นาฬิกาที่สร้างมาสำหรับข้อมือผู้ชายโดยเฉพาะ การร่วมมือที่ใช้เวลาพัฒนานานถึง 3 ปี นี่คือ Panerai x Brabus Submersible S Black Ops Edition PAM01240 ความเท่ขรึมสุดพิเศษที่มีจำกัดเพียง 100 เรือน หลายคนอาจสงสัยที่เห็น Panerai นาฬิกาที่เกิดมาจาก Royal Italian Navy ผู้เชี่ยวชาญทางน้ำ ทำไมถึงมาร่วมงานกับสำนักแต่งรถ Benz จากเยอรมนีอย่าง Brabus ได้ ที่จริงแล้ว Brabus ยังมีเรือ ‘Shadow Black Ops’ ที่ผลิตโดยทีม Brabus Marine division เรือทรงพลังระดับ 450 แรงม้าจากเครื่องยนต์ V8 ความเร็วระดับ 60 knots เป็นเรือความเร็วสูงที่ขึ้นชื่อในหมู่นักเล่นเรือ มีจุดเด่นคือการออกแบบที่สวยงามในโทนสีเทา gunmetal gray และแดง มีการตกแต่งที่หรูหราพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบถ้วน นาฬิการุ่นพิเศษเรือนนี้มีหน้าปัดขนาดใหญ่ 47mm ตัวเคสผลิตจากวัสดุสุดแกร่ง
นับเป็นข่าวดีสำหรับตากล้องสาย mirrorless เมื่อทาง Fujifilm ได้เปิดตัวกล้องไฮเอนด์ระดับพรีเมี่ยม รุ่นใหม่ชื่อว่า ‘GFX50S II’ ที่มาพร้อมกับเลนส์ GF35-70 mm F4.5-5.6 WR ซึ่งตอบโจทย์คนที่ชื่นชอบการถ่ายภาพอย่างจริงจัง เพราะตัวกล้องสามารถให้คุณภาพไฟล์ที่ดีเยี่ยม แถมยังมีขนาดเล็กน้ำหนักเบา ช่วยให้พกพาไปไหนมาไหนได้สะดวกอีกด้วย กล้อง FUJIFILM GFX50S II จะแตกต่างจากกล้อง GFX รุ่นก่อนหน้า คือ ได้รับการปรับปรุงฟังก์ชันการใช้งานให้มีความหลากหลายมากขึ้น มันมีน้ำหนักเบากว่าเดิมเพื่อให้ง่ายต่อการพกพา และยังมีคุณภาพไฟล์ภาพที่เหนือชั้นกว่ากล้อง Full Frame ทั่วไป (More than Full Frame) ตัวกล้องจะประกอบไปด้วย เซ็นเซอร์ที่มีขนาดใหญ่กว่าเซนเซอร์ของกล้อง Full Frame แบบ 35 มม. ถึง 1.7 เท่า ความละเอียดที่สูงถึง 51.4 ล้านพิกเซล ระบบประมวลผล X-Processor 4 และระบบป้องกันการสั่นไหวในบอดี้ 5 แกน สูงสุด
ทุกสิ่งย่อมมีการเปลี่ยนแปลง ไม่เว้นแม้แต่ Harley-Davidson ที่วันนี้ยังต้องหันมาจับตลาดสองล้อภายใต้แบรนด์ Serial 1 Cycle และนี่คือ S1 Mosh/Tribute eletric bike รุ่นล่าสุดที่สร้างจากแรงบันดาลใจต้นแบบ ‘Serial Number One’ มอเตอร์ไซค์ที่เก่าแก่ที่สุดของค่ายจากปี 1903 และดีไซน์ที่ต่อยอดมาจาก prototype แรกสุดที่ Harley-Davidson ใช้เปิดตัวแบรนด์จักรยานไฟฟ้าในช่วงปลายปี 2020 Harley-Davidson S1 Mosh/Tribute จักรยานไฟฟ้า Limited Edition โมเดลแรกของค่าย ที่โดดเด่นด้วยดีไซน์กึ่ง Vintage ผสมผสานความ Modern ออกแบบได้แข็งแกร่งบึกบึนไม่ทิ้งลายเก๋า เฟรมสีดำเงาพิมพ์ตัวอักษรสีทองตัดกับล้อสีขาวสุดเท่สะท้านใจจาก Schwalbe Super Moto-X ซึ่งเป็นยางพิเศษเฉพาะสำหรับ Serial 1 บริเวณ handgrips และเบาะนั่งใช้หนังแท้จาก Brooks England หุ้ม สร้างสัมผัสแบบลูกผู้ชายที่คุ้นเคย ภายในเฟรมบรรจุมอเตอร์ไฟฟ้า 250W จาก Brose ทำความเร็วสูงสุดได้
พลังของการเชื่อมั่นในตัวเอง เป็น Mindset สำคัญที่หลายคนหลงลืมมันไปในยุคที่คนส่วนใหญ่สร้างกรอบทางเดินตามรอยเท้าคนอื่นโดยไม่รู้ตัว หลายคนเลือกจะเป็นเหมือนคนอื่นเพียงเพราะไม่กล้าที่จะเสี่ยง พยายามทำตามความสำเร็จของคนอื่นมากกว่าที่จะกล้าเผชิญกับความท้าทายใหม่ ๆ จนในที่สุดก็หลงลืมความต้องการของตัวเองไปอย่างน่าเสียดาย David Wagoner นักกวีชาวอเมริกันเคยพูดถึงความสำคัญของการฟังเสียงตัวเองในผลงานชื่อ “The Hero with One Face” ที่ผ่านมาพวกเราเติบโตโดยฟังคำแนะนำจากคนรอบข้างมาตลอด เริ่มตั้งแต่ที่บ้าน ที่โรงเรียน ที่ทำงาน เพื่อน แฟน หลายครั้งเราเลือกที่จะทำตามคำแนะนำที่คนอื่นบอกว่าควรจะทำแบบนี้ ควรจะเลือกแบบนั้น มากกว่าเชื่อเสียงในใจของตัวเอง สิ่งเหล่านี้ค่อย ๆ เป็นเบ้าหล่อหลอมให้ตัวเรารู้สึกกลัวที่จะลุยเดินไปข้างหน้าตามที่ตัวเองต้องการ เป็นสาเหตุที่หลายคนเติบโตพร้อมกับความไม่มั่นใจ ไม่รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร ไม่สามารถตัดสินใจเองได้ หรือถึงขั้นไม่เชื่อความรู้สึกลึก ๆ ข้างในของตัวเอง การรับมือกับการไม่เชื่อมั่นในตัวเอง (Self-limiting beliefs) ที่คอยฉุดรั้งไม่ให้เราใช้ชีวิตได้อย่างเต็มที่ เริ่มได้ด้วยการปรับ Mindset ให้เรามีความกล้าที่จะแตกต่าง และเชื่อมั่นในเส้นทางที่เลือก เมื่อถึงเวลาต้องตัดสินใจครั้งสำคัญ เราแนะนำให้ลอง หยุดถามคนรอบข้าง ฟังเสียงตัวเองให้มากขึ้น และกล้าที่จะท้าทายลุยไปมันมันให้ถึงที่สุด ซึ่งเป็นวิธีที่ Richard Madden นักแสดงชายมากฝีมือใช้ในการเดินทางของตัวเอง Richard Madden เชื่อในความสามารถด้านการแสดงและเลือกที่จะทุ่มสุดตัว จากเด็กหนุ่มรูปร่างอ้วน นิสัยขี้อาย
เข้าใกล้โลกอนาคตในอุดมคติของ Mark Zuckerberg ไปอีกก้าว กับการเปิดตัวแว่นตาอัจฉริยะ Smart Glasses ที่ร่วมมือกันพัฒนาระหว่าง Facebook และ Ray-Ban ในชื่อ “Ray-Ban Stories” ความเจ๋งของแว่นตา Ray-Ban Stories ที่ดูจะเท่กว่าอดีต Google Glasses โปรเจคที่โดนพับจากความล้มเหลวไปก่อนหน้านี้หลายปี เพราะนอกจากความสามารถจากเทคโนโลยีสุดล้ำ ด้านดีไซน์ แว่นตาอัจฉริยะรุ่นใหม่เลือกใช้โครงจาก 3 รุ่นดัง Wayfarer, Round และ Meteor แว่นทรงยอดนิยมที่ใครใส่ก็เท่ ที่สำคัญคือฟีเจอร์ที่เพิ่มเข้ามา แว่น Ray-Ban Stories สามารถถ่ายภาพนิ่งและวีดีโอได้ด้วยกล้องความละเอียด 5 Megapixels – high resolution photos (2592×1944 pixels) and quality video (1184×1184 pixels at 30 frames per second) พร้อม
ความสุขของผู้ชายมักมีที่มาจากความสำเร็จในชีวิตของพวกเขา เช่น หน้าที่การงานก้าวหน้า (ได้เลือนขั้น หรือ ธุรกิจประสบความสำเร็จ) ได้ซื้อรถยนต์คันใหม่ หรือ เจอกับเหตุการณ์ที่ทำให้กลายเป็นเศรษฐีในชั่วข้ามคืนอย่างการถูกลอตเตอรี่ เป็นต้น แม้เหตุการณ์เหล่านี้จะทำให้ชีวิตเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ แต่มันก็ไม่ได้ทำให้เรามีความสุขยาวนานเลย นานวันไป ความรู้สึกดีก็ค่อย ๆ ลดลงไปตามกาลเวลา จนสุดท้ายเราก็รู้สึกเฉยชากับมันในที่สุด เราเรียกปรากฎการณ์ที่ความสุขค่อยลดลงตามกาลเวลาว่าเป็น ลู่วิ่งแห่งความสุข (Hedonic Treadmill) Hedonic Treadmill เกิดขึ้นได้อย่างไร ? ในช่วงยุค 1970s สองนักจิตวิทยาที่มีชื่อเสียง ได้แก่ Philip Brickman และ Donald Thomas Campbell ได้แนะนำให้โลกได้รู้จักกับคอนเซ็ปท์ของ Hedonic Adaptation หรือ ความสามารถของมนุษย์ในการปรับตัวให้เข้ากับความสุขที่ตัวเองได้รับ จนรู้สึกไม่ยินดียินร้ายกับมันในที่สุด กล่าวคือ เวลาที่เราเจอกับเหตุการณ์ที่ทำให้หัวใจเราพองโต อารมณ์และความรู้สึกจากเหตุการณ์นั้นจะค่อย ๆ จางหายไป จนสุดท้าย เราจะรู้เฉยชาเหมือนก่อนเกิดเหตุการณ์นั้นในที่สุด สาเหตุที่ทำให้กลไกนี้อยู่คู่กับมนุษย์ อาจเกี่ยวข้องกับการเอาตัวรอด ถ้าเรามีความรู้สึกที่มากเกินไป เช่น ดีใจเกินไป หรือ
เขาเริ่มต้นเส้นทางนักแสดงจากการเป็นนักเต้น เล่นละครเวทีเดอะมิวสิคัล จนก้าวเข้าสู่วงการฮอลลีวูดตั้งแต่ยังวัยกระเตาะ สำหรับ Thomas Stanley Holland หรือ Tom Holland สไปเดอร์แมนหนุ่มร่างเล็ก วัย 25 ปี ซึ่งนอกจากฝีมือการแสดงที่น่าชื่นชมแล้ว เขายังมีสไตล์การแต่งตัวที่ชวนหลงใหล ทั้งเรื่องของสไตล์ที่บ่งบอกความเป็นตัวตน การเลือกสีเครื่องแต่งกายให้แมทช์กันอย่างไร้ที่ติ รวมไปถึงการเลือกทรงผมเผยโครงหน้าที่ดูจะเหมาะเจาะไปซะทุกครั้งที่เขาต้องปรากฎกายต่อหน้าสาธารณะชน วันนี้ Style Guide เราจะเจาะจุดเด่นการเลือกแต่งกายของพ่อหนุ่ม Spider-Man คนนี้กัน เชื่อว่าจะสร้างสไตล์สีสันให้กับผู้ชายร่างเล็กหลาย ๆ คนได้อย่างแน่นอน Tom Holland คือชายที่มีชั้นเชิงในการแต่งกายไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าลีลาการแสดง เขามักจะมีเสื้อตัวนอกที่เป็นส่วนเติมเต็มลุคอยู่เสมอ โดยเฉพาะแจ็คเก็ตโทนหลัก 3 สี ยีนส์ ดำ น้ำตาล ที่ก็แทบจะ finish ได้ทุกลุคของผู้ชายอย่างเรา ๆ แล้ว แจ็คเก็ตสียีนส์ที่มาช่วยคลุมเสื้อยืดสีขาวด้านใน กับกางเกงผ้าลายตารางแบบฉบับหนุ่มอังกฤษยุค 60S’ ดึงดูดสายตาด้วยสนีกเกอร์สีขาว เรียกได้ว่าขยี้ซะลุคนี้ออกมาโคตรคูล ส่วนแจ็คเก็ตดำเข้าตำรา All Black คลุมโทนดำขรึมทั้งลุค หรือบางวันก็หยิบไอเท็มสุดคลาสสิคอย่างเสื้อยืดขาวมาตัดความทะมึน พร้อมกับสวม
แม้จะผ่านทัวร์นาเมนต์ยูโรยุคโควิด 2020 มาได้สักพักแล้ว แต่ถ้าชาว UNLOCKMEN สังเกตดี ๆ จะพบว่ามีอีกหนึ่งควันหลงที่ยังคงไม่จางหาย และได้กลายมาเป็นเทรนด์สุดคูล สำหรับแฟชั่นทรงผมสุดกระแทกตา “Gazza Style 96” ซึ่งมาจากการที่เจ้าหนู Phil Foden ดาวรุ่งทีมชาติอังกฤษ นึกสนุกอยากลองเปลี่ยนลุคก่อนลุยทัวร์นาเมนต์ใหญ่ ประกอบกับทัพ The Three Lions ทะลุไปถึงตำแหน่งรองแชมป์ รวมถึงการที่ Jorginho กองกลางชาวอิตาลีผู้สมหวังจากนัดชิงชนะเลิศกลับมาที่แคมป์สโมสรด้วยลุคที่ใครมองก็ต้องร้องว่า นี่มันแกสซ่าชัดๆ เช่นเดียวกับเพื่อนร่วมทีมวัยเก๋า Thiago Silva ที่ดูวัยรุ่นขึ้นไม่น้อยกับทรงผมใหม่ เหมือนเป็นการสานต่อเทรนด์นี้ เป็นอีกสาเหตุที่ส่งให้แฟชั่นผมสีบลอนด์ติดหัวสไตล์แกสซ่ายิ่งเป็นที่แพร่หลายมากขึ้นในวงการฟุตบอล INSPIRED BY GAZZA STYLE ต้นฉบับความซ่านี้คือ Paul Gascoigne อดีตนักฟุตบอลทีมชาติอังกฤษ เจ้าของฉายา “Gazza” ด้วยลีลา พรสวรรค์ และวีรกรรมสุดแสบ ทำให้เขาเป็นที่กล่าวขานทั้งเรื่องฝีเท้าในสนาม รวมถึงความซ่านอกสนาม เขาเริ่มต้นด้วยการเป็นนักเตะเจ้าเนื้อผมสีน้ำตาลดำธรรมดาๆ จนเริ่มมีชื่อเสียง บวกกับความเป็นขบถลูกหนังตัวเป้ง จึงเริ่มจัดการเปลี่ยนลุคตัวเองในช่วงปี 1995 ผมสั้นเตียนเกือบติดหนังหัว
หากใครเป็นคอหนังภาพยนตร์ไซไฟคงคุ้นเคยกับ ‘ไซบอร์ก’ หรือ สิ่งมีชีวิตที่เกิดขึ้นจากการผสมผสานระหว่างคนและเครื่องจักรเป็นอย่างดี หลายคนน่าจะรู้จักมันเป็นครั้งแรกจากภาพยนตร์สุดคลาสสิก เช่น RoboCop และ Terminator แต่อาจไม่รู้ว่าในโลกเราก็มีมนุษย์ไซบอร์กตัวจริงเหมือนกัน หนึ่งในนั้น คือ Neil Harbisson ชายชาวสเปนผู้เติบโตมาพร้อมกับโรค achromatopsia หรือ ที่เราเรียกว่าภาวะตาบอดสีแบบ 100% เขามองเห็นโลกมีเพียงสีขาวดำมาตลอด จนกระทั่งวันที่เทคโนโลยีกับเขาเริ่มกลายเป็นหนึ่งเดียวกัน กว่าจะมาเป็นไซบอร์ก Neil Harbisson เกิดและเติบโตใน Mataro เมืองชายฝั่งแห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ในบาเซโลน่า ประเทศสเปน เขามีความสามารถด้านดนตรีตั้งแต่เด็ก หลังจากได้เรียนรู้การเล่นเปียโนที่บ้านเกิด เขาก็สามารถแต่งประพันธ์เพลงของตัวเองได้ตั้งแต่อายุเพียง 11 ปี เมื่ออายุได้ 16 ปี เขาได้เรียนวิจิตรศิลป์ (Fine Art) ในสถาบัน Institut Alexandre Satorras และได้รับอนุญาตให้สร้างสรรค์งานศิลปะแบบไม่ใช้สีได้ ผลงานศิลปะในช่วงแรกของชีวิตเขาเป็นสีขาวดำทั้งหมด แต่ชีวิตของ Harbisson ก็ต้องเปลี่ยนไปตลอดกาล เมื่อเขาอายุ 19 ปี และได้ไปศึกษาเรื่องการประพันธ์เพลงที่ Dartington College
ผู้ชายไทยส่วนใหญ่มักไม่ค่อยจะให้ความสนใจในเรื่องของทรงผมกันมากนัก หรือไม่ก็จะทำตัวตามกันไปหมดจนแทบจะแยกไม่ออกว่าใครเป็นใคร เห็นเค้าว่าทรงนี้ดี ทรงนี้กำลังฮิต ก็ทำตามกันโดยไม่ได้รู้ที่มาที่ไป หรือดูความเหมาะสมกับสไตล์ของตัวเอง ซึ่งอย่างที่เราเคยบอกไปหลายครั้งว่าเรื่องของทรงผมนั้น “ไม่มีกฎตายตัว” ไม่มีใครฟันธงได้ว่าแบบไหนถูกหรือผิด ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมเข้ากันระหว่างสไตล์ที่เลือกใช้ กับคาแรคเตอร์ บุคลิก และตัวตนของคุณมากกว่า ขอแค่คุณหาตัวเองจนพบว่าจริง ๆ ชอบอะไร ทำอะไรแล้วรู้สึกมั่นใจ เพราะบางครั้งการทำผมแบบดาราในดวงใจ ผมที่ได้ชื่อฮิตอันดับหนึ่งของโลก ก็ไม่ได้ช่วยให้คุณกลายเป็นคนที่มีสไตล์ดีขึ้นได้ถ้ามันไม่ใช่ตัวตนของคุณ เพื่อเป็นการแนะนำสำหรับคนที่ยังไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไร สไตล์ทรงผมแบบไหนที่เหมาะสมกับตัวเอง เพราะการพัฒนาสไตล์ถือเป็นหนึ่งวิธีที่จะช่วยเสริมสร้างความเป็นตัวเองได้ง่ายที่สุด วันนี้เรามีแนวทางมาช่วยแนะนำผู้ชายทุกคนที่ต้องการจะพัฒนาบุคลิกตัวเองให้ดีที่สุดด้วยการ “Find the right hairstyle for you” PICK THE BEST HAIRSTYLE เติมเต็มสไตล์ของตัวเอง นอกจากเสื้อผ้า เรื่องทรงผมก็สำคัญไม่แพ้กัน เพราะเป็นส่วนสำคัญในการเติมเต็มสไตล์และคาแรคเตอร์ของเราให้สุดทาง สามารถเปลี่ยนแปลงภาพลักษณ์ภายนอกได้อย่างสิ้นเชิง ต่อให้แต่งตัวดีแค่ไหน แต่ถ้าเลือกทรงผมไม่เข้ากับสไตล์และรูปหน้า หรือเซ็ทผมออกมาได้ไม่ดี ก็ทำให้ภาพรวมดูขัดใจได้ง่าย ๆ เหมือนกัน ทรงผมผู้ชายมีให้เลือกหลากหลายสไตล์ แต่ไม่ใช่ว่าเราจะเหมาะกับผมทุกทรง ซึ่งเราแนะนำให้เลือกทรงผมที่ใช่ โดยใช้รูปหน้าเป็นจุดหลักในการช่วยตัดสินใจ จะทำให้ได้ไอเดียช่วยเลือกและจัดแต่งทรงผมได้ง่ายขึ้น รูปทรงไข่ (Oval Face) คือทรงหน้าที่น่าอิจฉา เพราะมีอัตราส่วนค่อนข้างสมบูรณ์แบบ
Audemars Piguet แบรนด์เครื่องบอกเวลาชั้นสูงจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ได้นำเสนอนาฬิการอยัล โอ๊ค ออฟชอร์ 3 โมเดลใหม่ที่พัฒนาจากรุ่นดั้งเดิมในปี 1993 รังสรรค์ด้วยวัสดุที่แตกต่างกัน ได้แก่ สเตนเลส สตีล (Stainless steel) ไทเทเนียม(Titanium) และพิ้งค์โกลด์ 18 กะรัต ถึงแม้จะคงไว้ซึ่งรายละเอียดสำคัญของนาฬิการุ่นดั้งเดิม ทว่าเรือนเวลาขนาดหน้าปัด 42 มิลลิเมตรทั้ง 3 เรือนนี้มาพร้อมกลไกเซลฟ์ไวนด์ดิ้ง ฟลายแบ็ก โครโนกราฟ (Selfwinding Flyback Chronograph) คาลิเบอร์ล่าสุดจากโอเดอมาร์ ปิเกต์ รวมถึงระบบถอดเปลี่ยนสายด้วยตนเองแบบใหม่ อีกทั้งยังมีการปรับดีไซน์หน้าปัดเล็กน้อย พร้อมยังนำฝาหลังแซฟไฟร์กลับมาใช้อีกครั้งเพื่อนำเสนอกลไกโครโนกราฟซึ่งรังสรรค์อย่างประณีต แม้รังสรรค์ขึ้นด้วยแรงบันดาลใจจากนาฬิการอยัล โอ๊ค ออฟชอร์ รุ่นดั้งเดิมจากปี 1993 ทว่านาฬิกา 3 เรือนใหม่ในขนาดหน้าปัด 42 มิลลิเมตร มาพร้อมกลไกเซลฟ์ไวนด์ดิ้ง ฟลายแบ็ก โครโนกราฟใหม่ล่าสุด และระบบถอดเปลี่ยนสายด้วยตนเอง อีกทั้งยังมีการปรับดีไซน์บนหน้าปัดเล็กน้อย การทำงานที่มีประสิทธิภาพมากกว่าที่เคย นาฬิการุ่นรอยัล โอ๊ค ออฟชอร์ใหม่ทั้ง
Audemars Piguet เปิดตัวนาฬิการอยัล โอ๊ค ออฟชอร์ ไดเวอร์ ขนาดหน้าปัด 42 มิลลิเมตรรุ่นใหม่ที่ผลิตจำนวนจำกัดเพียง 300 เรือน เช่นเดียวกับนาฬิการอยัล โอ๊ค ออฟชอร์ ไดเวอร์ 3 โมเดลที่เปิดตัวในช่วงต้นปีที่ผ่านมา นาฬิการุ่นลิมิเต็ดเรือนนี้ขับเคลื่อนด้วยคาลิเบอร์ 4308 ซึ่งเป็นกลไกเซลฟ์ไวนด์ดิ้ง (Selfwinding) ล่าสุดของโอเดอมาร์ ปิเกต์ อีกทั้งยังใช้ระบบถอดเปลี่ยนสายนาฬิกาด้วยตนเอง พร้อมดีไซน์หน้าปัดที่ตอบโจทย์ทุกการผจญภัยครั้งยิ่งใหญ่ไม่ว่าจะบนบกหรือใต้น้ำ กลไกที่พร้อมสำหรับทุกการผจญภัย นาฬิการอยัล โอ๊ค ออฟชอร์ ไดเวอร์ รุ่นลิมิเต็ด อิดิชั่น มาพร้อมกลไกอัตโนมัติแบบล่าสุดของโอเดอมาร์ ปิเกต์ พร้อมการแสดงวินาทีและการแสดงวันที่แบบ Instant-Jump คาลิเบอร์ 4308 ถูกติดตั้งพร้อมกลไกที่ช่วยมอบเสถียรภาพและความแม่นยำเมื่อปรับฟังก์ชันของนาฬิกา สเกลเวลาการดำน้ำที่แสดงอยู่บนวงแหวนด้านในที่สามารถหมุนได้ของหน้าปัดสามารถเปิดใช้งานด้วยกลไกการคลิกแบบทิศทางเดียวที่ถูกติดตั้งให้เชื่อมกับเม็ดมะยมตรงที่ตำแหน่ง 10 นาฬิกา ฝาหลังแซฟไฟร์เผยให้เห็นเทคนิคการตกแต่งสุดประณีตของคาลิเบอร์ 4308 ไม่ว่าจะเป็นลาย โกตส์ เดอ เฌอแนฟ (Côtes de Genève) เทคนิคเทรตส์ ทิเรส์