เวลาป่วยหลายคนอาจไม่กล้าที่จะลางานด้วยหลายสาเหตุ เช่น ปัญหาด้านการเงิน ภาระงานที่กองเป็นภูเขา หรือ การอยู่ในสังคมที่มองคนลาหยุดไม่ดี สุดท้ายพวกเขาก็พยายามพาตัวเองมาทำงานในสภาพที่ไม่พร้อมเต็มที่ และทำผิดพลาดได้บ่อยขึ้นในที่สุด ปัญหาเรื่องพนักงานไม่ยอมลาหยุดงาน และมาทำงานตอนป่วย หรือ บาดเจ็บ เราเรียกกันว่า ‘Presenteeism’ ซึ่งสามารถทำลาย Productivity ในการทำงานของคนได้มากถึง 1 ใน 3 แถมปัญหานี้ยังอยู่ใกล้ตัวเรามากกว่าที่คิดด้วย มีคนทำงานชาวไทยจำนวนมากที่ไม่ยอมลาป่วย และมาทำงานในสภาพที่ไม่พร้อม ส่งผลให้พวกเขาทำงานได้ไม่เต็มที่ อ้างอิงจาก การสำรวจของบริษัทประกันซิกน่า (2018) พบว่า คนไทยราว 89% ยังคงไปทำงานแม้ตัวเองจะป่วย หรือ มีสภาพจิตใจที่ไม่พร้อม ส่งผลให้ประสิทธิภาพในการทำงานของพวกเขาลดลงเหลือเพียง 74% เท่านั้น นอกจากจะทำให้งานเสียแล้ว ปัญหานี้อาจนำไปสู่ปัญหาหนักข้ออื่น ๆ ได้ด้วย ไม่ว่าจะเป็น ปัญหาเรื่องความเหนื่อยล้าของพนักงาน หรือ ปัญหาที่ร้ายแรงกว่านั้นอย่างการแพร่ระบาดของโรคในออฟฟิศ Presenteeism จึงเป็นปัญหาที่ส่งผลเสียต่อภาคธุรกิจอย่างมาก และคนระดับผู้นำไม่ควรมองข้ามปัญหานี้ ทำไมพนักงานถึงไม่ยอมลาป่วย ? ภาระงานที่มากเกินไป นโยบายที่กระตุ้นให้พนักงานลาหยุดน้อยลง วัฒนธรรมที่สนับสนุนการทำงานหนัก จนถึง มุมมองที่มีต่อการลาหยุดว่าเป็นเรื่องเลวร้าย ล้วนกระตุ้นให้เกิด
ความสุขของผู้ชายมักมีที่มาจากความสำเร็จในชีวิตของพวกเขา เช่น หน้าที่การงานก้าวหน้า (ได้เลือนขั้น หรือ ธุรกิจประสบความสำเร็จ) ได้ซื้อรถยนต์คันใหม่ หรือ เจอกับเหตุการณ์ที่ทำให้กลายเป็นเศรษฐีในชั่วข้ามคืนอย่างการถูกลอตเตอรี่ เป็นต้น แม้เหตุการณ์เหล่านี้จะทำให้ชีวิตเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ แต่มันก็ไม่ได้ทำให้เรามีความสุขยาวนานเลย นานวันไป ความรู้สึกดีก็ค่อย ๆ ลดลงไปตามกาลเวลา จนสุดท้ายเราก็รู้สึกเฉยชากับมันในที่สุด เราเรียกปรากฎการณ์ที่ความสุขค่อยลดลงตามกาลเวลาว่าเป็น ลู่วิ่งแห่งความสุข (Hedonic Treadmill) Hedonic Treadmill เกิดขึ้นได้อย่างไร ? ในช่วงยุค 1970s สองนักจิตวิทยาที่มีชื่อเสียง ได้แก่ Philip Brickman และ Donald Thomas Campbell ได้แนะนำให้โลกได้รู้จักกับคอนเซ็ปท์ของ Hedonic Adaptation หรือ ความสามารถของมนุษย์ในการปรับตัวให้เข้ากับความสุขที่ตัวเองได้รับ จนรู้สึกไม่ยินดียินร้ายกับมันในที่สุด กล่าวคือ เวลาที่เราเจอกับเหตุการณ์ที่ทำให้หัวใจเราพองโต อารมณ์และความรู้สึกจากเหตุการณ์นั้นจะค่อย ๆ จางหายไป จนสุดท้าย เราจะรู้เฉยชาเหมือนก่อนเกิดเหตุการณ์นั้นในที่สุด สาเหตุที่ทำให้กลไกนี้อยู่คู่กับมนุษย์ อาจเกี่ยวข้องกับการเอาตัวรอด ถ้าเรามีความรู้สึกที่มากเกินไป เช่น ดีใจเกินไป หรือ
ผู้ชายอย่างเรามักมีภาระกองเท่าภูเขา ไหนจะภาระค่าใช้จ่าย ภาระครอบครัว หรือ ภาระเรื่องงาน ปัญหาเหล่านี้มักทำให้เราปวดหัว เกิดอาการกังวลจนทำตัวไม่ถูกกันอยู่บ่อย ๆ อยู่เหมือนกัน แต่ด้วยเทคนิค การจัดลำดับ (Scheduling) เราจะรับมือกับพวกมันได้ง่ายขึ้นอย่างแน่นอน Scheduling คือ ทักษะในการเรียงความสำคัญของกิจกรรมที่เราต้องทำในแต่ละวัน มันจะทำให้เรารู้ว่าควรทำอะไรก่อนและควรทำอะไรหลัง และสามารถลงมือทำอย่างเป็นลำดับที่ถูกต้องและเหมาะสมที่สุด หลายคนอาจคุ้นเคยกับมันอยู่แล้ว เช่น การทำตารางเวลา หรือ จดบันทึกสิ่งที่ต้องทำในแต่ละวันในรูปแบบของ to-dolist แม้ Scheduling จะทำได้ง่าย และหลายคนทำเป็นอยู่แล้ว แต่มันก็มีทิปที่เราควรรู้ไว้ เพื่อให้เราทำมันได้ดีขึ้นเหมือนกัน UNLOCKMEN อยากมาแนะนำเทคนิคที่ช่วยพัฒนา Scheduling เพื่อชีวิตที่จัดการได้อย่างราบรื่นมากขึ้น กำหนดเวลาที่เราจะเริ่มคิด schedule ทุกวัน ก่อนนอนควรเป็นช่วงเวลาที่เราพร้อมสำหรับการพักผ่อน ถ้าช่วงนั้นหัวเราไม่โล่ง เต็มไปด้วยความกังวลถึงเรื่องต่าง ๆ เราจะมีปัญหาเรื่องการนอน และตื่นมาในสภาพนอนไม่พอได้ ดังนั้น เราจึงไม่ควรทำ to-dolist ก่อนนอน แต่ควรทำก่อนหน้านั้น เพื่อไม่ให้ความกังวลรบกวนการนอนของเรา เราอาจเริ่มทำมันตอนที่สมองเรายังพร้อมรับความกังวลอยู่ เช่น ช่วงก่อนเลิกงาน 10 นาที
โลกใบนี้มีความกังวลสารพัดรูปแบบ บางความรู้สึกสามารถคลี่คลายได้ด้วยการจัดการอย่างเป็นระบบ แต่บางความรู้สึกพัฒนาจนเป็นภาวะเรื้อรังที่อาจส่งผลกระทบกับชีวิต หรือนำไปสู่ปัญหาสุขภาพจิตอื่น ๆ ตามมาได้ ในขณะที่โลกมีคนหลงตัวเอง มีคนที่คิดว่าทำดีเท่าไรก็ยังไม่พอ บนโลกใบนี้ก็มีคนที่ประสบความสำเร็จแล้ว หรือให้ทำอะไรก็ทำได้ไปหมด ดูไม่ติดขัดอะไร แต่ลึก ๆ แล้วพวกเขากลับรู้สึกว่าพวกเขาไม่ได้เก่งจริง ๆ แค่ฟลุคทำได้เฉย ๆ ดังนั้นจึงรู้สึกว่าตัวเองไม่คู่ควรกับความสำเร็จหรือคำชื่นชมที่ได้รับมาเลย ภาวะแบบนี้มีชื่อเรียกว่า Imposter Syndrome แม้จะไม่ได้ถูกจัดเป็นอาการป่วย แต่การลดทอนคุณค่าและความสามารถของตัวเองก็บั่นทอนสุขภาพจิตจนทำให้เสียการเสียงานหรือป่วยได้เช่นกัน ดังนั้นอย่ามัวปล่อยให้ความรู้สึกนี้ครอบงำ มาเอาชนะมันไปด้วยกัน “จดบันทึกความสำเร็จ” เพราะทุกชัยชนะ ควรค่าแก่การจดจำ ในสังคมที่สอนให้เราเอาแต่ถ่อมตัว บางครั้งเราก็ถ่อมตัวตามมารยาท แต่หลายครั้งก็เป็นปฏิกิริยาตอบกลับเหมือนถูกฝังอยู่ในสมอง เวลาใครชมว่าเก่งแล้วต้อง “ไม่หรอกครับ” “ผมไม่เก่งเลย” อยู่ตลอด จนหลายครั้งตัวเราเองก็อาจเชื่อไปด้วยจริง ๆ ว่าเราไม่เก่ง เราอาจแค่โชคดี อาจมีคนช่วย วิธีการหนึ่งที่จะทำให้เรายอมรับความสำเร็จของตัวเรามากขึ้น คือการจดบันทึกความสำเร็จลงไป โดยความสำเร็จที่ว่าไมจำเป็นต้องรอให้เป็นความสำเร็จใหญ่ ๆ หรือแค่เรื่องหน้าที่การงานเท่านั้น ทุกความสำเร็จล้วนมีความหมาย การจดบันทึกทำให้เราเห็นความสามารถและชัยชนะของเราแต่ละวัน ฝึกให้เราเคารพศักยภาพของตัวเองอย่างสม่ำเสมอ มากไปกว่านั้นถ้าสามารถจดเป็นสถิติเป็นตัวเลขได้ ก็จะยิ่งทำให้เราไม่รู้สึกว่าเราชมตัวเองลอย ๆ แต่เราทำงานนั้น ๆ แบบมีมาตรฐานจริง
เขาเริ่มต้นเส้นทางนักแสดงจากการเป็นนักเต้น เล่นละครเวทีเดอะมิวสิคัล จนก้าวเข้าสู่วงการฮอลลีวูดตั้งแต่ยังวัยกระเตาะ สำหรับ Thomas Stanley Holland หรือ Tom Holland สไปเดอร์แมนหนุ่มร่างเล็ก วัย 25 ปี ซึ่งนอกจากฝีมือการแสดงที่น่าชื่นชมแล้ว เขายังมีสไตล์การแต่งตัวที่ชวนหลงใหล ทั้งเรื่องของสไตล์ที่บ่งบอกความเป็นตัวตน การเลือกสีเครื่องแต่งกายให้แมทช์กันอย่างไร้ที่ติ รวมไปถึงการเลือกทรงผมเผยโครงหน้าที่ดูจะเหมาะเจาะไปซะทุกครั้งที่เขาต้องปรากฎกายต่อหน้าสาธารณะชน วันนี้ Style Guide เราจะเจาะจุดเด่นการเลือกแต่งกายของพ่อหนุ่ม Spider-Man คนนี้กัน เชื่อว่าจะสร้างสไตล์สีสันให้กับผู้ชายร่างเล็กหลาย ๆ คนได้อย่างแน่นอน Tom Holland คือชายที่มีชั้นเชิงในการแต่งกายไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าลีลาการแสดง เขามักจะมีเสื้อตัวนอกที่เป็นส่วนเติมเต็มลุคอยู่เสมอ โดยเฉพาะแจ็คเก็ตโทนหลัก 3 สี ยีนส์ ดำ น้ำตาล ที่ก็แทบจะ finish ได้ทุกลุคของผู้ชายอย่างเรา ๆ แล้ว แจ็คเก็ตสียีนส์ที่มาช่วยคลุมเสื้อยืดสีขาวด้านใน กับกางเกงผ้าลายตารางแบบฉบับหนุ่มอังกฤษยุค 60S’ ดึงดูดสายตาด้วยสนีกเกอร์สีขาว เรียกได้ว่าขยี้ซะลุคนี้ออกมาโคตรคูล ส่วนแจ็คเก็ตดำเข้าตำรา All Black คลุมโทนดำขรึมทั้งลุค หรือบางวันก็หยิบไอเท็มสุดคลาสสิคอย่างเสื้อยืดขาวมาตัดความทะมึน พร้อมกับสวม
แม้จะผ่านทัวร์นาเมนต์ยูโรยุคโควิด 2020 มาได้สักพักแล้ว แต่ถ้าชาว UNLOCKMEN สังเกตดี ๆ จะพบว่ามีอีกหนึ่งควันหลงที่ยังคงไม่จางหาย และได้กลายมาเป็นเทรนด์สุดคูล สำหรับแฟชั่นทรงผมสุดกระแทกตา “Gazza Style 96” ซึ่งมาจากการที่เจ้าหนู Phil Foden ดาวรุ่งทีมชาติอังกฤษ นึกสนุกอยากลองเปลี่ยนลุคก่อนลุยทัวร์นาเมนต์ใหญ่ ประกอบกับทัพ The Three Lions ทะลุไปถึงตำแหน่งรองแชมป์ รวมถึงการที่ Jorginho กองกลางชาวอิตาลีผู้สมหวังจากนัดชิงชนะเลิศกลับมาที่แคมป์สโมสรด้วยลุคที่ใครมองก็ต้องร้องว่า นี่มันแกสซ่าชัดๆ เช่นเดียวกับเพื่อนร่วมทีมวัยเก๋า Thiago Silva ที่ดูวัยรุ่นขึ้นไม่น้อยกับทรงผมใหม่ เหมือนเป็นการสานต่อเทรนด์นี้ เป็นอีกสาเหตุที่ส่งให้แฟชั่นผมสีบลอนด์ติดหัวสไตล์แกสซ่ายิ่งเป็นที่แพร่หลายมากขึ้นในวงการฟุตบอล INSPIRED BY GAZZA STYLE ต้นฉบับความซ่านี้คือ Paul Gascoigne อดีตนักฟุตบอลทีมชาติอังกฤษ เจ้าของฉายา “Gazza” ด้วยลีลา พรสวรรค์ และวีรกรรมสุดแสบ ทำให้เขาเป็นที่กล่าวขานทั้งเรื่องฝีเท้าในสนาม รวมถึงความซ่านอกสนาม เขาเริ่มต้นด้วยการเป็นนักเตะเจ้าเนื้อผมสีน้ำตาลดำธรรมดาๆ จนเริ่มมีชื่อเสียง บวกกับความเป็นขบถลูกหนังตัวเป้ง จึงเริ่มจัดการเปลี่ยนลุคตัวเองในช่วงปี 1995 ผมสั้นเตียนเกือบติดหนังหัว
ในปัจจุบันนี้ไม่ว่าใครก็พกกล้องติดตัวกันทั้งนั้น เพราะเพียงแค่หยิบ Smartphone ออกมาก็สามารถถ่ายรูปได้อย่างง่ายดาย ที่สำคัญคือกล้องเหล่านี้มันใช้ง่าย และถูกพัฒนาไปไกล แต่สำหรับคนที่หลงใหลการถ่ายภาพบางคน อาจมองว่าเสน่ห์ในการถ่ายรูปแบบเดิม ๆ มันค่อย ๆ จางหายไป เมื่อเทียบกับการใช้กล้องฟิล์ม ไม่ใช่เพียงแค่กล้องจาก Smartphone แต่กล้องดิจิตอลตัวท็อป ๆ ราคาแพง ๆ ก็ไม่อาจจะให้ความรู้สึก และรักษาขั้นตอนการถ่ายที่เป็นเอกลักษณ์แบบที่กล้องฟิล์มเคยให้เอาไว้ได้ ทำให้หลายคนอยากจะกลับมาใช้กล้องฟิล์มกันอีกครั้ง วันนี้เราจึงเอากล้องฟิล์มหลายรุ่นที่น่าสนใจมาแนะนำ Leica MP Leica MP แค่ชื่อแบรนด์ก็รับประกันความพรีเมี่ยมได้เป็นอย่างดีสำหรับผู้ที่คลั่งไคล้การถ่ายภาพ Leica MP ตัวนี้เป็นกล้องฟิล์มแมนนวลแบบมีมิเตอร์ในตัว และถึงแม้จะเป็นกล้องทีมีอายุค่อนข้างมาก แต่มันจะช่วยเรียกอารมณ์การถ่ายภาพในวันเก่า ๆ กลับคืนมาได้อย่างแน่นอน กล้อง Leica MP ยังขึ้นชื่อเรื่องของความเนี้ยบรวมไปถึงการเลือกใช้วัสดุคุณภาพสูงในการผลิต ความสวยงามของของบอดี้ที่เป็นอมตะเปรียบเสมือนงานศิลปะที่ใช้ถ่ายรูปได้ ความโดดเด่นอีกอย่างหนึ่งก็คือ กลไกชัตเตอร์ที่นุ่มนวลทำให้กล้องนิ่ง เมื่อเราถือถ่ายด้วยความไวชัตเตอร์ต่ำ และที่สำคัญคือมันไม่จำเป็นต้องใช้แบตเตอรี่ในการทำงานแต่อย่างใด Polaroid Originals OneStep+ Polaroid Originals OneStep+ ถือเป็นกล้องอีกตัวนึงที่น่าใช้สำหรับคนที่หลงใหลในกล้องฟิล์มที่ต้องการรายละเอียดครบถ้วน โดยเฉพาะตากล้องที่ต้องการเห็นผลงานอย่างฉับไว อีกทั้งยังสามารถเชื่อมต่อผ่าน Bluetooth กับสมาร์ทโฟนเพื่อการใช้งานที่หลากหลาย
หากใครเป็นคอหนังภาพยนตร์ไซไฟคงคุ้นเคยกับ ‘ไซบอร์ก’ หรือ สิ่งมีชีวิตที่เกิดขึ้นจากการผสมผสานระหว่างคนและเครื่องจักรเป็นอย่างดี หลายคนน่าจะรู้จักมันเป็นครั้งแรกจากภาพยนตร์สุดคลาสสิก เช่น RoboCop และ Terminator แต่อาจไม่รู้ว่าในโลกเราก็มีมนุษย์ไซบอร์กตัวจริงเหมือนกัน หนึ่งในนั้น คือ Neil Harbisson ชายชาวสเปนผู้เติบโตมาพร้อมกับโรค achromatopsia หรือ ที่เราเรียกว่าภาวะตาบอดสีแบบ 100% เขามองเห็นโลกมีเพียงสีขาวดำมาตลอด จนกระทั่งวันที่เทคโนโลยีกับเขาเริ่มกลายเป็นหนึ่งเดียวกัน กว่าจะมาเป็นไซบอร์ก Neil Harbisson เกิดและเติบโตใน Mataro เมืองชายฝั่งแห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ในบาเซโลน่า ประเทศสเปน เขามีความสามารถด้านดนตรีตั้งแต่เด็ก หลังจากได้เรียนรู้การเล่นเปียโนที่บ้านเกิด เขาก็สามารถแต่งประพันธ์เพลงของตัวเองได้ตั้งแต่อายุเพียง 11 ปี เมื่ออายุได้ 16 ปี เขาได้เรียนวิจิตรศิลป์ (Fine Art) ในสถาบัน Institut Alexandre Satorras และได้รับอนุญาตให้สร้างสรรค์งานศิลปะแบบไม่ใช้สีได้ ผลงานศิลปะในช่วงแรกของชีวิตเขาเป็นสีขาวดำทั้งหมด แต่ชีวิตของ Harbisson ก็ต้องเปลี่ยนไปตลอดกาล เมื่อเขาอายุ 19 ปี และได้ไปศึกษาเรื่องการประพันธ์เพลงที่ Dartington College
หลายคนคงเคยได้ยินเรื่องการฟอกเงินกันมาบ้าง บางคนคงเคยรับรู้จากซีรีส์ชื่อ Ozark ซึ่งพาเราไปเปิดโลกของนักฟอกเงินอย่างเต็มตา บางคนอาจเคยได้ยินจากบทความเล่าเรื่องคดีอาชญากรรมที่เผยแพร่อยู่บนอินเทอร์เน็ต คุณอาจเกิดความสงสัยขึ้นมาบ้างว่าการฟอกเงินนี่มันทำกันยากง่ายแค่ไหน วิธีการมันทำยังไงกันแน่นะ ? เราเลยอยากเล่าขั้นตอนพื้นฐานในการฟอกเงินให้ทุกคนฟัง เพื่อคลายข้อสงสัย และรู้จักป้องกันมันได้มากขึ้น การฟอกเงินเขาทำกันอย่างไร ? คนที่ประกอบอาชีพไม่สุจริต เช่น นักธุรกิจ นักการเมือง หรือ เจ้าหน้าที่รัฐน้ำเสีย มักจะได้รับเงินสกปรกจากแหล่งผิดกฎหมายต่าง ๆ เช่น การติดสินบนเจ้าหน้าที่ การค้ายาเสพติด หรือ การทำธุรกิจผิดกฎหมายอื่น ๆ ถ้าพวกเขาถือเงินสกปรกก้อนนั้นไว้โดยที่ไม่ทำอะไรกับมัน ความซวยอาจมาเยือนพวกเขาในไม่ช้า เงินสกปรกเหล่านั้นจึงมักถูกนำไปฟอกให้สะอาดเสียก่อน เพื่อปกปิดแหล่งที่มาที่แท้จริงของมัน จนสามารถนำไปใช้จ่ายได้อย่างปลอดภัยมากขึ้น ซึ่งหลายคนน่าจะเห็นข่าวในประเทศไทยเกี่ยวกับการรับเงินทอน เงินใต้โต๊ะ รวมถึงเงินจำนวนหลายร้อยล้านบาทที่หมุนเวียนจากการเปิดบ่อนออนไลน์จำนวนมาก มักจะถูกนำไปฟอกผ่านการซื้อ Supercars คันงาม บ้านละที่ดิน รวมถึงการจ่ายยัดเงินให้เจ้าหน้าที่สกปรกเป็นทอด ๆ อย่างไม่รู้จบ การฟอกเงินมักเกี่ยวข้องกับขั้นตอนพื้นฐาน 3 อย่าง ได้แก่ การนำเงินเข้าระบบ (Placement) หมายถึง การนำเงินสกปรกเข้าสู่ระบบการเงินที่ถูกต้องตามกฎหมาย เช่น ธนาคาร หรือ สถาบันทางการเงินอื่น
ถ้าหากพูดถึงแบรนด์ผู้ผลิตยางระดับโลกอย่าง ‘Continental’ เชื่อว่าน้อยคนนักที่จะไม่รู้จักชื่อนี้ เพราะไม่ว่าเวลามองไปที่ยานพาหนะอะไรที่มีล้อ เราก็มักจะเห็นยางคอนติเนนทอลติดอยู่ด้วยเสมอ โดยเฉพาะใครที่ชื่นชอบในเรื่องยานยนต์ ยานพาหนะ และอยู่ในแวดวงความเร็วแล้ว Continental ถือเป็นหนึ่งในแบรนด์ผู้ผลิตยางรถยนต์ที่เก่าแก่ที่สุดในโลก และได้ผ่านการพิสูจน์ตัวเองให้เป็นที่ประจักษ์ด้วยผลงานมากมายทั้งในและนอกสนาม ปัจจุบัน Continental คือหนึ่งในผู้ผลิตยางที่ดีที่สุดในโลก จากการ ‘ได้รับคะแนนการโหวตสูงสุดเป็นจำนวน 454 ครั้ง จากการทดสอบทั้งหมด 575 ครั้ง‘ และยังครองตำแหน่งยางรถยนต์ที่แบรนด์ผู้ผลิตรถยนต์เลือกใช้มากที่สุดในโลก ถึงขนาดมีสถิติว่า ‘รถทุก ๆ 3 คัน ในยุโรป จะต้องใช้ยางคอนติเนนทอลอย่างน้อย 1 คัน‘ เป็นยางรถยนต์ที่แบรนด์ชั้นนำจากยุโรปต่างเลือกใช้ ไม่ใช่แค่ในยุโรป ปัจจุบัน Continental กับคนไทยมีความผูกพันมากขึ้นเรื่อย ๆ นับตั้งแต่วันที่ Continental ได้ตัดสินใจลงหลักปักฐานสร้างโรงงานบนพื้นที่ขนาด 470 ไร่ ที่มีมาตรฐานและเทคโนโลยีระดับโลกเทียบเท่าโรงงานในประเทศเยอรมนีมาตั้งแต่ปี 2560 และที่พิเศษไปกว่านั้น ในวันที่ 8 ตุลาคมปีนี้ ถือเป็น ‘วันครบรอบปีที่ 150 ของการก่อตั้งบริษัท Continental’ อย่างเป็นทางการ วันนี้