ในวันที่คนทั้งโลกยังเชื่อว่าโลกแบน มนุษย์คนแรกที่เชื่อว่าโลกกลม และทำทุกทางเพื่อบอกให้คนอื่นรู้ความจริงว่าโลกกลม ย่อมโดนครหา ตราหน้าว่าเสียสติ เพ้อเจ้อ หรือบ้าไปแล้ว ที่หนักหนาสาหัสกว่านั้น การยืนยันในสิ่งที่เชื่อและสิ่งที่ถูกต้องอาจโดนข้อหาร้ายแรงถึงขั้นขังลืม หรือต้องสละชีวิต แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีคนหาญกล้าต่อกรกับความไม่ถูกต้อง และสู้เพื่อสิ่งที่เชื่ออีกจำนวนมาก โดยไม่ต้องเป็นฮีโร่มาจากไหน แต่เป็นคนธรรมดาอย่างเรา ๆ ใครที่ไม่แน่ใจว่าคนตัวเล็ก ๆ จะต่อสู้เพื่อสิ่งที่พวกเขาเชื่อได้จริงไหม? หรือพวกเขาเอาพลังมาจากที่ใดถึงได้กล้าหาญขนาดนั้น? UNLOCKMEN แวะเอาแรงบันดาลใจจากคนธรรมดาที่หาญกล้าต่อสู้เพื่อสิ่งที่พวกเขาเชื่อมากฝากกัน ทั้ง 5 เรื่องนี้สร้างจากเรื่องจริง ของบุคคลที่มีตัวตนอยู่จริง และพวกเขาก็สู้อย่างบ้าดีเดือดเพื่อสิ่งที่ตัวเองเชื่อจริง ๆ Dallas Buyers Club มีคนจำนวนมากที่มักจะบอกเราว่าอะไรทำได้ อะไรทำไม่ได้ อะไรทำง่าย และอะไรเปลืองแรงว่ะ มึงอย่าไปทำเลย แต่ Dallas Buyers Club ที่มีชื่อไทยว่า “สอนโลกให้รู้จักกล้า” ทำให้เราเข้าใจว่าบางทีคนพวกนั้นแม่งก็ไม่ได้รู้อะไรดีไปกว่าเรา เขาแค่ไม่กล้ามากพอ และมีแค่เราเองนี่แหละที่รู้ว่าเราจะสู้ไปสุดขีดได้ถึงไหน Dallas Buyers Club เล่าเรื่องราวชีวิตจริงของหนุ่มคาวบอยในเท็กซัสในปี 1985 เขาถูกวินิจฉัยว่าติดเชื้อ HIV และจะมีชีวิตอยู่ได้แค่ 30 วัน
ในสภาวะแบบนี้การยังมีงานให้ทำ มีโปรเจกต์ให้คิด มีลูกค้าที่ตั้งตารอเราส่งไอเดียไป ถือเป็นเรื่องน่าอิจฉา อย่างไรก็ตามแม้จิตวิญญาณเราจะพร้อมลุย พร้อมรับงานไม่ยั้ง คิดงานไม่มีหยุด แต่คล้ายว่าสมองของเราไม่ได้ทำตามสั่งได้ง่ายดายแบบนั้น หลายครั้งที่เดดไลน์ก็ใกล้เข้ามา วันพรีเซนต์ไอเดียก็จ่ออยู่ไม่ไกล แต่สมองเราก็มึนตึ้บทึบตัน จนคล้ายว่าจะไม่มีไอเดียดี ๆ หลั่งไหลพุ่งกระฉูดออกมาให้เรา (เจ้านาย และลูกค้า) ได้ชื่นใจสักนิด ปัญหา “สมองตัน คิดงานไม่ออก” จึงไม่ใช่ปัญหาเล่น ๆ บางครั้งเราอาจแก้ปัญหาได้แบบวินาทีสุดท้าย แต่ใครจะรู้ว่าถ้าวันหนึ่งเราคิดอะไรไม่ออกเลยขึ้นมาจะเป็นอย่างไร? UNLOCKMEN ชวนมาดูหนทางรับมือ และป้องกันเมื่อสมองตันคิดอะไรไม่ออกว่าเราทำอะไรได้บ้าง คิดงานไม่ออกอย่าดันทุรัง “การเดิน” เพิ่มไอเดียสร้างสรรค์ได้อีก 60% เราเข้าใจดีว่าความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่นั้นหนักหนาเพียงใด การคิดงานไม่ออกจึงไม่ต่างจากความกดดันที่หนักไม่แพ้กัน เมื่อไรก็ตามที่เราคิดงานไม่ออก เราจึงมักบอกตัวเองว่า ห้ามขยับไปไหน! ต้องนั่งอยู่ที่โต๊ะหรือหน้าจอจนกว่าจะคิดงานออกนั่นแหละ! แต่จริง ๆ แล้วเมื่อใดก็ตามที่เราคิดงานไม่ออก เราไม่ควรดันทุรังนั่งต่อไป ลอง “เดิน” ดูบ้าง จะเดินไปเดินมาในออฟฟิศ หรือเดินข้ามไปแผนกข้าง ๆ แล้วจะพบว่าการเดินช่วยให้ความคิดไหลลื่นอย่างไม่น่าเชื่อ เราไม่ได้คิดเองเออเองแต่อย่างใด Give Your Ideas Some Legs:
โลกของการทำงานไม่เคยง่าย ล้านโปรเจกต์ที่รอให้เราเร่งทำให้สำเร็จ โดยเฉพาะในช่วงที่เศรษฐกิจลุ่ม ๆ ดอน ๆ ยิ่งขยัน ยิ่งทำงานให้มีคุณภาพมากเท่าไรยิ่งดี แต่ในทางกลับกันโลกปัจจุบันก็เต็มไปด้วยสิ่งบันเทิงและสิ่งเร้าที่ชวนให้ไขว้เขวอย่างง่ายดาย หันซ้ายก็สมาร์ตโฟนและเหล่าโซเชียลมีเดียสารพัดที่รอให้เราเปิดไปไถอัปเดตเรื่องราว หันขวาก็พร้อมหลุดโฟกัสได้ง่าย ๆ คล้ายกับว่าโลกใบนี้มีสิ่งดึงดูดใจให้ทุ่มเวลาให้ไม่รู้จบ (ยกเว้นการทุ่มเวลาทำงาน) ถ้าอย่างนั้นในวันที่โลกเต็มไปด้วยสิ่งรบกวนมากขนาดนี้ จะมีวิธีไหนที่เราจะฝึกสมองของเราไม่ให้ไหลไปกับสิ่งเหล่านั้นได้บ้าง? UNLOCKMEN ชวนมาปลดล็อกด้วย เคล็ดลับฝึกสมองให้โฟกัส ทำงานได้แม้มีสิ่งยั่วใจ กลับไปทำงานครั้งหน้า จะได้รู้ว่าต้องจัดการกับสมองและการโฟกัสได้อย่างไร ความลับของสมองที่ไม่เคยมีใครบอกเรา หลายคนมักเข้าใจว่าถ้าอยากได้งานเยอะ ๆ ก็ต้องทำงานหนัก ทำงานต่อเนื่องหรือทำงานยาวนาน แต่จริง ๆ แล้วถ้าเราอยากได้งานที่มีคุณภาพนั้นไม่เกี่ยวกับความยาวนาน หรือเรื่องระเวลา แต่เป็นการที่เราสามารถโฟกัสกับงานอย่างมีคุณภาพ เพื่อให้ได้งานที่มีคุณภาพต่างหาก เมื่อเราสามารถโฟกัส เราจะได้งานที่มีคุณภาพ และมีเวลาเหลือไปทำสิ่งอื่นอย่างมีคุณภาพได้เช่นกัน ไม่ว่าจะพักผ่อน เดินเล่น หรือใช้เวลากับคนที่เรารักโดยไม่ต้องกังวลเรื่องงานให้เสียเวลาพัก และไม่เอาการพักไปปนในเวลางาน การโฟกัสงานให้ได้จึงเป็นหัวใจสำคัญของคนที่อยากทำงานให้มีคุณภาพ อย่างไรก็ตามการมีสมาธิจดจ่อกับงานหรือโฟกัสกับการทำอะไรสักสิ่งได้ ไม่ใช่แค่การบังคับตัวเองเท่านั้น แต่เป็นความสามารถของสมองที่จะจดจ่อด้วย และสมองก็มีธรรมชาติของมัน โดยหลายคนบอกแค่ว่าก็นั่ง ๆ ทำงานไปเถอะ อย่าไปคิดอะไร แต่ถ้าเราเข้าใจวิธีการทำงานของสมองเราก็จะทำงานอย่างมีคุณภาพได้มากขึ้น งานวิจัย “Brief and rare mental
“ขอโทษด้วยแล้วกัน” คือคำขอโทษที่ออกมาจากปากของผู้นำระดับประเทศ ที่หลายคนอาจสงสัยว่าตกลงนี่คือคำขอโทษใช่ไหม? เป็นการขอโทษอย่างจริงใจหรือเปล่า? หรือผู้พูดรู้สึกผิดมากน้อยแค่ไหน? ไม่ว่าจะเป็นการเลือกคำที่สื่อสารผิด หรือเพราะไม่ทันสำรวจตรวจตราถี่ถ้วน แต่การขอโทษคือกระบวนการที่จำเป็นอย่างยิ่งทั้งในแง่การทำงาน และในความสัมพันธ์ การขอโทษเป็นไปทั้งเพื่อแสดงความรับผิดชอบ เพื่อบอกว่าเราเสียใจในการกระทำของเรา และมีจุดประสงค์เพื่อให้อีกฝั่งที่เราทำเขาเดือดร้อนหรือทำให้เขารู้สึกเสียใจ รู้สึกดีขึ้น รวมถึงพร้อมจะให้โอกาสเราใหม่ บนโลกนี้ไม่มีใครไม่เคยทำผิดพลาด แต่ผิดพลาดแล้วจะสื่อสารอย่างไรไม่ให้ยิ่งดูแย่ลง เราควรเรียนรู้วิธีขอโทษอย่างจริงใจและมืออาชีพเอาไว้เพื่อนำไปใช้ให้ได้ทุกสถานการณ์ การขอโทษไม่ใช่แค่คำว่า “ขอโทษ” เท่านั้น แต่การระบุว่าขอโทษเรื่องอะไร คือการเพิ่มน้ำหนักให้คำขอโทษของเรา รวมถึงแสดงให้อีกฝ่ายเข้าใจว่าเราสำรวจตัวเองและมองเห็นความผิดพลาดนั้นแล้ว บางครั้งการพูดว่าขอโทษส่ง ๆ นั้นไม่ใช่เรื่องยากแต่อย่างใด แต่การใช้เวลาสำรวจถึงความผิดพลาดของเราจนมาสื่อสารกับอีกฝ่ายได้ เป็นการเน้นย้ำเจตนาที่จะเรียนรู้ของตัวเรา อีกทั้งทำให้อีกฝ่ายรู้ว่าเราเข้าใจความผิดพลาดจริง ๆ ไม่ใช่แค่มาพูดขอโทษให้รู้ว่ามาขอโทษแล้วเท่านั้น ลองนึกตามง่าย ๆ ว่าถ้าในที่ประชุมมีเพื่อนร่วมงานเผลอใช้อารมณ์ ขึ้นเสียงกับเรา โดยที่ไม่ใช่การถกเถียงกันอย่างเป็นเหตุเป็นผล การที่เขาเดินเข้ามาบอกว่า “เมื่อวานขอโทษแล้วกัน” กับ “ขอโทษนะที่เมื่อวานผมขึ้นเสียงใส่คุณและใช้อารมณ์ในที่ประชุม แถมสติหลุด ไม่ใช้เหตุผลในการสื่อสารอีก” การระบุให้ชัดว่าเขาขอโทษเรื่องอะไรนั้นดูจริงใจและแสดงให้เห็นว่าเขาสำนึกผิดมากกว่าการพูดว่าขอโทษอย่างเดียว หลายครั้งการให้อภัย การยกโทษให้ ก็ไม่ได้มาจากแค่การขอโทษให้พ้น ๆ ไป แต่ต้องร่วมกับการที่อีกฝั่ง พอจะเข้าใจการกระทำของเราร่วมด้วย อย่างไรก็ตามการบอกว่าเราทำแบบนั้นเพราะอะไร ต้องไม่ยืดยาว และไม่ทำเหมือนว่าเราโน้มน้าวเพื่อบอกว่าเราไม่ผิด แต่เป็นการบอกอย่างกระชับว่าอะไรทำให้เราทำแบบนั้น หรือเป็นแบบนั้น “ขอโทษนะที่เมื่อวานผมขึ้นเสียงใส่คุณและใช้อารมณ์ในที่ประชุม
สกิลเปิดขวดเบียร์หรือขวดโซดาด้วยมือเปล่าดูเหมือนจะเป็นสกิลติดตัวชายแทบทุกคน จนถือเป็นเป็นสกิลที่ดูบ้าน ๆ ไปแล้ว แต่ถ้าเปิดไวน์โดยไม่มีที่เปิดขวดไวน์ได้ล่ะ? คิดดูว่าจะคูลแค่ไหน? UNLOCKMEN ขอรับรองว่านี่จะเป็นอีกหนึ่งสกิลใหม่ ๆ ที่เพิ่มคะแนนให้คุณในสายตาสาว ๆ ท่ามกลางคืนที่หิ้วไวน์ไปเตรียมโรแมนติกเต็มที่ แต่ดันไม่มีที่เปิดขวด เพราะนอกจากจะดูโรแมนติกมากกว่าการดื่มเบียร์กินพิซซ่าเป็นไหน ๆ จะได้คะแนนความเท่เพิ่มขึ้นจากการเปิดขวดไวน์โดยไม่ใช้ที่เปิดแบบแมน ๆ ไปอีกหนึ่งสเต็ป มาดูกันเถอะว่าการเปิดไวน์โดยไม่ใช้ที่เปิดสามารถใช้อะไรเปิดแทนได้บ้าง? รองเท้า ใครจะไปคิดว่ามันจะง่ายขนาดนี้ แค่ถอดรองเท้าที่เราใส่อยู่ออกมาหนึ่งข้าง เอาขวดไวน์ที่ต้องการเปิดวางลงไปแทนที่เท้าของเรา จากนั้นก็หากำแพงแล้วลงมือตบตูดขวดไวน์ลงบนกำแพงได้เลย ผลลัพธ์ก็เปิดออกมาง่ายดายอย่างที่เห็นในคลิปนี่เอง กุญแจบ้านนี่แหละ กุญแจบ้าน กุญแจรถ กุญแจห้องกิ๊ก หรือกุญแจอะไรก็ได้ เชิญล้วงควักออกมาทันทีที่รู้ว่าไม่มีที่เปิดไวน์อย่างเป็นกิจจะลักษณะ แล้วเสียบลงไปบนฝาก๊อกไวน์ทำมุม 45 องศา จากนั้นค่อย ๆ ออกแรงหมุนลูกกุญแจ จนฝาก๊อกค่อย ๆ เคลื่อนตามขึ้นมา ง่ายไม่ง่ายก็ดูจากคลิปเอาแล้วกัน นิตยสารสักเล่ม หลักการเดียวกันกับการใช้รองเท้าเปิด แต่นี่ง่ายกว่าเก่าด้วยการหานิตยสารที่ไม่ใช้แล้วมา เผื่อรองเท้าที่คุณใส่อยู่นั้นมีกลิ่นไม่พึงประสงค์ หรือกลัวว่าจะดูไม่สะอาด ไปจนถึงกลัวว่ารองเท้าคู่โปรดของเราจะเปื้อนได้ เราก็ใช้นิตยสารที่หนาหน่อย มารองตูดขวด จากนั้นก็จัดการกระแทกเข้ากับกำแพงตามใจชอบได้เลย กรรไกร กรรไกรก็นับเป็นอีกของคู่บ้านที่ไม่ว่าบ้านไหนก็น่าจะมี คว้ามันมาใช้ให้เป็นประโยชน์ซะ ด้วยการแทงขาด้านหนึ่งของมันลงไปในฝาก๊อกโดยทิ่มลงไปให้ลึกจนสุดด้าม ก่อนจะใช้แรง
“ความสง่างาม” คือคุณสมบัติที่ผู้ชายหลายคนใฝ่หา เพราะความสง่างามคือส่วนผสมอันลงตัวจากทั้งภายในและภายนอก การเป็นผู้ชายสง่างามจึงต้องมีองค์ประกอบสารพัดที่แสดงถึงความเนี้ยบ ความเรียบหรู และความมีประสิทธิภาพ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ Attitude ที่เต็มไปด้วยความพิถีพิถันเพื่อเฟ้นหาสิ่งที่ดีที่สุดให้ตัวเองและผู้อื่น เพราะ ELEGANCE IS AN ATTITUDE การสง่างามจากทัศนคติที่พิถีพิถัน จึงนำมาสู่ภายนอกที่เนี้ยบตามไปด้วย ถ้าจะให้พูดถึงความสง่างามที่ทั้งเรียบหรู น่าเกรงขาม ผู้ชายอย่างเราคงนึกถึงความสง่างามในแบบ “จอมราชันย์” เนื่องจากเต็มไปด้วยภาพลักษณ์แสนสง่าฟันฝ่าทุกอุปสรรคอันตราย พร้อม ๆ กับความน่าเคารพยำเกรง ควบคู่กับ Attitude แน่แน่วในแบบที่ผูชายล้วนอยากครอบครองความสง่างามแบบนี้ได้สักครั้งในชีวิต อย่างไรก็ตามความสง่างามแบบจอมราชันย์นั้น เมื่อมาโลดแล่นอยู่บนภาพยนตร์หรือซีรีส์สักเรื่องแล้ว การสรรสร้างให้ตัวละครที่รับบทกษัตริย์นั้นสง่างาม เนี้ยบได้อย่างสมบูรณ์แบบไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ หลายครั้งผู้ชมรับรู้ว่าคนนี้รับบทกษัตริย์แต่กลับไม่อาจสัมผัสถึงความสง่างามจากตัวละครนั้น แต่ “The King: Eternal Monarch จอมราชันบัลลังก์อมตะ” ซีรีส์เกาหลีที่กำลังฉายทาง Netflix และใคร ๆ ก็พูดถึงอยู่ตอนนี้ กลับทำได้อย่างไร้ที่ติ โดย Lee Min Ho ผู้รับบทกษัตริย์อีกนผู้ต้องเดินทางข้ามเวลามาในโลกยุคปัจจุบัน เพื่อพิชิตภารกิจสุดท้าทายนั้นเป็นตัวแทนความสง่างามไร้กาลเวลาได้อย่างน่าทึ่ง กษัตริย์อีกนแห่ง The King: Eternal
เจ้านายใจแคบไม่เคยรับฟังผมเลย, ใช่สิ เรามันไม่ใช่พนักงานคนโปรดนี่นา หัวหน้าถึงไม่เคยรับฟังเราเลย ประโยคตัดพ้อทำนองนี้และอีกสารพัดสารพันประโยชน์อาจเกิดขึ้นกับคนทำงานได้ เพราะมีความตั้งใจเต็มเปี่ยมที่จะพูด แต่กลับขาดคนรับฟัง โดยเฉพาะหลาย ๆ เรื่องที่เป็นเรื่องสำคัญ ต้องการสื่อสารกับระดับหัวหน้างาน หรือ CEO เท่านั้นถึงจะคลี่คลายไปได้ หลายครั้งพูดไปก็ดูคล้ายไม่เคยถูกรับฟัง หรือบางครั้งยังพูดไปไม่ถึงไหน CEO ก็ต้องเจียดเวลาไปทำงานอื่นเสียแล้ว แทนที่จะตัดพ้อต่อไป UNLOCKMEN ชวนมาปลดล็อกศักยภาพการทำงานไปอีกขั้นด้วยกลวิธีที่อาจทำให้ CEO ต้องหยุดฟังคุณมากขึ้น หยุดชักแม่น้ำทั้งห้า “ว่าด้วยสิ่งที่ CEO ยังไม่รู้และต้องรู้” เป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่เมื่อต้องการนำเสนอ หรือโน้มน้าวให้ผู้ฟังเชื่ออะไรสักอย่างที่เราต้องการจะสื่อเราจะเกริ่นสารพัดสิ่งให้ดูน่าเชื่อถือ ให้อีกฝ่ายมีอารมณ์ร่วม หรือคล้อยตาม โดยเฉพาะเมื่อตั้งใจจะโน้มน้าว CEO ด้วยแล้ว เราก็ยิ่งเผลอขุดทุกสกิลชักแม่น้ำทั้งห้ามาเพื่อบอกว่าเชื่อเราสิ เราถูกนะ สิ่งที่เราคิดมันใช่แหละ แต่อย่าลืมว่าคนระดับ CEO หรือหัวหน้างานวัน ๆ หนึ่งเขามีสิ่งที่ต้องทำ มีผู้คนให้ต้องพบปะพูดคุยมากเท่าไร ถ้าเรามัวแต่เกริ่นแม่น้ำมาครบทุกสาย ก็ไม่แปลกใจที่จะถูกตัดสินว่าเรื่องเรามีแต่น้ำ และยังไม่มีอะไรสำคัญเร่งด่วน รวมถึงหลาย ๆ หนที่เราเกริ่นไปยืดยาวก็เป็นสิ่งที่ CEO ไม่เข้าใจว่าจะมาบอกเขาทำไม เพราะเขารู้อยู่แล้ว ดังนั้นไม่ต้องเกริ่นเพื่อโน้มน้าวให้เปลืองเวลามากนัก อะไรที่ CEO
เราต่างหายใจอยู่บนโลกยุคที่เห็นความสำเร็จของคนอื่นผ่านหน้าจอมือถือได้ตลอด 24 ชั่วโมง เราเห็นความสุขที่เพื่อน ๆ ใช้เงินมหาศาลแลกกับการพักผ่อนหรูหราในวันที่เราแสนเศร้า เราเห็นคนรู้จักก้าวหน้าในหน้าทีการงานแบบก้าวกระโดด แต่เรายังอยู่ที่เดิม นี่คือโลกที่เรามองเห็นคนอื่นได้ง่ายดาย แต่กลับยิ่งทำให้เราใจหายกับสิ่งที่เราเป็นมากขึ้นทุกวัน ๆ เมื่อชีวิตคนอื่นก้าวไปไกล เมื่อเห็นใคร ๆ ประสบความสำเร็จ เมื่อเห็นผู้คนมากมายที่เข้าถึงความสุขแบบที่เราเข้าไม่ถึง เราจึงอดเอาตัวเองไปเทียบไม่ได้ เราไขว่คว้า วิ่งไล่ตาม อยากสุขแบบนั้น สำเร็จแบบนี้ มีเงินแบบโน้น ซึ่งการกระหายที่จะดีขึ้นนั้นก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไร แต่การวิ่งไล่ตามความสำเร็จของคนอื่น อาจทำเราแสนเหนื่อยแสนท้อ โดยหลงลืมไปว่า จริง ๆ แล้วแต่ละคนมีบริบทที่ไม่เท่ากัน มีต้นทุนชีวิตที่แตกต่างกัน และแน่นอนว่าเวลาในการประสบความสำเร็จก็ไม่เท่ากันด้วย ก่อนที่จะวิ่งไล่ล่าความสำเร็จในแบบคนอื่นจนหมดแรงไปเสียก่อน เราอยากชวนคุณมาพักทบทวนความสำเร็จ ทบทวนจุดยืน ทบทวนคุณค่าด้วยหนังสือ 5 เล่มที่จะพาไปสำรวจความสำเร็จในมุมอื่น ๆ ที่ต่างออกไป หลังอ่านจบ เราอาจตระหนักได้มากขึ้นว่าเราล้วนมีความสำเร็จในแบบของเรา และมันไม่จำเป็นต้องมาถึงในเวลาเดียวกับที่คนอื่นเขามาถึงก็ได้ วิทยาศาสตร์แห่งความสำเร็จ “ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น” อาจเพราะเราเติบโตมากับคำสอนแบบนี้ตั้งแต่จำความได้ จึงไม่แปลกที่ทุกครั้งที่เราเห็นเพื่อนเราสำเร็จ ได้ดิบได้ดี เราจะเชื่อว่าเพราะเขาพยายาม ในขณะเดียวกันเราก็โบยตีและโทษตัวเองซ้ำ ๆ ว่าเพราะเราไม่พยายามหรือพยายามไม่พอถึงยังไม่ประสบความสำเร็จ แต่ วิทยาศาสตร์แห่งความสำเร็จ
ในหนึ่งชีวิตการทำงานของมนุษย์มีคุณสมบัติหลายต่อหลายอย่างที่นำไปสู่ “การประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน” แต่หลายครั้งเราก็อดถามตัวเองไม่ได้ว่า จบมหาวิทยาลัยที่น่าเชื่อถือก็แล้ว ประวัติการทำงานน่าชื่นชมก็แล้ว เก่งก็เก่งแล้ว ทำงานหนักก็ทำแล้ว แต่ทำไมยังไม่พอ? ทำไมเราถึงไม่ไปสู่จุดที่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานเสียที? ทำไมหัวหน้าไม่เคยเห็นความพยายามนี้? ทำไมเรายังดูเป็นค่าเฉลี่ยทั่ว ๆ ไป ทั้ง ๆ ที่เราก็พยายามในทางของเรา? อาจเป็นเพราะบางครั้งแค่เก่ง และทำงานหนักอาจยังไม่พอ การที่มนุษย์ประสบความสำเร็จ หรืออย่างน้อยก็โดดเด่นพอให้คนมองเห็นความสามารถนั้น ต้องอาศัยปัจจัยอื่น ๆ ร่วมด้วย UNLOCKMEN อยากชวนมาปลดล็อกศักยภาพการทำงานไปอีกขั้น ที่เก่งและทำงานหนักก็ดีอยู่แล้ว แต่เราอยากชวนมาทบทวนตัวเอง เผื่อหลงลืมปัจจัยบางสิ่งไป จะได้ไหวตัวทัน หาทางปรับตัวอีกตั้ง แล้วลองมุ่งสู่ความสำเร็จหรือการเติบโตที่เราตั้งใจ ก่อนจะท้อหรือหมดไฟ เพราะคิดว่าเก่งไปก็เท่านั้น ขยันไปก็ไม่ได้อะไร เก่งและทำงานหนัก แต่ยึดติดพื้นที่เดิม ๆ “ต้องกล้าเริ่มในพื้นที่ใหม่ ๆ บ้าง” การเป็นคนทำงานที่มีเครดิตดี ดูเป็นคนเก่ง แถมพ่วงด้วยการทำงานหนักมาตลอดก็มีราคาที่ต้องจ่าย หนึ่งในนั้นคือ “ค่าความกลัวที่จะออกจากคอมฟอร์ตโซน” เพราะการที่เรารู้ว่าถ้าเราทำงานหนักในแบบของเรา ในพื้นที่ของเรา มันคือสูตรที่เราคุ้นเคย คือพื้นที่ที่เรามั่นใจในความสามารถของเราเต็มเปี่ยม เราจะทำงานหนักไปอีกกี่ปี เราก็รู้ว่าเราไม่มีทางผิดพลาดแน่ ๆ แต่วิธีการทำงานแบบนี้เองก็เป็นกับดักของคนเก่งและทำงานหนัก เพราะความสำเร็จใหม่ ๆ
โลกไม่เคยใจดีกับเรา คนอื่นก็เช่นกัน หลายครั้งมีคนช่วยเหลือ แต่ก็หลายหนที่หันไปทางไหนจะพึ่งใครก็มืดหม่น หรือในบางสถานการณ์ที่เศรษฐกิจไม่เป็นดังใจ หน้าที่การงานไม่เป็นอย่างที่หวัง และคนทุกคนก็ล้วนตกอยู่ในความย่ำแย่พอ ๆ กัน คนเดียวที่เหลืออยู่ให้พึ่งพิงได้ก็คือ “ตัวเราเอง” การรักและใจดีกับตัวเองมาก ๆ โดยเฉพาะในวันที่หนทางเต็มไปด้วยอุปสรรค แม้จะไม่ง่าย แต่หากโลกทั้งใบใจร้ายกับเรา แล้วเรายังโบยตีตัวเอง โทษตัวเองซ้ำ ๆ แล้วจะเหลือพลังที่ไหนให้ลุกขึ้นสู้ต่อ? ดังนั้นแม้โลกใบนี้จะเต็มไปด้วยความท้าทาย ตราบใดที่ยังหายใจ มารักและให้กำลังใจตัวเองมาก ๆ เข้าไว้ ถ้าไม่รู้จะเริ่มต้นฝึกรักและปลุกพลังให้ตัวเองอย่างไร ลองเริ่มต้นด้วยการปล่อยตัวปล่อยใจไปกับหนัง 5 เรื่องนี้ Little Miss Sunshine ถ้าชีวิตคือการแข่งขัน ใคร ๆ ก็อยากครองตำแหน่งผู้ชนะ วิ่ง เหนื่อย สู้ แพ้ หดหู่ วิ่งใหม่ เหนื่อยใหม่ แย่งชิงตำแหน่งผู้ชนะหนึ่งเดียวจนแทบขาดใจ สายตาจับจ้องจนหลงลืมไปว่าการแพ้มันเลวร้ายขนาดนั้นจริง ๆ เหรอ? และการแพ้ในมาตรฐานการแข่งขันที่ไม่เคยสนใจความหลากหลายของมนุษย์ และมุ่งเปลี่ยนให้เราเดินตามทางเดียวกันหมดมันน่าเสียใจมากน้อยแค่ไหน? Little Miss Sunshine จะพาเราขึ้นรถโฟล์คสีเหลืองบุโรทั่งไปกับครอบครัว (ที่ถ้าตัดสินจากมาตรฐานสังคมก็อาจบอกว่าพวกเขาคือ)