ในบรรดาค่ายรถผู้ผลิตยนตรกรรมระดับโลก คงต้องยอมรับว่า BMW (บีเอ็มดับเบิลยู) เป็นหนึ่งในค่ายที่ให้ความสำคัญกับการขับขี่รถยนต์หรูหราล้ำสมัยไปพร้อมกับการขับเคลื่อนผลงานศิลปะที่เปี่ยมด้วยแรงบันดาลใจจากศิลปินผู้รังสรรค์ ตั้งแต่ปี 1975 ที่ Hervé Poulain นักแข่งรถและนักประมูลรถชาวฝรั่งเศสได้ริเริ่มโปรเจกต์ ‘BMW Art Cars’ เอาไว้ นับแต่นั้นบริบทของศิลปะก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง ผลงานศิลปะไม่ได้จำกัดอยู่แค่บนผืนผ้าใบหรือในพิพิธภัณฑ์ชื่อก้องโลกอีกต่อไป หากสอดแทรกอยู่แทบทุกที่รอบตัว แม้แต่บนหลังคา ปีก หรือฝากระโปรงของรถยนต์ BMW ก็ตาม Hervé Poulain ชวนศิลปินหลากหลายแขนงทั่วโลกมาร่วมสร้างผลงานศิลปะเฉพาะตัว เนรมิตยานพาหนะเพื่อการขับขี่ให้กลายเป็นผ้าใบผืนใหญ่ และเปิดโอกาสให้เหล่าศิลปินใช้พื้นที่ว่างรังสรรค์ศิลปะที่สะท้อนเอกลักษณ์และตัวตนของพวกเขา ไม่ว่าจะเป็น Alexander Calder, Frank Stella, Roy Lichtenstein หรือแม้แต่ Andy Warhol ล้วนเคยสร้างผลงาน BMW Art Cars ในแบบฉบับของตัวเองมาแล้วทั้งนั้น พวกเขาระเบิดความคิดสร้างสรรค์และถ่ายทอดทักษะความสามารถลงบนโมเดลรถยนต์ค่ายใบพัดฟ้าจนเป็นตำนาน ซึ่งปัจจุบันมี BMW Art Cars รวมทั้งสิ้น 19 คันทั่วโลก ‘BMW Unbound World of
หนุ่ม ๆ ที่ชื่นชอบรถยนต์ของโฟล์คสวาเกนโดยเฉพาะสาวกของ Type 2 คงกำลังรอคอยรถยนต์พลังงานไฟฟ้าอย่าง I.D Buzz ที่กว่าจะวางขายก็ต้องรอถึงปี 2022 แต่ระหว่างนี้เชื่อว่าหลายคนจะต้องถูกใจกับรถยนต์คอนเซ็ปต์คันล่าสุดที่ชื่อ E-BULLI อย่างแน่นอน e-BULLI คือรถยนต์คอนเซ็ปต์คันล่าสุดจาก eClassics แผนกผลิตและพัฒนารถยนต์รุ่นคลาสสิกให้กลายเป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้าที่สามารถทำได้ทั้งในรุ่น Type I Type II และ Type III โดยรถคันล่าสุดที่ถูกเลือกคือ Micro Bus ที่มาพร้อม 21 หน้าต่างอย่าง T1 ‘Samba Bus’ รุ่นปี 1966 ซึ่งถูกเปลี่ยนขุมพลังขับเคลื่อนรวมถึงปรับงานดีไซน์ใหม่ให้กลายเป็นส่วนผสมที่ตัวระหว่างเทคโนโลยีล้ำสมัยกับดีไซน์ไอคอนนิก eClassics ต้องการแน่ใจว่าพวกเขาจะไม่สูญเสียความคลาสสิกของดีไซน์ดั้งเดิมของ Samba Bus ไป e-BULLI จึงมาในสีดั้งเดิมคือสีส้ม ทองและสีครีม ส่วนที่เพิ่มเข้ามาใหม่คือชุดไฟหน้า LED ทรงกลมและไฟ Day Light LED ในส่วนตัวถังถูก Re-Design ใหม่ทั้งหมดโดยเพลาหน้าและเพลาหลังเป็นแบบมัลติลิงค์ซึ่งจะส่งพลังขับเคลื่อนไปที่ล้อหลัง ด้านขุมพลัง e-BULLI
สมองสั่งการให้สายตาของเราจับจ้องไปที่มันทุกครั้ง ประสาทสัมผัสของเรารับรู้และบอกว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้านั้นคือ Harley-Davidson เสียงที่กระหึ่ม ดุดัน เร้าใจของเครื่องยนต์ V-Twin ข้อเหวี่ยงวางที่ตำแหน่ง 45 องศา กับรูปลักษณ์ภายนอกที่สวยงาม โดดเด่นและท่านั่งขับที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ปฏิเสธไม่ได้ว่ารถมอเตอร์ไซค์ Harley-Davidson คือรถในฝันของผู้ชายหลายคนที่ต้องการครอบครองสักครั้งในชีวิต เชื่อว่าหลายคนประทับใจภาพยนตร์ซีรีส์ในตำนานที่ว่าด้วยเรื่องราวแก๊งอาชญากรนักบิดนอกกฎหมายที่ใช้รถมอเตอร์ไซค์ Harley-Davidson เป็นพาหนะคู่ใจ อย่างเรื่อง “Sons Of Anarchy” แม้ว่าตัวหนังจะจบลงไปแล้วในซีซันที่ 7 แต่นอกจากเรื่องราวของหนังที่สนุกเข้มข้นแล้ว สิ่งที่โดดเด่นและอาจจะผิดมากหากเราไม่กล่าวถึงมันก็คือรถมอเตอร์ไซค์ของตัวละครหลักในเรื่อง โอกาสนี้ UNLOCKMEN จะพาไปดูรถมอเตอร์ไซค์ที่ตัวละครหลักในเรื่องแต่ละคนใช้เป็นยานพาหนะคู่ใจ Clay Morrow หัวหน้าแก๊งหรือประธานของคลับ Sons of Anarchy Motorcycle Club, Redwood Original (เรียกอย่างย่อให้เข้าใจได้ว่า SAMCRO) Clay เป็น 1 ใน 9 สมาชิกดั้งเดิมของคลับ ก่อนตำแหน่งประธานคลับจะถูกแทนที่ด้วยลูกเลี้ยงเขาในภายหลัง สิ่งที่หลายคนอาจไม่เคยรู้มาก่อนคือสิงห์นักบิดระดับหัวหน้าแก๊งในเรื่องคนนี้คือมือสมัครเล่นในชีวิตจริง เพราะ Ron Perlman เคยให้สัมภาษณ์กับสื่อว่าเขาไม่เคยขี่มอเตอร์ไซค์มาก่อนในชีวิตจนกระทั่งมาแสดงในหนังเรื่องนี้ Clay’s Bike
หนุ่มที่ติดตามวงการไฮเปอร์คาร์หลายคนคงทราบข่าวการเปิดตัวรถยนต์คันใหม่ของ Koenigsegg (คอนิกเส็กก์) เป็นรุ่นพัฒนาต่อจาก Jesko โดยใช้ชื่อว่า Jesko Absolut (เจสโก แอปซอรูท) ที่มากับข่าวลือว่าสามารถทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 500 กิโลเมตร/ชั่วโมง Koenigsegg เปิดตัว Jesko Absolut แบบออนไลน์เพื่อเลี่ยงไวรัสหลังงาน Geneva Motor Show ถูกยกเลิกไป โดยยนตรกรรมคันใหม่ของพวกเขาถูกพัฒนาให้สมบูรณ์แบบทั้งเรื่องอากาศพลศาสตร์และขุมพลังซึ่งจะทำให้มันกลายเป็นไฮเปอร์คาร์ที่พุ่งทะยานบนท้องถนนได้เร็วสุดเท่าที่เคยผลิตมาของค่าย Jesko Absolut มากับงานดีไซน์ด้านหน้าเป็นช่องลมขนาดใหญ่ รวมถึงช่องอากาศ 2 ช่องด้านข้างตัวรถเหมือนกับใน Jesko รุ่นปกติ อย่างไรก็ตามดีไซน์ด้านหลังถูกเปลี่ยนใหม่โดยเลือกถอดปีกขนาดใหญ่ออกไป และแทนที่ด้วยครีบแนวตั้ง 2 ตัวที่ช่วยในการควบคุมรถได้ดีขึ้นในขณะที่โลดแล่นบนท้องถนนด้วยความเร็วสูง โครงสร้างตัวถังของ Jesko Absolut คันนี้ เป็นแบบ Monocoque ซึ่งเป็นส่วนผสมระหว่างคาร์บอนไฟเบอร์และเคฟลาร์ ขณะที่ระบบ Aerodynamics ก็ได้รับการพัฒนาใหม่ก็ทำให้ Jesko Absolut มีค่าแรงต้านอากาศที่ 0.278 Cd เท่านั้น รวมถึงมีค่า Downforce ในความเร็ว 250
สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่หรือ COVID-19 ดูเหมือนจะยังคงขยายวงอย่างต่อเนื่อง เราทุกคนจึงต้องใช้ชีวิตทุกวันอย่างมีสติ และการรู้จักดูแลรักษาความสะอาดให้กับตัวเองรวมถึงสิ่งแวดล้อมรอบตัวให้ปลอดภัยจากไวรัสอยู่เสมอ “รถยนต์” คือหนึ่งในสิ่งที่ผู้ชายอย่างเราควรให้ความสำคัญในการดูแลความสะอาดมากที่สุดในสถานการณ์แบบนี้ เพราะหลายคนใช้งานรถยนต์ส่วนตัวเกือบจะเป็นเรื่องประจำวัน และหลายครั้งมีเพื่อนในออฟฟิศรวมถึงคนในครอบครัวที่ใช้งานไปพร้อมกัน การรักษาความสะอาดทั้งภายในและภายนอกตัวรถเป็นเรื่องจึงเป็นเรื่องที่รอช้าไม่ได้ และต้องทำทุก ๆ วัน แต่เบื้องต้นวิธีไหนจะมีประสิทธิภาพมากที่สุดมาเรียนรู้ไปพร้อมกัน ปกติแล้วรถยนต์ของเราจะไม่มีความเสี่ยงจากไวรัสโคโรน่า หากไม่เคยมีบุคคลที่ป่วยหรือสัมผัสเชื้อมาร่วมใช้งานด้วย อย่างไรก็ตามการความสะอาดส่วนต่าง ๆ ภายในห้องโดยสารจะช่วยให้เรามีความมั่นใจมากขึ้นทุกครั้งที่ขับขี่ เพราะเราไม่รู้เลยว่าจะวันหนึ่งจะมีใครที่นำไวรัสเข้ามาปนเปื้อนภายในห้องโดยสารที่ใช้งานทุกวัน กองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค เผยแพร่ข้อมูลที่ว่าไวรัสโควิด-19 สามารถมีชีวิตอยู่บนวัสดุ เช่น พื้น โต๊ะ ลูกบิดประตูนาน 7-8 ชั่วโมง สามารถติดอยู่บนผ้านาน 8-12 ชั่วโมงและวัสดุผิวเรียบนาน 24-48 ชั่วโมง ซึ่งวัสดุและพื้นผิวหลายชนิดเหมือนกับวัสดุที่ใช้ภายในรถยนต์ การทำความสะอาดแต่ละส่วนจึงแตกต่างกันออกไป ควรใช้อะไรทำความสะอาดรถยนต์ ? ห้องโดยสารรถยนต์ประกอบไปด้วยวัสดุและพื้นผิวที่แตกต่างกัน ทั้งพลาสติก หนัง ยางและผ้า ซึ่งผู้เชี่ยวชาญพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า แอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อโรคที่มีแอลกอฮอล์มากกว่า 70 เปอร์เซ็นต์ขึ้นที่สิ่งที่มีประสิทธิภาพในการกำจัดไวรัสได้ ขณะเดียวกันในพื้นผิวที่บอบบางต่อแอลกอฮอล์ทุกคนสามารถใช้น้ำสบู่ในการเช็ดทำความสะอาดเบื้องต้นได้เช่นกัน ขณะเดียวกันแนะนำว่าไม่ควรใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่มีส่วนผสมของสารฟอกขาว หรือส่วนประกอบของ Hydrogen peroxide ซึ่งอาจสร้างความเสียหายให้กับเบาะหนังและพลาสติกภายในห้องโดยสาร รวมถึงไม่ควรน้ำยาเช็ดกระจกสีฟ้าที่มีส่วนผสมของแอมโมเนียมาใช้ทำความสะอาด Dashboard
เชื่อว่ามีหนุ่ม ๆ จำนวนไม่น้อยที่ชื่นชมผลงานซูเปอร์คาร์และไฮเปอร์คาร์ที่ผลิตโดย Bugatti ค่ายรถยนต์สมรรถนะสูงจากประเทศฝรั่งเศส โดยเฉพาะรถตระกูล Chiron ที่เคยครองสถิติความเร็วระดับโลกหลายต่อรุ่น ล่าสุดกับรุ่นพัฒนาใหม่ที่แม้ไม่เป็นที่สุดในโลกในเรื่องความเร็ว แต่เชื่อเถอะว่าจากจำนวนแรงม้าที่มี Bugatti คันนี้ก็ไม่มีใครเร่งให้ทันได้ง่าย ๆ แน่นอน เรียกได้ว่าเป็นข่าวดีของเหล่าสาวก เพราะปลายปี 2020 นี้ Bugatti เตรียมปล่อยไฮเปอร์คาร์รุ่นใหม่ของค่ายที่ถูกพัฒนาให้มีศักยภาพมากกว่าเดิม ไม่ว่าจะเป็นขุมพลัง ชุดเกียร์ รวมไปงานดีไซน์ซึ่งช่วยให้ระบบอากาศพลวัตทำงานได้ที่ดีขึ้น แต่รายละเอียดเฉพาะในแต่ละจุดจะเป็นยังไง มาชมไปพร้อมกัน Chiron Pur Sport คือรถยนต์รุ่นพัฒนาล่าสุดจาก Bugatti โดดเด่นด้วยงานดีไซน์ที่ขึ้นงานตัวอย่างด้วย VR Technology แทนการใช้ดินเหนียวทั้งคัน ไม่ว่าจะเป็นช่องอากาศด้านหน้ารถรูปเกือกม้าขนาดใหญ่ที่มีกราฟิกเลข 16 ตกแต่งไว้ข้างใน ฝากระโปรงทรง 3 เหลี่ยมที่มาบรรจบกันด้านหน้า พร้อมกับกราฟิกสีดำที่ลากตัดด้านยาวตัวรถ หากมองด้านข้าง Chiron Pur Sport เป็นส่วนผสมระหว่างสีน้ำเงินและสีดำ ไล่ตั้งแต่สเกิร์ตหน้าพาดยาวผ่านช่องลมด้านข้างตัวรถไปบรรจบกันที่ส่วนท้ายของตัวรถ ซึ่งเข้ากับล้อแม็กดีไซน์ดุดันสีดำและยาง Michelin Sport Cup 2R อย่างลงตัว ดีไซน์ด้านหลังของ Pur
สำหรับหนุ่มที่หลงใหลในรถยนต์ ปีนี้คงเป็นช่วงที่ทุกคนเพลิดเพลินเป็นพิเศษเพราะมีรถดีไซน์ล้ำ สายพันธุ์แรงจากหลายแบรนด์ถูกปล่อยออกมาให้ชื่นชมความสวยงามกัน และหนึ่งในรถยนต์สุดว้าวที่เราเชื่อว่าหล่อเท่เตะตาใครหลายต่อหลายคน ต้องขอยกให้ยนตรกรรมไร้หลังคาคันใหม่จาก Aston Martin ที่มีชื่อว่า V12 Speedster ไม่รู้ว่ารถยนต์ไม่มีหลังคาเป็นเทรนแห่งอนาคตหรือเป็นรถอีกรูปแบบหนึ่งที่ค่ายต่าง ๆ นัดทำรุ่นพิเศษออกมาประชันกันโดย เพราะก่อนหน้านี้มีรถสไตล์คล้ายกันจากค่ายรถอื่น ๆ เปิดตัวออกมาไม่ว่าจะเป็น Ferrari Monza SP1-SP2, Bentley Mulliner Bacalar และ McLaren Elva ซึ่งทาง Aston Martin เองก็ไม่รอช้าให้ตัวเองเป็นแบรนด์ตกยุคด้วยการปล่อยโมเดล V12 Speedster ตามออกมาติด ๆ V12 Speedster สร้างและพัฒนาโดย Q แผนกสร้างสรรค์รถ Bespoke ของ Aston Martin ใช้แรงบันดาลใจจากโมเดล DBR1 ผู้ชนะการแข่งขัน 24 Hours Le mans ในปี 1959 และ Aston Martin CC100
รถยนต์ ถือเป็นอีกหนึ่งหลักฐานทางวัฒนธรรมที่สะท้อนความเป็นอยู่ของคนในแต่ละยุคได้ดี อย่างเช่นช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นยุคที่ประเทศญี่ปุ่นผลักดันการคมนาคมทางรถยนต์ ซึ่งเน้นการผลิตที่ต้นทุนไม่สูง ขนาดรถไม่ใหญ่ สอดคล้องกับเศรษฐกิจและการขยายตัวของคนและเมืองในช่วงฟื้นฟู เป็นยุคเริ่มต้นความนิยมรถไซส์เล็ก หรือ Kei Car ในญี่ปุ่น และในโอกาสครบรอบ 100 ปีของ Mazda วันนี้เราจะมาทำความรู้จักกับ R360 Coupe’ Microcars ที่ถือกำเนิดเมื่อ 60 ปีที่แล้ว และเป็นรากฐาน DNA ของรถ Mazda มาถึงในปัจจุบัน ในช่วงปี 1960 ขณะที่ USA นิยมรถ Muscle Car คันใหญ่แรงม้าเยอะ ประเทศญี่ปุ่นสนับสนุนให้ประชาชนใช้รถยนต์ไซส์เล็ก พละกำลังพอเพียง แลกกับผลประโยชน์ทางด้านภาษีและราคารถยนต์ที่ถูกสบายกระเป๋า แม้ Mazda R360 คันนี้จะไม่ใช่ Kei Car คันแรกของญี่ปุ่น แต่เป็นรถที่เปิดตัวแล้วได้ผลตอบรับดีมาก ด้วยขนาดที่กะทัดรัดเพียง 3 x 1.2 เมตร เครื่องยนต์วางหลัง 360
ถ้าพูดถึงรถมอเตอร์ไซค์เท่ ๆ สักคันที่เหมาะกับผู้ชายสายคลาสสิกอย่างเรา เชื่อว่าแวบแรกหนุ่ม ๆ คงจินตนาการภาพรถมอเตอร์ไซค์สไตล์ครุยเซอร์ (Cruiser) ที่โดดเด่นด้วยรูปร่างบึกบึน เบาะนั่งโหลดต่ำ และแฮนด์ยกสูง มาคู่กับไบเกอร์สวมกางเกงยีนส์และแจ็คเก็ตหนังสุดเฟี้ยว แต่ในบรรดาค่ายรถมอเตอร์ไซค์หลากสัญชาติบนโลก Indian Motorcycle ถือเป็นค่ายผู้ผลิตรถมอเตอร์ไซค์สไตล์ครุยเซอร์ที่น่าจับตามองที่สุดในตอนนี้ แม้จะถ่ายทอดอารมณ์ของมอเตอร์ไซค์คลาสสิกออกมาได้สุดขีดแบบไม่กั๊ก แต่ก็ไม่หลงลืมการพัฒนานวัตกรรมเพื่อการขับขี่ควบคู่ไปด้วย เมื่อไม่นานมานี้ Indian Motorcycle เพิ่งเปิดตัว ‘Scout Bobber Sixty 2020’ ที่เรียกว่าได้เสียงฮือฮาจากสิงห์นักบิดทั่วโลก เพราะโมเดลรุ่นนี้ถอดแบบโครงสร้างหลักของ Scout Bobber รุ่นพี่มาอย่างไม่มีผิดเพี้ยน ตั้งแต่ชุดเฟรม ระบบเบรก ระบบกันสั่นสะเทือน บังโคลนท้าย หรือแม้แต่ถังน้ำมัน เครื่องยนต์ V-Twin ของ Scout Bobber Sixty 2020 ลดปริมาตรความจุเครื่องยนต์จาก 1200 ให้เหลือ 999 ซีซี และลดขนาดให้เหลือเพียง 60 ลูกบาศก์นิ้วเท่านั้น มาพร้อม 5 เกียร์สปีด ขุมพลังขับเคลื่อนสูงสุด 78
เมื่อภาพยนตร์ James Bond ออกฉายครั้งแรกปี 1962 ตอนนั้นคงไม่มีใครคาดคิดว่าจักรวาลหนังสุภาพบุรุษสายลับจะเดินทางข้ามกาลเวลาและเติบโตมาถึงภาคที่ 25 ได้ แฟนหนังหลายรุ่นตั้งแต่รุ่นปู่จนถึงรุ่นหลานต่างเห็นยุคสมัยที่เปลี่ยนผ่านกับตัวเอกที่เปลี่ยนไป พอรู้ตัวอีกทีเราก็เดินทางมาถึงบทสรุปของสายลับรหัส 007 คนล่าสุดในภาค Bond 25: No Time to Die (2020) เสียแล้ว เมื่อถึงเวลาต้องบอกลาสายลับคนล่าสุดของจักรวาล James Bond แบรนด์นาฬิกาสัญชาติสวิตเซอร์แลนด์นามว่า Swatch (สวอท์ช) จึงอยากเชิญผู้ชมทุกท่านย้อนความหลังตั้งแต่ Bond 1 จนถึง Bond 25 ผ่านคอลเลกชันเรือนเวลาที่ดึงเอกลักษณ์ของหนัง James Bond ภาคก่อน ๆ ทั้งหมด 6 ภาค พร้อมกับกล่องนาฬิกาดีไซน์เท่ถอดแบบมาจากตลับเทปชวนให้คิดถึง และไฮไลต์เด็ดของคอลเลกชันอย่างเรือนเวลานวัตกรรมล้ำสมัย Q Watch โมเดลรุ่นที่ 7 ออกแบบพิเศษมาเพื่อส่งท้าย Bond 25: No Time to Die โดยเฉพาะ เปิดตัวอย่างงดงามกับตัวอย่างภาพยนตร์ Bond
หนุ่ม ๆ ที่หลงใหลในรถยนต์โดยเฉพาะโมเดลคลาสสิกที่ปล่อยออกมาระหว่างยุค 50’s-70’s คงไม่มีใครไม่รู้จักชื่อเสียงเรียงนามของยนตรกรรมคันจิ๋วแต่โคตรแจ๋วอย่าง FIAT 500 (เฟียต 500) ตำนานซิตี้คาร์ที่สร้างความเปลี่ยนแปลงต่อทั้งอุตสาหกรรมการผลิตและรูปแบบใช้งานรถยนต์ของผู้คนในทวีปยุโรปและทั่วโลก แต่อะไรคือเหตุผลที่ทำให้ Fiat 500 ครองความยิ่งใหญ่ได้ทั้งในยุคก่อนรวมถึงสามารถยืนระยะโมเดลตั้งแต่วันแรกมาจนถึงปัจจุบัน วันนี้ THE ICONIC CARS พาทุกคนไปทำความรู้จักยนตรกรรมคันจิ๋วเปลี่ยนโลกคันนี้ให้ดีขึ้นกว่าเดิม Fiat 500 เป็นรถยนต์ที่ผลิตโดย Fiat Automobiles ค่ายผู้ผลิตรถยนต์ที่ตั้งอยู่ในเมืองตูริน ประเทศอิตาลี เรื่องราวของมันเริ่มต้นในช่วงปลายยุค 50’s เป็นยุคสมัยที่เฟียตมีความคิดที่จะสร้างรถยนต์ขนาดเล็กขึ้นมาเพื่อใช้งานในเมืองที่มีถนนแคบและมีประชากรแน่นหนาให้เป็น People Cars เหมือนกับโฟล์คสวาเกนบีทเทิลในเยอรมนี พวกเขาต้องการผลิตรถยนต์ Economy Car ขนาดเล็กที่ตอบโจทย์ผู้คนสำหรับการใช้งานใช้ชีวิตประจำวัน แต่อีกเหตุผลสำคัญที่สุดคือมันต้องเป็นรถยนต์ที่มีราคาไม่สูงมาก มีค่าบำรุงรักษาต่ำ โดยได้นำแนวคิดรถยนต์ขนาดเล็กแบบวางเครื่องหลังเหมือนในบีทเทิลมาใช้ แต่ถ่ายทอดออกมาภายใต้งานดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์ของเฟียต งานออกแบบในครั้งนั้นตกเป็นหน้าที่ของ ดานเต้ จิอาคอซา นักออกแบบรถยนต์ชาวอิตาเลียนและพัฒนาจนสามารถเปิดตัวครั้งแรกในปี 1957 โดยตั้งชื่อว่า Fiat 500 ซึ่งในเจเนอเรชันแรกประกอบไปด้วยรถรุ่นที่มีความแตกต่างกัน 6 โมเดลด้วยกัน Fiat 500 หรือ Fiat
หลังมีข่าวลือหนาหูมาตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว วันนี้เรามีคำยืนยันอย่างเป็นทางการว่า BMW จะหยุดสายพานการผลิต i8 ในเดือนเมษายนที่จะถึงนี้ หลังทำตลาดอยู่ในกลุ่ม Supercar ของค่ายมานานกว่า 6 ปี และประกอบขายไปได้มากกว่าแผนที่วางเอาไว้ ทะลุ 20,000 คันตั้งแต่เดือนธันวาคมที่ผ่านมา แม้จำนวน 20,000 คันในช่วงเวลา 5 ปีจะดูไม่ใช่ตัวเลขที่เยอะกว่าใคร แต่ BMW i8 ก็นับว่าเป็นรถยนต์ในกลุ่มที่ไม่ธรรมดา เพราะนอกจากจะมีดีไซน์ล้ำยุคนับตั้งแต่วันที่เปิดตัวในปี 2014 จนกระทั่งวันนี้ และในอนาคตมันก็ไม่มีวี่แววว่าจะล้าสมัยลงได้เลย ในด้านเทคโนโลยีมันคือรถยนต์กลุ่มแรกที่ใช้ระบบเครื่องยนต์เผาไหม้ 3-cylinder 1.5-liter turbocharged จับคู่กับ Electric Motor 98 kW ให้พละกำลังรวมมากถึง 369 horsepower, 420 lb-ft of torque ทำเวลา 0-100 km/h ได้ภายใน 4.4 วินาที นับเป็นสิ่งมหัศจรรย์ล้ำหน้ามากในปีนั้น ด้วยความพิเศษของ i8 การหยุดสายพานการผลิตของมันลงในเดือนเมษายนที่จะถึงนี้ BMW