ใครที่อยู่ในแวดวงสื่อโฆษณา ชื่อของ “VGI” หรือ บริษัท วี จี ไอ โกลบอล มีเดีย จำกัด (มหาชน) คงเป็นชื่อแบรนด์อันดับต้นที่ติดหูในฐานะผู้ครองสื่อนอกบ้านรายใหญ่ที่ร่ำรวยเรื่องพื้นที่โฆษณานอกบ้านโดยมีสัมปทานโฆษณาบริเวณรถไฟฟ้า BTS อยู่เต็มกำมือแถมยังเหลือมืออีกข้างรวบตึงการลงทุนซื้อหุ้นในบริษัท MACO หรือบริษัท มาสเตอร์ แอด จำกัด (มหาชน) ผู้ให้บริการด้านเครือข่ายป้ายโฆษณามือเก๋าที่ปีนี้มีอายุครบ 29 ขวบแล้ว และล่าสุดคือการประกาศเสริมใยเหล็ก โดดมาถือหุ้นถึง 23 % ธุรกิจ logistic สุดบูมอย่าง Kerry Express ช่วงต้นปีในเดือนเมษายนที่ผ่านมาอีกด้วย เบื้องหลังอาณาจักรสื่อใหญ่เนื้อหอมของประเทศที่คนวงการโฆษณาทุกคนอยากมีโอกาสเข้าไปร่วมงานด้วย แน่นอนว่าความแข็งแกร่งต้องมาจากผู้บริหาร ครั้งนี้ UNLOCKMEN ได้รับโอกาสพิเศษร่วมพูดคุยปลดล็อกวิสัยทัศน์และไลฟ์สไตล์ของ เนลสัน เหลียง CEO คนปัจจุบันของบริษัท VGI ชายหนุ่มที่หลายคนอยากรู้จักเขามากที่สุดคนหนึ่งของประเทศ เพราะเพิ่งขึ้นรับตำแหน่งหมาด ๆ คุณเนลสัน เหลียง คือหนุ่มชาวฮ่องกง ลุคขี้เล่นซึ่งทลายกำแพงภาพลักษณ์ผู้บริหารหลายคนที่เรารู้จัก แถมทำเอาทีมงานเราเข้าใจผิดเรื่องอายุเสียสนิทเพราะใบหน้าที่ยังอ่อนเยาว์กับความเฟิร์มของรูปร่าง ใครจะเชื่อว่าหนุ่มคนนี้อายุ 43 ปีแล้ว
ปัจจุบันกระแสการลงทุนการบริหารความมั่งคั่ง เป็นเรื่องที่คนรุ่นใหม่ต่างให้ความสนใจ ทว่าด้วยผลิตภัณฑ์ทางการเงินต่าง ๆ ที่มีความซับซ้อน ความรู้ความเข้าใจในการลงทุนที่เรายังมีไม่เพียงพอ และคำว่า “ทุกการลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนโปรดศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุน” จึงมาแตะเบรก ทำให้แม้เราจะอยากลงทุน แต่ก็ไม่กล้าที่จะเสี่ยง เพื่อตอบโจทย์กระแสการลงทุนนี้ จึงเกิดเป็นเทรนช่องทางการบริการทางการเงินแบบใหม่ที่เรียกว่า Wealth Management หรือการบริหารความมั่งคั่งขึ้น โดยมี “Wealth Personal Banker” หรือผู้แนะนำการลงทุนที่ทำหน้าที่ให้คำปรึกษาด้านการบริหารเงิน รับหน้าที่ดูแล ปกป้อง และเพิ่มพูนของมั่งคั่งให้กับเรา เพื่อเจาะลึกเบื้องหลังของอาชีพสุดท้าทายนี้ ทีมงาน UNLOCKMEN จึงมุ่งหน้าไปเสาะหาข้อมูลจากคนที่ทำอาชีพนี้และอยู่ในวงการนี้จริงโดยแวะเวียนมาที่ SCB Investment Center โดยได้รับความอนุเคราะห์ข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ ทั้ง 3 ท่าน ได้แก่ คุณก้อย – กาญจนา คล่องอนันต์ ผู้อำนวยการอาวุโส SCB FIRST: SA, Executive and Professional Segment และผู้บริหารศูนย์ SCB Investment Center กรุงเทพฯ คุณปอย
การสร้างแรงจูงใจบางครั้งก็เป็นสิ่งที่สำคัญต่อธุรกิจ หากคุณกำลังเป็นผู้บริหารอาจจะลองศึกษาจากข่าวนี้ได้ เพราะเมื่อก่อนหน้า Nike มีข่าวคราวการปลดพนักงานทั่วโลกออกถึง 10% สร้างความวิตกกังวลจนเกิดเป็น Toxic Coperate Culture ขึ้นในองค์กร ทว่าจากการรายงานข่าวของ CNBC ล่าสุดได้กล่าวว่าบริษัทกีฬาชั้นนำของโลกได้เตรียมปรับเงินเดือนพร้อมเปลี่ยนวิธีการคำนวณโบนัสให้กับพนักงานทั่วโลก เหตุผลที่ Nike ได้ตัดสินใจเพิ่มเงินเดือนให้กับพนักงานหลากหลายหน้าที่ พร้อมกับมอบโบนัสที่จะวัดจากผลงานส่วนตัว และผลประกอบการบริษัทเพื่อสร้างแรงจูงใจโดยเฉพาะพนักงานในตำแหน่งเดียวกัน เพื่อให้ได้ผลลัพธ์การทำงานที่ดียิ่งขึ้น โดยทาง Nike ได้ตัดสินใจหยุดจ่ายชดเชยค่าสินไหมทดแทน แล้วนำเงินส่วนนี้มากระจายให้กับพนักงานส่วนใหญ่แทน ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้จะเริ่มในปี 2019 สาเหตุที่เกิดการปรับโครงสร้างในคราวนี้ก็มาจากเหตุการณ์พนักงานระดับซีเนียร์หลายคนเกิดลาออก พร้อมยังเกิดปัญหาภายในบริษัทจนเกิดเป็นวัฒนธรรมองค์กรที่ไม่ดี และ Mark Parker ซีอีโอของบริษัทไม่ได้รับเรื่องร้องเรียนเพื่อนำไปแก้ไขอย่างจริงจัง จึงเกิดเป็นปัญหาภายในองค์กรที่เรียกกันว่า Toxic Coperate Culture จนต้องออกมาขอโทษขอโพยกันยกใหญ่ แม้ว่าในไตรมาสล่าสุดของแบรนด์จะกลับมาเติบโตมากขึ้น หลังจากที่ทรุดตัวมานาน ทำให้บริษัทเริ่มกลับมาเล็งเห็นพร้อมฟื้นฟูโครงสร้างองค์กร เพราะต้องยอมรับในจุดหนึ่งว่า ต่อให้สินค้าที่คุณจ่ายไปจะดีสักแค่ไหน แต่ถ้าเกิดภายในบริษัทนั้นไม่นิ่งและมีการปรับเปลี่ยนโยกย้ายในระดับซีเนียร์อยู่ตลอดเวลา อาจจะทำให้เกิดวัฒนธรรมที่ไม่ยั่งยืนต่อการพัฒนาองค์กรในระยะยาว source
ลมหายใจเข้าออกของผู้ชายขั้นสุดอย่างพวกเรานอกจากการใช้ชีวิตแล้ว คงหนีไม่พ้นเรื่องงาน การทำงานคือหลอดเลือดสำคัญที่หล่อเลี้ยงจิตวิญญาณและความฝันของเราให้ขับเคลื่อนไปข้างหน้า ไม่เพียงเท่านั้นหนังสือ The Brain and the Meaning of Life ที่เขียนโดยผู้เชี่ยวชาญทางจิตวิทยายังระบุไว้ว่า “การทำงานคือปัจจัยหนึ่งที่ทำให้มนุษย์รู้สึกว่าชีวิตมีคุณค่า” เวลา 1 ใน 3 ของชีวิต Urban Men อย่างเราจึงใช้ไปกับการทำงานในแต่ละวัน เพราะการทำงานทำให้เรารู้สึกว่าชีวิตมีคุณค่า และตอบสนองความก้าวหน้าแบบบ้าพลังสุด ๆ ของเราได้อย่างเต็มสูบ แต่การก้มหน้าก้มตาทำงานอย่างเดียว โดยหลงลืมด้านอื่น ๆ ของชีวิตไป อาจทำให้ชีวิตขาดความสมดุลได้ เหมือนที่ Heather Schuck นักธุรกิจและ CEO กล่าวไว้ว่า “การทำงานจะไม่มีวันทำให้คุณมีความสุขได้อย่างแท้จริง จนกว่าคุณจะมีความสุขกับชีวิตเสียก่อน” “Life Well Balanced” หรือการใช้ชีวิตอย่างสมดุล ระหว่างการทำงานอย่างเต็มที่และการใช้ชีวิตในเมืองใหญ่จึงเป็นเรื่องที่ผู้ชายผู้แสนบ้าคลั่งกับการงานอย่างเรา ๆ ต้องให้ความสำคัญกับมันมากขึ้น ไม่ใช่แค่เพราะความรู้สึกสมดุล ผ่อนคลายและมีความสุขในชีวิตเท่านั้น แต่งานวิจัยชื่อว่า Worked to Death: The Relationships of
การที่จะหา Solutions ที่เป็นคำตอบของการใช้ชีวิตคนเมืองและทำให้สิ่งต่าง ๆ ดีขึ้นได้นั้น เราเชื่อว่าพลังของคนเมืองนั้นเองที่เป็นส่วนสำคัญที่จะขับเคลื่อนสิ่งต่างๆ ถ้าเรามีความคิดที่ Positive สิ่งต่างๆ ที่ทำออกไปก็จะมีแต่สิ่งที่ดีแต่จะ “ทำอย่างไรให้สังคมนี้ขับเคลื่อนด้วยพลังงานบวก…” นี่คือคำถามสำคัญเพราะ พลังงานบวก และสีสันในความต่างของคนเมือง ทั้ง 2 สิ่งนี้ มีพลังที่ช่วยขับเคลื่อนให้เมืองนี้น่าอยู่ น่าสนใจ และเป็นเหมือนจิ๊กซอว์ชิ้นเล็กๆ ที่มีเอกลักษณะเฉพาะตัว ดังนั้นถ้าเรารักษาพลังงานบวกนี้เอาไว้ในใจได้ หล่อเลี้ยงให้อยู่ในสังคมนี้ ไม่ว่าวันนี้หรือวันข้างหน้าจะเจออุปสรรคอะไร เราก็จะช่วยกัน เป็นกำลังใจ Support กัน ให้ทุกคนในสังคมนี้ผ่านมันไปได้ เชื่อว่าการที่เรามี Mind set เรื่องพลังงานบวกนี้เอง จะก่อเกิดพลังงานที่สร้างสรรค์ในสังคมของเรานั่นเอง ดังที่กล่าวในเบื้องต้นว่า “คนเมือง” คือพลังงานสำคัญในการขับเคลื่อนเมืองนี้ เพราะ “เมืองคือคน คนคือเมือง” สองสิ่งนี้คือสิ่งเดียวกัน เมืองจะเป็นที่อยู่อาศัย เป็นแค่กล่องเปล่าที่ปราศจากชีวิต ถ้าขาดจิตวิญญาณ เช่นเดียวกัน ถ้าคนเมืองทำสิ่งต่างๆ ด้วยทัศนคติที่เป็นบวก การเปลี่ยนแปลงของเมืองก็จะเป็นไปในทิศทางที่ดี อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด มหาชน บริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่มีแนวคิดในการพัฒนาที่อยู่อาศัย เพื่อตอบโจทย์การใช้ชีวิตของคนเมือง และตอบทุกความต้องการในการใช้ชีวิต
ผู้ชายอย่างเราคุยกับใครก็อยากคุยกันแบบตรงไปตรงมา หนักแน่นมั่นคง ไม่ต้องมานั่งใส่หน้ากากปั้นแต่งคำตอบใส่กันให้เสียเวลาอันมีค่าในชีวิต แต่บทสนทนาบางรูปแบบก็ถูกวางบทบาทมาเพื่อพูดแต่เรื่องดี ๆ เท่านั้น ลองจินตนาการถึงการสัมภาษณ์งานกับองค์กรที่เราอยากทำงานด้วยใจจะขาดดูสิ เราจะเลือกตอบคำถามแบบตรงไปตรงมาทุกคำถาม หรือว่าเราก็ต้องเลือกตอบบ้าง เลี่ยงตอบบ้าง เพื่อสร้างโปร์ไฟล์ให้ดูดีกันแน่ ? บางทีคนก็ไม่ได้อยากโกหกนักหรอก แต่บางสถานการณ์เราก็จำเป็นต้องหลีกเลี่ยงการพูดความจริงบางอย่าง เพื่อรักษาสถานะเอาไว้ ปัญหาก็คือถ้าวันหนึ่งเราต้องเป็นฝ่ายถาม แต่อยากล้วงความจริงจากอีกฝ่ายได้แบบไม่มีหมกเม็ดล่ะ เราควรต้องถามคำถามแบบไหนออกไปกันแน่ ? มีงานวิจัยจำนวนมากที่พูดถึงการถามตอบ โดยมุ่งประเด็นไปที่วิธีถามคำถามว่ามันมีอิทธิพลต่อคนตอบในรูปแบบไหน โดยเฉพาะเมื่อผู้ตอบอยู่ในสภาวะที่จำเป็นต้องปกปิดอะไรบางอย่าง เช่น ในการเจรจาทางธุรกิจ การสัมภาษณ์งาน การขายของ งานวิจัยชิ้นหนึ่งได้นำกลุ่มตัวอย่างมา โดยกำหนดให้บุคคลเหล่านั้นทำหน้าที่เป็นพนักงานขายเครื่องใช้ไฟฟ้ามือสองให้กับลูกค้า (ซึ่งลูกค้าก็เป็นทีมนักวิจัยที่ปลอมตัวมานั่นแหละ) ก่อนจะทำการซื้อขาย ก็จะมีคนมาบรีฟข้อมูลให้ทีมขายก่อนว่าสินค้าชิ้นนั้นเป็นอย่างไร โดยข้อมูลอย่างหนึ่งคือเจ้าเครื่องใช้ไฟฟ้านี้มันเคยพังมาแล้ว ซึ่งถือเป็นข้อมูลสำคัญที่ไม่ว่าคนซื้อของมือสองที่ไหนก็ต้องอยากรู้อยู่แล้ว แต่ผลปรากฏว่าคนขายทุกคนไม่ได้บอกข้อเท็จจริงว่าเครื่องใช้ไฟฟ้ามือสองนี้เคยพังมาก่อน ซึ่งก็เข้าใจได้เพราะถ้าบอกไปก็มีแนวโน้มว่าพวกเขาอาจจะขายของชิ้นนั้นไม่ออกเลยก็ได้ อย่างไรก็ตามผู้ขายหลายคนก็ยอมบอกความจริงออกมาว่า เฮ้ย สินค้านี้มันเคยพังนะครับคุณ ซึ่งความแตกต่างระหว่างคนที่เผยความลับกับคนไม่เผยความลับก็คือ “วิธีการถาม” นั่นเอง ถ้าถามถูกวิธี ก็จะได้คำตอบที่เราต้องการได้ไม่ยาก “สินค้าชิ้นนี้มีปัญหาอะไรบ้าง?” คือคำถามที่ล้วงคำตอบมาได้มากที่สุด โดยผู้ขาย 89% ยอมบอกว่าสินค้าชิ้นนี้เคยพังมาก่อนจริง ๆ แถมเล่าประวัติการพังให้ฟังด้วย ในขณะที่คำถามที่ดูซอฟต์ลงมาหน่อยอย่าง “สินค้าชิ้นนี้มันไม่มีปัญหาอะไรหรอกเนอะ ใช่ไหม ?” จะมีผู้ขาย
ผู้นำด้านธุรกิจบัตรเครดิตและสินเชื่อบุคคล กรุงศรี คอนซูมเมอร์ ได้เปิดตัวโครงการ “ฉลาดคิด ฉลาดใช้” ภายใต้แนวคิด “ใช้เงินเป็น เห็นทางรวย” โครงการให้ความรู้ด้านการบริหารเงินสำหรับบุคคลทั่วไป และนักศึกษามหาวิทยาลัย เพื่อส่งเสริมให้คนรุ่นใหม่มีวินัยทางการเงินที่ดี ลดปัญหาหนี้ครัวเรือน เนื่องจากกลุ่มคนรุ่นใหม่ มีแนวโน้มใช้จ่ายบ่อยครั้งและมีอัตราการเติบโตของการใช้จ่ายต่อปีสูงกว่ากลุ่มอื่น ๆ ทั้งยังมีแนวโน้มผิดนัดชำระสูง ในฐานะผู้ให้สินเชื่อที่มีความรับผิดชอบ ได้ริเริ่มโครงการ ฉลาดคิด ฉลาดใช้ โดยกรุงศรี คอนซูมเมอร์ ขึ้นตั้งแต่ปี 2560 เพื่อส่งเสริมให้คนรุ่นใหม่มีวินัยทางการเงินที่ดี ขอบเขตของโครงการในปีที่แล้ว ประกอบด้วยกิจกรรมให้ความรู้เกี่ยวกับการบริหารการเงินผ่านทางสื่อออนไลน์สำหรับกลุ่มคนวัยเริ่มทำงาน และกิจกรรมประกวดสื่อให้ความรู้ทางการเงินสำหรับนักศึกษาทั่วประเทศ โดยได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี มีผู้สนใจติดตามผ่านทางเว็บไซต์และสื่อต่าง ๆ ของกรุงศรี คอนซูมเมอร์เป็นจำนวนมาก และมีนักศึกษาส่งโครงการสื่อเข้าประกวดกว่า 100 โครงการจากทั่วประเทศ สำหรับในปีนี้ กรุงศรี คอนซูมเมอร์ จึงวางแผนต่อยอด ขยายขอบเขตโครงการฉลาดคิด ฉลาดใช้ ภายใต้แนวคิด “ใช้เงินเป็น เห็นทางรวย” เพื่อให้ความรู้แก่กลุ่มคนรุ่นใหม่ให้ใช้เงินเป็น รู้จักวิธีการวางแผนการเงินอย่างเหมาะสม เพื่อให้บรรลุเป้าหมายในชีวิต ซึ่งในปีนี้นอกจากการให้ความรู้ผ่านสื่อออนไลน์แล้ว ยังมีการสร้างเฟซบุ๊คกรุ๊ป ‘ชมรมคนมีตังค์’ เพื่อเป็นคอมมูนิตี้สำหรับคนที่สนใจเรื่องการบริหารเงิน รวมทั้งยังเพิ่มการจัดสัมมนาสำหรับลูกค้าของกรุงศรี คอนซูมเมอร์ และบุคคลทั่วไป
หากพูดถึงร้านสนีกเกอร์และสตรีทแวร์ที่มาแรงสุด ๆ ในบ้านเรา คงจะไม่มีใครกล้าปฎิเสธอีกแล้วว่า Carnival Store คือเบอร์หนึ่งในปัจจุบัน เนื่องจากช่วงขวบปีที่ผ่านมา การได้ Nike Tier Zero และ adidas consortium ล้วนเป็นเครื่องตอกย้ำชั้นดี โดยผู้ที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จเหล่านี้ คงจะหนีไม่พ้นหัวเรือใหญ่ คุณปิ๊น-อนุพงศ์ คุตติกุล ที่ปลุกปั้นแบรนด์ขึ้นมาเมื่อ 8 ปีก่อน จนกลายมาเป็นร้าน Multi-Fashion แถวหน้าของเอเชีย ซึ่งวันนี้ UNLOCKMEN ได้รับเกียรติจากคุณปิ๊นให้เดินทางไปพูดคุยเกี่ยวกับแง่คิด พร้อมทั้งประสบการณ์ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการเป็นนักสะสมรวมถึงหลักการณ์บริหาร ถึงออฟฟิศของ Carnival ที่ตั้งอยู่ใจกลางศูนย์การค้า สยามสแควร์ เพื่อส่งต่อแรงบันดาลใจถึงผู้อ่านทุกคน A PART OF COLLECTOR อยากทราบเรื่องราวของคุณปิ๊นก่อนที่จะมาเริ่มทำ Carnival ปิ๊น Carnival : คือในวัยเด็กก็ไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน แต่เหมือนกับเรารู้ตัวว่าชอบที่จะค้าขาย บางทีก็ซื้อโน่นนี่มาขายบ้าง เวลาบ้าอะไรก็จะบ้าเป็นพัก ๆ ไม่ได้จริงจังอะไร จนจุดเริ่มต้นคือตอนที่ผมได้ไปเรียนปริญญาโทที่อังกฤษกับเพื่อนอีก 2 คน พอเราไปอยู่ที่นั่นปุ๊ป มันเป็นการเปิดโลก จนรู้ตัวเองว่าสนใจเรื่องของรองเท้า ชอบรองเท้า
Content writer งานที่เป็นที่ต้องการมากในขณะนี้ สมัครด่วนที่ [email protected]
ทุกวันนี้พวกเราเลิกเดินทางไปซื้อของนอกบ้านแทบถาวรเพราะการไปผจญภัยข้างนอกแลกกับการต้องเผชิญรถติดบนถนนมันไม่คุ้ม สู้เอาเวลาที่รถแช่นิ่งไปทำอย่างอื่นแล้วสั่งซื้อของที่ชอบทางออนไลน์มันชัวร์กว่า (ถ้าเลือกจากร้านที่น่าเชื่อถือก็การันตีความสะดวกกับของดี ๆ ได้แล้ว) วันนี้ UNLOCKMEN จึงขอนำเสนอเรื่องการส่งของหรือระบบ LOGISTIC ในไทยว่าวันนี้มันก้าวกระโดดมาถึงไหนแล้ว หนหน้าเวลาที่เราต้องจ่ายค่าธรรมเนียมการส่งหรือเลือกบริการจัดส่งจะได้เทียบและเลือกให้เหมาะกับความต้องการของตัวเอง ตัดสายสะดือบริษัทจัดส่งในประเทศไทย ปูพื้นฐานกันก่อนเรื่องการก่อตั้งของแต่ละบริษัทที่ให้บริการด้านการจัดส่ง ถึงแม้ว่า seniority จะไม่ใช่เครื่องหมายที่สามารถการันตีคุณภาพได้ 100 % แต่ Brand Heritage อาจจะสามารถเอามาใช้ตัดสินใจก่อนเลือกส่งได้ เราขอคัดเลือกแบรนด์ที่น่าจับตามองปี 2561 สรุปสั้น ๆ ว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร ไปรษณีย์ไทย อายุ 135 ขวบ แบรนด์เก่าแก่คู่ประเทศ เกิดมาตั้งแต่ยุครัชกาลที่ 5 ใน พ.ศ. 2426 โดยใช้ชื่อว่ากรมไปรษณีย์โทรเลข จากนั้นได้ปรับการดำเนินกิจการโยกย้ายและโอนอำนาจไปมาร่วมกับหน่วยงานอื่น และเปลี่ยนฐานะเป็นรัฐวิสาหกิจในปี พ.ศ. 2519 ภายหลังจึงแยกตัวเป็นเอกเทศใน พ.ศ. 2546 และใช้ชื่อว่า “บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด” จากนั้นเป็นต้นมา Kerry Logistics Express 12 ขวบ บริษัทสัญชาติฮ่องกงที่อยู่ในเครือ Kerry
เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าสำหรับแบรนด์ Nike ที่มักจะขี้ตืดไม่เข้าท่า ปล่อยให้สูญเสีย Endorser คนสำคัญ เนื่องจากปฎิเสธมอบสัญญาค่าจ้าง จนส่งผลให้เกิดเอฟเฟกในเรื่องยอดขายหรือถึงขั้นหุ้นตกเลยก็มี อย่างเช่นกรณี Kanye West ที่กลายเป็นตัวเงินตัวทองให้กับ adidas ในปัจจุบัน กระทั่งล่าสุด Roger Federer ได้ยุติความสัมพันธ์ที่มีมาอย่างยาวนานกว่า 21 ปีกับ Nike เป็นที่เรียบร้อย พร้อมเปิดตัวในฐานะแบรนด์แอมบาสเดอร์คนใหม่ของ UNIQLO อย่างเป็นทางการ เหตุการ์ณนี้ทำให้หุ้นของแบรนด์ยักษ์ใหญ่จากอเมริกาถึงกับร่วงเลยทีเดียว โดยในการแข่งขันรายการวิมเบิลดัน ซี่งเป็นแกรนด์สแลมที่ 3 ของปี เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ยอดนักเทนนิสเบอร์หนึ่งตลอดกาลอย่าง Roger Federer ได้เดินทางมาลงสนามพร้อมกับเครื่องแบบชุดใหม่ ที่แฟนเทนนิสเองคงจะไม่คุ้นตา เพราะถ้าพูดถึงวงการหวดลูกสักหลาด โดยเฉพาะแบรนด์ Nike นับตั้งแต่ Andre Agassi แขวนแร็กเก็ตไป ก็ได้นักเทนนิสชาวสวิสอย่าง Roger Federer มาเป็นตัวตายตัวแทนพรีเซ้นต์แบรนด์ในไลน์กีฬานี้อย่างยอดเยี่ยม ซึ่งเหตุการณ์การสลับฝากของ Roger Federer นี้ ทำให้หุ้นของ Nike ร่วงลงไปถึง 1.7 % กลับกันทางฝั่งของ Uniqlo สามารถปรับตัวขึ้นได้ถึง
เหลือเพียงชื่อให้คนรุ่นหลังได้จดจำไปเป็นที่เรียบร้อยสำหรับ ‘Toys R Us’ หนึ่งในร้านขายของเล่นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก หลังจากเมื่อวันศุกร์ที่ 29 มิถุนายนที่ผ่านมา Toys R Us ได้ตัดสินใจยุติการทำตลาดในอเมริกาด้วยการปิดร้านทั้ง 735 สาขาทั่วประเทศเนื่องจากประสบปัญหาด้านการเงินอย่างหนัก นอกจากนี้บนหน้าเว็บไซต์ทางการของแบรนด์ยังขึ้นข้อความ ‘Don’t ever grow up. Play on!’ หรือ ‘อย่าลืมความเป็นเด็ก มาเล่นกันเถอะ’ เรียกได้ว่าใครเป็นลูกค้าขาประจำของร้านขายของเล่นในตำนานนี้คงใจหายน่าดู แต่อย่าเพิ่งเศร้าขนาดนั้นเพราะ Toys R Us ไม่ได้หายไปโดยสิ้นเชิง ล่าสุดบริษัท Fairfax Financial ได้เข้าซื้อกิจการของ Toys R Us ในประเทศแคนาดาและจะยังดำเนินธุรกิจต่อไป เช่นเดียวกับในบ้านเราที่ Toys R Us จะยังเป็นบ้านหลังที่สองของเหล่าคนรักของเล่นอยู่ อย่างไรก็ตามเป็นเรื่องที่ปฏิเสธไม่ได้ว่าในแง่ธุรกิจ Toys R Us อยู่ในช่วงวิกฤต ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องแปลกเนื่องจากตอนนี้เป็นช่วงที่ธุรกิจของเล่นกลับมาเฟื่องฟูอีกครั้ง ดูได้จากผลประกอบการของบริษัทอย่าง Lego, Hasbro, Hot Toys, Bandai ที่เจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง แล้วทำไม Toys R Us จึงดิ่งเหวขนาดนี้