เมื่ออุปสรรควิ่งเข้าใส่ คนส่วนใหญ่หมดเวลากับการวิ่งหนีมัน ซึ่งถ้าหลบหลีกสำเร็จสิ่งที่เราได้กลับมาก็มีแค่ความโล่งใจที่รอดเรื่องนี้ไปได้แบบจวนตัวครั้งต่อครั้ง พอเจอกำแพงแห่งใหม่เราก็ต้องวิ่งหลบมันไปเรื่อย ๆ แม้ไม่เจ็บตัวแต่ก็ไม่ได้อะไรกลับมา แต่ UNLOCKMEN อยากให้คุณลองเผชิญหน้ากับกำแพงสักครั้ง เดินเข้าไปจ้องตากับปัญหาตรง ๆ แล้วเราจะรู้ว่าเส้นทางที่ดูเหมือน “ตัน” มันมีรางวัลที่ไม่สามารถซื้อขายได้จากที่ไหน ซึ่งจะเป็นสเตปสร้างคนตัวเล็กอย่างเราให้กลายเป็นคนยิ่งใหญ่เหนือคนอื่น! UNLOCKMEN ขอแนะนำ 5 อุปสรรคที่คุณต้องยิ้มรับและวิ่งเข้าชาร์ตเมื่อเจอมันไม่ว่ามันจะน่ากลัวขนาดไหน เพราะเมื่อคุณเอาชนะมันได้มันจะตอบแทนคุณด้วยผลลัพธ์เกินคาด อุปสรรคแห่ง “ความห่วย” ปัญหาแรกที่เราทุกคนต้องเจอคือ “ความห่วย” ยอมรับกันตรง ๆ ว่าเราทุกคนไม่ได้เก่งไปทุกอย่าง อย่างที่มีคนบอกไว้ว่าคนเก่งวิทย์อาจจะไม่เก่งภาษา แต่ถามว่าคนที่เก่งทั้ง 2 อย่างมีไหม มันก็มี ซึ่งเขาอาจจะไม่ได้เก่งมาตั้งแต่เกิด แต่เมื่อเจอปัญหาเรื่องทักษะไม่ถึง ก็แค่ปรับมุมมองมาตั้งหลักความคิดเชิงรุก วันนี้กูไม่เก่ง คำตอบมันง่ายมาก “มึงก็แค่ต้องทำให้ตัวเองเก่ง” ดังนั้น การเข้าคอร์สหรือแบ่งเวลาไปพัฒนาตัวเองตั้งแต่วันนี้จะดีกว่า เพราะสิ่งที่ได้กลับมามันไม่ใช่แค่ทักษะแต่เป็นโอกาสในการใช้ชีวิต งานที่ดี และการมีคุณภาพชีวิตที่ดี อุปสรรคแห่ง “ความยาก” ความยากมันเหมือนยาขม หลายคนรู้ว่างานหรือสิ่งที่กำลังทำอยู่ ทำให้มันพ้น ๆ ไป มันได้ผลดีเหมือนกัน แต่ถ้าเติมความยุ่งยากอีกหน่อย ผลลัพธ์มันจะดีกว่าเดิมเยอะ
“งานโคตรยุ่งเลยว่ะ ไม่มีเวลาทำอย่างอื่นเลย” นี่เป็นข้ออ้างอันดับต้น ๆ ของผู้ชายที่ Work Hard Play Hard ซึ่งข้ออ้างง่าย ๆ นี้ทำให้เราพลาดอะไรหลายต่อหลายอย่างในชีวิตแบบไม่รู้ตัว เราพลาดเวลาออกกำลังกายเพื่อสุขภาพที่ดี เราพลาดเวลาไปเฮฮากับเพื่อนฝูงเพื่อความสัมพันธ์ที่ดี เราพลาดเวลาทำสิ่งที่เราชอบเพื่อเติมเต็มความฝัน เราพลาดแทบทุกอย่างในชีวิตเพียงเพราะคำว่า “ไม่มีเวลา” เคยถามตัวเองบ้างไหมว่าที่ “ไม่มีเวลา” จริง ๆ หรือเราแค่ตัดโอกาสตัวเองออกจากสิ่งต่าง ๆ อย่างคนขี้แพ้กันแน่? UNLOCKMEN บอกได้เลยว่าหลังจากที่อ่านเรื่องราวการจัดสรรเวลา“กฎ 168 ชั่วโมงต่ออาทิตย์” นี้จบ เราจะมอง “เวลาในชีวิต” ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ประหยัดเวลาเพื่อมีเวลา? Laura Vanderkam คือนักเขียนผู้เชี่ยวชาญเรื่องการบริหารเวลา เรื่องราวของเธอโคตรน่าสนใจ ตอนแรกเธอก็ดั้นด้นพยายามหาเวลาเพิ่มเหมือนเรา ๆ ทุกคนนี่แหละ โดยทริคที่เธอสนใจก็คือการประหยัดเวลาเพื่อเพิ่มเวลา สมมติว่าเราซื้ออาหารสำเร็จรูปมาอุ่นแล้วมันเขียนว่าอุ่น 3-4 นาที เราก็อุ่นมันแค่ 3 นาที เพื่อประหยัดเวลา 1 นาทีไว้ไปทำอย่างอื่น หรือถ้าเราติดละครสักเรื่องแทนที่จะดูมันฉายทางโทรทัศน์สด ๆ เราก็ดูย้อนหลังแทน เพราะจะประหยัดเวลาที่ต้องเสียไปกับการดูโฆษณาได้รวม ๆ
ไม่มีใครที่ต้องการให้งานล่ามขาตลอดเวลา เพื่อน ๆ ชาว UNLOCKMEN ส่วนใหญ่เองก็คิดว่าการผูกชีวิตกว่า 8 ชั่วโมงไว้ในออฟฟิศมันไร้อิสรภาพและไร้สาระสิ้นดี เราเองก็เห็นด้วยเพราะมันมีการบริหารเวลาที่ได้ผลและได้งานมากกว่าอย่างที่เราเคยบอกไว้ แต่นั่นมันเป็นปัญหาเฉพาะเรื่องเวลา อย่าเพิ่งเอามันมาเหมารวมกับการปรับเปลี่ยนสถานที่ทำงานขวัญใจมหาชนของคนยุคนี้ตามคำยอดฮิตว่า “ทำงานที่ไหนก็ได้” หรือการไม่เข้าออฟฟิศแล้วทำงานจากที่บ้านนั่นล่ะ เพราะแม้จะมีคนออกมาบอกข้อดีจำนวนมหาศาล อย่างการแอบงีบเพิ่มพลังตอนไหนก็ได้ เลือกเวลาทำงานได้ ไม่ต้องเดินทาง ลดความเครียด ฯลฯ แต่ความจริงมันอาจเป็นเพียงการนำเสนอข้อมูลด้านเดียว เพราะนักวิจัยจากองค์การแรงงานระหว่างประเทศองค์การสหประชาชาติ (UN’s International Labour Organisation) เขาออกมาเผยผลวิจัยแล้วว่าด้านเสียของมันก็มีนะนาย “ชักน้ำเข้าลึก ชักศึกเข้าบ้าน” น่าจะเป็นคำอธิบายได้ดีที่สุด เพราะด้านเสียที่ ILO ออกมาบอกมันคือ “การนอนไม่หลับและการเพิ่มระดับความเครียด” หรือไอ้สิ่งที่พวกเราเพิ่งบอกไปว่าจะทำเพื่อหนีมันทุกวิถีทาง โดยได้จากผลจากศึกษาจากพฤติกรรมของมนุษย์ทำงานที่บ้าน 15 ประเทศ ได้แก่ สหราชอาณาจักร, เบลเยี่ยม, ฝรั่งเศส, ฟินแลนด์, เยอรมนี, ฮังการี, อิตาลี, เนเธอร์แลนด์, สเปน, สวีเดน, อาเจนตินา, บราซิล, อินเดีย, ญี่ปุ่น และอเมริกา แบ่งเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่
ที่ทำงานของคุณเป็นยังไงบ้าง ? พอเจอคำถามนี้เข้าไป ลองมองไปรอบ ๆ ตัวไม่ว่าจะเป็นบรรยากาศ การเดินทาง เพื่อนร่วมงาน และหัวหน้า หากคุณรู้สึกไม่โอเคกับสักสิ่ง ก็เป็นสัญญานว่าเริ่มใช้ชีวิตการทำงานลำบากมากขึ้นแล้วล่ะ หากเป็นสภาพแวดล้อมก็ยังพอทนไหว แต่สำหรับคนรอบตัวในที่ทำงานนี่สิที่ยาก จะบอกว่าไม่ต้องสนใจสิวะ! ทำงานของเราไป แต่ถ้าคนนั้นเป็น “เจ้านาย” ล่ะ ? เราคงช่างมันไม่ได้หรอกนะ จะมีปัญหากับใครก็ได้ แต่จะมีปัญหากับเจ้านายไม่ได้! UNLOCKMEN จะช่วยหาทางออกให้สำหรับคนที่เตรียมจะงัดกับหัวหน้าอยู่หลายระลอก ลองสันติวิธีที่ไม่ต้องงัดกันให้เสียความสัมพันธ์กันดีกว่า สังเกตท่าที คุณอาจยังไม่แน่ใจว่าตกลงบอสคิดยังไงกันแน่ ลองสังเกตสิ่งเหล่านี้ดู ด้วยวุฒิภาวะของความเป็นหัวหน้าคงไม่มีใครบอกกันโต้ง ๆ ว่า “เฮ้ย ! ไม่ชอบขี้หน้าคุณเลยว่ะ” แต่อาจจะแสดงออกด้วยท่าทีอย่างอื่นแทน ไม่ว่าจะเป็นภาษากายอย่างสายตา ท่าทาง หรือจะเป็นคำพูด ที่เป็นอะไรที่ดูออกง่ายกว่าพอสมควร ถ้าใครไม่ถูกชะตากับเรา และยิ่งถ้าเป็นหัวหน้า งานในมือคุณก็จะถูกเพ่งเล็งเป็นพิเศษ ลองสังเกตคำพูดประเภท “อย่าลืมนะ ว่าต้องทำนี่ นี่ แล้วค่อยไปนี่” “คุณลองทำแบบนั้นดีกว่ามั้ย?” ถ้าหากคุณรู้สึกว่าถูกเพ่งเล็งนั่นหมายความว่าคุณอาจไม่ได้รับความไว้วางใจให้ทำงานนั้นมากพอ แล้วมาดูวิธีรับมือในข้อต่อไป แสดงความกระตือรือร้น ทุกครั้งที่มีการเริ่มโปรเจกต์ใหม่ แสดงให้บอสเห็นว่าคุณเตรียมตัวมาบ้างแล้ว ทำเท่าที่ทำได้แบบเป็นธรรมชาติของคุณ ไม่จำเป็นต้องมาแน่นปึ้ก 100%
ชีวิตวัยทำงานอยู่ในลูปเดิม ๆ ตื่น ทำงาน กลับบ้าน นอน ฟังดูอาจจะน่าเบื่อแต่ถ้าหากเรามีความสุขกับงานที่ทำ สภาพแวดล้อมดี เพื่อนดี เจ้านายดี ถือว่าเราโชคดีไปที่ไม่มีอะไรมาทำให้ลูปเดิมที่ต้องเจอไปอีกแสนนานมันน่าเบื่อขึ้นมา แต่ความเป็นจริงทุกคนไม่ได้โชคดีแบบนั้น อาจเจอเพื่อนไม่ดีบ้าง เจ้านายไม่ดีบ้าง หรือแม้แต่งานที่ทำเองก็เถอะ จะพาให้หมดไฟ หมดใจ กันไปแบบง่าย ๆ ถ้าหากคุณเป็นหนึ่งในนั้น แต่ยังไม่อยากถอดใจ อยากหาทางออกให้ตัวเองแบบไม่กระทบคนอื่น วันนี้ UNLOCKMEN ขอแนะนำเทคนิคดี ๆ ให้เราเปลี่ยนโต๊ะทำงานให้เหมือนนั่งทำงานที่บ้าน ไหน ๆ ก็เปลี่ยนคนอื่นมันยากนัก จะเปลี่ยนตัวเองก็ยากกว่า เปลี่ยนโต๊ะแม่งนี่แหละ ง่ายสุด ไม่มีปากมีเสียงด้วย หามุมสีเขียวไว้พักสายตา มุมสีเขียวสักมุมให้เราได้รู้สึกใกล้ชิดธรรมชาติมากขึ้น จะได้หายใจหายคอได้แบบโล่งขึ้นมาหน่อย พักสายตาล้า ๆ จากจอคอมพ์ฯย้ายมาที่มุมผ่อนคลายของเรา จะได้เยียวยาทั้งสายตาทั้งอารมณ์ ถ้าหากการเอาต้นไม้จิ๋ว ๆ มาวางมันดูจะเป็นเรื่องใหญ่เกินไป ขี้เกียจรดน้ำ ดินหก มดขึ้น เราขอแนะนำ สวนในโหลแก้ว ที่เดี๋ยวนี้มีชุด kit ให้เราได้ตกแต่งเองตามสไตล์แบบง่าย ๆ และ หญ้าเทียมสติกเกอร์ มีขายตามร้านเครื่องเขียน ที่เอาไว้ใช้ในงานโมเดลอาคาร
สมัครเข้าบริษัทไหน ๆ เขาก็ยืนยันชัดเจนว่าเวลาทำงานต้อง 8 ชัวโมงเป๊ะ บวกกับเวลาพักกินข้าว 1 ชั่วโมง เท่ากับ 9 ชั่วโมงทำงานและพักที่ผู้ชายอย่างเราต้องใช้ไป แต่เคยสงสัยไหมว่าไอ้วิธีการทำงานด้วยสัดส่วนแบบนี้มันเวิร์คจริง ๆ หรือ? มันทำให้ประสิทธิภาพการทำงานพุ่งกระฉูดได้สุดจริงหรือเปล่า? UNLOCKMEN ประกาศตรงนี้เลยแล้วกันว่า “ไม่จริง!” แล้วมันต้องทำงานแบบไหนที่ผู้ชายอย่างเราจะได้งานอย่างจริงจัง? วิธีคิดเรื่องการทำงาน 8 ชั่วโมงต่อวันไม่ใช่แค่เป็นความคิดสุดล้าสมัย (ที่ใคร ๆ ก็ยังใช้อยู่) แต่ยังไม่ได้ผลการทำงานอย่างเต็มที่อีกด้วย แต่ถ้าเราสงสัยว่า “อ้าว ถ้ามันไม่เวิร์คแล้วมันมีที่มาจากไหนล่ะ?” คำตอบที่จะมอบให้ก็ต้องย้อนกลับไปตั้งแต่สมัยปฏิวัติอุตสาหกรรมช่วง ค.ศ. 1750 ถึง ค.ศ. 1850 นู่นเลย กฎการทำงาน 8 ชั่วโมง ถูกกำหนดขึ้นมาเนื่องจาก แรงงานในโรงงานต้องทำงานห่ามรุ่งหามค่ำอย่างไม่เป็นธรรม การทำงาน 8 ชั่วโมงจึงถูกกำหนดขึ้นมาเพื่อกำหนดการทำงานอย่างมีมนุษยธรรมมากขึ้น แต่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพในปัจจุบันแต่อย่างใด พูดง่าย ๆ ว่าวิธีการทำงานที่คิดขึ้นเมื่อ 2-3 ร้อยปีก่อน นอกจากมันจะไม่เวิร์คแล้ว มันยังฉุดรั้งการทำงานของเราอีกด้วย โดยการศึกษาของบริษัท Draugiem Group
บทความนี้สร้างสรรค์ขึ้นให้กับคนที่ท่อความคิดกำลังตันกระจุกเป็นคอขวดเหมือนการจราจรช่วง prime time แต่เจ้านายดัน assign มาให้ช่วยคิดให้หน่อยเพราะหวังพึ่งความครีเอทของพวกเรา หรือบรรดาฟรีแลนซ์ทั้งหลายที่ลูกค้าแสนดีมีบรีฟแน่นแล้วอยากให้คุณช่วยแปลงบรีฟให้ออกมาเป็นเรื่องเฉียบเหมือนไม่เคยปรากฏมาก่อนในจักรวาลแห่งนี้ ไม่ต้องไปบนบานศาลกล่าวที่ไหน เพราะเราเอามาแบ่งแล้วที่นี่ แต่ก่อนอื่นอธิบายหลักการก่อน ว่าทำไมความคิดตันมันสร้างได้ งานนี้เราไม่ได้มโนขึ้นมาแต่มีวิทยาศาสตร์มารองรับ เขาบอกว่าจริง ๆ แล้วเบื้องหลังความคิดสร้างสรรค์ของเรามันมีที่มา สมองของเราจะมีคลื่นสมองสำหรับสร้างไอเดียที่มีชื่อว่า “Theta wave” (ความถี่ระหว่าง 4 – 7.9 Hz) เป็นคลื่นความถี่ต่ำที่ช่วยสร้างความคิดสร้างสรรค์ เพราะฉะนั้น 4 วิธีที่เราเอามาฝากต่อไปนี้มันก็คือวิธีปลุกขุมพลังสร้างคลื่นความถี่ตัวนี้นั่นเอง 1. ใช้สมอง นั่งสมาธิ วิถีของอิคคิวซังในการ์ตูนมันไม่ใช่เรื่องหลอก การนั่งสมาธิมันจะนำเราไปสู่การสร้าง Theta State ซึ่งพาเราเข้าไปเชื่อมถึงจิตใต้สำนึก แล้วการนั่งสมาธิหรือการตั้งจิตให้เกิดสมาธิมันก็เป็นกิจกรรมที่เราทำได้ทุกที่ ไม่ว่าจะเป็นที่บ้านหรือที่ทำงาน ถามว่าเราจะเชื่อมจิตใต้สำนึกไปเพื่ออะไร ก็เพื่อไปค้นไอเดียไง ไอเดียมันซ่อนอยู่ในนั้น แต่แทคติกนี้บอกก่อนว่ามันจะใช้ไม่ได้ถ้าเราเครียด หรือจิตไม่สงบเอาเสียเลย คำเตือนคือข้อนี้ทำงานแบบไก่กับไข่ ว่าง่าย ๆ คือไม่ร้อนรน ปล่อยชิล เดี๋ยวก็ได้ไอเดีย แต่ถ้าใครรู้ตัวว่าฝึกจิตให้ทำงานทันใจไม่ได้ ยิ่งตั้งสมาธิยิ่งชิบหาย แล้วกูก็รีบเหลือเกิน แอบไปฝึกวิธีนี้ที่บ้านตอนว่าง ๆ ให้ชิน
เมื่อช่วงที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสไปงานรับปริญญาน้องชายของตัวเอง พอเห็นบรรยากาศแห่งความยินดี ช่อดอกไม้ รอยยิ้มของเพื่อนและคนที่มาแสดงความชื่นชม ก็แอบคิดไม่ได้ว่า ตัวผมก็ผ่านบรรยากาศแบบนี้มา 7 ปีกว่าแล้ว (นั่งนับผมหงอกของตัวเอง) ผมยังจำความรู้สึกในวันรับปริญญาของตัวเองได้ดี ผมคิดว่าตัวเองประสบความสำเร็จในชีวิตไปอีกก้าวหนึ่ง โดยไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจว่าโลกใบใหม่ โลกของความเป็นผู้ใหญ่ โลกของวัยทำงานที่กำลังจะเข้ามา มันจะแตกต่างจากเดิมจากหน้ามือเป็นหลังมือ เล่าเรื่องยาวให้เป็นเรื่องสั้น 7 ปีกว่าที่ผ่านมา โลกแห่งการทำงานมันให้บทเรียนดีๆหลายๆอย่างที่ประเมินค่าไม่ได้กับผม ซึ่งผมว่ามันคงจะดี ถ้ามีคนมาเล่าไอ้เรื่องแบบนี้ให้ผมฟังตั้งแต่แรก เมื่อคิดแบบนี้ เลยรู้สึกว่า เออ งั้นก็เอามันออกมาเล่าให้คนอื่นฟังเลยแล้วกัน จะได้ไม่มีคนมานั่งเสียดายเหมือนผมว่า “น่าจะรู้เรื่องนี้ตั้งแต่แรก” ซึ่งผมเชื่อมั่นว่าบทเรียนนี้จะช่วยประหยัดเวลาชีวิตและเปิดมุมมองใหม่ๆให้กับคุณได้ไม่มากก็น้อยอย่างแน่นอน ลองไปอ่านกันดู อย่าเลือกงานจากความสามารถที่ตัวเองมี แต่ให้เลือกจากความสามารถที่ตัวเองอยากจะมี ความรู้ที่ได้จากการเรียนไม่เคยเพียงพอต่อการทำงานจริง ในเมื่อมันไม่พออยู่แล้ว จะมีประโยชน์อะไรที่จะเลือกงานจากความสามารถที่ตัวเองมี นื่คือสาเหตุที่คุณควรเลือกงานที่จะช่วยฝึกคุณให้สร้างความสามารถเพิ่มในแบบที่คุณอยากได้แทน จงเข้าใจว่าเงินไม่ใช่ปัจจัยสำคัญที่สุดในตอนเริ่มต้น (ถ้าคุณยังไม่ต้องรับผิดชอบชีวิตของใครหลายคนน่ะนะ) อย่าเลือกงานที่ให้เงินเยอะกว่า จงเลือกงานที่ให้ความสามารถที่ตัวเองต้องการมากกว่า เมื่อมีความสามารถ เงินจะตามมาเอง Passion เป็นเพียงส่วนประกอบหนึ่งของความก้าวหน้าเท่านั้น งานที่เติมเต็มชีวิตต้องประกอบด้วย งานที่คุณอยากทำ + งานที่คุณทำได้ดี + งานที่สร้างประโยชน์ให้ผู้อื่น + งานที่สร้างรายได้ให้เพียงพอกับที่คุณต้องการ ไม่มีความฝัน ความสำเร็จของใครที่เหมือนกัน คุยกับตัวเองให้ดีๆ
หนึ่งในสิ่งที่น่ากลัวที่สุดในการเริ่มต้นทำงานที่ใหม่ก็คือ ‘เจ้านาย’ ซึ่งส่วนใหญ่เรามักจะไม่ค่อยรู้ว่าหัวหน้าคนใหม่ของเราจะมาในสไตล์ไหนแม้จะเจอกันแล้วตอนสัมภาษณ์ หรือมีคนบอกให้ฟังแล้วคร่าว ๆ แล้วก็ตาม แต่สุดท้ายเราคงต้องรอวันที่ได้ทำงานกับ boss คนนี้ถึงจะรู้ว่าเป็นอย่างไร คนที่เจอเจ้านายดี ๆ ก็ถือว่าได้ประสบการณ์ดี ๆ ที่มาพร้อมกับความรู้ หลายคนก็หดหู่เหลือเกินที่ต้องทนกับหัวหน้าฟีลแย่จนตัดสินใจลาออก แถมมีโอกาสซวยซ้ำซ้อนเหมือนกันกับออฟฟิศใหม่ แต่เราอยากจะบอกว่าไม่มีใครเพอร์เฟ็คต์หรอก ทุกคนมีข้อดีข้อเสีย วันหนึ่งหากคุณรู้สึกกังขากับ boss ของคุณขึ้นมา อย่าเพิ่งด่วนตัดสินใจ ลองสังเกตุดูว่าเขามีคุณสมบัติ 5 ข้อนี้หรือไม่ ถ้ามีครบถ้วน อย่าทิ้งเขาไปเลยครับ อยู่รบเคียงบ่าเคียงไหล่กับหัวหน้าคนนี้จนสุดทางเลยดีกว่า 1.มีศิลปะในการฟัง Peter Drucker ผู้ถูกยกย่องให้เป็นบิดาแห่งการบริหารยุคใหม่ชาวอเมริกันผู้ล่วงลับเคยกล่าวไว้ว่า “สิ่งที่สำคัญที่สุดในการสื่อสารก็คือการได้ยินในสิ่งที่ผู้อื่นไม่ได้พูด” การสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพไม่ใช่แค่การพูดเก่งเท่านั้น ถ้าหัวหน้าของคุณเป็นโคตรผู้ฟังที่ดี มีศิลปะในการปกครอง คอยซักถามถึงสิ่งที่ลูกน้องต้องการเสมอ รวมถึงมีความสามารถในการหยั่งรู้และเข้าใจสิ่งที่ซ่อนอยู่ภายในใจผู้อื่นแล้วหละก็ ถือว่าคุณโชคดีมาก ๆ ผู้นำคนไหนที่ใส่ใจฟังเสียงจากใจของลูกน้องก็จะสร้างความเชื่อใจและเรียกความภักดีได้ไม่ยาก 2.เป็นโค้ชที่ยอดเยี่ยม ทุกวันนี้ความสามารถในการ coaching ถือเป็นคุณสมบัติที่จำเป็นของผู้นำในบรรดาองค์กรที่มีความก้าวหน้ามากที่สุด ถ้าหัวหน้าของคุณอุทิศเวลาในการสอนงานและให้คำปรึกษาเรื่องชีวิตกับคุณ รวมถึงเป็นผู้นำที่ดีในการหาทิศทางการทำงาน ประเมินประสิทธิภาพได้เที่ยงตรง และเติมเต็มความสำเร็จให้กับภารกิจต่าง ๆ ให้กับองค์กรได้ แบบนี้ยินดีด้วยครับ ยิ่งหากถ้าคุณเป็นหนุ่ม Millennials
ธรรมดามากกับสถานการณ์นั่งคุยกันมาเป็นชั่วโมง ๆ จับไม่ได้เลยว่าคนนั่งตรงข้ามพูดอะไรบ้าง เพราะออกทะเลเก่งเหลือเกิน หรือรู้จักกันมาก็นาน แต่ไม่เห็นเคยรู้ว่าคน ๆ นั้นเป็นคนยังไงกันแน่ ควรเลิกคบหรือคุยต่อ หรือจะเอายังไงกับมันดี ใครที่นั่งอยู่กับเพื่อนข้าง ๆ แล้วอยากรู้นักว่าแม่งมีดีแค่ไหนเก็บไว้ เราเอาเคล็ดลับคำถามจาก David Burkus นักเขียนและนักทอล์ก Ted ในหัวข้อที่น่าสนใจอย่าง Why you should know how much your coworkers get paid? หรือทำไมเราถึงควรจะรู้ว่าเพื่อนที่นั่งข้าง ๆ ในที่ทำงานได้เงินเดือนเท่าไหร่ (อันนี้ไม่เกี่ยวให้ถือว่าเป็นน้ำจิ้มให้ได้ลองเห็นหน้าค่าตาของเขาไว้) มาแบ่งปันกัน คำถาม 4 ใน 7 ข้อนี้ไล่จากบนลงล่างเป็นของ David Burkus ส่วนอีก 3 ข้อเลือกมาจากแหล่งอื่นที่แม้ว่าจุดประสงค์จะใช้โชว์ความเด็ดเรื่องยุทธศาสตร์หรือวิเคราะห์กึ๋นของคนเข้าทำงาน แต่ UNLOCKMEN มองว่ามันเอามาประยุกต์ใช้ได้หมดแหละ เพราะคำถามที่มันไม่ push หรือกดดันให้ฝั่งตรงข้ามต้องมาอึดอัด มันเหมาะจะใช้ถามได้ทั้งหมดเพื่อให้เราได้มาในสิ่งที่ต้องการคือ ความลับที่ซ่อนในหัวของเขาล้วน ๆ ช่วงนี้มีอะไรทำให้นายตื่นเต้นบ้างไหม
ขึ้นชื่อว่า “ความสำเร็จ” มันก็ได้มาโคตรยากจนเลือดตาแทบกระเด็นอยู่แล้ว แต่ว่ากันว่าทันทีที่เท้าก้าวขึ้นไปแตะยอดเขาแห่งความสำเร็จเมื่อไหร่เป็นต้องหนาวยะเยือกไปถึงกระดูกสันหลังเมื่อนั้น สมกับที่เขาว่ากันว่า “ยิ่งสูงยิ่งหนาว” เพื่อนที่เคยร่วมทางมาด้วยกันก็ห่างหาย ไหนจะใครต่อใครที่ต่างกังขาว่าเราสำเร็จมาได้อย่างไร หรืออย่างร้ายที่สุดในชีวิตลูกผู้ชายคือการต้องรับมือกับความอิจฉาจากบรรดาลูกผู้ชายด้วยกันเอง ก่อนจะหดหู่จนไม่อยากก้าวเท้าสู่ความสำเร็จมากไปกว่านี้ UNLOCKMEN อยากเสนอแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ให้ เพราะไม่ว่าอะไรก็ต้องมีหวัง วิธีการรับมือกับความสำเร็จก็เช่นกัน และนี่คือ “5 วิธีอยู่กับความสำเร็จที่ได้มาให้ได้” แม้จะยากแค่ไหนก็ต้องสู้ หนีไปจากคอมฟอร์ตโซนซะ! ความสำเร็จมันก็น่ากลัวสำหรับบางคนเหมือนกัน เพราะบางทีมันก็ทำให้เรารู้สึกว่า “เฮ้ย กูสำเร็จแล้วว่ะ กูพอแล้วดีกว่า” หรือไม่ก็ “อุตส่าห์เหนื่อยมาตั้งนานของพักอยู่เฉย ๆ แล้วกัน” เพราะความสำเร็จทำให้เราเหนื่อยหรือรู้สึกว่าเรามาถึงจุดสูงสุดแล้ว เราจึงมักไม่อยากเปลี่ยนแปลงอะไร อยากอยู่กับที่เพราะคิดว่าของเดิมก็ดีอยู่แล้ว แต่ความจริงการออกจากคอมฟอร์ตโซน การลองอะไรใหม่ ๆ ต่างหากที่จะทำให้คุณอยู่รอดได้บนหนทางแห่งความสำเร็จต่อไป มันจะสอนให้คุณเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ เรียนรู้ที่จะผิดพลาดอยู่เรื่อย ๆ และการผิดพลาดอยู่เรื่อย ๆ จะทำให้เราเป็นคนเปิดกว้าง นอบน้อม รับฟังคนอื่นที่แม้ไม่สำเร็จเท่าคุณแต่คุณก็ใจกว้างพอจะเปิดรับเขา เป็นเมนเทอร์ให้คนรุ่นใหม่ ๆ การแบกรับความสำเร็จอยู่บนสองบ่าย่อมถูกคาดหวังว่าต้องแบ่งปันทริค แบ่งปันไอเดียที่จะเป็นหนทางสู่ความสำเร็จไปสู่คนอื่นเป็นธรรมดา เราก็แนะนำว่าทำอย่างนั้นแหละถูกต้องแล้วเพื่อน! นอกจากความคูลแล้ว การเป็นเมนเทอร์ผู้อื่นยังทำให้เราได้ทบทวนตัวเอง ทบทวนหนทางที่ผ่านมา และยังได้ความคิดเห็นเฟรช ๆ ใหม่
ชีวิตทำงานของผู้ชายอย่างเราคงไม่ได้ราบรื่นเสมอไป กว่าจะกลายเป็นสุดยอดคนทำงานก็คงต้องฝ่าฟันมหากาพย์อุปสรรคที่ถาโถมเข้ามา อย่างที่เขาว่ากันว่า “ยอดนักรบย่อมมีบาดแผล” และหนึ่งในบาดแผลฉกรรจ์ที่บางท่านเคยเจอมาก็คือการ “โดนไล่ออก” ที่สร้างดาเมจรุนแรงเหลือเกิน เพราะมันกระทบกับหลายแง่มุมในชีวิต ทั้งรายได้ โปรไฟล์ ความมั่นใจ รวมถึงอนาคต ผลสำรวจจาก CareerBuilder และ SHRM บอกกับเราว่า นอกจากสาเหตุสุดคลาสสิคที่ทำให้มนุย์เงินเดือนโดนไล่ออกอย่าง ทำลายทรัพย์สินบริษัท, ใช้ยาเสพติดจนส่งผลกระทบกับงาน, ละเมิดกฎบริษัท, ทุจริต, ทำงานไร้ประสิทธิภาพ และความซวย ยังมีเหตุผลอื่น ๆ ที่ทำให้อาจโดนเด้งได้อีก เช่น โดนจับได้ว่าที่ลาป่วยไปไม่ได้ป่วยจริง, ใช้อินเตอร์เน็ตในออฟฟิศทำอย่างอื่นที่ไม่ใช่เรื่องงาน, ไม่ตรงต่อเวลาเป็นประจำ, การโพสต์บนโซเชียลเน็ตเวิร์กที่ไม่เหมาะสม ไม่ก็หายใจทิ้งบ่อย ๆ และสร้างความรำคาญขั้นสุดให้กับเพื่อนร่วมงาน SOURCE เอาเป็นว่าไม่ว่าจะเหตุผลอะไรก็ตาม การโดนไล่ออกมันก็คือความเจ็บปวด มันเป็นบาดแผลลึก แต่มันก็ไม่ถึงตาย ฮึดหน่อยพ่อหนุ่ม ทีมงาน UNLOCKMEN มีวิธีการรับมือกับการโดนซองขาวทุกขั้นตอนมาแนะนำ ตั้งแต่ได้ยินคำว่า “คุณโดนไล่ออก!” จนถึงช่วงแห่งการเยียวยา และฟื้นคืนชีพเข้าสู่โลกการทำงานอีกครั้ง เราเชื่อว่าไม่มีใครควรโชคร้ายแบบนี้ แต่ถ้ามันเกิดขึ้นจริง ๆ จะได้มีทางลุยต่อ โดนไล่ออกแล้วโว้ย ! ทำไงดีฟะ ?