ไม่ว่ากี่ยุคกี่สมัย เรือนเวลาที่สุภาพบุรุษส่วนมากมักให้ความสนใจคงหนีไม่พ้น Rolex เพราะมันคือหนึ่งในสัญลักษณ์ความเท่ก้าวผ่านกาลเวลา เป็นตัวแทนของความภูมิฐานมีระดับ ด้วยเหตุผลหลายอย่างจึงทำให้นาฬิกาสัญชาติสวิสนามว่า Rolex กลายเป็นนาฬิกาขวัญใจของใครหลายคนอย่างไม่ยากเย็น รวมถึงชายที่ชื่อว่า Paul Altieri ด้วยเช่นกัน ชายชาวอิตาลีนามว่า Paul Altieri เป็นผู้ก่อตั้ง Bob’s Watches บริษัทขนาดใหญ่ทำหน้าที่เป็นสื่อกลางการแลกเปลี่ยนนาฬิกาแบรนด์หรูทั้ง Rolex, Patek Philippe, Omega, Tudor, Panerai และ Cartier โดยการจัดประมูล สร้างเว็บไซต์ให้เหล่าคนหลงรักนาฬิกาแบรนด์นี้เข้ามาพูดคุยและตามหาเรือนเวลารุ่นที่ใช่ ถ้าเป็นการซื้อขายผ่านหน้าร้านหรือแข่งขันกันแย่งชิงในงานประมูล ผู้คนก็จะอุ่นใจว่านาฬิกาที่ได้ต้องเป็นของแท้ แต่สำหรับการซื้อขายแลกเปลี่ยนกันบนเว็บไซต์อาจสร้างความไม่มั่นใจให้กับทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย คนขายก็กลัวว่าจะไม่ได้เงินส่วนคนซื้อก็กลัวว่า Rolex ที่ตัวเองได้มาจะเป็นของปลอม Paul ผู้รักนาฬิกาตระหนักถึงเรื่องนี้เป็นอย่างดีเพราะเขาก็หลงใหลนาฬิกาแบรนด์นี้ไม่น้อยกว่าใคร การสร้างเว็บไซต์ของเขาดำเนินไปอย่างรัดกุม Paul ทีมงานของเขานำนาฬิกาที่จะวางจำหน่ายบนเว็บไซต์มาตรวจสอบอย่างถี่ถ้วนเพื่อให้แน่ใจว่าเรือนเวลาเป็นของแท้และอยู่ในสภาพดีเยี่ยม Paul พูดเสมอว่านาฬิกา Rolex GMT Black & Blue ที่ผู้คนเรียกกันว่ารุ่นแบทแมน ได้รับความนิยมในหมู่นักสะสม Rolex มาโดยตลอด ตัวเขาเองก็ชอบสวมใส่นาฬิกาข้อมือรุ่นนี้อยู่บ่อย ๆ พร้อมมอบความรู้เท่าที่ตัวเองมีเกี่ยวกับ Rolex
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเชื้อไวรัส COVID-19 ที่ทั่วโลกกำลังเผชิญอยู่ตอนนี้ ทำให้ใครหลายคนวิตกจริตและใช้ชีวิตอย่างไม่เป็นสุขไปตาม ๆ กัน ไหนจะต้องหมั่นขัดถูมือจนแทบถลอก ใส่หน้ากากอนามัยจนปวดใบหู หรือกักเก็บตัวอยู่ในบ้านหลายสิบวันอย่างหดหู่โดยที่ไม่ได้ออกไปไหน ความรู้สึกที่ต้องหมกตัวอุดอู้อยู่ในพื้นที่แคบ ๆ ทุกวี่วันไม่ได้ทำให้คุ้นชินแต่อย่างใด หากทำให้ผู้คนเริ่มโหยหาการออกไปข้างนอก การเดินทางไกล และอยากหนีห่างจากบ้านที่ผูกพันธนาการพวกเขาเอาไว้ในช่วงที่ไวรัสระบาดหนักเช่นนี้ แม้แต่ประเทศเยอรมนีที่ดูจะจัดการวิกฤติโคโรนาไวรัสครั้งนี้ได้ดีกว่าบ้านเราและนานาประเทศ ก็ไม่อาจละความรู้สึกโหยหาที่จะออกเดินทางไปไหนไกล ๆ ได้ แถมชาวเยอรมันยังรู้สึกว่าตนติดอยู่ในบ้านนานและอาจนานเกินไป ยิ่งมาตรการกักตัวเข้มข้นรุนแรงมากเท่าไร ยิ่งทำให้ความปรารถนาที่จะออกไปไหนไกล ๆ ทวีขึ้นมากเท่านั้น พลังแห่งความโหยหาของชาวเยอรมันจึงเริ่มแทรกซึมไปในแทบทุกแคว้นของประเทศ จนคำศัพท์ “Fernweh” ซึ่งนิยามถึงความโหยหาที่จะเดินทางไกลถูกนำกลับมาพูดใหม่ในยุคนี้อีกครั้ง ความโหยหาที่จะเดินทางไปให้ไกลสุดลูกหูลูกตา Fernweh (แฟรน-เวฮ์) เป็นคำนามภาษาเยอรมันที่เคยปรากฏในหนังสือภาษาอังกฤษ ‘The Basis of Social Relation’ ของ Daniel Garrison Brinton ผู้เขียนอธิบายคำนี้ว่าเป็นความปรารถนาสุดลึกซึ้งหรือความรู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวอันเนื่องมาจากระยะทางไกล ในภาษาอังกฤษจึงถอดความหมายออกมาเป็น “Distance Sickening” หรือ “Far Woe” ทว่า Christiane Alsop อธิบายถึง Fernweh ในบทความวิชาการเรื่อง Home
หนุ่ม ๆ ที่ชื่นชอบรถยนต์ของโฟล์คสวาเกนโดยเฉพาะสาวกของ Type 2 คงกำลังรอคอยรถยนต์พลังงานไฟฟ้าอย่าง I.D Buzz ที่กว่าจะวางขายก็ต้องรอถึงปี 2022 แต่ระหว่างนี้เชื่อว่าหลายคนจะต้องถูกใจกับรถยนต์คอนเซ็ปต์คันล่าสุดที่ชื่อ E-BULLI อย่างแน่นอน e-BULLI คือรถยนต์คอนเซ็ปต์คันล่าสุดจาก eClassics แผนกผลิตและพัฒนารถยนต์รุ่นคลาสสิกให้กลายเป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้าที่สามารถทำได้ทั้งในรุ่น Type I Type II และ Type III โดยรถคันล่าสุดที่ถูกเลือกคือ Micro Bus ที่มาพร้อม 21 หน้าต่างอย่าง T1 ‘Samba Bus’ รุ่นปี 1966 ซึ่งถูกเปลี่ยนขุมพลังขับเคลื่อนรวมถึงปรับงานดีไซน์ใหม่ให้กลายเป็นส่วนผสมที่ตัวระหว่างเทคโนโลยีล้ำสมัยกับดีไซน์ไอคอนนิก eClassics ต้องการแน่ใจว่าพวกเขาจะไม่สูญเสียความคลาสสิกของดีไซน์ดั้งเดิมของ Samba Bus ไป e-BULLI จึงมาในสีดั้งเดิมคือสีส้ม ทองและสีครีม ส่วนที่เพิ่มเข้ามาใหม่คือชุดไฟหน้า LED ทรงกลมและไฟ Day Light LED ในส่วนตัวถังถูก Re-Design ใหม่ทั้งหมดโดยเพลาหน้าและเพลาหลังเป็นแบบมัลติลิงค์ซึ่งจะส่งพลังขับเคลื่อนไปที่ล้อหลัง ด้านขุมพลัง e-BULLI
สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ยังคงส่งผลกระทบต่อผู้คนทั่วโลกรวมถึงลดทอนความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจทำให้มีอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจำนวนมาก หนึ่งในนั้นคืออุตสาหกรรมผู้ผลิตรถยนต์ซึ่งได้รับผลกระทบไปเต็ม ๆ จากยอดขายที่ลดลงและการสั่งหยุดการผลิตของโรงงานกลุ่มประเทศเสี่ยง อย่างไรก็ตามภายใต้สถานการณ์ที่ไม่สู้ดีนัก ยังมีค่ายผู้ผลิตรถยนต์จำนวนมากที่แสดงความต้องการชัดเจนว่าพร้อมเปลี่ยนโรงงานของตัวเองให้กลายเป็นโรงงานผลิตอุปกรณ์ทางการแพทย์เพื่อใช้สนับสนุนและช่วยเหลือทีมแพทย์ในการต่อสู้กับโรคร้ายหากสถานการณ์ต่าง ๆ เลวร้ายขึ้น มาดูกันว่ามีค่ายรถไหนบ้างที่พร้อมสนับสนุนความช่วยเหลือในครั้งนี้ เริ่มกันที่อิตาลีหนึ่งในประเทศที่มีสถานการณ์น่าเป็นห่วงที่สุด การแพร่ระบาดในอิตาลีเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเพราะพวกเขาไม่สามารถกักตัวผู้คนก่อนจะเกิดการอพยพได้รวมถึงการดำเนินงานที่ล่าช้าของภาครัฐ รู้ตัวอีกทีการระบาดก็กระจายไปทั่วประเทศ รัฐทำได้เพียงควบคุมสถานการณ์ไม่ให้เลวร้ายแต่ประชาชนยังคงติดเชื้อเพิ่มมากขึ้น นั่นทำให้โรงพยาบาลส่วนใหญ่ซึ่งไม่ได้มีการเตรียมพร้อมรับมือ ขาดแคลนอุปกรณ์ทั้งเตียงและเครื่องช่วยหายใจ จนทำให้ Siare Engineering บริษัทผลิตเครื่องช่วยหายใจเบอร์หนึ่งของอิตาลีให้รับการขอร้องจากรัฐบาลให้เพิ่มกำลังการผลิตจากเดือนละ 160 ตัวเป็น 500 ตัวซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายหากจะผลิตด้วยโรงงานเดิม Siare Engineering ได้ติดต่อพูดคุยกับกลุ่มผู้ผลิตรถยนต์ในประเทศอิตาลีไม่ว่าจะเป็น Ferrari Fiat และ Chrysler และพูดคุยกันจนได้ข้อสรุปว่า การช่วยเหลือในครั้งนี้จะแบ่งเป็น 2 วิธีด้วยกัน วิธีแรกคือให้ค่ายผู้ผลิตรถยนต์ทั้งหมดช่วยเหลือในการผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ของเครื่องช่วยหายใจเพราะส่วนใหญ่มีความเชี่ยวชาญการผลิตอุปกรณ์เหล่านี้อยู่แล้ว อีกทางหนึ่งคือให้ Ferrari หรือ Fiat ส่งผู้เชี่ยวชาญด้านการผลิตไปดูงานที่โรงงานผลิตเครื่องช่วยหายใจของ Siare Engineering เพื่อสนับสนุนการผลิตรวมถึงศึกษาแบบเครื่องช่วยหายใจและนำกลับไปผลิตที่โรงงานของตัวเอง โดยเหตุผลที่รัฐบาลอิตาลีข้อความร่วมมือการองค์กรเหล่านี้เพราะรู้ดีว่าค่ายผู้ผลิตรถยนต์มีความเชี่ยวชาญในการผลิตอุปกรณ์ครั้งละมาก ๆ รวมถึงสามารถขอซื้อวัสดุหลายประเภทได้ในราคาถูกกว่าภาครัฐ ซึ่งต้องรอข่าวยืนยันการเริ่มผลิตอีกครั้ง ข้ามมาดูสถานการณ์ในฝั่งสหรัฐอเมริกาแม้จะประกาศปิดประเทศแล้วแต่ยอดผู้ติดเชื้อยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดมีตัวเลขผู้ติดเชื้อที่ประมาณ 26,000 คนและเสียชีวิตแล้ว 178 คน จนทำให้หลายฝ่ายเริ่มตื่นตัวไม่เว้นแม้แต่
หนึ่งในสิ่งที่เลวร้ายที่สุดของการทำงาน คือยังไม่ได้ทำใจในวันจากลา เหตุผลนี้กลายเป็นวิกฤตสำคัญของสถานการณ์ Covid-19 ไปเรียบร้อย บางคนโดนลอยแพกระทันหัน บางคนยังไม่รู้ชะตากรรม ตกงานระนาว ส่วนหนี้สินที่รุงรังอยู่ยังไม่รู้จะเริ่มสางตรงไหน เพราะมันไม่ได้หยุดทำงานเหมือนเรา เรื่องนี้อัปเดตข้อมูลล่าสุดวันที่ 20 มีนาคม ที่ผ่านมาจากประกันสังคมและกระทรวงแรงงานว่าผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์นี้ กระทรวงแรงงานไม่ได้นิ่งนอนใจ ออกมาตรการเยียวยาผลกระทบ Covid-19 เพื่อให้เรายังพอมีเงินยังชีพระหว่างที่ขาดรายได้ โดยใครที่เข้าเกณฑ์เงื่อนไขใดในนี้ สามารถไปเข้าไปกรอกเพื่อรับสิทธิ์เงินสมทบได้ตามที่กำหนด Keyword: เพื่อให้อ่านต่อเนื่องจากนี้ไปแล้วเข้าใจมากขึ้น เราอยากให้ทุกคนทำความเข้าใจรูปแบบการเป็นผู้ประกันตนมาตราต่าง ๆ ก่อนว่าเราเข้าข่ายแบบไหน และแต่ละคนมีความแตกต่างอย่างไร ผู้ประกันตน มาตรา 33 = พนักงานเอกชนทั่วไป ผู้ประกันตน มาตรา 39 = เคยเป็นพนักงานแต่ลาออกและต้องการความคุ้มครองต่อเนื่อง ผู้ประกันตน มาตรา 40 = อาชีพอิสระ/แรงงานนอกระบบ หรือผู้ที่ต้องการทำประกันสังคม ไม่เคยทำมาก่อน ต้องมีอายุ 15-60 ปี เงื่อนไข แน่นอนว่าการคุ้มครองแรงงานในสถานการณ์นี้ ถึงจะบอกว่าช่วยเยียวยาแต่ก็มีเงื่อนไข โดยเงื่อนไขครั้งนี้คือลูกจ้างที่สามารถรับสิทธิ์ได้ ต้องส่งประกันสังคมมาแล้วไม่ต่ำกว่า 6 เดือน ถ้าคุณเข้าเงื่อนไขนี้ก็ขอให้ข้ามไปดูต่อได้ว่าคุณอยู่ในข่ายผู้ได้รับผลกระทบแบบไหน
สมองสั่งการให้สายตาของเราจับจ้องไปที่มันทุกครั้ง ประสาทสัมผัสของเรารับรู้และบอกว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้านั้นคือ Harley-Davidson เสียงที่กระหึ่ม ดุดัน เร้าใจของเครื่องยนต์ V-Twin ข้อเหวี่ยงวางที่ตำแหน่ง 45 องศา กับรูปลักษณ์ภายนอกที่สวยงาม โดดเด่นและท่านั่งขับที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ปฏิเสธไม่ได้ว่ารถมอเตอร์ไซค์ Harley-Davidson คือรถในฝันของผู้ชายหลายคนที่ต้องการครอบครองสักครั้งในชีวิต เชื่อว่าหลายคนประทับใจภาพยนตร์ซีรีส์ในตำนานที่ว่าด้วยเรื่องราวแก๊งอาชญากรนักบิดนอกกฎหมายที่ใช้รถมอเตอร์ไซค์ Harley-Davidson เป็นพาหนะคู่ใจ อย่างเรื่อง “Sons Of Anarchy” แม้ว่าตัวหนังจะจบลงไปแล้วในซีซันที่ 7 แต่นอกจากเรื่องราวของหนังที่สนุกเข้มข้นแล้ว สิ่งที่โดดเด่นและอาจจะผิดมากหากเราไม่กล่าวถึงมันก็คือรถมอเตอร์ไซค์ของตัวละครหลักในเรื่อง โอกาสนี้ UNLOCKMEN จะพาไปดูรถมอเตอร์ไซค์ที่ตัวละครหลักในเรื่องแต่ละคนใช้เป็นยานพาหนะคู่ใจ Clay Morrow หัวหน้าแก๊งหรือประธานของคลับ Sons of Anarchy Motorcycle Club, Redwood Original (เรียกอย่างย่อให้เข้าใจได้ว่า SAMCRO) Clay เป็น 1 ใน 9 สมาชิกดั้งเดิมของคลับ ก่อนตำแหน่งประธานคลับจะถูกแทนที่ด้วยลูกเลี้ยงเขาในภายหลัง สิ่งที่หลายคนอาจไม่เคยรู้มาก่อนคือสิงห์นักบิดระดับหัวหน้าแก๊งในเรื่องคนนี้คือมือสมัครเล่นในชีวิตจริง เพราะ Ron Perlman เคยให้สัมภาษณ์กับสื่อว่าเขาไม่เคยขี่มอเตอร์ไซค์มาก่อนในชีวิตจนกระทั่งมาแสดงในหนังเรื่องนี้ Clay’s Bike
นอกจากศิลปะรูปธรรมที่ลอกเลียนรูปทรงของธรรมชาติ เน้นความสมจริง และทำให้เราเข้าใจความหมายตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น อีกด้านยังมีศิลปะนามธรรมที่ยากจะเข้าใจ เต็มไปด้วยความคลุมเครือ และอาจหาคำจำกัดความให้กับสิ่งที่เห็นไม่ได้ บนโลกนี้มีศิลปินหลายต่อหลายคนที่ใช้ศิลปะแบบนามธรรม (Abstract Art) สื่อความหมายผ่านรูปทรง สีสัน และลายเส้นที่ไร้รูปแบบตายตัว ซึ่งศิลปะแนวนี้ไม่ได้เน้นความสมจริงหรือรูปทรงที่แน่ชัดแบบรูปธรรม ทว่าเน้นอารมณ์ความรู้สึกที่เกิดขึ้นเมื่อผลงานชิ้นนั้น ๆ กระทบต่อสายตาผู้ชม ยุคที่เทคโนโลยีและนวัตกรรมถูกพัฒนาไปอย่างก้าวกระโดด วิธีการสร้างงานศิลปะเองก็เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ศิลปินยุคใหม่บางคนไม่ได้ยึดติดกับการใช้ฝีแปรงละเลงลงบนผืนผ้าใบอีกต่อไป แต่ใช้ประโยชน์จากแอปพลิเคชันล้ำสมัยและแพลตฟอร์มออนไลน์สร้างงานศิลปะแนวใหม่พร้อมจัดแสดงในเวลาเดียวกัน Michael Strevens ศิลปินดิจิทัลในลอนดอนผู้นี้ ใช้สมาร์ตโฟนและแอปพลิเคชันแต่งภาพสร้างคอลเลกชันศิลปะของตัวเองใน Instagram จนเกิดเป็นกระแสไวรัลทั่วโลกศิลปะออนไลน์ แรงบันดาลใจของ Michael Strevens เริ่มขึ้นในปี 2012 ที่เขาซื้อ iPhone มาใช้ครั้งแรกและเพิ่งรู้จักกับแอปพลิเคชัน Instagram เขาเข้าไปสำรวจภาพถ่าย ผลงานสถาปัตยกรรม รวมทั้งภูมิทัศน์ของเมืองทั่วยุโรปในแอปพลิเคชันนี้ ขณะเสพผลงานไปเรื่อย ๆ เขาค้นพบว่าตัวเองหลงใหลการถ่ายภาพและอยากสร้างผลงานศิลปะเจ๋ง ๆ ด้วยสมาร์ตโฟน จึงผันตัวมาเป็นศิลปินดิจิทัลเต็มตัวตั้งแต่ปี 2012 และอัปโหลดผลงานลงใน Instagram เพื่อจัดแสดงผลงานจนถึงทุกวันนี้ ผลงานของเขามีทั้งภาพสีและภาพขาวดำ เส้นตรงและเส้นโค้ง แถมยังโดดเด่นด้วยการเล่นกับเส้น ความละเอียดคมชัด มุมมองสายตาผู้ชม และรูปแบบเดิม ๆ
ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 และจำนวนผู้ติดเชื้อที่ทะยานสูงขึ้นเรื่อย ๆ ไม่แปลกถ้าผู้ชายบางคนจะรู้สึกวิตกกังวล ไม่เป็นอันกินอันนอน และตื่นกลัวทุกสิ่งอย่าง ไหนจะข่าวสารที่น่าหดหู่ ผู้คนบางตารอบตัว หรือพฤติกรรมการใช้ชีวิตของคนที่เปลี่ยนไป คล้ายกับอุปาทานหมู่ที่ทำให้เราวิตกตามไปด้วย แต่ในช่วงเวลาที่ยากลำบากอย่างตอนนี้ กลับเป็นช่วงที่เราต้องมีสติและเข้มแข็งมากที่สุดเลยก็ว่าได้ เพราะถ้าคุณปล่อยให้อารมณ์วิ่งพล่านและอาละวาดโดยปราศจากการควบคุม อาจทำให้สถานการณ์ที่แย่อยู่แล้วย่ำแย่ลงไปอีก วันนี้ UNLOCKMEN เลยจะมาบอกวิธีควบคุมและจัดการกับอารมณ์ของตัวเองไม่ให้กระเจิดกระเจิงไปไหนไกล เพื่อให้คุณยังมีสติ เข้มแข็ง และยืดหยัดอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายเช่นนี้ต่อไปได้ รู้จักอารมณ์ที่กำลังเกิดขึ้น วิธีพื้นฐานในการควบคุมจัดการกับอารมณ์ตัวเอง เริ่มจากคุณต้องรู้ก่อนว่าตอนนี้อารมณ์แบบไหนกำลังเกิดขึ้นกับคุณอยู่ หากสามารถจำแนกและบอกได้ว่าตัวเองรู้สึกอย่างไร แปลว่าคุณมีสติและควบคุมอารมณ์ได้ในระดับหนึ่งแล้ว นอกจากนั้นการรู้จักอารมณ์ยังช่วยจัดการกับอารมณ์เชิงลบและลดผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับตัวคุณได้ เช่น ถ้าคุณรู้สึกวิตกกังวลกับการแพร่ระบาดของไวรัส ความกังวลของคุณจะอยู่บนพื้นฐานของความคิดและเหตุผล คุณจะไม่กระวนกระวายเหมือนคนอื่น ๆ หากมีสติและพร้อมแก้ไขปัญหาอย่างชาญฉลาด ช่วยเหลือคนรอบตัว แม้คุณสามารถจำแนกและควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ แต่เชื่อว่ายังมีคนในครอบครัวหรือคนรอบตัวอีกมาก ที่ไม่อาจจัดการกับอารมณ์ต่าง ๆ นานาได้อย่างคุณ คุณจึงต้องช่วยนำทางพวกเขาหรือแบ่งปันอารมณ์ร่วมกัน ว่าตอนนี้รู้สึกอย่างไรบ้างและพอมีวิธีไหนจะทำให้พวกเขารู้สึกดีขึ้นได้บ้าง ถ้าความวิตกกังวลเรื่องไวรัส COVID-19 เป็นอุปาทานหมู่ที่ทำให้คนอื่น ๆ รู้สึกแย่ตามไปด้วย การมีสติ เข้มแข็ง และควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ ก็สามารถกลายเป็นอุปาทานหมู่ที่ส่งต่อไปยังคนอื่นได้เช่นกัน ไม่ต่างจากเรื่องไวรัส จดจ่อสิ่งที่ทำได้ คุณอาจไม่สามารถไปยับยั้งการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสในวงกว้างได้ แต่เราอยากให้คุณมุ่งเน้นในเรื่องที่คุณทำได้และทำมันให้ดีที่สุด เช่น
เมื่อไม่กี่วันก่อนพวกเราชาว UNLOCKMEN คุยกันเรื่องซีรีส์เรื่องหนึ่งที่กำลังฮิตติดลมบนอยู่ในเวลานี้อย่าง Kingdom ผลงานจากประเทศเกาหลีใต้ที่ฉายทางระบบสตรีมมิง Netflix พวกเราพูดถึงฉากแอกชันโคตรเดือดกับการตามกำจัดซอมบี้และช่วงชิงบัลลังก์ของเจ้าชาย แต่น่าแปลกบทสนทนาเกี่ยวกับหนังแทบจะไม่มีชื่อตัวละครหลุดออกมาจากปากใครเลย เรารับรู้เพียงแค่ว่าหนังสนุก พูดคุยถึงตัวละครในหนังกันอย่างออกรสทั้งพระเอกเป็นเจ้าชาย นางเอกเป็นหมอ ชายแก่เป็นอาจารย์ของพระเอกกับหมอหญิงอีกที ตัวร้ายคืออัครเสนาบดีกับลูกสาวที่เป็นพระมเหสี และคนต้มเล้งแซ่บ ซึ่งผลของบทสนทนาคือแทบไม่มีใครจดจำชื่อตัวละครทั้งหมดได้เลย เพราะไม่มีใครสามารถตอบได้ว่าตัวละครแต่ละตัวมีชื่ออะไรกันบ้าง (ยกเว้นหมอหญิงซอบีที่ถูกเอ่ยชื่อบ่อยในเรื่อง) UNLOCKMEN จึงเกิดความสงสัยว่าเพราะอะไรคนส่วนใหญ่ถึงไม่สามารถจดจำใบหน้าหรือชื่อของตัวละครเท่าไหร่นัก? ยิ่งเข้าสู่ฉากช่วงกลางคืนด้วยแล้วแทบจะแยกไม่ออกเลยว่าใครเป็นใคร และความสงสัยทำให้เราอยากรู้เรื่องอาการนี้มากขึ้น ไม่ใช่แค่เรื่อง Kingdom เท่านั้นที่ทำให้ผู้ชมสับสนว่าใครเป็นใคร แต่สำหรับแฟนหนังจำนวนไม่น้อยมีอาการสับสนเวลาดูภาพยนตร์เรื่องหนึ่งไปสักพักและจำไม่ได้ว่าตัวละครมีชื่อว่าอะไร หรือเพราะในเรื่องมีคนหน้าตาท่าทางคล้ายกันจนทำให้ไม่มั่นใจว่าใครเป็นใคร บางครั้งงงหนักขึ้นไปอีกว่าตัวละครนี้มันโผล่มาอย่างไรแม้ตัวละครนี้มันเคยออกมาแล้วแต่เราลืมเอง แต่ไม่ต้องกังวลไปเพราะอาการทั้งหมดเป็นเรื่องปกติที่ใคร ๆ ก็สามารถเป็นได้ทั้งนั้น ทีมวิจัยของมหาวิทยาลัยยอร์กแห่งสหราชอาณาจักร (University of York) พบเจอกับปัญหานี้ไม่ต่างกับเรา พวกเขาจึงเริ่มหาเหตุผลว่าเพราะอะไรเราถึงลืมหน้าคนได้ง่าย ๆ ด้วยการให้กลุ่มตัวอย่างนึกถึงใบหน้าของพี่น้องหรือญาติสนิท และจดจำใบหน้าเหล่านั้นให้มากที่สุด จากนั้นดูหน้าตาของเหล่าคนมีชื่อเสียงจากหลายวงการทั้งนักแสดง นักร้อง นักข่าว นักการเมืองและคนทั่วไปที่ไม่เคยเข้ามาข้องเกี่ยวในชีวิตมาก่อน จากนั้นทำแบบสำรวจว่าแต่ละคนสามารถจดจำใบหน้าได้มากแค่ไหน ผลออกมาว่ามีคนจากกลุ่มตัวอย่างจำหน้าคนได้มากถึง 5,000 หน้า แม้จะมีคนจดจำใบหน้าได้มาก 5,000 หน้า แต่เมื่อถามลงไปว่าแต่ละคนที่จำได้เป็นใครมาจากไหนความแม่นยำจะลดลงเรื่อย ๆ คนส่วนใหญ่จดจำหน้าและชื่อของญาติตัวเองได้มากที่สุดเพราะคุ้นเคยมาหลายสิบปี รองลงมาคือกลุ่มคนมีชื่อเสียง หลงลืมชื่อกับใบหน้าของกลุ่มที่เป็นคนแปลกหน้าไม่มีชื่อเสียง
มีใครสักคนเคยกล่าวไว้ว่า บทเพลงไพเราะช่วยทำให้บรรยากาศในแต่ละสถานการณ์ดีขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ UNLOCKMEN ครุ่นคิดถึงเรื่องนี้อยู่บ่อยครั้งเพราะพวกเราก็เป็นคอดนตรี บางคนชอบฟังเพลงในกระแส บางคนชอบฟังเพลงนอกกระแส บางคนชอบฟังเพลงสากลไปจนถึงเพลงของไอดอลเคป๊อป พวกเรามักสลับกันเปิดเพลงเพื่อสร้างบรรยากาศในออฟฟิศ และหลายครั้งหลายคราวที่เลือกฟังเพลงของวงดนตรีวงหนึ่งอยู่บ่อยครั้ง วงที่ว่าก็คือ eletric.neon.lamp เราได้ฟังเพลงของ eletric.neon.lamp มาประมาณหนึ่ง และในที่สุดก็มีโอกาสร่วมวงสร้างบทสนทนากับสมาชิกในวงทั้ง เจน (ร้องนำ) แทน (กีตาร์) อุน (กีตาร์) เต้ (เบส) และแป๊ก (กลอง) เราพบว่า eletric.neon.lamp คือวงดนตรีที่เต็มไปด้วยเรื่องราวน่าสนใจ วิธีการเล่าเรื่องที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ มุกตลกกวน ๆ อย่าง “ถ้าเทียบกับหมา eletric.neon.lamp ก็แก่มากแล้ว” และถ่ายทอดเรื่องราวอย่างจริงใจว่ากว่า 14 ปี พวกเขาพบเจออะไรบ้างระหว่างที่นั่งอยู่บนรถไฟแห่งความฝัน การเดินทางจากเชียงใหม่สู่ใจกลางของวงการเพลงไทย วงดนตรีนามว่า eletric.neon.lamp ก่อตั้งขึ้นโดยกลุ่มคนที่หลงรักเสียงเพลงและอยากสร้างสรรค์ผลงานด้านดนตรีในสไตล์ของตัวเอง เริ่มจากพ.ศ. 2549 ที่พยายามค้นหาตัวเอง ลองผิดลองถูก เก็บเกี่ยวประสบการณ์ จนวันนี้นานถึง 14 ปี ระยะเวลานานขนาดนี้ไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ UNLOCKMEN