ภาพถ่ายคือการเก็บเรื่องราวในช่วงเวลาที่เราลั่นชัตเตอร์เพื่อเป็นตัวแทนของความทรงจำ ช่วงเวลา หรือแม้แต่ชั่วขณะหนึ่งของผู้คนตรงหน้า แท้จริงแล้วภาพถ่ายไม่ได้เป็นเพียงแค่ไทม์แคปซูลเท่านั้น แต่ยังสามารถบอกเล่าเรื่องราวต่าง ๆ มากมายนับไม่ถ้วน Richard Sandler คือช่างภาพชาวอเมริกันผู้ชื่นชอบถ่ายภาพแนวสตรีทและเป็นผู้กำกับสารคดีชื่อดัง เขามีผลงานมากมายเผยแพร่อยู่ทั่วเมืองนิวยอร์ก ไม่ว่าจะไปห้องสมุดสาธารณะ มหาวิทยาลัยแอริโซนา พิพิธภัณฑ์นิวยอร์ก หรือสมาคมประวัติศาสตร์นิวยอร์ก ก็จะต้องพบเห็นผลงานภาพถ่ายของเขาอยู่เสมอ ริชาร์ดกับเพื่อนนักเขียนของเขาเกิดความคิดที่จะรวบรวมรูปถ่ายจำนวนกว่า 200 รูป มาทำเป็นสมุดภาพ บอกเล่าเรื่องราวบนถนนย่านบอสตันในกรุงนิวยอร์กช่วงปี 1977 -2001 ผ่านหนังสือชื่อว่า The Eyes of the City ที่สะท้อนให้เห็นถึงอะไรหลาย ๆ อย่างได้อย่างไม่น่าเชื่อ ในมุมของแฟชั่น ภาพถ่ายเหล่านี้ได้สะท้อนถึงชีวิตเหล่าชายหนุ่มกลางนครนิวยอร์กที่มักแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าโทนสีเข้ม และนิยมใส่หมวกกันอยู่บ่อย ๆ นั่นเป็นเพราะอิทธิพลจากศิลปินชายที่โด่งดังในช่วงเวลานั้นอย่างไมเคิล แจ็คสัน แฟชั่นไอคอนมาแรงที่ไม่ว่าเขาจะสวมใส่อะไรผู้คนก็มักทำตาม อย่างเช่นหมวกทรง Panama ที่ MJ ใส่ในเพลง Billie Jean ก็ทำให้ชายหนุ่มนิยมสวมหมวกกันอย่างแพร่หลาย นอกจากหมวกสไตล์ Panama ที่หนุ่ม ๆ ฮิตใส่กันแล้ว แฟชั่นของผู้สูงอายุก็นิยมใส่หมวกด้วยเช่นกัน แต่จะเป็นหมวก Flat
Harley-Davidson คือแบรนด์รถมอเตอร์ไซค์สัญชาติอเมริกันอายุกว่า 116 ปี ที่ขึ้นชื่อในเรื่องการสร้างสรรค์รถให้เต็มไปด้วยเอกลักษณ์โดดเด่น และตอนนี้ทางแบรนด์กำลังเริ่มต้นอะไรใหม่ ๆ อีกครั้งด้วยการหันมาทำรถจักรยานยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้าเพื่อให้เข้ากับยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ถึงแม้จะเป็นแบรนด์ชื่อดังระดับโลก แต่ด้วยยอดขายที่ลดลงในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา ทำให้บริษัทต้องดำเนินแผนการฟื้นฟูและกระตุ้นยอดขายเพื่อให้แบรนด์สามารถไปต่อได้ในช่วงที่เศรษฐกิจโลกกำลังซบเซา การที่ Harley-Davidson มียอดขายลดลงนั้นหลัก ๆ เกิดจากเรื่องกำแพงภาษีที่สูงขึ้นซึ่งเป็นผลกระทบจากสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ ในรัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ทำให้ไตรมาสสุดท้ายในปี 2018 อยู่ในจุดที่เกือบจะขาดทุน ทำให้แบรนด์ต้องทำอะไรบางอย่างเพื่อกระตุ้นการเติบโตของยอดขายทั้งในและต่างประเทศ และคำตอบที่ได้คือพลังงานไฟฟ้า ในที่สุด Harley-Davidson ได้จัดแสดงนวัตกรรมมอเตอร์ไซค์พลังงานไฟฟ้ารุ่นแรกของแบรนด์ภายใต้ชื่อ LiveWire ในงาน Consumer Electronics Show (CES 2019) เมืองลาสเวกัส สหรัฐอเมริกา พร้อมกับเผยรายละเอียดฟังก์ชันการทำงานของรถยนต์พลังงานไฟฟ้าและทิศทางของ Harley-Davidson ในยุคใหม่ หลังจากที่รถยนต์ไฟฟ้าของแบรนด์เคยปรากฏอยู่ในหนังซูเปอร์ฮีโร่ค่าย Marvel มาแล้วใน Avengers: Age of Ultron มอเตอร์ไซค์พลังงานไฟฟ้ารุ่นแรกของ Harley-Davidson จะเป็นรถแบบไม่มีคลัตช์เพื่อการควบคุมที่ง่ายขึ้น และดึงดูดนักขับรุ่นใหม่ ส่วนของฟีเจอร์นั้นเรียกได้ว่าจัดเต็มด้วยอัตราเร่งจาก 0 – 60 ไมล์ต่อชั่วโมง
“คุณเคยเห็นรถตัดหญ้าหรือเครื่องปั่นไฟสีทองมาก่อนไหม ? ” นี่คือคำถามจาก Hiroyuki Shimizu ประธานกรรมการผู้จัดการของ Honda Australia ที่กล่าวถึงคอลเลกชันพิเศษเพื่อเฉลิมฉลองการทำตลาดครอบรอบ 50 ปี ในประเทศออสเตรเลีย ด้วยการออกแบบให้รถยนต์รวมถึงสินค้าในบ้านเป็นสีทองทั้งหมดเพื่อบ่งบอกถึงผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายที่สร้างยอดขายตรงไปตามเป้าตั้งแต่ปี 1969 รถยนต์ที่ Honda เลือกมาเพื่อเคลือบสีทองนั้นคือรุ่น NSX และ Civic Type R รถยนต์ห้าประตูยอดนิยมที่ขายดีในออสเตรเลีย มอเตอร์ไซค์ซูเปอร์สปอร์ตรุ่น CBR1000RR Fireblade มอเตอร์ไซค์กลุ่ม Enduro รุ่น CRF450L รวมไปถึงมอเตอร์ไซค์ออฟโรดสำหรับเด็กอย่างรุ่น CRF50F ที่ขายที่ดีที่สุดของฮอนด้า นอกจากรถยนต์ในเครือของ Honda แล้ว ยังมีรถตัดหญ้ารุ่น HRU19 Buffalo ที่ออกแบบและประกอบในประเทศออสเตรเลีย ที่มาพร้อมเครื่องปั่นไฟสีทอง EU22i Generator ทั้งรถยนต์ มอเตอร์ไซค์ รถตัดหญ้าและเครื่องปั่นไฟ การสร้างสรรค์สีทองให้กับสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้เกิดขึ้นจากการผลิตและออกแบบร่วมกันของ Vinyl Wraps และ Graphics ในกรุงเมลเบิร์น
Nike แบรนด์เครื่องแต่งกายและอุปกรณ์กีฬาชื่อดังออกคอลเลกชันแพ็ครุ่น limited-edition ที่เกิดจากการร่วมมือกันของ Nike x EA Sports บริษัทเกมและซอฟต์แวร์ในชื่อว่า Madden Pack เพื่อร่วมเฉลิมฉลองเทศกาลการแข่งขันอเมริกันฟุตบอลรอบชิงชนะเลิศของ NFL ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในอเมริกาอย่าง Super Bowl นี่ไม่ใช่การคอลแลปส์กันเป็นครั้งแรกระหว่าง Nike และ EA Sports เพราะในช่วงปี 2016 ก็เคยมีผลงานร่วมกันในการวางจำหน่าย Mercurial Superfly สำหรับเกม FIFA 17 ที่มีเพียง 1,500 คู่เท่านั้น ไปจนถึงรองเท้า Phantom Vision Elite Dynamic Fit FG เมื่อปีที่ผ่านมา ปีนี้ทั้งสองค่ายใหญ่ต่างวงการก็กลับมาเจอกันอีกครั้งในงาน Super Bowl 2019 เหตุผลที่ทำให้แบรนด์แฟชั่นกีฬาชื่อดังและบริษัทเกมยักษ์ใหญ่ตัดสินใจร่วมมือกันออกคอลเลกชันแพ็คพิเศษการแข่งขัน Super Bowl นั่นเป็นเพราะผู้คนทั่วทั้งสหรัฐฯ ต่างให้ความสนใจกับการแข่งขันครั้งนี้ และ Super Bowl ก็ขึ้นชื่อเรื่องเรตติ้งการรับชมที่พุ่งสูงในทุกปี ค่าโฆษณาระหว่างรายการที่สูงถึง 5 ล้านดอลลาร์ต่อนาที คิดเป็นเงินไทยราว 200
ถ้าพูดถึงชื่อฮัวคิน กุซมาน ใครหลายคนอาจจะไม่รู้จัก แต่ถ้าพูดถึง “เอล ชาโป”ฉายาของเขาหลายคนก็คงต้องร้องอ๋อเป็นแน่ เพราะเขาคือเจ้าพ่อยาเสพติดที่โด่งดังโดยเฉพาะกับเรื่องการแหกคุกซ้ำแล้วซ้ำอีกของเขา แต่ในตอนนี้ชื่อเสียงของเขาจะไม่อยู่แค่ในโลกของการเมืองหรือวงการยาเสพติดอีกต่อไป เพราะ El Chapo จะเป็นชื่อที่ปรากฎอยู่ในโลกของแฟชั่นในเวลาอันใกล้นี้ ลูกสาวเจ้าพ่อยาเสพติดเอล ชาโป คิดจะตั้งแบรนด์แฟชั่นขึ้น เธอจึงตั้งแบรนด์เสื้อผ้าที่จดทะเบียนทางกฎหมายอย่างถูกต้องสองชื่อด้วยกันคือ El Chapo และ El Chapo Guzmán รวมถึงเปิดเว็บไซต์ official อย่างเป็นทางการในชื่อ elchapoguzman.com หากอ่านเผิน ๆ นี่ก็แค่แบรนด์แฟชั่นหน้าใหม่ที่กำลังจะเปิดตัวเร็ว ๆ นี้ แล้วทำไมวงการแฟชั่นทั่วโลกต่างก็ให้ความสนใจ? นั่นเป็นเพราะชื่อเสียงโด่งดังในด้านลบและวีรกรรมกระฉ่อนโลกของเอล ชาโป ที่ทำให้ผู้คนต้องจับตามองว่าเสื้อผ้าภายใต้ชื่อของเจ้าพ่อยาเสพติดคนนี้จะจะเป็นสไตล์ไหนและจะเจาะกลุ่มตลาดใด คำถามมากมายที่เกิดขึ้นจากการตั้งแบรนด์เสื้อผ้าในชื่อเอล ชาโป คือสุดยอดการตลาดที่ไม่มีใครคาดคิด จุดเริ่มต้นของเอล ชาโป นั้นแสนจะธรรมดา จากเด็กหนุ่มที่อยู่ในไร่ปศุสัตว์ในรัฐซินาลัว ประเทศเม็กซิโก ที่แทบไม่มีจะกินและมองเห็นช่องทางที่จะทำให้ปากท้องของเขาอิ่มได้เร็วที่สุดคือการปลูกฝิ่นและกัญชาขายตั้งแต่อายุ 15 เมื่อเอล ชาโป เติบโตขึ้นเขาได้กลายมาเป็นเจ้าพ่อค้ายาเสพติดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งยุคปัจจุบัน เป็นหัวหน้าแก๊งยาเสพติดชื่อดังซีนาโลอา พร้อมกับคดีความที่ยาวเป็นหางว่าว ถูกฟ้องอย่างน้อย 6 รัฐในสหรัฐฯ ทั้งข้อหาค้ายาเสพติดและฆาตกรรม วีรกรรมของเอล ชาโป
เมื่อแบรนด์รองเท้าสัญชาติอังกฤษอย่าง Dr. Martens ที่โด่งดังเรื่องการนำสไตล์คลาสสิกมาสร้างสรรค์เป็นรองเท้ารุ่นต่าง ๆ ได้ดึงแบรนด์วงพังก์ร็อกชื่อดังมาร่วมผสมผสานความคลาสสิกกับความขบถเข้าด้วยกันผ่านรองเท้าคอลเลกชันพิเศษ Sex Pistols x Dr. Martens Sex Pistols คือวงดนตรี Punk Rock ชื่อดังจากเกาะอังกฤษที่เริ่มตั้งวงในกรุงลอนดอนในช่วงปี 1975 เป็นกลุ่มวงดนตรีที่ริเริ่มนำสิ่งที่เรียกว่าพังก์เข้ามายังเมืองผู้ดี Sex Pistols นั้นขึ้นชื่อเรื่องการแสดงคอนเสิร์ตที่เข้าถึงอารมณ์ เต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราดดุดัน และยังเป็นที่รู้จักมาจนถึงปัจจุบัน ด้วยความไม่เหมือนใคร สไตล์ของสมาชิกในวงที่มักจะท้าทายเรื่องของสังคม ต่อต้านสิ่งที่ไม่เห็นด้วยอย่างชัดเจนเปิดเผย จึงทำให้แนวเพลงและการแสดงของวง Sex Pistols สร้างแรงบันดาลใจให้กับชาวพังก์และนักร้องอัลเทอร์เนทีฟในอังกฤษและได้รับยกย่องว่าเป็นผู้มีอิทธิพลมากที่สุดในประวัติศาสตร์เพลงสมัยนิยมของอังกฤษ สิ่งที่ทำให้ Sex Pistols โด่งดังขึ้นมาคือผลงานในปี 1977 กับ Nofuture (God Save the Queen) ที่ทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงตามมา เพราะแต่เดิม God Save the Queen คือเพลงสรรเสริญพระบารมีของสหราชอาณาจักรและประเทศอื่น ๆ ในเครือจักรภพ แต่ด้วยผลงานที่สร้างสรรค์ทำให้ในปี 2006 Sex Pistols ถูกแต่งตั้งให้เข้าสู่หอเกีรยติยศ Rock
เป็นเรื่องปกติเมื่อเราได้ดูภาพยนตร์ที่ชอบ หรือสไตล์หนังที่ใช่และโดนใจ บางครั้งก็เผลอจินตนาการว่าเราคือตัวละครในหนังเรื่องโปรดและใช้ตัวละครมาเป็นแรงบันดาลใจในการทำอะไรบางอย่าง แต่น่าเสียดายที่บางครั้งการทำตามตัวละครจากหนังเรื่องโปรดก็ก่อให้เกิดเรื่องราวไม่คาดคิดขึ้น UNLOCKMEN จึงจะพาไปดูเหล่าผู้คนที่ดูหนังจบแต่อารมณ์ยังค้างจนเกิดการเลียนแบบและได้รับผลเลวร้ายที่จบไม่สวยเหมือนอย่างในหนัง Into The Wild (2007) Into The Wild คือภาพยนตร์ที่บอกเล่าเรื่องของ Chris McCandless เด็กหนุ่มวัย 23 ปี ที่ทิ้งทุกอย่างเพื่อออกเดินทางไปยังอลาสก้า ค้นหาตัวเองและตามล่าหาความฝันเพื่อตอบคำถามเกี่ยวกับความหมายของชีวิต ปลดเปลื้องทุกอย่างเพื่อเข้าถึงสิ่งที่เรียกว่าอิสรภาพและเสรีภาพ ภาพยนตร์สุดแนวของผู้กำกับ Sean Penn จาก I am Sam ที่ดัดแปลงมาจากหนังสือนิยายขายดี ต่อมาในปี 2013 โจนาธาน คลูม ดูหนังเรื่องนี้แล้วต้องการออกค้นหาตัวเองเหมือนที่ Chris McCandless ทำ เขาจึงเลือกทิ้งชีวิตไว้ข้างหลัง พร้อมออกเดินทางไปยังตะวันตกเฉียงเหนือของแปซิฟิก ทั้งที่มีประสบการณ์การตั้งแคมป์อันน้อยนิดและไม่เคยออกนอกพื้นที่รัฐแอริโซนาซึ่งเป็นบ้านเกิดมาก่อน ในที่สุดเด็กหนุ่มโจนาธานก็ตัดสินใจออกจากบ้านไปโดยไม่บอกใคร ทำให้ครอบครัวต้องแจ้งให้ตำรวจในเมือง Riddle ออกตามหา ซึ่งตำรวจพบเพียงรถที่โจนาธานขับออกมาจากบ้าน และภายในรถมีกระเป๋าสตางค์แต่กลับไม่พบตัวของเขา อีกหนึ่งสัปดาห์ต่อมาตำรวจได้พบศพของโจนาธานในป่าห่างจากจุดที่เจอรถยนต์เพียงแค่ 1,000 ฟุตเท่านั้น และเจ้าหน้าที่คาดว่าน่าจะเป็นการฆ่าตัวตายมากกว่าการฆาตกรรมเพื่อชิงทรัพย์ จบเรื่องราวการเดินทางค้นหาตัวเองของโจนาธานไปด้วยความเศร้าของครอบครัว Pirates
เมื่อดีไซเนอร์ชื่อดังอย่าง Virgil Abloh ผู้เป็นเจ้าของแบรนด์เสื้อผ้าสตรีทสุดฮิตอย่าง Off-White เลือก The Simpsons การ์ตูนสีเหลืองเสียดสีสังคมอเมริกันที่ส่งอิทธิพลต่อ Pop-Culture Fashion มาสร้างสีสันในคอลเลกชั่น Men’s Spring Summer 2019 ซึ่งถือเป็นการกลับมา Collab กันอีกครั้งหลังเคยร่วมงานกันมาแล้วในช่วงปีที่ผ่านมา เหตุผลที่ Virgil Abloh เลือกหยิบการ์ตูนสัญชาติอเมริกันเรื่องนี้ขึ้นมาอีกครั้งเพราะเขาชื่นชอบคาแรกเตอร์ Bart Simpsons ลูกชายคนโตวัย 10 ขวบ ของตระกูลซิมป์สัน ที่มักจะถูกคนในเมืองมองว่าเป็นเด็กแย่ ๆ ชอบทำอะไรพิเรนทร์ไม่ค่อยเข้าท่า แต่แท้จริงแล้ว Bart ก็เป็นเด็กซนที่ชอบเล่นสเก็ตบอร์ดเท่านั้นเอง ในแฟชั่นวีคคราวนี้ของ Off-White จึงจะเน้นไปที่ตัวของ Bart มากกว่าครั้งก่อน The Simpsons เองก็มีความแมสที่โดดเด่นอยู่แล้วเช่นกัน เพราะไม่ว่าใครก็ต้องเคยเห็นครอบครัวตัวเหลืองนี้ผ่านตาอย่างน้อยหนึ่งครั้งแน่นอน รวมถึงการเป็นซีรีส์ของช่อง Fox ที่สามารถติดอันดับ 1 ใน 30 อันดับ รายการที่มีผู้เข้าชมสูงสุดในช่วงปี 1992-1993 และยังเป็นแอนิเมชั่นซิตคอมของอเมริกันที่ฉายอย่างต่อเนื่องได้ยาวนานที่สุด จึงทำให้ The Simpsons กลายเป็นการ์ตูนที่มีอิทธิพลต่อผู้คนในหลายประเด็น นอกจากนี้ยังรวมไปถึงความหมายในเชิงสัญลักษณ์ด้วย เพราะ
เพราะทุกสิ่งทุกอย่างต่างมีเรื่องราวที่น่าสนใจในแบบตัวเอง ไม่ว่าจะกับคน สิ่งของ หรือแม้กระทั่งสถานที่สักแห่ง และ Ha Tien Café ร้านกาแฟเท่ ๆ สไตล์ Antique ที่ตั้งอยู่ในย่านเมืองเก่าของกรุงเทพฯ ก็พร้อมที่จะบอกเล่าเรื่องราวของตัวเองแล้วเช่นกัน ความบังเอิญ ความหลงใหลในกาแฟ ความสนใจด้านสถาปัตยกรรม และของสะสมส่วนตัวของคุณเบิร์ด-เอกภพ โกมลชาติ ผู้เป็นเจ้าของร้านทำให้เกิดร้านกาแฟและเบเกอรี่ที่มีชื่อว่า Ha Tien Café สถานที่ที่ใครสักคนผู้หลงใหลในความคลาสสิก และเรื่องราวอันยาวนานของเมืองพระนครควรแวะเวียนมาสักครั้ง ความน่าสนใจของคาเฟ่แห่งนี้เริ่มตั้งแต่การตั้งชื่อร้านตามชื่อเมือง “ฮาเตียน” ในเวียดนามที่มีตำนานเก่าแก่กล่าวถึงชาวญวนที่อาศัยอยู่ในเมืองฮาเตียนที่อพยพมาตั้งรกรากอยู่ในย่านนี้และเรียกกันเพี้ยนจนเป็นคำว่า “ท่าเตียน” คุณเบิร์ดก็คิดว่าตำนานอันนี้มีความน่าสนใจและยังมีน้อยคนนักที่จะเคยได้ยิน จึงเลือกหยิบฮาเตียนมาตั้งเป็นชื่อร้านกาแฟที่เขารัก เมื่อเปิดประตูเข้ามาก็จะพบกับบาร์กาแฟและตู้โชว์เบเกอรี่ที่มีขนมหวานเรียงราย พร้อมกลิ่นอายของความเป็นจีนที่ยังหลงเหลืออยู่ เพราะในอดีตชั้นล่างของตึกแห่งนี้เคยเป็นร้านขายยาจีนมาก่อน อีกทั้งคุณเบิร์ดก็อยากได้สไตล์จีนมาเป็นหนึ่งในดีไซน์ของร้าน เลยตัดสินใจสร้างบาร์ชั้นแรกตามแบบบ้านของชาวจีนด้วยของตกแต่งอย่างตะกร้า กระบุง และตู้ยาที่มีล็อกเกอร์จำนวนมาก เราสามารถเลือกเมนูที่ต้องการ สั่งออเดอร์ที่เคาน์เตอร์ และเดินขึ้นไปหาที่นั่งที่ใช่บนชั้นสองหรือชั้นสาม แต่ถ้าหากอยากซึมซับกลิ่นหอมของกาแฟ นั่งดูการชงเครื่องดื่มของบาริสต้าพร้อมสัมผัสบรรยากาศแบบจีน ๆ ก็สามารถจับจองที่นั่งกันได้ตั้งแต่ชั้นแรก แต่ถ้าตัดสินใจขึ้นบันไดมายังชั้นสอง ก็ขอให้ลืมบรรยากาศร้านยาจีนที่เพิ่งเจอไปก่อนหน้านี้ เพราะบริเวณชั้นสองของร้านฮาเตียนจะนำเราไปพบกับความสวยงามทั้งดีไซน์จากฝั่งตะวันตกและสไตล์ของตะวันออกที่ผสมผสานเข้าด้วยกัน ชั้นสองของคาเฟ่จะถูกแบ่งออกเป็น 2 โซน คือโซนที่เป็นผนังไม้และกำแพงสีขาวที่ให้อารมณ์แบบไทย-จีน และบริเวณด้านในที่ตกแต่งด้วยสไตล์ชิโนโปรตุกีสพร้อมกับกำแพงสีเขียวแปลกตา ประดับด้วยของตกแต่งที่เป็นของสะสมส่วนตัวของคุณเบิร์ดทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นรูปภาพผู้คนในประวัติศาสตร์ โคมไฟที่ไปเลือกเองถึงฝรั่งเศส เฟอร์นิเจอร์แอนทีค เรียกได้ว่าเก้าอี้ทุกตัวที่อยู่ในร้าน
หลังจากที่แบรนด์แฟชั่นชื่อดังสัญชาติฝรั่งเศสอย่าง Louis Vuitton ก้าวเข้าสู่วงการ Smartwatch เป็นครั้งแรกด้วยการเปิดตัว Louis Vuitton Tambour Horizon ออกสู่สายตาชาวโลกในปี 2017 และถือเป็นแบรนด์เสื้อผ้าฝรั่งเศสเจ้าแรกที่เริ่มทำนาฬิกาอัจฉริยะ ตอนนี้หลุยส์ วิตตองกลับมาอีกครั้ง พร้อมกับระบบเทคโนโลยีใหม่เอี่ยมที่ดีกว่าเดิม การเปิดตัวนาฬิกาอัจฉริยะรุ่นแรกของ Louis Vuitton นั้นทำการบ้านมาอย่างดีด้วยการดึงคนดังจากแวดวงต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นนักแสดงแนวหน้า นางแบบ ศิลปิน และ celebrity ของแต่ละประเทศมาร่วมโปรโมต Smartwatch ผ่านการถ่าย Look Book พร้อมขายความเป็นแฟชั่นที่มีสายนาฬิกามาให้เลือกกว่า 60 แบบ โดยเป็นสไตล์ของผู้ชาย 30 แบบ และสไตล์ของผู้หญิงอีก 30 แบบ หลังจากเปิดตัวนาฬิกาอัจฉริยะมาแล้ว 2 ปี ในปี 2019 Louis Vuitton เปิดตัว Smartwatch รุ่น Tambour Horizon 2019 ที่มีดีไซน์ภายนอกเหมือนเดิมทุกประการ เพราะหลุยส์ วิตตอง