดเหี้ยมแค่ไหน หนึ่งวันแห่งการฝึกฝน เปลี่ยนจากคนให้กลายเป็นปีศาจ เสียงนาฬิกายามเช้าปลุกให้ตำรวจหนุ่มหน้าใหม่ไฟแรงอย่าง Jake Hoyt (นำแสดงโดย Ethan Hawke) ออกปฏิบัติการในฐานะตำรวจปราบปรามยาเสพติด วันนี้เป็นวันแรกที่เขาได้พบกับตำรวจรุ่นพี่อย่าง Alonzo Harris (นำแสดงโดย Denzel Washington) สายสืบตัวเก๋ามากประสบการณ์ ที่แววตาและท่าทางดูน่ากลัวตั้งแต่แรกเห็น แค่วันแรก เขาก็พา Jake ไปพบกับโลกแห่งความเป็นจริงของการเป็นตำรวจ อำนาจที่สามารถเปลี่ยนผิดเป็นชอบ กฎหมายสามารถเปลี่ยนดำให้เป็นขาว พร้อมจะหยิบยื่นความตายให้ใครสักคนได้ด้วยจำนวนเงินที่มากพอ เพียงแค่
“A Man Went Looking for America and Couldn’t Find It Anywhere” คำโปรยบนโปสเตอร์หนัง Easy Rider ที่มีพล็อตแสนเบาบาง เพียงแค่ 2 นักบิดที่เพิ่งขายโคเคนได้เงินมาจำนวนหนึ่ง ออกเดินทางจากลอสแองเจลิสไปยังนิวออร์ลีนส์ถึงฟลอริดา เพื่อหลีกหนีความวุ่นวายกับในช่วงสงครามเวียดนามที่คุกกรุ่น แต่พล็อตเบาบางนี้กลับทำกำไรมหาศาล และสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับวงการหนังอเมริกัน จนกลายเป็นตำนานหน้าสำคัญแห่งยุคสมัย และเป็นจุดเริ่มของหนัง American Indie มาย้อนทำความรู้จักหัวขบวนแห่งการขบถครั้งยิ่งใหญ่บนแผ่นฟิล์ม ที่คลอเคล้าไปด้วยบรรยากาศฮิปปี้ ความเมามาย และหมุดหมายแห่งอิสระเสรีที่เปลี่ยนสังคมไปตลอดกาล ขบถแห่งการต่อต้านวัฒนธรรม “Easy Rider” คือหนังที่สร้างขึ้นในปี 1969 ปีที่เกิดความเปลี่ยนแปลงมากมายในสังคมอเมริกัน ไม่ว่าจะเป็นการเหยียบดวงจันทร์ครั้งแรกของยาน Apollo 11 ไปจนถึง เหตุการณ์ Woodstock เทศกาลทางดนตรีแห่งสันติภาพที่มีคนร่วมงานเกิน 500,000 คน จนนำไปสู่การชุมนุมประท้วงที่วอชิงตันดี.ซี.ในจำนวนคนที่ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน และปฏิเสธไม่ได้ว่าในปีเดียวกันนี้ “Easy Rider” ก็เป็นหนึ่งในเหตุการณ์สำคัญไม่แพ้กัน หนังนำแสดงโดย Peter Fonda รับบท “Wyatt”