aespa (เอสป้า) วงไอดอลเกิร์ลกรุ๊ปจากค่าย SM Entertainment เดบิวต์เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2020 แนวเพลงเป็น เคป็อป ฮิปฮอป อีดีเอ็ม แทร็ป และไฮเปอร์ป็อป ที่มาพร้อมกับคอนเซปต์แปลกใหม่ ที่ทำให้ทุกคนตื่นตาตื่นใจอย่างมาก พร้อมกับเพลงท้อปฮิตติดชาร์ตอีกหลากหลายเพลง โดยชื่อวง aespa มีที่มาจาก Avatar (อวตาร) X Experience (ประสบการณ์) รวมกับคำว่า aspect (แง่มุม) ที่มีความหมายว่า “การสัมผัสกับประสบการณ์โลกใบใหม่ด้วยเหล่าอวตารที่เป็นตัวตนในอีกด้านหนึ่งของพวกเธอ” โดยมีสมาชิกทั้งหมด 4 คน คือ KARINA (คาริน่า) / GISELLE (จีเซล) / WINTER (วินเทอร์) และ NINGNING (หนิงหนิง) ซึ่งแต่ละคนก็จะมีอวตารของตัวเองด้วย (และเหตุผลที่ตัวอวตารเหมือนพวกเธอมาก เพราะการอัปโหลดข้อมูลต่าง ๆ ในโซเชียลมีเดียทำให้อวตารสามารถศึกษาข้อมูลของพวกเธอได้) ได้แก่ æ-karina/æ-giselle/æ-winter/æ-ningning และมีตัวละครลับในวงอย่าง Nævis
เปิดปี 2023 กับวงที่เราอยากให้ทุกคนได้รู้จักตั้งแต่ปี 2022 แต่ปลายปีของชาวออฟฟิศก็วุ่นวายกันนิดหน่อย เราเลยขอยกยอดวงนี้มาเป็นศิลปินเบอร์แรกเปิดซีรีย์ Next Cover, Same Mood ของปีเลยละกัน กับ Lemony จาก Sanamluang Music แนะนำประวัติวงคร่าว ๆ กันเล็กน้อย เนื่องจากว่าเป็นวง New Blood ที่น่าสนใจมาก เพราะเอาจริง ๆ พวกเขาก็ไม่ใช่วงหน้าใหม่ของวงการเสียทีเดียว ก่อนหน้าที่จะเป็นวง Lemony พวกเขาทั้ง 4 คนเคยใช้ชื่อว่า Kordyim (อ่านว่า ‘โคตรยิ้ม’) แต่ด้วยที่ต้องการปรับเปลี่ยนแนวทางของดนตรี + ทิศทางของวงใหม่ จึงจัดการรีเซ็ทใหม่หมด กว่าจะออกมาเป็น Lemony กับอัลบั้มแรกให้ทุกคนได้รู้จักในวันนี้ ก็ใช้เวลากว่า 10 ปีเลยทีเดียว ! ถ้าคุณเคยรู้จัก Lemony ในร่างที่แล้วมาก่อน จะเข้าใจเลยว่า Why Don’t I …..? เป็นอัลบั้มที่ย้ำคาแรคเตอร์ของวง Lemony
ระหว่างที่เขียนคอลัมน์นี้อยู่ ก็เป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่ Milli (ดนุภา คณาธีรกุล) ได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งใน 100 สตรีผู้เป็นแรงบันดาลใจและทรงอิทธิพลจากทั่วโลก ประจำปี 2022 จากสำนักข่าว BBC โอ้มายก็อดส์! ความรู้สึกเดียวที่เรามีให้เลยคือ ‘ยินดีด้วย’ เพราะตลอดการเดินทางของแร็ปเปอร์คนนี้ไม่มีคำว่าฟลุ๊ค จะเป็นการแสดงสดที่เทศกาลดนตรี Cochella หรือการได้ร่วมงานกับค่าย 88 Rising ผงาดพลัง Asia Power สู่เวทีโลก ล้วนสะท้อนภาพความพยายามอย่างหนักทั้งนั้น และอัลบั้มแรกในชีวิตของเธอ ‘BABB BUM BUM (แบบเบิ้มเบิ้ม)’ ภายใต้สังกัด Yupp ก็เป็นอีกผลงานที่เต็มเปี่ยมด้วยความพยายาม ภายใต้อัลบั้มที่มีพาร์ทดนตรีสุดปั่น และไรห์มสุดยียวน นี่คืออัลบั้มที่ศิลปินผู้รู้จักตัวเองเป็นอย่างดี และรู้ว่าเพลงของตัวเองสามารถเป็นอะไรได้บ้างโดยไม่ทำให้เสียเอกลักษณ์ตัวตนแม้แต่น้อย และมันไม่ใช่เพราะว่า Genre ของ Hip-Hop ที่อนุญาตให้ดนตรีหลากหลายด้วยนะ แต่ Milli ทำให้เพลงทั้ง 10 อัลบั้มเป็นเรื่องราวของตัวเองจริง ๆ สำหรับเราในวันนี้ Milli ได้กลายเป็นตัวละครเอกของมังงะชีวิตที่ตัวเองเขียนไปแล้ว เป็นตัวละครที่บ้าพลัง มุทะลุชนทุกกำแพง และแม้จะย่อท้อก็สามารถลุกขึ้นมาร้องเพลงใหม่ได้เสมอ
Next Cover, Same Mood ตอนที่ 4 นี้เราขอเปลี่ยนอารมณ์กันเล็กน้อย จาก ‘หนังสือ’ สู่ ‘ภาพยนตร์’ หลังจากที่ทำไป 3 ตอนแรกแล้วพบว่า เพลงบางเพลงจะมีภาพยนตร์อันเป็นตัวแทนอารมณ์ที่เหมาะกว่าหนังสืออยู่บ้างเสมอ ๆ และเพราะวง Dept เอง ก็มีจุดกำเนิดชื่อวงมาจาก Johnny Depp ที่มีความเกี่ยวข้องกับหนังอยู่ด้วย (พยายามหาเหตุผลสุด 555) แต่เชื่อใจเราได้เลย ว่าหนังเองก็สามารถต่ออารมณ์อันไม่ยอม Move On จากเพลงที่รักได้ดีไม่ต่างกันอย่างแน่นอน ถ้าให้พูดถึงหน้าตาของ Sound of Smallroom ใน gen 3 เราสามารถยกเอาวง Dept ขึ้นมาอยู่หัวแถวได้เลย ในความหมายที่ว่า เป็นประตูสู่ซุ่มเสียงเพลง POP ยุคใหม่ของค่ายห้องเล็ก และเป็นเพลงตัวแทนของหลากความรู้สึกของวัยรุ่นไทย Gen y และ Gen z ด้วย .. อัลบั้ม Ceramics Runway
Silly Fools ชื่อนี้มีอิทธิพลที่ยิ่งใหญ่เสมอสำหรับวงการดนตรีเพลงร็อกในบ้านเรา โดยเฉพาะในยุคที่ “โต” ทำหน้าที่เป็นนักร้องนำ ซึ่งก็ได้สร้างเพลงฮิตเอาไว้มากมายไม่ว่าจะเป็น “คิดถึง”, “ไหนว่าจะไม่หลอกกัน”, “ขี้หึง”, “วัดใจ”, “น้ำลาย” เป็นต้น เพลงเหล่านี้เปิดที่ไหนรับรองว่าร้องตามกันได้อย่างแน่นอน ผลงานในยุคดังกล่าวมีการปรับซาวด์จูนเข้าหาตลาดมากยิ่งขึ้น แต่ก็ไม่ได้ทิ้งตัวตนของวง Silly Fools ออกไปแต่อย่างใด แต่ถ้าจะให้พูดถึงผลงานที่พวกเขาปล่อยของออกมามากที่สุด และประทับใจหมู่นักฟังเพลงมากที่สุด ผลงานนั้นกลับไม่ได้อยู่ในยุคของโต แต่มันอยู่ในยุคของ “เบนจามิน จุง ทัฟเนล (Benjamin Jung Tuffnell)” นักร้องนำชาวอเมริกัน เชื้อสายเกาหลี กับผลงานอัลบั้ม “The One” ที่หลายคนลงความเห็นตรงกันว่า “ซาวด์โคตรอินเตอร์แบบสุด ๆ!” “The One” เป็นผลงานที่ต่อยอดมาจาก EP.Mini วางจำหน่ายเมื่อปี 2007 บรรจุเอาไว้ทั้งหมด 4 เพลงด้วยกัน ได้แก่ “Stay Away”, “One Generation”, “I’ve Gone Blind” และ
ปัจจุบันดนตรีร็อกและเมทัลในบ้านเราเติบโตขึ้นมามาก เราได้เห็นวงมากหน้าหลายตาที่ได้โอกาสก้าวข้ามพรมแดนไปเล่นยังต่างประเทศมาแล้วมากมาย เช่นวง Annalynn, Whispers, Retrospect, Sweet Mullet, Defying Decay เป็นต้น กล่าวมาถึงตรงนี้หลาย ๆ คนอาจจะไม่ใช่คุ้นชื่อหลาย ๆ วง ซึ่งนั่นก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะว่าพวกเขาเหล่านั้นเป็นวงนอกกระแส หรือที่เรียกกันว่า ‘วงการอันเดอร์กราวน์’ นั่นเอง วงการที่อุดมไปด้วยเพลงอันหนักหน่วง รุนแรง และทุกคนต่างต้องต่อสู้บนเส้นทางที่รายรับติดลบ รายจ่ายตีบวก เรียกได้ว่าใช้แพชชั่นขับเคลื่อนล้วน ๆ และ ‘วงการอันเดอร์กราวน์’ บ้านเราจริง ๆ แล้วเริ่มมีรากฐานมาตั้งแต่ช่วงปลายยุค 80’s แล้ว ว่ากันว่าอัลบั้ม “ฆาตกัญชา” ของวง Flesh And Skin (เนื้อกับหนัง) ที่วางจำหน่ายเมื่อปี 1984 คือผลงานบุกเบิกวงการอันเดอร์กราวน์โดยแท้จริง ผลงานของพวกเขานำเสนอแนวทางเฮฟวี่เมทัลอันเข้มข้น แหวกแนวกว่าวงในยุคนั้นทั้งหมดทั้งปวง หลังจากนั้นดูเหมือนว่าวงการเฮฟวี่เมทัลในบ้านเราก็คึกคักขึ้นมา เมื่อค่ายเมนสตรีม หรือค่ายระดับรองต่างหันมาจับจ้องปลุกปั้นแนวนี้กัน ทำให้เราได้เห็นผลงานของวงหิน เหล็ก ไฟ, The Olarn Project,
ต้องยอมรับเลยว่าบรรดาเด็กและเยาวชนรุ่นใหม่ ๆ ต่างเติบโตกันมาด้วยมุมมองที่หลากหลายมากกว่าเดิม สาเหตุก็มาจากการเข้าถึงสื่อต่าง ๆ ง่ายเพียงปลายนิ้วผ่านหน้าจอสมาร์ทโฟน มันสะท้อนออกมาทั้งจากทางความคิด การแต่งตัว และการฟังเพลงด้วยเช่นกัน สังเกตได้จากเพลย์ลิสต์ที่ไม่ได้ยึดติดกับแนวใดแนวหนึ่งเป็นพิเศษ แต่มันจะคละไปด้วยเพลงดี ๆ ที่แนวทางแทบจะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เราอาจจะได้ฟังทั้งเพลงป๊อป, เพลงร็อก หรือแม้กระทั่งเพลงสายอินดี้ จากเพลย์ลิสต์เดียวกัน แตกต่างจากคนยุคก่อนที่มักจะยึดการฟังเพลงจากแนวใดแนวหนึ่งที่ชื่นชอบเป็นหลัก สิ่งที่ได้กล่าวมามันก็ได้หล่อหลอมสร้างศิลปิน/นักดนตรี รุ่นใหม่ขึ้นมาด้วยเช่นกัน ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดที่สุดในยุคนี้คงต้องยกให้ Yungblud หนุ่มวัย 25 จากประเทศอังกฤษ หรือชื่อจริงคือ Dominic Richard Harrison ที่สร้างดนตรีจากซาวด์ที่เขาชื่นชอบและเติบโตขึ้นมา ทำให้เราจะได้ฟังสีสันอันหลากหลายจากผลงานของเขา ไม่ว่าจะเป็นป๊อปพังก์, โพสต์พังก์, ฮิปฮอป หรือแม้กระทั่งเมทัล ดังเช่นตัวอย่างเพลงต่อไปนี้ “PARENTS” ผลงานจากอัลบั้ม “Weird!” (Digital Edition) ที่วางจำหน่ายเมื่อปี 2020 เพลงนี้โดดเด่นด้วยการร้องแร็ปไปพร้อมกับบีตที่ใช้เป็นเมนหลักแทบทั้งเพลง แต่ก็มีการซ่อนซาวด์กีตาร์ในสไตล์อัลเทอร์เนทีฟร็อกเข้ามาเพิ่มความน่าสนใจ และมันจะพุ่งออกมาให้เห็นได้ชัดในช่วงของท่อนฮุค “PSYCHOTIC KIDS” เพลงนี้อยู่ในอัลบั้มแรกที่มีชื่อว่า “21st Century Liability” (2018) ส่วนผสมของเพลงนี้มีความหลากหลายมาก ๆ
ในวงการดนตรีทุกวันนี้ มีแร็ปเปอร์เกิดใหม่ขึ้นมามากหน้าหลายตา แต่ละคนล้วนมีฝีปากในการพ่น Rhymes ได้ไม่เบาทั้งนั้น หลาย ๆ คนก็สามารถสร้างเพลงฮิตจนทำรายได้เป็นกอบเป็นกำ หรือแม้กระทั่งพาเพลงไปติดชาร์ตบิลบอร์ดก็มีให้เห็นมาแล้ว ซึ่งเพลงที่ว่านั้นก็คือ “ทน” ผลงานของ Sprite และ Guygeegee สองแร็ปเปอร์ต่างวัยที่ใส่ความสนุกสนาน ผสมกับความกวนลงไปในบทเพลง จนชวนให้ทุกคนครื้นเครงกันในช่วงล็อกดาวน์ และก็เป็นโอกาสที่ดีมาก ๆ ที่ทาง Unlockmen ได้มานั่งพูดคุยกับ Guygeegee แร็ปเปอร์มาดกวน ที่ดูภาพลักษณ์แอบทำให้เรานึกถึง Eminem ไม่น้อยทีเดียว เรื่องราวของผู้ชายคนนี้เดินทางมาพร้อมกับคำสบประมาทที่คอยบอกว่าให้ล้มเลิกความฝันไปซะ เขาจึงต้องพิสูจน์ตัวเองด้วยคำสั้น ๆ ว่า “Prove Them Wrong” มาติดตามเรื่องราวไปพร้อม ๆ กันได้เลย ROCK BEFORE RAP! ก่อนจะก้าวมาเป็นแร็ปเปอร์ Guygeegee ก็มีชีวิตที่ผูกพันธ์กับดนตรีมาตั้งแต่วัยเด็ก เขาเล่นได้ทั้งแซกโซโฟน และกีตาร์ อีกทั้งยังสอบวิชาดนตรีได้เกรด A มาโดยตลอด อีกทั้งเขายังเคยชื่นชอบเพลงร็อกก่อนเพลงฮิปฮอปซะอีก “ถ้าเป็นแต่ก่อนนะ ผมฟังแต่วงร็อกไทย ทั้ง Potato, Pancake,
ในปี 2022 วันที่วงการดนตรีไทยอุดมไปด้วย Young Blood & New Face ที่เก่งกาจเกิดขึ้นไม่เว้นแต่ละวัน ด้วยวัฒนธรรม Home Studio ซึ่งมีมากขึ้น เรียกว่าเทคโนโลยีดนตรีสมัยใหม่สามารถทำให้ใครก็สามารถเริ่มขึ้นเดโม่ จนถึงจบมาสเตอร์ที่คุณภาพประมาณนึงได้ในห้องนอนของตัวเอง ที่น่าชื่นใจของวงการดนตรีไทยในทุกวันนี้ คือการที่คำว่า MASS กับ INDY ไม่ได้มีกำแพงต่อกันสูงเท่าสมัยก่อนอีกแล้ว แต่คนฟังให้ค่ากับคำว่า MUSIC จริง ๆ มากกว่า โดยที่ถึงแม้ว่าการเดินทางของวงจากทั้ง 2 ฝั่งก็ยังเป็นแบบที่วงในค่ายใหญ่ (ซึ่งอาจจะสามารถใช้เรียก Main Stream ได้) ต้องทำเพลงออกมาขายผู้บริโภค รันธุรกิจของค่ายไปพร้อม ๆ กับความฝันของพวกเขาต่อไป ทางฟากตรงกันข้าม ในส่วนของวงอิสระ (ไม่ได้สังกัดค่าย และอาจจะเรียกด้วยคำว่า INDY ได้เช่นกัน) ก็ยังคงมุ่งมั่นทำเพลงในทุกวันเพื่อจะขยับเข้าใกล้คนฟังหมู่มาก ไปจนถึงการได้สำเร็จความฝันที่จะมี ‘แฟนเพลง’ เป็นของตัวเองได้ในที่สุด จากประเด็นเรื่องของ MASS กับ INDY มันทำให้คนฟังเพลงวัยผู้ใหญ่อย่างเรา (พยายามหลีกเลี่ยงคำว่าแก่ล่ะ) คิดถึงวงการดนตรีของประเทศไทยเมื่อ 8
The Smashing Pumpkins อีกหนึ่งวงร็อกที่สร้างชื่ออย่างมากในช่วงยุค 90’s ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ดนตรีแนวกรันจ์และอัลเทอร์เนทีฟได้รับความนิยมอย่างสุดขีด พวกเขาก่อตั้งวงเมื่อปี 1988 หลังจากที่วง The Marked ของ Billy Corgan ได้แยกย้ายกันไป ก่อนจะเริ่มมีผลงานเพลงแรกในปั 1989 กับเพลง “I Am One” ซึ่งถูกรวมอยู่ในอัลบั้ม Compilation : Light Into Dark หลังจากนั้น The Smashing Pumpkins ก็กรุยทางเข้าสู่วงดนตรีได้สำเร็จ โดยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันพวกเขามีผลงานออกมาแล้วทั้งหมด 11 อัลบั้มด้วยกัน แต่ที่เรากำลังจะหยิบยกมาพูดถึงคืออัลบั้มที่ 2 “Siamese Dream” ที่วางจำหน่ายในปี 1993 ที่โดดเด่นด้วยปกอัลบั้มที่มีเด็กผู้หญิง 2 คนกำลังสวมกอดกัน “Siamese Dream” เป็นผลงานที่ประความสำเร็จเป็นอย่างมากของ The Smashing Pumpkins สามารถทำยอดขายได้มากถึง 4 ล้านก็อปปี้ พร้อมด้วยซิงเกิ้ลดังเช่น “Cherub
สิ่งที่น่าสนใจสำหรับวงการดนตรีโลกในช่วง 2-3 ปีมานี้ คือการที่เราได้เห็นซีนของศิลปินเอเชียหรือ Asia Sound ผงาดและฉายแสงในวงการดนตรีโลกมากกว่าที่ผ่านมาอย่างเห็นได้ชัด ทั้งพลังวัยรุ่นของกลุ่มศิลปินจาก 88 Rising ที่ถล่มเทศกาลดนตรี Cocealla อย่างราบคาบ หรือฝั่ง K-POP วงเกิร์ลกรุ๊ปและบอยแบนด์อย่าง BTS, AESPA, BLACK PINK และวงเกาหลีอีกหลาย ๆ วงก็ได้ทำลายกรอบของเพลง Main Stream โลกไปแล้ว UNLOCKMEN ขอพาทุกคนย้อนกลับไปในปี 2017 ณ ช่วงเวลาที่ Asia Sound ยังไม่บูมขนาดวันนี้ มีเด็กหญิงที่ใช้ชื่อในวงการว่า beabadoobee กำลังจะเปลี่ยนภาพจำที่ว่า ‘เราหาต้นแบบศิลปินเอเชียบนเวทีโลกไม่ค่อยได้เลย’ ไปย้อนดูเรื่องราวในก้าวแรกของเธอกัน กลุ่มเพื่อนเรียกเธอว่า Bea แต่ชื่อจริงของเธอคือ Beatrice Laus ส่วนเบื้องหลังชื่อที่ทั่วโลกเรียกเธอว่า beabadoobee นั้น เกิดขึ้นปี 2017 ในวันที่เธอกับเพื่อนจะอัพเพลงแรกขึ้นสตรีมมิ่งแล้วยังไม่มีชื่อ Artist เลย แน่นอนว่ามันก็อัพเพลงไม่ได้ ก็ลองตั้งชื่อกันไปมา แต่ไม่ผ่านสักที
AC/DC วงฮาร์ดร็อกระดับตำนานจากประเทศออสเตรเลีย ที่โดดเด่นด้วยดนตรีอันทรงพลังที่มาพร้อมกับาภพจำของ Angus Young มือกีตาร์ในชุดนักเรียนกับกีตาร์ Gibson SG คู่ใจ อีกทั้งยังสร้างผลงานระดับคลาสสิคประดับวงการเพลงร็อกไว้มากมาย ไม่ว่าจะเป็น “Thunderstruck”, “Highwat To Hell”, “Hells Bells” รวมไปถึง “Back In Black” ผลงานที่ริฟฟ์กีตาร์สะกดคนทั้งโลกให้ถวายตัวเป็นสาวก AC/DC มาแล้ว “Back In Black” เป็นผลงานจากอัลบั้มชื่อเดียวกับเพลงนี้ ถูกปล่อยให้ฟังครั้งแรกในเดือนธันวาคม 1980 เพลงนี้เปิดฉากมาด้วยเสียงนิ้วของ Angus Young ดีดลงไปยังเส้นลวดโลหะที่ตรึงอยู่กับกีตาร์ Gibson SG ก่อนจะตามมาด้วยริฟฟ์กีตาร์ที่เล่นได้กระชับแต่เต็มไปด้วยความทรงพลังและมีลูกเล่นที่แพรวพราว แถมมันยังติดหูแบบสุด ๆ ส่วนท่อนอื่น ๆ ในเพลงมีการสับเปลี่ยนริฟฟ์ไปบ้าง แต่โดยรวมคือถูกเรียงมาเป็นแพตเทิร์นเพื่อทำให้เพลงมีความกลมกลืน ส่วนจังหวะพีคของเพลงเป็นซาวด์ของริฟฟ์กีตาร์และท่อนโซโล่ส่งท้ายที่ให้สำเนียงของดนตรีบลูส์ไม่น้อยเลยทีเดียว แต่ซาวด์กีตาร์จะออกมาได้อารมณ์ไม่สมบูรณ์แบบหากไม่มีภาคริธึ่มที่เล่นกันได้อย่างรู้ใจ ส่วนเสียงร้องแหลมแหบแห้งของ Brian Johnson ก็ถ่ายทอดออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม นี่คือผลงานเสียงร้องของเขาชุดแรกกับวง AC/DC อีกด้วย ซึ่งเขาเข้ามาทำหน้าที่แทน Bon Scott นักร้องคนเก่าที่เสียชีวิตไปเมื่อวันที่