ความฉลาดเป็นอีกหนึ่งสิ่งนามธรรมที่ชวนให้ผู้ชายอย่างเรายืนงงเกาหัวแกรก ๆ เพราะความฉลาดนั้นมีหลากหลายรูปแบบ และความฉลาดอย่างหนึ่งที่คนมักมองข้ามคือความฉลาดทางอารมณ์ หรือที่เรามักเรียกกันว่า EQ ความฉลาดทางอารมณ์สำคัญกว่าที่เราคิดเพราะมันช่วยให้เรารู้เท่าทันอารมณ์ของตัวเราเอง จำแนกได้ว่าเรากำลังรู้สึก กำลังคิดอะไร ทำให้เราเข้าใจผลที่จะตามมาจากอารมณ์ความรู้สึกนั้นของเรา และข้อมูลพวกนี้เองที่จะให้เราสามารถกำหนดความคิดและการกระทำของเรา รวมถึงช่วยในการตัดสินใจและไปถึงเป้าหมายได้เร็วยิ่งขึ้น นึ่จึงเป็น 5 วิธีเพิ่มความฉลาดทางอารมณ์ให้แหลมคมจนคุณต้องแปลกใจตัวเอง รู้เท่าทันอารมณ์ของตัวเอง เราไม่ใช่พระอรหันต์ที่จะรู้เท่าทันอารมณ์ตัวเองได้ตั้งแต่วินาทีแรกที่มันเกิดขึ้น UNLOCKMEN ก็ไม่ได้คาดหวังให้คุณทำได้ขนาดนั้น แต่เคล็ดลับก็คือการฝึกฝน เริ่มง่าย ๆ จากการที่เราเกิดอารมณ์อะไรรุนแรง เช่น โกรธมาก หงุดหงิดมาก เสียใจมาก ให้เราค่อย ๆ สังเกตว่าอะไรทำให้เรารู้สึกแบบนั้น พอเรารู้สึกแบบนั้นแล้วเราแสดงอาการอะไรออกมา เพื่อที่เราจะได้รู้เท่าทันอารมณ์ตัวเองมากขึ้นว่าอารมณ์ไหนเกิดจากสาเหตุอะไร และจะรับมือมันอย่างไร ถามความคิดเห็นจากคนอื่น คนอื่นมักมองเห็นเราในมุมที่เรามองไม่เห็นตัวเอง ดังนั้นก็ถามเพื่อนร่วมงาน เพื่อนสนิท คนในครอบครัวดูบ้างก็ได้ว่าเวลามีเรื่องที่ต้องให้ระเบิดอารมณ์ ไม่ว่าจะอารมณ์ไหน เรามีปฏิกิริยาเป็นอย่างไรบ้าง หรือเวลาต้องรับมือกับคนอื่นที่แสดงอารมณ์ของเขาออกมามาก ๆ เรามีท่าทีเป็นอย่างไร โดยมุมมองที่ได้จากคนรอบตัวเหล่านี้จะช่วยให้เราเข้าใจวิธีการแสดงออกทางอารมณ์ของตัวเราเองมากขึ้น หยุด! ใช่ ง่าย ๆ แค่หยุด หยุดตัวเองก่อนจะแสดงออกทางอารมณ์อะไรออกไป เวลาที่เรามีอารมณ์อะไรมาก ๆ เราก็มักจะพูดหรือแม้แต่คิดอะไรที่รุนแรงออกไป เพราะฉะนั้นเราต้องเรียนรู้ที่จะหยุดตัวเองก่อนที่จะแสดงออกอะไรที่ไม่สมควรออกไป เช่น
ไม่ใช่ทุกคนขี้เกียจที่จะฉลาด แต่คนฉลาดอาจขี้เกียจก็เป็นได้ UNLOCKMEN ไม่ได้พูดเองเออเองลอย ๆ (ถึงจะแอบอยากเข้าข้างตัวเองที่ขี้เกียจอยู่บ้าง) วันนี้มีงานวิจัยที่ถูกตีพิมพ์ใน Journal of Health Psychology ออกมาบอกให้เราใจชื้นแล้ว งานวิจัยบอกว่าคนที่ใช้เวลาคิดอะไรเร็ว ๆ ลงมือทำอะไรเร็ว ๆ มีแนวโน้มที่จะแอคทีฟทางร่างกายมากกว่า ในขณะที่บรรดาคนที่คิดอะไรนาน ๆ ถี่ถ้วนไปมามักจะไม่ค่อยแอคทีฟทางร่างกาย เรียกว่าที่นั่ง ๆ นอนนิ่ง ๆ จริง ๆ ผมคิดอยู่! ก่อนจะงงไปกว่านี้ UNLOCKMEN ขออธิบายให้เข้าใจง่าย ๆ ชิล ๆ ในบทความที่คุณกำลังจะอ่านต่อไปนี้เลยแล้วกัน! งานวิจัยนี้มีชื่อยาวเหยียดว่า The physical sacrifice of thinking: Investigating the relationship between thinking and physical activity in everyday life โดยการศึกษาครั้งนี้ศึกษากลุ่มตัวอย่าง 60 คน ดูกิจกรรมทางร่างกายของพวกเขาอย่างละเอียด จากนั้นแบ่งกลุ่มตัวอย่างออกเป็น 2
‘การฟังเพลง’ ถือเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของผู้ชายอย่างเรา ๆ อย่างแยกไม่ออก (หรือจะเถียง!?) มีความสุขสุดเหวี่ยงก็ฟังเพลง ทุกข์เศร้าเคล้าน้ำตาอกหักมาจากสาวคนไหนก็ฟังเพลง หรืออารมณ์ปกติธรรมดานั่งว่าง ๆ มึน ๆ อึน ๆ ก็ฟังเพลง เพลงแต่ละแบบก็เหมาะกับอารมณ์อันหลากหลายของเราแตกต่างกันไป แล้วเพลงแบบไหนที่นักจิตวิทยาเขาศึกษามาแล้วว่าโคตรเหมาะกับการตื่นนอนตอนเช้ากันแน่? เพลงไม่ได้มีผลแค่ช่วยให้เราตื่นนอนอย่างมีประสิทธิภาพเท่านั้น แต่เพลงไม่ต่างจากยาวิเศษลึกลับที่ออกฤทธิ์หลากหลายแบบ งานวิจัยจำนวนมากที่ศึกษาเรื่องผลของการฟังเพลงหรือดนตรีที่สัมพันธ์ต่อสิ่งต่าง ๆ ของมนุษย์ การฟังเพลงสามารถช่วยให้เราทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น การฟังเพลงช่วยให้เราทำงานเป็นทีมได้ดีขึ้น หรือแม้แต่การเล่นดนตรีภายในบ้านจะช่วยทำให้คนในครอบครัวใกล้ชิดกันมากขึ้น หรือแม้แต่การฟังเพลงช่วยให้สุขภาพเราดีขึ้นได้ด้วย (เออ เอากับมันสิ) แต่ครั้งนี้ UNLOCKMEN จะพามาโฟกัสที่งานวิจัยของนักจิตวิทยาที่ชื่อว่า David Greenberg จาก University of Cambridge ซึ่งเขาศึกษาเรื่องดนตรีในหลากหลายแบบทั้งบุคลิกภาพของมนุษย์ที่ส่งผลต่อการฟังเพลง หรือการเลือกฟังเพลงแบบไหนสามารถส่งผลต่อวิธีคิดของเราได้ด้วย ส่วนเจ้า Playlist กระแทกหน้าซึ่งประกอบด้วย 20 เพลงที่เรากำลังจะนำมานำเสนอนี้ เป็นงานวิจัยที่เขาทำร่วมกันกับ Spotify มิวสิคสตรีมมิ่งชื่อดังที่กำลังเข้ามามีบทบาทอย่างมากในหมู่คนฟังเพลงประเทศเรา หลักการหลัก 3 อย่างที่ David Greenberg บอกว่าเพลงทั้ง 20 เพลงนี้โคตรเหมาะกับการฟังตื่นนอนได้แก่ อย่างแรกมันต้องเริ่มจากจังหวะที่นุ่มนวลไม่ใช่มาถึงแล้วกระชากเลย แต่ต้องค่อย ๆ
กินเหล้าเมายาเหมือนว่ามันกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตผู้ชายอย่างเรา ๆ ไปแล้ว เพราะการกินเหล้านอกจากจะเป็นความสนุกสุขใจส่วนตัวแล้ว เรายังได้สังสรรค์สานความสัมพันธ์และมิตรภาพอีกด้วย แต่ความสุขและความสัมพันธ์อาจมาจากบรรยากาศในวงเหล้า โดยเราไม่จำเป็นต้องเมาหัวราน้ำก็ได้ นี่จึงเป็น 7 วิธีที่จะทำให้คุณนั่งอยู่ในวงเหล้าได้ทั้งคืนแต่ไม่ต้องเมาอ้วกแตกให้เสียสุขภาพ อย่าปล่อยให้ท้องว่าง ขั้นแรกเลยคืออย่าปล่อยให้ท้องว่าง ไม่ว่าจะรีบบึ่งไปหาเพื่อนเพื่อก๊งเหล้ามากแค่ไหน ก็หาอะไรรองท้องอย่าปล่อยให้ตัวเองไม่ได้กินอะไรไปเลย ถ้าไม่มีเวลากินอาหารมื้อใหญ่ก็ควรกินอะไรรองท้องไปหน่อย เพื่อสุขภาพยืนยาวจะได้อยู่กินเหล้าไปนาน ๆ กินช้า ๆ ได้พร้าเล่มงาม จะกินเร็วไปทำไม ในเมื่อเราไม่ได้มาเพื่อกรอกเหล้าเข้าปากให้จบ ๆ ไปแล้วกลับบ้านนอน เรามาเพื่อสังสรรค์ เอาบรรยากาศ และดื่มด่ำความสุขที่ได้รับจากการดื่มกิน ดังนั้นไม่ต้องรีบ ค่อย ๆ ละเลียดรสชาติของน้ำสีอำพันไป นอกจากได้ดื่มด่ำแล้ว ยังทำให้เมาช้าลงอีกด้วย ดื่มน้ำเยอะ ๆ การดื่มเครื่องดื่มมีแอลกอฮอลล์นั้นทำให้ร่างกายขาดน้ำอย่างที่เราคาดไม่ถึง ทางที่ดีควรดื่มน้ำก่อนกินเหล้า ดื่มน้ำระหว่างกินเหล้า และดื่มน้ำหลังกินเหล้าด้วย แต่ถ้าลืม ทำไม่ได้ กินเหล้าไปก็ดื่มน้ำไปก็สามารถช่วยให้เมาช้าลงได้ กินกับแกล้ม ไม่ว่าจะชอบกินกับแกล้มหรือไม่ชอบกิน แต่ถ้าไม่อยากเมาเร็ว ก็ดื่มไป ตักกับแกล้มกินไป ไม่ให้ท้องว่าง ยิ่งถ้าไม่ได้กินอะไรรองท้องมาตั้งแต่แรกแล้วล่ะก็ การมีกับแกล้มเป็นของคู่วงเหล้านับเป็นทางออกที่ชาญฉลาดที่สุดอีกทางหนึ่ง อย่าเชื่อฟังคำยุยงหมดแก้ว ๆ เราหมดยุคเด็กมัธยมโชว์เก๋า โชว์กระดกเหล้าหมดแก้วตามคำยุของเพื่อน แต่สุดท้ายก็เมาอ้วกไม่เป็นท่ามาแล้ว
ไม่ว่าองค์กรเล็กใหญ่หรือใครก็ล้วนเคยผ่านวิกฤตดราม่าจากคำพูดกันแทบทั้งสิ้น ไม่ว่าคำพูดจะออกมาด้วยความตั้งใจ ไม่ตั้งใจ หรือคนตีความผิดไปเองจนงานเข้าเรื่องราวบานปลาย แต่เมื่อปัญหาเกิดขึ้นแล้ว ขึ้นอยู่กับว่าเรารับมือและจัดการกับวิกฤตดราม่าจากคำพูดครั้งนั้นได้อย่างไรบ้างต่างหาก UNLOCKMEN จึงเล็งเห็นแบบชัดแจ้งเต็มตาว่าในโลกที่โซเชียลมีเดียถูกสุมไฟดราม่าให้คุกรุ่นได้ง่าย เราทุกคนล้วนต้องการหาทางลงให้กับดราม่าที่เกิดขึ้นอย่างเท่ ๆ ซึ่งเรารับรองว่า 5 วิธีนี้ใช้ได้ทั้งองค์กรธุรกิจและคนธรรมดา 1.รุ่นใหญ่ใจต้องนิ่ง การโต้ตอบหรือจัดการวิกฤติที่เกิดขึ้นแบบรวดเร็วทันใจมันก็ดูเหมือนจะดีในโลกที่ทุกอย่างวิ่งไวในโลกออนไลน์ไปเสียหมดอย่างนี้ แต่มันจะดีกว่าถ้าเราได้นั่งนิ่ง ๆ ตรวจสอบสถานการณ์ทั้งหมดให้ถี่ถ้วนในเวลาที่เร็วที่สุดแต่ก็รอบคอบที่สุดว่าวิกฤตเกิดจากอะไร กรณีที่บุกเดี่ยวมาแต่แรก ก็นิ่งไว้ก่อนดีที่สุด ยิ่งตอบโต้ในช่องทางออนไลน์ ทุกอย่างจะมีแต่แย่ลง ๆ ในขณะที่ถ้าเป็นระดับองค์กรก็ควรบอกให้ทุกคนนิ่งเข้าไว้ รู้ว่าหัวร้อนแต่อย่าให้ใครไปโต้ตอบในช่องทางออนไลน์เด็ดขาด ควรปล่อยให้ฝ่ายสื่อสารองค์กรลุยเท่านั้น 2.รวมทีมอเวนเจอร์ซะ! ซุปเปอร์ฮีโร่เขายังไม่สู้คนเดียว เพราะคนเดียวหัวหาย หลายคนมีแต่ดี หลังจากวิกฤตการณ์เกิดขึ้นแล้ว ให้รีบรวบรวมทีมผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียกับองค์กรทั้งหมดให้เร็วที่สุดเพื่อช่วยกันปรึกษา ขอความคิดเห็นหลากหลายแบบในการรับมือ หรือร่างข้อความที่จะสื่อสารกลับไป ไม่ว่าจะเป็นการขอโทษ การชี้แจงในส่วนของเรา หรือการโต้ตอบในกรณีที่จำเป็น นอกจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในองค์กรแล้ว ควรเชิญผู้เชี่ยวชาญในเรื่องที่กำลังดราม่านั้นมาด้วย แต่ถ้าเป็นกรณีที่บุกเดี่ยวก่อดราม่าคนเดียวมาแต่แรก ก็อาจปรึกษาเพื่อน คนใกล้ตัว หรือผู้ใหญ่ที่เราเชื่อถือควบคู่กันไปแทน 3.อย่ารีบด่วนสรุป ท่องจำให้ขึ้นใจว่าทุกอย่างต้องดำเนินการไปตามข้อเท็จจริงเท่านั้น ไม่ใช่อารมณ์ความรู้สึก! โดยเฉพาะเมื่อทุกคนกำลังหัวร้อน คันไม้คันมืออยากโต้ตอบ แต่ข้อสรุปแรก ๆ ที่เราได้และวางแผนจะจัดการมักจะผิด (ไม่เสมอไป แต่บ่อยครั้ง) ดังนั้นคิดให้ครบสองสามรอบก่อนตัดสินใจลงมือชี้แจงอะไร 4.ให้คนคนเดียวออกมาพูด
อาชีพมีเป็นร้อยเป็นพันอาชีพ เราต่างมีความใฝ่ฝันทั้งเล่นทั้งจริงถึงอาชีพที่เราอยากทำแตกต่างกันออกไป ไหนจะอาชีพแปลก ๆ มากมายบนโลกใบนี้ และหนึ่งในอาชีพสุดแปลก สุดน่าสนใจ จนอยากจะรู้ว่าเขาทำอะไรกันบ้างที่เรากำลังจะพูดถึงซึ่งก็คืออาชีพ ‘คนรีวิวการให้บริการทางเพศ’ หรือ ‘ผู้สำรวจมาตรฐานการให้บริการทางเพศ’ อยากรู้ล่ะสิว่ามันมีที่มาที่ไปยังไงกันแน่? การรับรองมาตรฐานการให้บริการทางเพศที่ว่าไม่ได้เกิดขึ้นในไทยแต่อย่างใด แต่เกิดขึ้นที่ประเทศเยอรมัน ที่ที่การให้บริการทางเพศเป็นเรื่องถูกกฎหมาย โดยผู้สำรวจมาตรฐานการให้บริการทางเพศก็ทำงานให้กับ The German brothel owners’ association (BSD) หรือพูดง่าย ๆ ว่าคือสมาคมเจ้าของสถานให้บริการทางเพศแห่งประเทศเยอรมัน ส่วนหน้าที่นี้ก็ไม่ได้มาเพราะโชคช่วยแต่เกิดจากการที่สมาคมฯ ได้คิดค้นนวัตกรรมที่จะทำให้อุตสาหกรรมด้านการบริการทางเพศในเยอรมันนั้นดีขึ้น ด้วยการควบคุมคุณภาพ ควบคุมความโปร่งใสตรวจสอบได้ รวมถึงควบคุมการบริการด้วย พวกเขาจึงคิดการ “ประทับตรารับรองการให้บริการทางเพศ” ขึ้น สำหรับหน้าที่ของ ‘ผู้สำรวจมาตรฐานการให้บริการทางเพศ’ ก็มีหน้าที่ให้เรทการให้บริการทางเพศที่ไม่ต่างอะไรกับการให้ดาวโดยมีตั้งแต่ 1 ดาวชนิดที่ว่าต่ำเตี้ยเรี่ยดินไม่ได้มาตรฐานสุด ๆ ไปจนถึงได้ 6 ดาวที่แบบช่างว้าวอะไรขนาดนี้ ‘ผู้สำรวจมาตรฐานการให้บริการทางเพศ’ ต้องทำหน้าที่รับรอง 3 สเต็ปด้วยกัน โดยสเต็ปต่าง ๆ ก็จะเป็นการสำรวจสถานที่ให้บริการว่าเจ้าของกิจการเป็นใคร ตรวจสอบได้ไหม สถานบริการขนาดใหญ่แค่ไหน จากนั้นก็ดูสภาพความการทำงานว่าทำงานตามชั่วโมงที่เป็นไปตามกฏหมายหรือเปล่า น้อง ๆ หนู
การฟังเพลงบางครั้งก็เหมือนการตกอยู่ในมนต์สะกดอะไรบางอย่าง ทำให้เรารู้สึกหลงใหลเคลิบเคลิ้ม บางทีก็เศร้าจนร้องไห้ออกมา หลาคราก็ตื่นเต้นเร้าใจจนอยากกระโดดไปให้สุดขอบฟ้า แล้วเคยฟังเพลงแล้วรู้สึกหนาว ๆ แปลก ๆ จนไปถึงขั้นขนลุกไหม รู้หรือไม่ว่าถ้าฟังเพลงแล้วเกิดอาการขนลุก หนาว ๆ ขึ้นมาอาจแปลว่าสมองคุณพิเศษกว่าคนอื่น Matthew Sachs เจ้าของงานวิจัยเรื่อง Brain connectivity reflects human aesthetic responses to music คือคนที่ศึกษาเรื่องเพลงที่ส่งผลต่อสมองและร่างกายโดยตรง งานวิจัยที่ว่านี้ทำการทดลองจากกลุ่มตัวอย่างจำนวน 20 คนถ้วน โดยใน 20 คนนี้มีจำนวน 10 คนที่ฟังเพลงแล้วก็เฉย ๆ ก็อาจรู้สึกว่าเพราะดี แต่ไม่ได้มีอะไรที่รู้สึกต่อร่างกายหรือความรู้สึกเป็นพิเศษ ในขณะที่อีก 10 คนมีความรู้สึกขนลุก และรู้สึกว่าร่างกายมีการตอบสนองบางอย่าง Alissa Der Sarkissian คือคนหนึ่งที่ร่างกายตอบสนองเป็นพิเศษ โดยเธอรู้สึกว่าการหายใจของเธอเป็นไปตามจังหวะของเพลงที่เธอกำลังฟัง หัวใจของเธอเต้นช้าลง เธอรับรู้ถึงอารมณ์ความรู้สึกของเพลงที่เธอกำลังฟังเป็นพิเศษ แต่อย่างไรก็ตามทั้งหมด 20 คนนั้นจะได้รับการสแกนสมองอย่างละเอียด หลังจากนั้นผลออกมาว่าผู้ที่ฟังเพลงแล้วขนลุกหรือรู้สึกหนาวขึ้นมามีความแตกต่างทางโครงสร้างสมองจากคนที่ไม่รู้สึกอะไรเลยกับการฟังเพลง สมองของผู้ที่ขนลุกจากการฟังเพลงหรือดนตรีมีปริมาณเส้นใยที่เชื่อมต่อบริเวณเปลือกหุ้มหูซึ่งเป็นพื้นที่ที่เกี่ยวข้องกับการประมวลผลทางอารมณ์มากกว่า ส่งผลให้มีประสิทธิภาพในการประมวลผลระหว่างหูและความรู้สึกมากกว่าคนทั่วไป Matthew Sachs
ความผิดพลาด ความผิดหวังไม่ต่างอะไรจากหนทางหนึ่งของชีวิต โดยเฉพาะการประสบความสำเร็จที่ต้องอาศัยการลองทำอะไรใหม่ ๆ อาศัยการลงมือทำสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อน จึงไม่แปลกอะไรที่เราจะเจอความผิดพลาด หรือความผิดหวังที่โผล่หน้ามาทักทายเราบ้าง แต่เราจะจมอยู่กับความผิดพลาดนั้น แล้วนั่งหงอกลัวการเริ่มต้นใหม่อีกครั้งไปตลอดกาล หรือเราจะลองเปลี่ยนวิธีคิดเพื่อเผชิญหน้ากับความผิดพลาดที่เกิดขึ้น แล้วกระโจนลงไปเริ่มใหม่อย่างฮึกเหิมลองดูใหม่อีกสักตั้งดู! 1.ความผิดพลาดไม่ใช่ปัญหา แต่ถ้าไม่ใช้โอกาสในการเรียนรู้จากข้อผิดพลาดนั่นแหละปัญหา ใคร ๆ ก็ทำพลาดกันได้ เราเลือกได้ว่าจะแค่จมจ่อมอยู่กับปัญหานั้นไปตลอดชีวิตที่เหลืออยู่ของเรา หรือจะให้มานเป็นโอกาสอันดีที่จะเรียนรู้จากข้อผิดพลาดนั้นเพื่อไม่ให้ทำมันซ้ำอีก หรือต้องพลาดในจุดเดิม จงจำไว้ว่าในทุก ๆ ข้อผิดพลาดมันมีความเป็นไปได้ที่จะทำให้เราเรียนรู้และเติบโตขึ้น 2.ระวังความคิดที่มีต่อตัวเราเอง บอกตัวเองว่าเราไม่ได้ไร้ค่าแค่เพราะความผิดครั้งเดียว ความคิดต่อตัวเองมีส่วนสำคัญต่อทัศนคติ และสิ่งที่เราจะทำในอนาคตเป็นอย่างมาก ดังนั้นหลังข้อผิดพลาดเกิดขึ้นจงยอมรับว่าเราผิดและเรียนรู้จากมัน แต่อย่าใช้ความรู้สึกในการทิ่มแทงตัวเอง ซ้ำเติมตัวเองซ้ำ ๆ ว่าเราโง่ เราแย่ เราไม่ดี ให้คิดว่านี่คือส่วนหนึ่งของการเรียนรู้ ไม่ใช่ความผิดพลาดที่คงอยู่ตลอดไป 3.รู้จักลองทำสิ่งใหม่ ๆ แล้วผิดพลาด ดีกว่านั่งสมบูรณ์แบบเพราะการอยู่เฉย ๆ การอยู่เฉย ๆ อาจทำให้คุณสะอาดปราศจากมลทินแห่งความผิดพลาดไปตลอดชีวิต แต่การประสบความสำเร็จไม่ได้งอกเงยออกมาจากการนั่งอยู่เฉย ๆ ได้ เราจึงต้องลงมือทำอะไรใหม่ ๆ เพื่อให้ผลลัพธ์ออกมาไม่ซ้ำเดิม และแน่นอนว่าการลงมือทำอะไรที่ไม่เคยทำต้องเจอกับข้อผิดพลาด เจอกับความผิดหวังบ้างเป็นธรรมดา เพราะฉะนั้นคุณมาถูกทางแล้ว! 4.เราคือผลผลิตของผิดพลาดในอดีต แต่อย่าให้ข้อผิดพลาดมานิยามสิ่งที่เราเป็น แน่นอนว่าข้อผิดพลาด
‘ความผิดพลาด’ เป็นสิ่งที่เลี่ยงได้ยาก ไม่ว่าจะในธุรกิจหรือในชีวิตจริง แม้ว่าเราจะพยายามหลีกเลี่ยงมันโดยตลอด แต่การทำธุรกิจหรือการลองทำสิ่งใหม่ ๆ เพื่อความเติบโตย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะเกิดข้อผิดพลาดที่เราคาดไม่ถึง ‘ความผิดพลาด’ไม่ใช่เรื่องของธุรกิจที่เพิ่งเริ่มเติบโตหรือคนตัวเล็ก ๆ อย่างเราเท่านั้น บริษัทน้ำดำยักษ์ใหญ่อย่างโค้กก็เคยผิดพลาดครั้งใหญ่โตมาแล้วเช่นกัน ย้อนกลับไปเมื่อปี 1985 เมื่อโค้กอยากชนกับเป๊ปซี่และหวังจะได้รับชัยชนะ พวกเขาจึงได้ริเริ่มไอเดียสุดเด็ดขึ้น ทีมวิจัยการตลาดของโค้กได้สำรวจและพบว่า โค้กรสชาติใหม่ของพวกเขาถ้าออกมาครั้งนี้ต้องได้รับความนิยมอย่างล้นหลามจนเป๊ปซี่ต้องแพ้กระจุยกระจาย พวกเขาจึงสรรค์สร้างโค้กรสชาติใหม่ที่หวานกว่าเดิมออกมา จนถึงวันที่สินค้าถูกปล่อยออกไป ทีมงานบริษัทโค้กต่างก็รอผลลัพธ์อันน่าทึ่ง แต่ปรากฏว่ามันพังไม่เป็นท่า! ไม่ใช่แค่เอาชนะเป๊ปซี่ไม่ได้ แต่ผู้บริโภคต่างไม่พอใจเพราะโค้กที่ออกมามันหวานเกินไปสำหรับพวกเขา มีคนเพียงร้อยละ 13 เท่านั้นที่ชอบโค้กแบบใหม่ แถมลูกค้ายังรวมตัวกันแบนไม่ยอมกินโค้กจนกว่าจะได้โค้กที่เหมือนเดิมกลับมา ภายใต้วิกฤตครั้งนั้น บริษัทโค้กปล่อยให้โค้กตัวใหม่โลดแล่นได้เพียง 77 วัน แล้วกลับไปใช้รสชาติตามเดิม ก่อนจะค่อย ๆ ฟื้นตัวกลายเป็นบริษัทน้ำดำระดับโลกได้อย่างในปัจจุบัน บริษัทยักษ์ใหญ่ขนาดโค้ก ยังเคยผิดพลาดและผ่านมันมาได้ วิธีเปลี่ยนข้อผิดพลาดให้กลายเป็นความสำเร็จคืออะไร? 1.รู้ว่าอะไรคือความผิดพลาด เราไม่มีวันแก้ไขอะไรได้สำเร็จถ้าไม่รู้ว่าความผิดพลาดของเราคืออะไร หรือมาจากตรงไหน ทันทีที่เกิดข้อผิดพลาด อย่ามัวฟูมฟาย แต่หาให้เจอให้ตรงจุดให้ได้ว่าข้อผิดพลาดคืออะไรกันแน่ จะได้มุ่งตรงไปยังข้อผิดพลาดได้อย่างทันท่วงที เหมือนที่บริษัทโค้กเห็นว่าโค้กของตัวเองนั้นผิดพลาดที่ความหวาน 2.รู้ว่าเกิดความผิดพลาดได้อย่างไร ถ้ารู้ว่าความผิดพลาดคืออะไรแล้ว อย่างต่อไปที่ต้องรู้คือมันเกิดความผิดพลาดนั้นได้อย่างไร เพื่อหาหนทางแก้ไขจากสาเหตุที่มันเกิดขึ้นได้ถูกจุด และไว้เป็นบทเรียนเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความผิดพลาดนี้ต่อไป 3.รับมือความผิดพลาดอย่างสงบ การฟูมฟาย หรือแม้แต่โกรธเกรี้ยวใส่กันในธุรกิจหรือวงเพื่อนฝูงกันเองเมื่อเกิดความผิดพลาดไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น เราควรยอมรับว่าปัญหาเกิดขึ้นแล้วและช่วยกันหาวิธีการแก้ปัญหาร่วมกัน
ว่ากันว่าเด็กรุ่นใหม่สมัยนี้เปลี่ยนงานบ่อยกันเป็นว่าเล่น นอกเหนือจากความขี้เบื่อแล้ว เหตุผลเรื่องฐานเงินเดือนที่ขึ้นเอา ๆ ทุกครั้งที่เปลี่ยนงานก็เป็นสิ่งที่ถูกพูดถึงกันมาก แต่ UNLOCKMEN ขอเสนอว่าเราไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนงานเพื่อเพิ่มมูลค่าให้ตัวเองเสมอไป แต่มีวิธีตรงชัดแมน ๆ อย่างการขอขึ้นเงินเดือนด้วยตัวเองกันไปเลย! เพราะงานวิจัยชี้ว่ากว่าร้อยละ 70 ของคนที่กล้าขอขึ้นเงินเดือนนั้นประสบความสำเร็จได้เงินเดือนเพิ่มขึ้นจริง ๆ 1.ทำการบ้าน ไม่ใช่อยู่ ๆ เรามีตัวเลขใหม่ที่อยากได้ในใจแล้วจะจบ เดินดุ่ม ๆ ไปคุยกับผู้มีอำนาจตัดสินใจแล้วขอเงินเดือนเพิ่มเสียดื้อ ๆ เราควรต้องทำการบ้านก่อนว่าตำแหน่งแบบเรานั้นเขาได้เงินเดือนกันอยู่เท่าไหร่ เรามีหน้าที่รับผิดชอบเป็นอย่างไรเมื่อเทียบกับตำแหน่งเดียวกันในที่ทำงานเดียวกัน หรือตำแหน่งเดียวกันในที่อื่น ๆ แล้วลองดูความเป็นไปได้กับตัวเลขในมือที่ตั้งใจไว้ดู 2.รู้คุณค่าของตัวเองที่มีต่อบริษัท แต่ความเป็นไปได้เรื่องจำนวนเงินเดือนที่เราต้องการเพิ่มก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับแค่ตำแหน่งหน้าที่ของเราอย่างเดียว แต่ขึ้นอยู่กับว่าเราทำงานอย่างมีคุณค่าให้กับที่ทำงานของเรามากแค่ไหน ผู้จัดการส่วนใหญ่เปิดเผยว่าพนักงานที่ทำงานที่สร้างคุณค่าให้บริษัทมากกว่าก็มีแนวโน้มที่เขาจะเพิ่มเงินเดือนให้มากกว่า รู้อย่างนี้แล้วก็ทบทวนตัวเองตั้งแต่วันนี้เลยดีกว่าว่าอยากได้เงินเดือนเพอ่ม เราทำงานสร้างคุณค่าให้บริษัทเพิ่มแล้วหรือยัง? 3.รู้จังหวะเวลา จังหวะเวลาเป็นสิ่งสำคัญ ไม่ใช่แค่มีตัวเลขในมือแล้วอยากเดินเข้าไปคุยเมื่อใดก็ได้ จังหวะที่คุณเพิ่งทำโปรเจกต์สำคัญเสร็จลุล่วงไปด้วยดีใหม่ ๆ หรือเพิ่งขายงานผ่านฉลุย หรือความสำเร็จใดก็ตามที่เป็นการสร้างคุณค่าให้กับบริษัทและหน้าที่ของคุณ เมื่อคุณทำมันได้ดี ก็รีบใช้โอกาสหลังจากนั้นในการขอปรับขึ้นเงินเดือนซะ เพราะมันมีแนวโน้มจะสำเร็จมากกว่าขอตอนที่คุณเพิ่งทำอะไรพังลงไม่เป็นท่า หรือไม่มีผลงานอะไรเลยแน่ ๆ 4.รุ่นใหญ่ใจต้องนิ่ง เหตุผลที่คนจำนวนมากเลือกจะลาออกจากงานเพื่อไปหวังเงินเดือนที่มากกว่ากับที่ทำงานแห่งใหม่นั้น เป็นเพราะความกลัว ความกลัวที่จะผิดหวัง ความกลัวที่จะถูกปฏิเสธ ซึ่งเป็นสิ่งที่เราต้องก้าวข้ามไปให้ได้ สงบนิ่งเข้าไว้ และคิดเสียว่านี่ก็ไม่ต่างจากการเจรจาต่อรองทั่วไป มีโอกาสสมหวัง