สำหรับผู้ชายที่เติบโตมากับภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่คงไม่มีใครไม่รู้จักตัวละครจาก X-Men ที่ชื่อว่า Logan และมีฉายาว่า Wolverine อย่างแน่นอน เพราะเราเห็น Hugh Jackman สวมบทเป็นมนุษย์กลายพันธุ์ผู้มีพลังพิเศษสามารถเยียวยาบาดแผลได้รวดเร็ว จมูกไว หูดี มีสัญชาตญาณของสัตว์ป่า รวมถึงกรงเล็บเหล็กทำจาก Adamantium ที่ได้มาจากการทดลองเถื่อน บุคลิกห่าม ๆ ของตัวละครและคาริสม่าของ Hugh Jackman ทำให้ใครหลายคนจดจำตัวละครตัวนี้ได้เป็นอย่างดี เพราะตัวละครนี้ถือเป็นฮีโร่ที่เติบโตมาพร้อมกับใครหลายคน รวมถึงแฟชั่นหลายยุคสมัยตั้งแต่หนุ่มจนถึงวาระสุดท้ายของเขาที่เต็มไปด้วยความน่าสนใจ จึงทำให้ UNLOCKMEN อยากพาทุกคนไปรู้จักกับสไตล์ของชายคนนี้ไปพร้อมกัน การปรากฏตัวของ Logan ในโลกภาพยนตร์เริ่มต้นขึ้นเมื่อปี 2000 ในภาพยนตร์รวมทีมฮีโร่มนุษย์กลายพันธุ์ X-Men (2000) พาเราไปทำความรู้จักกับนักสู้ใต้ดินไร้ความทรงจำ แต่จับพลัดจับผลูมาเป็นคนที่มีส่วนช่วยโลกให้พ้นภัย หลายคนคาดเดาว่า Logan ฉบับหนังอาจเกิดปี 1837 เพราะภาค X-Men Origins: Wolverine (2009) เขาเป็นทหารร่วมรบอยู่ในสงครามโลกครั้งที่ 1 ราวปี 1914 ต่อมาได้ช่วยชีวิตทหารหนุ่มชาวญี่ปุ่นไว้ในสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่เมืองนางาซากิ ในปี 1945
แฟนเพลงทั่วโลกต่างอ้อนวอนร่ำร้องให้สองพี่น้อง โนล กัลลาเกอร์ และ เลียม กัลลาเกอร์ ยอมยุติปัญหาบาดหมาง กลับมากอดคอกันเหมือนวันวาน และรวมตัวกันในฐานะ ‘OASIS’ อีกสักครั้ง แม้วันเวลาล่วงเลย จากวันที่ยุบวงในปี 2009 จนมาถึงปัจจุบันปี 2019 ฝั่งคนพี่อย่างโนลก็ดูจะไม่ใจอ่อนเลยแม้แต่น้อยนิด ล่าสุดฝั่งคนน้องอย่างเลียมจึงไม่รอช้า ปล่อยเพลงที่มีความหมายลึกซึ้งกินใจชื่อว่า ‘One of Us’ ออกมาง้อพี่ชายกันโต้ง ๆ เล่นเอาแฟนเพลงน้ำตาตกกันทั้งโลก แต่ก็ยังไร้วี่แววการตอบโต้ใด ๆ จากโนลเลยแม้แต่น้อย! ใครยังไม่ฟังเพลงนี้ สามารถคลิกฟังทางด้านล่างก่อนได้ครับ MV เพิ่งออกวันนี้สด ๆ ร้อนๆ Act like you don’t remember You said we’d live forever Who do you think you’re kidding? You were only one of us (อย่าทำเป็นจำไม่ได้ นายพูดว่าชีวิตเราจะเป็นนิรันดร์
ช่วงเวลากว่า 20 ปี ไม่อาจนับได้เลยว่ามีภาพยนตร์ออกฉายไปแล้วทั้งหมดกี่เรื่อง แต่ท่ามกลางหนังจำนวนมากก็มักจะมีฉากจากหนังดังที่ตราตรึงผู้ชมจนทำให้ไม่อาจลืม บางคนจดจำฉากเล็ก ๆ ที่ปรากฏเพียงแค่เสี้ยววินาที ฉากสุดไร้สาระ หรือจำประโยคเด็ดที่ออกจากปากตัวละครที่เท่จนฮิตติดลมบนและกลายเป็นประโยคในตำนานที่ไม่ว่าผ่านมากี่ปี ภาพยนตร์คือการสร้างความทรงจำร่วมกันของผู้ชมทั่วทุกมุมโลก ทำให้เว็บไซต์วิจารณ์และให้คะแนนภาพยนตร์ชื่อดังอย่าง Rotten Tomatoes เกิดไอเดียสนุก ๆ ให้สมาชิกในเว็บไซต์ร่วมกันจัดอันดับ 21 ฉากประทับใจและทรงพลังจนพวกเขาจำได้ไม่ลืมจากหนังที่ออกฉายในช่วง 21 ปีที่ผ่านมาเพื่อดูว่าฉากอะไรในหนังเรื่องไหนที่ทำให้คนดูจดจำได้มากที่สุด และก็มีสมาชิกกว่า 25,000 คน ร่วมลงคะแนนโดยได้อันดับทั้งหมดดังนี้ อันดับ 21 ฉากซูเปอร์คาร์บินข้ามตึกจากเรื่อง Furious 7 (2015) อันดับ 20 ฉากร้องไห้ขณะถ่ายสารคดีจากเรื่อง The Blair Witch Project (1999) อันดับ 19 ฉากเดินข้ามสะพาน Edmund Pettus จากเรื่อง Selma (2014) อันดับ 18 ฉากจบโชว์ของ Satine จากเรื่อง Moulin
ฤดูฝนประเทศไทยนั้นช่างแสนยาวนาน สภาพอากาศเอาแน่เอานอนไม่ได้อย่างนี้ ระวังจะเปียกปอนกันแบบไม่ทันได้ตั้งตัว หนุ่ม ๆ ที่จะเดินทางไปไหนมาไหนช่วงนี้ อย่าลืมพกร่ม พกเสื้อกันฝนติดตัวกันไว้บ้าง และสิ่งหนึ่งที่ต้องพกไว้ขาดไม่ได้เลยก็คือเสียงเพลง! มาเปลี่ยนช่วงเวลาติดฝนที่แสนน่าเบื่อให้กลายเป็นบรรยากาศสุดสุนทรีย์ ด้วย Playlist นี้จาก UNLOCKMEN ครั้งนี้เราจะมาแนะนำเพลงที่เกี่ยวกับ “ฝน” จริง ๆ มาดูว่าศิลปินแต่ละคนเขาจะนำสายฝนมาตีความอย่างไร และเขียนขึ้นมาเป็นเพลงแบบไหนกันบ้าง Laughter In The Rain – Neil Sedaka เพลงพอปเก่า ๆ ฟังสบายจากปี 1974 จากศิลปินนาม Neil Sedaka ทำนองเพลงน่ารัก ฟังแล้วอารมณ์ดี “Oh, I hear laughter in the rain, Walking hand in hand with the one I love” (ผมได้ยินเสียงหัวเราะท่ามกลางสายฝน จูงมือเดินกันไปกับหวานใจของผม) จังหวะนั้นถ้าอยู่กับแฟนหรือสาวที่ชอบ หากหยิบเพลงนี้ขึ้นมาเปิดให้เธอฟัง รับรองว่ามีเขินแน่
“เราทุกคนล้วนเคยผิดพลาด” เรากล้าพูดประโยคนี้ได้เต็มปากเต็มคำ ด้วยเชื่อว่ามนุษย์เราเกิดมาย่อมต้องเคยพลั้งเผลอทำอะไรที่ไม่ควรลงไปกันทั้งนั้น บางคนอาจพลั้งในสิ่งเล็กน้อย ในขณะที่บางคนพลาดจนพาตัวเองดำดิ่งลงไปในหลุมมืดมิดและคิดไม่ได้ว่าจะหาทางออกจากบ่อแห่งความผิดพลาดอันอนธการนั้นอย่างไร ถ้าเราร่วงหล่นลงไปในหลุมหม่นดำไร้ทางออก เราก็คงทำได้แค่จมลึกลงไปเรื่อย ๆ รู้ตัวอีกทีก็ไร้เรี่ยวแรง ดิ่งอยู่ในจุดที่ลึกที่สุดแล้ว แต่หากปากหลุมคือชีวิตใหม่ คือแสงสว่าง คือเพื่อนมนุษย์ที่เชื่อและยังมีความหวังในตัวเรา ไม่ว่าเราจะทำผิดพลาดไปแค่ไหน แต่มีคนที่พร้อมจะโอบกอด ให้อภัย ให้โอกาสและรับเราเข้าสู่สังคมอีกครั้ง ชีวิตใหม่นั้นจะดีแค่ไหน? เราจึงอยากชวนทุกคนมารู้จัก “BORN AGAIN” โปรเจกต์ทางดนตรีที่เต็มไปด้วยความหวังและความเชื่อว่ามนุษย์ไม่ว่าจะเต็มไปด้วยร่องรอย บาดแผล เคยต้องโทษ ถูกจองจำในหลุมมืดมิดมานานแค่ไหนก็พร้อมมีชีวิตใหม่อีกครั้ง เพียงทุกคนเปิดโอกาสให้พวกเขา นี่จึงเป็นโปรเจกต์ที่ใช้สื่อกลางอย่างดนตรีสื่อสารกับพวกเขาและคนในสังคมเพื่อบอกว่าทุกคนคู่ควรจะมีชีวิตใหม่อีกครั้ง หรั่ง-อัครินทร์ ปูรี, เจย์-สัจจเทพ และ SUNNY DAY (หรือที่เราคุ้นกับเขาในชื่อ เดย์ ไทเทเนียม) คือมนุษย์ 3 คนที่ริเริ่ม BORN AGAIN โปรเจกต์ที่ใช้ดนตรีเป็นสื่อระหว่างโลกที่เราเชื่อว่าสว่างกับบางมุมของโลกที่เราเชื่อว่าแสนมืดมิดอย่าง “ผู้ต้องขังในเรือนจำ” โดยดนตรีของพวกเขาส่งเสียงบอกคนในเงามืดนั้นว่า “คุณมีชีวิตใหม่ได้เสมอ” ด้วยการกระโจนลงไปเล่นดนตรีสด เปิดคอนเสิร์ตเล็ก ๆ ในเรือนจำแต่ละแห่ง ให้ผู้ต้องขังทุกคนได้สัมผัสกับดนตรีและความเชื่อที่จะกลับตัวใหม่ รวมถึงการทำเพลงที่ชื่อเดียวกับโปรเจกต์ บอกเล่าเรื่องราวของหรั่ง ที่นอกจากจะเป็นหนึ่งในผู้ริเริ่มโปรเจกต์นี้ เขายังเป็นอดีตนักโทษชั้นเลวที่กลับตัว กลับใจและกลับมาใช้ชีวิตในสังคมอย่างขาวสะอาด เพื่อให้ชีวิตในมุมมืดของหรั่ง
หากหนังรักไม่ใช่แนวทางของคุณ ลองมาดูหนัง ‘ไม่รัก’ กันบ้างดีกว่า เมื่อวันที่ 20 สิงหาคมที่ผ่านมา ทาง Netflix ได้ปล่อย Trailer ภาพยนตร์เรื่องใหม่ ‘Marriage Story’ ออกมาให้แฟน ๆ รับชมกันเป็นที่เรียบร้อย หนังเรื่องนี้กำลังเป็นที่จับตามองอย่างมาก เพราะได้นักแสดงชั้นนำอย่าง Scarlett Johansson มารับบท Nicole ฝ่ายภรรยา และ Adam Driver มารับบท Charlie ฝ่ายสามี เรียกได้ว่าสลัดภาพ Black Widow แห่งทีม Avengers และ Kylo Ren จาก Star Wars ไปได้เลย เพราะบทบาทของพวกเขาในครั้งนี้ คือสองสามีภรรยาที่กำลังเผชิญปัญหาชีวิตคู่อย่างหนัก จนในที่สุดความไม่ลงรอยของพวกเขา ก็นำไปสู่จุดแตกหักนั่นก็คือ ‘การหย่าร้าง’ หนังมีตัวดำเนินเรื่องเป็นสามีและภรรยา Netflix เลยหัวใส ปล่อย Trailer ออกมาให้ชมถึง 2 ตัว โดยตัวแรกจะเป็นมุมมองที่ Nicole มีต่อ
หนุ่ม ๆ ทั้งหลายคงไม่พลาดดูซีรีส์ตีแผ่วงการหนังผู้ใหญ่ของญี่ปุ่นยุค 80 กับเรื่อง The Naked Director จากช่อง Netflix เพื่อล้วงลึกและเข้าใจถึงโลกของการทำหนัง AV ที่เหนือจินตนาการ ทว่าในวันนี้ UNLOCKMEN จะไม่ได้มาพูดถึงเรื่องราวเกี่ยวกับหนัง AV แต่จะพูดถึงแฟชั่นแสนสะดุดตาของ Muranishi Toru พร้อมกับบอกเล่าเรื่องราวในช่วงเวลาดังกล่าวของญี่ปุ่นว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง แฟชั่นยอดนิยมของชายหนุ่มช่วงเวลานั้นเป็นอย่างไร คนญี่ปุ่นมีแนวคิดเกี่ยวกับการแต่งตัวแบบไหน รับวัฒนธรรมการแต่งตัวมาจากใคร เพื่อเผยให้เห็นว่าอะไรบ้างที่มีส่วนทำให้สไตล์การแต่งตัวของราชาหนังเอวีโดดเด่นไม่แพ้ใครในเรื่อง ความเนี้ยบและลุคสุดทางการตั้งแต่หัวจรดเท้าคือสิ่งสำคัญของผู้ชายญี่ปุ่น คนญี่ปุ่นถือเป็นชนชาติที่ให้ความสำคัญกับการแต่งตัวเป็นอย่างมาก เพราะพวกเขาคิดเสมอว่าการก้าวออกจากบ้านจะต้องพบเจอกับผู้คนมากมาย ดังนั้นเสื้อผ้า หน้า ผม ทุกอย่างจะต้องเนี้ยบและพร้อมเสมอสำหรับทุกสถานการณ์ จึงทำให้ผู้ชายญี่ปุ่นวัยทำงานส่วนใหญ่จะแต่งตัวเคร่งเครียดคล้ายกันไปเสียหมด หลายครั้งที่มีคนพยายามหาคำตอบเรื่องความเนี้ยบที่ทำกันจนเคยชินของคนญี่ปุ่นว่ามันมีจุดเริ่มต้นมาจากไหน คำตอบที่ได้ค่อนข้างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นเพราะได้รับการปลูกฝังกันมานาน หรือค่านิยมของการให้เกียรติตัวเองและผู้อื่น ทำให้คนญี่ปุ่นส่วนใหญ่คำนึงถึงการแต่งตัวให้เหมาะสมเวลาจะออกจากบ้าน ว่ากันว่าแฟชั่นจะเติบโตพร้อมกับเศรษฐกิจ หลังจากปี 1945 ที่ประเทศญี่ปุ่นยอมแพ้อย่างไม่มีเงื่อนไขในสงครามโลกครั้งที่ 2 ทำให้สูญเสียทั้งประชากร เมือง เงิน เป็นหนี้จำนวนมหาศาล ช่วงหลังสงครามโลกญี่ปุ่นแทบไม่เหลืออะไรเหลือเลยนอกจากซากปรักหักพัง ตอนนั้นคงไม่มีใครหน้าไหนในประเทศสนใจการแต่งตัวก่อนเรื่องปากท้องอย่างแน่นอน เหล่าผู้คนที่อยู่รอดจะต้องเอาตัวรอดให้ได้พร้อมกับขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้ก้าวต่อไป และกว่าญี่ปุ่นจะฟื้นตัวขึ้นมาได้อย่างทุกวันนี้ก็ปาเข้าไปช่วงปลายโชวะ ระหว่างรอยต่อของต้นยุคเฮเซ (1986-1991) กว่าหลายสิบปีญี่ปุ่นเปลี่ยนฐานะจากประเทศที่แพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 เขยิบขึ้นมาเป็นประเทศที่มีระบบเศรษฐกิจดีอันดับต้น ๆ
หากเอ่ยชื่อ ‘เป้ อารักษ์ อมรศุภศิริ’ หลายคนจดจำเขาในฐานะศิลปิน บ้างก็ในฐานะนักแสดง หรือหากติดตามกันมาอย่างยาวนาน คุณอาจจดจำเขาในฐานะ ‘เป้ Slur’ จากมือกีตาร์ขาเดฟหัวฟูในวันนั้น สู่ชายผู้เรียกได้ว่าหยิบจับมาแล้วแทบจะทุกอย่าง เป็นได้ทุกสิ่งที่วงการบันเทิงจะให้เขาเป็น แต่ถึงกระนั้นก็ไม่มีครั้งไหนที่เป้จะทอดทิ้งความรักที่มีต่อเสียงดนตรี เขายังคงเดินหน้าผลิตงานเพลงใหม่ ๆ และดำรงฐานะ ‘ศิลปิน’ ของตัวเองไว้โดยเสมอมา แม้การฉายเดี่ยวของเขาจะทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์มากมาย และความตั้งใจก็ถูกจู่โจมด้วยความคิดเห็นเชิงลบ อะไรคือเคล็ดลับที่ทำให้เขาคนนี้ไม่ท้อ และไม่เคยถอดใจ? แม้ชีวิตจะของเป้ อารักษ์จะดำเนินไปในเส้นทางไหน ยาวไกลเพียงใด เขาก็พร้อมจะตีวงเลี้ยว เพื่อนำตัวเองกลับเข้าสู่ถนนสายดนตรีอยู่เสมอ วันนี้เราจะขอเชิญชาว UNLOCKMEN มารับฟังบทสนทนาสบาย ๆ ที่แสนตรงไปตรงมาจากปากผู้ชายคนนี้ไปพร้อม ๆ กัน ยินดีต้อนรับเป้สู่การทำเพลงอีกครั้ง! สำหรับชีวิตบนเส้นทางสายดนตรี เข้าปีที่เท่าไหร่แล้ว เป้: คิดว่าน่าจะราว ๆ 14 ปี ประมาณนั้น ถ้านับจากอัลบั้มที่ออกสู่สายตาประชาชนชุดแรก (ในฐานะมือกีตาร์ Slur ) ผมอายุ 21 แต่ถ้าเอาแบบเริ่มทำ Slur จริง ๆ ผมเพิ่งจะ 19-20
หลังจาก THE 1975 วงดนตรีขวัญใจวัยรุ่นจาก Manchester ประเทศอังกฤษ ได้ออกมาประกาศชื่อสตูดิโออัลบั้มลำดับ 4 ‘Notes on a Conditional Form’ ทางวงก็ได้ปล่อยแทร็กแรกของอัลบั้มตามมาเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคมที่ผ่านมา โดยแทร็กแรกในทุก ๆ อัลบั้มของพวกเขาจะใช้ชื่อว่า ‘The 1975’ จนเหมือนเป็นธรรมเนียม แต่สำหรับแทร็ก The 1975 ของอัลบั้มนี้กลับไม่เหมือนครั้งไหน เพราะแทร็กนี้ไม่ใช่เพลงอินโทรสั้น ๆ แบบที่วงเคยทำ แต่เป็นดนตรีที่มีทำนองพร้อมเสียงเด็กผู้หญิงกำลังพูดอะไรบางอย่าง! และถ้าหากคุณตั้งใจฟังต่อไป คุณจะพบว่ามันคือสุนทรพจน์อันแสนทรงพลังเกี่ยวกับปัญหาสิ่งแวดล้อมนั่นเอง เจ้าของเสียงนี้ไม่ใช่ใคร แต่คือสาวน้อย Greta Thunberg นักรณรงค์เพื่อสิ่งแวดล้อมชาวสวีเดนที่กำลังโด่งดังไปทั่วโลกในขณะนี้ แม้เธอจะมีอายุเพียง 16 ปี แต่กลับมีความมุ่งมั่นกล้าหาญ เธอลุกขึ้นมาต่อสู้เพื่อโลกของเราอย่างจริงจัง โดยบางส่วนของแทร็ก The 1975 นี้ ได้มีการหยิบยกข้อความจากสุนทรพจน์จริงที่ Greta เคยกล่าวไว้ในงาน World Economic Forum เมื่อปี 2018 นอกจากสุนทรพจน์ของ Greta จะถูกเผยแพร่ให้ผู้คนบนโลกได้ฟังเพิ่มขึ้นแล้ว
ในยุคที่ซูเปอร์ฮีโร่เกลื่อนเมือง ค่ายหนังต่างพยายามทำหนังยอดมนุษย์รวมพลังต้านวายร้ายกอบกู้โลกและพิทักษ์จักรวาลออกมาให้ได้ชมกัน แต่มีมินิซีรีส์เรื่องหนึ่งจากช่อง Amazon Prime ที่ดึงความสนใจของเหล่าคนดูได้ตั้งแต่การปล่อยตัวอย่างครั้งแรก เพราะซีรีส์เรื่อง The Boys จะนำเสนออีกแง่มุมหนึ่งว่า จะเป็นอย่างไรหากฮีโร่ที่คุณคลั่งไคล้นิสัยเสียไม่ต่างจากคนทั่วไป ซ้ำอาจจะเลวร้ายยิ่งกว่าด้วยซ้ำ ? เรื่องราวของซูเปอร์ฮีโร่ที่กลายเป็นสัญลักษณ์ทางธุรกิจเกิดขึ้นจากหนังสือการ์ตูน The Boys ของ Garth Ennis และ Darick Robertson ส่วนเนื้อหาที่ถูกดัดแปลงมาเป็นภาพยนตร์โทรทัศน์จะบอกเล่าถึงโลกยุคปัจจุบันที่ซูเปอร์ฮีโร่มีตัวตนจริง ไม่ใช่แค่หนึ่งแต่มากันเป็นกลุ่มชื่อว่า The Seven ที่เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ รูปร่างหน้าตาและบุคลิกตามสูตรหนังซูเปอร์ฮีโร่ ซูเปอร์ฮีโร่กลุ่มนี้อยู่ภายใต้การดูแลของบริษัทเอเจนซี่นาม Vought ที่เป็นเหมือนกับผู้จัดการส่วนตัว คอยดูแล สร้างภาพลักษณ์ดี ๆ ให้กับเหล่าฮีโร่ คนมีพลังพิเศษกลายเป็นอภิสิทธิ์ชน ได้รับการปฏิบัติเยี่ยงซูเปอร์สตาร์ และมีบริษัทคอยตามล้างตามเช็ดและปกปิดเรื่องชั่ว ๆ ที่แก๊ง The Seven ทำเอาไว้ อ่านไม่ผิดหรอกครับ เพราะฮีโร่เหล่านี้ทำเรื่องชั่วไว้มากมายจริง ๆ แต่ไม่ว่าเมื่อไหร่ที่พวก The Seven ทำตัวไม่ดี เอเจนซี่ของเขาก็จะคอยกลบเกลื่อนและปิดข่าวได้ทันท่วงทีเสมอ ด้วยความไม่ยุติธรรม การทำตัวเหนือกฎหมายของเหล่าฮีโร่ทำให้คนกลุ่มหนึ่งที่ได้รับผลกระทบจากการกระทำชั่ว ๆ ตั้งตัวเป็นศาลเตี้ยหวังทำลาย The
ชีวิตกรุงเทพฯ ใกล้ชิดความศิวิไลซ์ การจราจรจึงมีความบรรลัยเช่นกัน ช่วงเวลาที่ต้องติดแหงกอยู่บนถนนนาน ๆ นี่มันช่างทรมานว่าไหมครับ? UNLOCKMEN เองก็ไม่ใช่นายกหรือรัฐมนตรีกระทรวงไหน จึงไม่สามารถแก้ไขปัญหาตรงจุดให้ท่านได้ แต่สิ่งหนึ่งที่เราพอจะช่วยได้ ก็คือการสรรหาเพลงใหม่ ๆ มาให้ท่านได้แอดลง Playlist เอาไว้ รถติดเมื่อไหร่ จงเปิดฟังวนไปจนกว่าจะตื่น ว่าแล้วก็มาดูกันเลยว่าจะมีเพลงอะไรบ้างในสัปดาห์นี้! Black Bull – Foals รถติดแล้วตาจะปิดเมื่อไหร่ ให้งัดเพลงนี้ขึ้นมาฟังโดยพลัน Black Bull เพลงใหม่สุดดุดันจาก Foals วงร็อกจาก Oxford ประเทศอังกฤษ พกกระทิงดำไว้ฟัง ได้ผลชะงัดพอ ๆ กับกินกระทิงแดง กระซิบบอกนิดนึงว่าวงนี้เพิ่งมาเปิดคอนเสิร์ตที่ไทยไปเมื่อวันที่ 14 สิงหาคมที่ผ่านมา ของจริงนี่เดือดไม่ลืมหูลืมตายิ่งกว่า Audio เลยทีเดียวเชียว Out For Blood – Sum 41 Sum 41 วงร็อกสาย Pop Punk จากแคนาดากลับมาระเบิดความเดือดกันอีกครั้ง
เราอาจจะเคยเจอภาพยนตร์ที่ดัดแปลงและสร้างจากชีวิตจริงมานับครั้งไม่ถ้วน บางเรื่องก็เป็นหนัง Feel good หรือบางเรื่องอาจจะเศร้าจนลืมไม่ลง สำหรับปีนี้ก็มีหนังชีวประวัติหลายเรื่องที่ออกฉายให้เราได้ชมกัน แต่คาดว่าคงไม่มีภาพยนตร์ชีวประวัติเรื่องไหนในปีนี้ที่เจ็บเท่ากับ Honey Boy (2019) อีกแล้ว เหตุที่เราบอกว่าหนังเรื่องนี้เจ็บ นั่นเป็นเพราะ Honey Boy เป็นภาพยนตร์กึ่งชีวประวัติที่ดัดแปลงมาจากชีวิตจริงของนักแสดงชายชื่อดัง Shia LaBeouf ที่เมื่อก่อนเราคุ้นหน้าคุ้นตาเขาเป็นอย่างดีกับหนังบู๊แฟรนไชส์เรื่อง Transformers และหลังจากนั้นเขาก็ถือว่าเป็นหนึ่งในนักแสดงที่คนวงการบันเทิงด้วยกันเบือนหน้าหนี เพราะความแปลกและความอินดี้ที่เกินจะรับไหว Shia LaBeouf ลองทำอะไรหลาย ๆ อย่างในวงการภาพยนตร์ตั้งแต่การแสดงหนังบล็อกบัสเตอร์ หนังอินดี้ ไปจนถึงเล่นหนัง Rate-R แต่ไม่ว่าความท้าทายที่เข้ามาเป็นอะไร เขาก็พร้อมกระโจนใส่เสมอเช่นเดียวกับครั้งนี้ที่เขาก็ลองอะไรใหม่ ๆ อีกหนด้วยการก้าวขึ้นมาเป็นคนเขียนบทภาพยนตร์และแสดงเองในเรื่อง Honey Boy Honey Boy เรื่องราวว่าด้วยชีวิตจริงของชายที่ชื่อว่า Shia LaBeouf ตั้งแต่วัยเด็กก่อนก้าวเข้าสู่วงการฮอลลีวูด Jeffrey LaBeouf พ่อของเขาเป็นทหารอเมริกันที่ผ่านศึกสงครามเวียดนามผู้ตกงานนับครั้งไม่ถ้วน ขี้เมาและชอบทำร้ายร่างกายลูก แถมยังเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงคุกเสี่ยงตะรางอยู่บ่อยครั้ง ชีวิตวัยเด็กของ Shia LaBeouf จะต้องดำเนินไปตามความต้องการของพ่อ เติบโตมากับการเลี้ยงดูสไตล์ฮิปปี้ สิ่งที่พ่อต้องการจากตัวเขาคือความโด่งดัง ชื่อเสียงและเงินทอง โดยที่ไม่ถามว่าเด็กหนุ่มมีความฝันหรืออยากจะทำอะไร เมื่อพ่อขี้เมาพยายามทำตัวเป็นป๋าดันให้เด็กหนุ่มเข้าสู่วงการบันเทิง การต่อต้านของเขาจึงเผชิญผลลัพธ์สุดเจ็บปวด