“ถ้าเราเหนื่อยล้าจงเดินเข้าป่า” เนื้อเพลงท่อนฮิตที่ฮิตติดลมบนอยู่หลายเดือนท่อนนี้คงยังติดหูใครหลายคนมาจนถึงตอนนี้ ที่เศร้ากว่าตอนนั้นก็คือ ไม่ว่าเราจะเหนื่อยล้าแค่ไหน ตอนนี้อย่าว่าแต่เดินเข้าป่า เข้าเขา เข้าทะเลที่ไหน เข้าร้าสะดวกซื้อใกล้บ้านก็ยังมีเวลาจำกัด (เพื่อความปลอดภัย) จึงไม่แปลกที่มนุษย์สายเที่ยว หรือแม้แต่สายไม่เที่ยวจะนั่งหน้าเหี่ยวหมดอาลัยตายอยากกันไปหมด แต่ทุกปัญหาต้องมีทางออกสินะ? ทำไมเหนื่อยล้าต้องเดินเข้าป่า? ธรรมชาติเยียวยาเราจริงไหม บางทีก็สงสัยใครรู้ว่าเหนื่อยล้าแล้วเดินเข้าป่าแล้วจะหายอย่างที่เพลงร้องเอาไว้จริงไหม? แต่หลาย ๆ ครั้งเวลาได้ไปเที่ยวท่ามกลางธรรมชาติทีไร หัวใจก็พองโตทุกที ก็ไม่รู้ว่าพองเพราะธรรมชาติ เพราะอากาศดี หรือเพราะได้หยุดงานไปเริงร่ากันแน่? แต่เมื่ออยู่บ้านนาน ๆ (ออฟฟิศก็ไม่ต้องไป รถติดก็ไม่ต้องฝ่า) เรากลับพบว่าผนังห้อง เตียงนุ่ม หรือการดูซีรีส์ทั้งวันมันไม่อาจเยียวยาเราได้ขนาดนั้น ธรรมชาติจึงอาจช่วยเยียวยาเราได้จริง นักวิจัยจาก Stanford ทำการทดลองที่แบ่งคนออกเป็น 2 กลุ่ม โดยกลุ่มหนึ่งให้เดินผ่านพื้นที่ในเมือง ในขณะที่อีกกลุ่มหนึ่งให้เดินผ่านพื้นที่ที่มีธรรมชาติ ผลออกมาว่าคนที่เดินผ่านพื้นที่สีเขียว สมองส่วนที่เชื่อมโยงกับภาวะซึมเศร้าและวิตกกังวลทำงานลดลง ยิ่งไปกว่านั้นการออกกำลังกายในพื้นที่ธรรมชาติยังเกี่ยวเนื่องกับการเพิ่มขึ้นของการยอมรับนับถือตนเองและมีอารมณ์ดีขึ้นอีกด้วย อย่างไรก็ตามเมื่อสถานการณ์ตอนนี้ไม่เอื้ออำนวยให้บึ่งรถไปเขาใหญ่หรือขึ้นเครื่องบินไปดอยอินทนนท์ นักวิจัยจะว่ายังไงเรื่องนี้? งานวิจัยที่ชื่อ Principles of Neural Science หาคำตอบรอไว้ให้แล้ว โดยสรุปนั้นแม้เราจะไม่ได้ไปเดินป่าจริง ๆ ไม่ได้ไปดื่มด่ำธรรมชาติของแท้ แต่การได้ดูภาพของต้นไม้หรือป่าอันอุดมสมบูรณ์ผ่านหน้าจอก็ช่วยส่งเสริมระบบประสาทส่วนกลางที่ส่งผลทำให้เกิดความสงบได้ ดังนั้นแม้เราจะพากายหยาบออกไปท่องโลกกว้างไม่ได้ แต่มั่นใจได้เลยว่าด้วยตาสองดวง และหนึ่งสมองที่เต็มไปด้วยจินตนาการของเรา
ไม่ว่าจะชอบหรือไม่ แต่ว่ากันว่าจากนี้ไปโลกจะไม่มีวันกลับไปเป็นเหมือนเดิม นอกจากนั้นหลายสิ่งหลายอย่างจะถูกแบ่งออกเป็นยุค Pre-COVID-19 และ Post-COVID-19 เพราะสรรพสิ่งจะพลิกกลับตีลังกาหงายหน้าหงายหลังแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อนอันเนื่องมาจาก COVID-19 ทั้งไลฟ์สไตล์ วิธีการทำงาน วิธีการเดินทางท่องเที่ยว การรักษาสุขอนามัยส่วนตัว ไปจนถึง “เรื่องบนเตียง” เซ็กซ์ของผู้คนก่อน COVID-19 มาถึงเป็นอย่างหนึ่ง และหลังจากนี้หลายสิ่งหลายอย่างอาจเปลี่ยนไปจนเราตกตะลึง ความปลอดภัยมาก่อน “ความโหยหา” โลกยุค Pre-COVID-19 โหยหาเมื่อใด ต้องการความอบอุ่นจากร่างกายใครสักคนตอนไหน เราก็แค่เข้าแอปพลิเคชันสักแอปปัดซ้ายย้ายขวาไม่กี่หนก็ได้ใครสักคนที่ถูกใจแล้ว ปัจจัยในการตัดสินใจ “มีเซ็กซ์” นั้นมีเพียงแค่โหยหาใครสักคน ถูกใจ ไปกันต่อ แล้วเรื่องราวก็อาจจบลงภายในคืนนั้น (หรือไม่กี่ชั่วโมงนั้นด้วยซ้ำ) หรือจะสานต่อความสัมพันธ์กระชับความสัมพันธ์บนเตียง หรือรูปแบบอื่นต่อก็ย่อมได้ ทว่าโลก Post-COVID-19 ไม่ได้เป็นแบบนั้น ความโหยหา ความต้องการยังคงมีเต็มเปี่ยม แต่วิธีเรื่องความปลอดภัยของเราจะเปลี่ยนไป เราไม่สามารถนัดเจอมนุษย์ทุกคนที่เราอยากเจอได้ หรือแม้แต่หนึ่งคนที่อยากเจอที่สุดก็ไม่มีอะไรการันตีอีกต่อไปว่าเขาคนนั้นจะไม่นำความเสี่ยงมาให้ รวมไปถึงการเดินทาง สุขอนามัยของสถานที่ที่ใช้เป็นสมรภูมิรักอีกต่างหาก หากเทียบกับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่มีวิธีการป้องกัน และรณรงค์กันมาหลายทศวรรษ เลือกใช้ได้ทั้งถุงยางอนามัย การกินยา Pre ยา Prep การไม่สัมผัสสารคัดหลั่ง ฯลฯ แต่กับ COVID-19
ถ้าให้เลือกได้ เราก็คงเลือกไม่ให้วิกฤต COVID-19 เกิดขึ้นบนโลกใบนี้เลย แต่เมื่อเราเลือกไม่ได้และยังพอมีเวลาเหลือให้เลือกทำอะไรอยู่บ้าง “การเรียนภาษา” ยังถือเป็นตัวเลือกอันดับต้น ๆ ที่ไม่ว่าสถานการณ์รอบตัวจะเป็นอย่างไร การสื่อสารได้มากกว่า 1 ภาษาก็มักจะทำให้เราก้าวไปข้างหน้าอยู่หนึ่งก้าวได้เสมอ คนเหงา คนเศร้า คนเครียด หรือคนที่กลัวว่าวันข้างหน้าการงานที่ทำอยู่จะมั่นคงไหม อย่าปล่อยเวลาให้หมดไปกับความรู้สึกเหล่านั้น รวบรวมพลังมาเรียนภาษาไปด้วยกัน เพราะคอร์สเรียนภาษาเหล่านี้ไม่เพียงแค่ออนไลน์เรียนจากที่ไหนก็ได้ในโลก แต่ยังฟรี แถมได้เรียนจากมหาวิทยาลัยและสถาบันชั้นนำอีกด้วย ภาษาอังกฤษ กับมหาวิทยาลัยมหิดล แม้ภาษาอังกฤษออนไลน์ที่ฟรีนั้นจะหาเรียนไม่ได้ยากมากนัก แต่การเรียนภาษาอังกฤษออนไลน์ที่ฟรีกับมหาวิทยาลัยเบอร์ต้น ๆ ของประเทศคงไม่ได้มีมาให้กันบ่อย ๆ เราจึงไม่อยากให้ใครพลาดโอกาสดี ๆ ที่คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดลเปิดคอร์ส “Listening and Speaking for Communication” ที่จะมาสอนเรื่องการสื่อสารทั้งฟังและพูกภาษาอังกฤษแบบเน้น ๆ เหมาะกับใครที่กล้า ๆ กลัว ๆ อยู่นาน อยากพูดได้ ฟังได้ แต่ไม่รู้จะเริ่มตรงไหน เห็นแกรมมาร์แล้วก็สยองขวัญ คอร์สนี้จะเน้นไปที่สถานการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจริงในชีวิตประจำวัน เน้นการสนทนา ไปจนถึงการดูบริบทรอบ ๆ การตีความ
เราต่างเจ็บปวด ทุกข์เศร้า และสูญเสียอะไรบางอย่างให้กับ COVID-19 บางคนเข้าใจ รับมือได้ หรือมีต้นทุนมากพอที่จะดูแลตัวเองให้ผ่านพ้นปัญหาไปได้อย่างไม่ยากเย็นนัก แต่ไม่ใช่กับทุกคน บางปัญหา บางการสูญเสีย ปล่อยหมัดตรงจนเราเสียศูนย์ล้มลงไม่เป็นท่า นอกจากการแก้ปัญหาอันเป็นรูปธรรม อีกสิ่งที่มีความหมายไม่แพ้กันคือ “ความแข็งแกร่งของหัวใจ” ถ้าสูญเสียด้วย หัวใจแหลกสลายด้วย การลุกขึ้นมาเจอแสงสวยงามของวันใหม่อาจไม่มีวันมาถึง อย่างน้อยที่สุดหากยังไม่รู้จะหาทางคลี่คลายความเลวร้ายที่เจอได้อย่างไรก็ประคับประคองหัวจิตหัวใจของตัวเองให้สบายดี เพื่อวันหนึ่งที่มีทางคลี่คลาย เราจะได้ฟันฝ่าไปด้วยหัวใจที่พร้อมสู้ไม่ถอย หนังสือ 5 เล่มนี้คือหนังสือที่เราอยากให้ใครบางคนที่เศร้า ใครบางคนที่สูญเสีย ใครบางคนที่หัวใจฟีบแฟบไร้ทางกู้คืนได้ลองอ่าน หัวใจอาจไม่แกร่งข้ึนภายในชั่วข้ามคืน แต่มันจะมีความหมายบางอย่างทางความรู้สึกให้คุณได้แน่นอน จะเล่าให้คุณฟัง DEJAME QUE TE CUENTE Jorge Bucay “หนังสือที่เปลี่ยนชีวิตผู้คนมาแล้วจำนวนมากทั่วโลก” นี่คือนิยามของหนังสือเล่มนี้ แต่เมื่อไรที่ได้ยินคำว่าเปลี่ยนชีวิต เราก็คงอดตั้งกำแพงไม่ได้ว่านี่คือหนังสือไลฟ์โค้ช ฮาวทู ที่เอาแต่บอกให้เรามองโลกในแง่ดี ๆ ๆ บอกให้เราเปลี่ยนตัวเอง เลิกเศร้า เลิกทุกข์ ลุกขึ้นมาฉีกยิ้มร่าโดยไม่สนความเป็นจริงหรือเปล่า? เราขอสัญญาว่าหนังสือเล่มนี้จะไม่ทำแบบนั้นกับคุณ ที่สำคัญหลังอ่านเล่มนี้จบคุณจะมีสิทธิทุกประการที่จะเลือกคิด เลือกจัดการทุกความเศร้าและปวดเจ็บด้วยตัวคุณเอง แต่เป็นการจัดการด้วยมุมมองใหม่ ๆ ที่คุณได้จากการทบทวนตัวเอง ครุ่นคิดกับสิ่งที่รู้สึก “จะเล่าให้คุณฟัง”
ไม่น่าเชื่อว่านอกจากความเครียด ความกังวล “ความคิดถึง” กลับเป็นอีกความรู้สึกที่เข้ามาในหัวของเราบ่อย ๆ ในช่วงนี้ คิดถึงการได้เดินทางไปทำงานทุกเช้า คิดถึงร้านโปรดที่กินบ่อย ๆ คิดถึงการออกกำลังกายในฟิตเนสที่คุ้นเคย ที่สำคัญที่สุดเราคิดถึงเพื่อน คิดถึงบรรยากาศการได้รวมกลุ่มหัวเราะท้องแข็งกับเรื่องไร้สาระไปด้วยกัน โดยเฉพาะใครที่เคยได้หลวมตัวไป “เล่นบอร์ดเกมกับเพื่อน” มาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นคนที่เพิ่งเคยไม่กี่ครั้ง หรือเป็นสายบอร์ดเกมที่ต้องนัดสุมหัวกันทุกอาทิตย์ ช่วงนี้คงเป็นอีกช่วงที่ทั้งคิดถึง และทรมานกับการไม่ได้กางกระดาน ขิง หัวเราะ บลัฟ กับเพื่อน แต่ทุกปัญหามีทางออก วันนี้ UNLOCKMEN ขอแนะนำ 5 บอร์ดเกมที่เล่นจากบ้านใครบ้านมันส์ แต่สามารถมันส์ไปพร้อมกันประหนึ่งว่าได้กลับไปเล่นบอร์ดเกมด้วยกันตรงหน้าอีกครั้ง Settlers of Catan บอร์ดเกมมือสมัครเล่น หรือมืออาชีพล้วนต้องรู้จัก Settlers of Catan หรือที่เรียกสั้น ๆ ว่า Catan เป็นอย่างดี เพราะนี่คือหนึ่งในบอร์ดเกมระดับตำนานที่ถูกออกแบบมาตั้งแต่ปี 1995 แต่เล่นฮิตติดลมบนข้ามกาลเวลามาถึงปัจจุบันแปลไปแล้วกว่า 30 ภาษาทั่วโลก (มีภาษาไทยด้วยนะ) โดย Catan เป็นบอร์ดเกมสไตล์ยูโรที่เน้นให้ผู้เล่นฟาดฟันกันผ่านการวางแผน ไม่เน้นบลัฟ ไม่เน้นดวง
เราเคยเชื่อว่าโลกหมุนไวแสนไวขึ้นนับตั้งแต่การเดินทางมาถึงของเทคโนโลยี การเดินทางไร้พรมแดน และการสื่อสารไร้ขีดจำกัด อินเทอร์เน็ตชวนให้สรรพสิ่งหมุนไวจนหลายครั้งแค่เราไปเปิดสมาร์ตโฟนแค่วันเดียว เราก็ตามหลายข่าวไม่ทันเสียแล้ว แต่เมื่อ COVID-19 คุกคามโลกทั้งใบ โลกไม่ได้หมุนไวขึ้นเหมือนที่เราเคยรู้สึกก่อนหน้านี้ แต่โลกพลิกตีลังกากลับหัว จนเราต้องปรับทุกสิ่ง เปลี่ยนทุกอย่างในชั่วเวลาไม่กี่อึดใจ ในสภาวะเช่นนี้ หลายสิ่งที่เราเคยยึดถือต้องรีบทิ้งให้ไวก่อนจะพากันแย่ บางอย่างที่เราเห็นว่าไม่เคยสำคัญเรายิ่งต้องรีบคว้าเอาไว้ เช่นเดียวกับที่เราเคยมองว่าคนทำงาน ผู้นำ หรือแม้แต่คนทั่วไป ใครที่มั่นคง แข็งแกร่ง เด็ดขาด นั้นมีแนวโน้มจะเอาตัวรอดอย่างราบรื่น แต่สถานการณ์ที่พลิกผันรายวัน รายชั่วโมงอย่างตอนนี้ “คนที่ปรับตัวได้เร็ว” ต่างหากที่จะรอด แต่ทุกคนเรียนรู้ได้ ไม่เคยเรียนรู้ที่จะปรับตัวมาก่อนในชีวิต เริ่มตอนนี้ก็ยังไม่สาย และนี่คือหนทางปรับนิสัยตัวเองให้เป็นคนที่ปรับตัวเข้ากับทุกสิ่งได้ง่ายขึ้น เร็วขึ้น “จะเกิดอะไรขึ้น ถ้า…” การตั้งคำถามที่ต้องฝึกทุกวัน นิสัยหลายครั้งปรับจากพฤติกรรม หรือสิ่งที่เป็นรูปธรรม แต่บางครั้งก็ต้องปรับที่วิธีคิด ทัศนคติ และสมอง ถ้าทั้งชีวิตเรายืนอยู่บนความมั่นคงมาตลอด รู้ว่ายอดเขานี้ไม่มีวันสั่นคลอน คิดแต่ว่าจะปีนขึ้นไปให้สูงขึ้น ๆ กว่านี้ได้อย่างไร? ก็ไม่แปลกที่เมื่อหลายอย่างเริ่มพังทลาย ยอดเขาที่ยืนอยู่มีแต่จะทรุดตัวแล้วเราปรับอะไรไม่ถูก ฝึกตัวเองตั้งแต่วันนี้ด้วยการโยนคำถามให้ตัวเองในทุกวัน “จะเกิดอะไรขึ้น ถ้า…” จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าพรุ่งนี้เราโดนปลดออกจากงานประจำ จะเกิดอะไรขึ้นถ้าอีก 2 เดือนต่อจากนี้เศรษฐกิจยังไม่ดีขึ้น
“โลกเปลี่ยนไปแล้ว” ในหลากหลายมิติ วิธีการเดินทางของเรา รูปแบบการทำงานของเรา การกิน การใช้เงิน ไปจนถึง “การตกหลุมรัก” COVID-19 ทำให้เราหมดโอกาสเจอใครสักคนที่ชอบในบาร์เดิมที่ไปทุกวันศุกร์ COVID-19 ทำให้ Dating App ที่เคยปัดซ้าย ปัดขวา ได้เจอใครสักคนคลายเหงาอย่างน้อยเดือนละคนสองคนกลายเป็นศูนย์ COVID-19 ทำให้คอนเสิร์ตที่เคยไปโยกหัวมองหาสาวที่อินกับเพลงเดียวกันกลายเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ไปอีกนานแสนนาน การตกหลุมรักแบบที่เราคุ้นเคยจึงเปลี่ยนรูปแปลงร่างตามหลายอย่างในชีวิตเราไปด้วยเช่นกัน การตกหลุมรักออนไลน์เข้ามาแทนที่ แต่ไม่ใช่การแทนที่แบบโต้ง ๆ (เพราะเราก็รู้สึกว่าก่อนหน้านี้ก็เดตออนไลน์อยู่เยอะแล้ว) แต่การตกหลุมรักออนไลน์จะเปลี่ยนไปถึงราก วิธีที่เราเลือกคนมองคน ไปจนถึงการออกเดต และการคบกัน เราตามหารักแบบไหนช่วง COVID-19 COVID-19 ทำให้เราตัดหลายสิ่งหลายอย่างในชีวิตออกไปได้ชัดเจนขึ้น บางอย่างเราเคยคิดว่าถ้าไม่มีมันแล้วเราคงอยู่ไม่ได้ แต่เมื่อสถานการณ์บีบบังคับ เราก็ยิ่งเข้าใจว่า “อะไรที่เราต้องการจริง ๆ” ไม่ต่างจากการตกหลุมรัก การจีบกัน และการเดต ในช่วงเวลาปกติผู้คนรู้สึกว่าจะจีบทิ้งจีบขว้าง นัดแล้วนัดอีกกี่รอบก็ได้ แต่เมื่อเราไม่สามารถออกไปไหนได้อย่างเสรี การจะตกหลุมรักและทุ่มเวลาช่วงนี้ให้ใครสักคน จึงต้องรอบคอบและใส่ใจที่คุณภาพมากกว่าปริมาณอย่างที่เป็นมา Helen Fisher นักมานุษยวิทยาชีวภาพประจำ Kinsey Institute ระบุว่าพฤติกรรมการเดตของผู้คนและวิธีการมองความโรแมนติกจะเปลี่ยนไป เราจะจัดลำดับความสำคัญทางความสัมพันธ์ใหม่ เพื่อที่จะหาว่าอะไรกันแน่ที่มีความหมายกับเราจริง ๆ ในขณะที่
ยังนอนหลับดีกันอยู่ไหม? ตั้งแต่ COVID-19 เข้ามาในชีวิต เราเชื่อว่าพฤติกรรมการนอนของใครหลายคนก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป อาจด้วยวงจรเวลาที่รวนไม่เป็นระบบเหมือนตอนออกไปใช้ชีวิตนอกบ้านได้ หรือด้วยความเครียดทะลุขีดจำกัดที่ทำให้ต้องลืมตามองเพดานเอามือก่ายหน้าผากอยู่เป็นชั่วโมง ๆ การนอนคือกุญแจสำคัญสู่หลายสิ่งในชีวิต สุขภาพกาย สุขภาพจิต ไปจนถึงการจัดการอารมณ์ ถ้าช่วงนี้เราไม่สามารถดูแลร่างกายและจิตใจให้แข็งแรงได้ ก็คงไม่มีเรี่ยวแรงไปจัดการอะไรอีกหลายอย่างที่สำคัญ ดังนั้นการนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอจึงมีความหมายมากในช่วงเวลาอันยากลำบากนี้ กิจวัตรประจำวันมีความหมายมาก ชีวิตก่อน COVID-19 มีสถานที่เป็นตัวกำหนดเวลาให้เราทำสิ่งต่าง ๆ เราออกจากบ้านเพื่อเดินทาง เราถึงออฟฟิศเพื่อทำงาน เราลงไปพักกลางวันเพื่อกินข้าว เราไปเดินห้างเพื่อผ่อนคลาย สถานที่และบรรยากาศรอบตัวมีผลต่อการกำหนดกิจวัตรประจำวันของเราอย่างเป็นระบบ เมื่อชีวิตเราต้องกักตัวอยู่ในบ้านนาน ๆ แม้เราจะยังต้องทำงาน แต่การที่ไม่ต้องแต่งตัว ไม่ต้องเดินทาง เส้นแบ่งเรื่องเวลาเบลอจนกลายเป็นหนึ่งเดียวทำให้กิจวัตรของเราพังลงไม่เป็นท่า แล้วกิจวัตรมันเกี่ยวกับการนอนไม่หลับอย่างไร? Kevin Morgan นักจิตวิทยาจาก Loughborough University ผู้ศึกษาเรื่องการนอนหลับมาหลายปี กล่าวว่า “กิจวัตรประจำวันคือหัวใจสำคัญของการนอนที่มีคุณภาพ มันช่วยปกป้องการนอนหลับของเรา” เขาบอกอีกว่า “คุณควรตื่นตามเวลาปกติที่คุณตื่น และเข้านอนในเวลาเดิม แม้สถานการณ์ตอนนี้มันจะล่อลวงให้ไม่เป็นไปตามนั้นก็ตาม” การไม่ต้องลุกมาอาบน้ำ แต่งตัว และเสียเวลาเดินทางอาจล่อลวงให้เรารู้สึกว่าเรามีเวลาเหลือเยอะกว่าเดิม จึงนอนดึกกว่าเดิมก็ได้ หรือไม่ต้องตื่นเวลาเดิมก็ไม่เห็นเป็นไร แต่นักจิตวิทยาแนะนำนว่าร่างกายจะหลับได้ดีกว่าถ้าเราทำทุกอย่างให้เป็นเหมือนเดิม TOP TIP: เราไม่ควรนอนกลางวัน ถึงจะมีเวลาเหลือจากการต้องออกไปหาอะไรกินตอนพักเที่ยง
COVID-19 เข้ามาเปลี่ยนแปลงหลายสิ่งหลายอย่างในชีวิตเรา โดยเฉพาะวัฒนธรรมการทำงานที่ไม่มีทีท่าว่าจะกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้ในเร็ววันนี้ การทำงานในส่วนที่ต้องใช้การสื่อสาร ยิ่งกระตุ้นให้เราเปลี่ยนแปลงตัวเองครั้งใหญ่ เราไม่ได้เข้าพรีเซนต์งานต่อหน้าคนทั้งห้องอีกต่อไป เราไม่ได้ประชุมแบบเห็นหน้าค่าตากันโดยสะดวกอีกแล้ว ทำให้หลายคนคิดว่า “ภาษากาย” ไม่ใช่สิ่งจำเป็น แต่ผิดถนัดยิ่งการประชุมผ่านวีดีโอคอล หรือเทคโนโลยี คนที่ปรับตัวได้เร็วกว่า รู้จักการใช้ภาษากายผ่านเทคโนโลยีอย่างมืออาชีพมากกว่า คนนั้นคือคนที่ได้เปรียบในสมรภูมิการงานที่ต้องฟาดฟันกันอย่างดุเดือดขึ้นเรื่อย ๆ สายตายังสำคัญ อย่ามองกล้อง อย่ามองจอ แบบตรง ๆ หัวใจสำคัญที่สุดของภาษากาย หากต้องการสื่อสารให้ทรงพลังก็ยังคงเป็น “อายคอนแทค” อยู่นั่นเอง แต่เมื่อเปลี่ยนสถานที่ทำงาน เปลี่ยนรูปแบบการทำงานและการประชุม ความท้าทายก็เปลี่ยนไป จากปกติที่เราอาจไม่กล้าสบตาคนในห้องประชุม หรือผู้เข้าร่วมประชุมเยอะเกินไปจนเลือกสบตาไม่ถูก การ Video Conference ก็มีอุปสรรคในแบบของตัวเองเช่นกัน สิ่งที่คนทำงานไม่ชินเมื่อต้อง Video Conference คือเราไม่แน่ใจว่าการสบตายังจำเป็นอยู่มากน้อยแค่ไหน? และถ้ามันจำเป็นเราจะสบตาคนที่อยู่คนละฝั่งโลก ฝั่งประเทศ หรืออยู่คนละมุมของเมืองอย่างไร? คำตอบก็คืออายคอนแทคยังคงเป็นภาษากายที่มีความหมายมาก เพราะนี่คือการสื่อทุกอารมณ์ ความรู้สึกที่คำพูดอาจบอกได้ไม่ครบถ้วน หรือช่วยเน้นย้ำคำพูดที่พูดออกไปให้ชัดเจนขึ้น การสร้างอายคอนแทคผ่าน Video Conference นั้นไม่จำเป็นต้องจ้องไปที่กล้องของเรา หรือจ้องที่หน้าจอ มันอาจดูไม่ชินในครั้งแรก ๆ แต่อย่าลืมว่าหลายคนอาจพลาดท่าหรือทำให้เสียบุคลิกเพราะเอาแต่จ้องภาพเคลื่อนไหวของตัวเองที่อยู่บนหน้าจอ จุดที่ควรจ้องนั้นผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าอาจเป็นด้านข้างของกล้องหรือข้างของจอ เนื่องจากที่จุดนั้นเราจะรู้สึกสบาย
อยู่คนเดียวมากี่วันแล้ว? โดดเดี่ยวแค่ไหน? รู้สึกเดียวดายบ้างหรือเปล่า? สถานการณ์ COVID-19 บีบคั้นให้ใครหลายคนต้องเก็บตัวอยู่ในที่พักอาศัยอย่างโดดเดี่ยว ท่ามกลางลมหายใจลำพังนั้นบางครั้งเราเผลอพูดกับตัวเอง บางทีหัวเราะท้องแข็งกับโพสต์จากเฟซบุ๊กแล้วจะหันไปแชร์กับใครสักคน แต่ตรงนั้นกลับมีเพียงอากาศว่างเปล่า หรืออย่างร้ายวินาทีที่เครียด กดดัน ไม่รู้ว่าอนาคตข้างหน้าคืออะไร น้ำอุ่น ๆ เอ่อไหลออกจากตา อยากหาไหล่ใครสักคนไว้ซับความเศร้า ก็กลับพบเพียงตัวเองกับหมอนใบเดิม เราเลยตั้งใจเอา ‘6 หนังมนุษย์เดียวดาย’ มาอยู่เป็นเพื่อน ใช่ มันไม่ได้ทำให้โดดเดี่ยวน้อยลง (บางเรื่องอาจเข้าถึงแก่นความโดดเดี่ยวเป็นเท่าทวี) แต่ในทุกเรื่องนี้จะพาเราทุกคนไปสำรวจความหมายของลมหายใจลำพัง ชีวิตโดดเดี่ยว และแต่ละวันอันเดียวดาย ในรูปแบบที่อาจทำให้เรามองความเดียวดายรายวันของเราในอีกมุมหนึ่ง ก็เป็นได้… Moon ความโดดเดี่ยวของใครหลายคนในวันนี้อาจชวนให้อึดอัด เพราะเราไม่รู้แน่ชัดว่าเราจะต้องกักตัวเดียวดายไปถึงเมื่อไร? มีจุดสิ้นสุดอยู่ที่ตรงไหน? ในทางกลับกัน ถ้าเรารู้ว่าเราต้องโดดเดี่ยวเป็นเวลาเท่าไร และจะได้กลับคืนสู่อ้อมกอดของทุกคนที่เรารักอย่างปกติ มันจะดีกว่ากันจริงหรือเปล่า? Moon คือหนังที่ว่าด้วยนักบินอวกาศที่ได้รับภารกิจสำรวจดวงจันทร์ หน้าที่ของเขาก็คือภารกิจ 3 ปีเต็มบนดวงจันทร์ตะปุ่มตะป่ำ แม้จะเดียวดาย แต่ก็รู้แน่ชัดว่าหลังจาก 3 ปี เขาจะได้คืนกลับมาตุภูมิ แต่ความลึกซึ้งของ Moon ไม่ได้พาเราไปสำรวจชีวิตประจำวันของนักบินอวกาศที่ต้องอาศัยอยู่คนเดียวเป็นเวลานานเท่านั้น สิ่งที่ทำให้เราตะลึงพรึงเพริด และชวนให้ขบคิดเรื่องชีวิตของเรา ความเป็นมนุษย์ เทคโนโลยี