แด่ปีหมา 2018 ปีที่ใคร ๆ ก็จะมาแย่งงานกู เด็กจบใหม่เจ๋ง ๆ ว่าเยอะแล้ว AI ก็ยังเก่งกว่ากูด้วย ชาว UNLOCKMEN ทั้งหลายถึงเวลาแล้วที่พวกเราจะลุกขึ้นสู้เพื่อคว้างานที่ใช่มาให้ได้ หรือถ้ายังทำงานที่เดิมไม่ย้ายไปไหนพวกเราก็ยังต้องสู้ต่อไปอีกเพราะปัญหามันจะดาหน้าเข้ามาอีกเพียบ ทว่าก่อนจะสู้ ขุดความสามารถมาใช้ให้หมดแม็กซ์ เราต้องรู้ด้วยว่าศึกหางานครั้งนี้อะไรบ้างที่เราต้องเผชิญ จะได้รับมือได้ไหว และนี่คือ 5 ศัตรูของพวกเรา บอกเลยว่ามีมากกว่าไอ้หนุ่มหน้าใสที่นั่งข้าง ๆ รอสัมภาษณ์แน่นอน ทัศนคติขี้แพ้ต่องานไม่ตรงสาย ความคิดลบเกิดได้เสมอ โดยเฉพาะกับเรื่องงาน หลายครั้งที่เรามองว่ากูมันธรรมดา คนอื่นเก่งกว่าเยอะ และเมื่อเจอ job description ไหนที่ไม่เหมือนกับงานที่เคยทำ เราจะรีบบอกตัวเองทันทีว่ากูไม่เหมาะกับงานนี้ ท้ังที่ความเป็นจริงโอกาสมันอยู่ตรงหน้าถ้าเรารู้จักวิธีประยุกต์ เราก็มีโอกาสจะข้ามสายงานไปทำอาชีพอื่นได้ Rudeth Shaughnessy Sr. Editor จาก Copy My Resume ให้ความเห็นว่าเวลาเราหางานเรามักจะดิ่งไปหางานที่มันตรงกับความสามารถที่เรามีเท่านั้น และกลัวเกินกว่าจะส่งเรซูเม่ไปให้ที่ใหม่ที่อยากทำเพราะคิดว่าประสบการณ์จากงานเดิมที่เคยทำมันไม่ใกล้เคียงเอาเสียเลย ดังนั้น เมื่อเจอศัตรูเรื่องนี้สิ่งที่เราต้องทำคือการเผชิญหน้ากับมันตามที่ Rudeth บอกว่า “Candidates shouldn’t be afraid to apply for
“เพราะเป็น Tech จึงเจ็บปวด” ท่ามกลางการโหมกระพือว่า เฮ้ย! ยุคนี้มัน Golden Age ของเด็กสาย Tech จบมายังไงก็ได้งาน มีแต่คนแย่งตัว คนส่วนใหญ่กลับไม่ค่อยรู้ว่าสายอาชีพอย่างเราพอจบมามักเจอมรสุม “งานไม่ตรงปก” กับเขาเหมือนกัน ถ้าไม่จั่วหัวว่าเป็นบริษัท TECH ตรงสายแท้ ๆ แม้หน้า JD (job description) ใส่รายละเอียดล้ำแค่ไหน แต่ชีวิตจริงอาจจะต้องไปเป็น “เด่นชัย” ในแฟนเดย์หนัง GTH แก้ปัญหาแบบคนซ่อมคอมในบริษัท ไม่เท่ ไม่คูล และที่สำคัญคือ Tools ไม่ถึง เรียกได้ว่าดับไฟของเด็กจบใหม่เสียเหี้ยนเตียน “ไปธนาคารดิ” อยู่ ๆ คำ ๆ นี้มันก็ผุดขึ้นมา ทั้งที่มันไม่เคยเป็น Key message ในใจ แต่จะด้วยอาการอยาก To be Continue จากคราวที่แล้วที่ UNLOCKMEN ได้ไปเปิดโลกเรื่อง Cashless Society หรือถ้าจะเรียกให้ถูกว่าอยากลองของอีกทีก็ไม่ผิดนัก
คุณว่าที่มาของ “อำนาจ” ที่ทำให้คนแต่ละคนแตกต่างกันคืออะไรหากไม่นับรวมต้นทุนที่บางคนคาบติดตัวมาตั้งแต่เกิดอย่างทรัพย์สินเงินทอง ถ้าคำตอบของคุณคือ “ความสามารถ” หรือทักษะที่เราจะวัดกันจากผลงานอย่างเดียวมันก็ออกจะเป็นการฝันกลางวันไปหน่อย เพราะในโลกความเป็นจริง “คนเก่ง” ที่ไม่ได้ไปต่อ กองตายเกลื่อนมีอยู่เป็นกองทัพเพราะขาดสกิลสำคัญคือ “การนำเสนอความเก่ง” หรือ “การสร้างอำนาจจากคำพูด” กว่าจะได้แสดงความเก่งสู่สายตา “คำพูด” มันจึงต้องผ่านด่านก่อน เพื่อให้ชาว UNLOCKMEN ไต่อันดับขึ้นไปท็อปฟอร์ม โดดไปอยู่แนวหน้าที่พูดอะไร แบบไหนใครก็ฟังก็เชื่อ เราคัดวิธีสร้างความมั่นใจมาให้ทดสอบด้วยตัวเองกันแล้ว บอกเลยว่างานนี้ดึง insight มาจากการวิเคราะห์เหล่า CEO ที่เคยให้ข้อมูลกับการนำเสนอของ IPO road-show หรือการขายหุ้นสดใหม่ที่ไม่มีใครสามารถพยากรณ์ได้ว่ามันรุ่งหรือร่วง ซึ่งแค่ 30 วินาที นักลงทุนก็รู้ทันทีว่าคำพูดพวกนั้นจะแหกกระเป๋าพวกเขาไปได้หรือเป็นแค่เรื่องแหกตาปาหี่ จากปัจจัยการมองเพียง 5 อย่างนี้เท่านั้น ชุดเนี้ยบกว่าคนทั้งห้อง 25 % เลิกพูดเถอะว่าแต่งตัวยังไงก็ไม่สำคัญ หากกางเกงเจเจหรือขาก๊วยที่สวมมามันไม่ได้ยัดเงินตุงมาเต็มกระเป๋ากางเกง เพราะทันทีที่เดินก้าวเข้ามาในห้องเพื่อจะพูดนำเสนออะไรก็ตาม คนเขาก็มองและตัดสินคุณตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้ว เพราะฉะนั้นความประทับใจแรกและความเป็นมืออาชีพเลยเกาะอยู่ตามเสื้อผ้า ซึ่งคีย์สำคัญมันอยู่ที่ 25% ที่คุณต้องบวกมันเพิ่มขึ้นมาให้เหนือกว่าคนทั้งห้อง ต้องมีสไตล์กว่า ต้องเป็นทางการกว่า นั่นคือการช่วงชิงความเชื่อที่ดีได้ EXPERT RECOMMEND: Matt Eversmann
เรื่องงานผู้ชายอย่างเราไม่มีหวั่น เรื่องเล่นผู้ชายอย่างเราก็ไม่กลัว แต่ถ้าพูดถึงช่วงเวลาพักในวันทำงานผู้ชายอย่างเรามักจะงง ๆ ว่าจะกินข้าวแล้วเล่นมือถือดีไหม ? จะพูดคุยวางแผนงานกับเพื่อนในออฟฟิศโอเคหรือเปล่า ? หรือจะหอบหมอนไปแอบงีบชาร์จพลังไปเลย ? เพราะเวลาพักที่มีมากสุดแค่ 60 นาทีที่จะพักยังไงก็ดูไปไม่สุดทาง ยิ่งเวลาพักช่วงบ่าย 30 นาที หรือเวลาที่เราพักเอง 5-15 นาทีซึ่งดูน้อยนิดจนนั่งถอนหายใจก็หมดเวลาแล้วก็ยิ่งทำให้ผู้ชายอย่างเราต้องกุมขมับว่าจะใช้เวลาพักเหล่านี้ไปกับอะไรดี ? ที่สำคัญใช้เวลาพักอย่างไร ถึงจะกลับมาปั่นงานได้เต็มสูบ เรามีสูตรลัดมาให้เลือกใช้กัน พัก 5-15 นาที : จิ๋วแต่แจ๋ว ถ้าขยับตัว ทำสมาธิและมองต้นไม้ แม้เวลา 5-15 นาทีจะดูเป็นเวลาที่ไม่มากและไม่สำคัญเอาเสียเลย แค่ใช้เวลานั่งดูลิสต์สิ่งที่ต้องทำหรือตอบอีเมลแป๊ป ๆ ก็หมดเวลาแล้ว แต่ผู้เชี่ยวชาญอย่าง Maura Thomas ที่เขียนหนังสือเกี่ยวกับการทลายกำแพงในการทำงานบอกว่าสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับการพัก 5-15 นาทีคือ “ต้องพาตัวเองออกไปเคลื่อนไหว” โดยอาจจะเดินขึ้นลงบันไดสัก 1-2 ชั้น เดินออกไปนอกออฟฟิศสักหนึ่งช่วงตึก หรือแม้แต่ยืดแข้งยืดขาอยู่ในออฟฟิศก็ได้ การเคลื่อนไหวเหล่านี้จะช่วยเรื่องความคิดสร้างสรรค์และการโฟกัสให้คุณได้อย่างไม่น่าเชื่อ นอกจากนั้นการสูดหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อทำสมาธิกับตัวเองอาจจะ 2 นาที หรือมากกว่านั้นก็จะช่วยให้การกลับมาทำงานเป็นไปอย่างสดชื่นมีชีวิตชีวามากขึ้น
ผู้ชายสายบ้าพลังที่ทำงานเต็มสูบมาโดยตลอดอย่างเรา มักชินกับวิธีคิดที่ว่าอารมณ์ดีคือพลังบวก เราต้องอารมณ์ดีตลอดเวลา เมื่อไหร่ที่เกิดอารมณ์ลบ ๆ อารมณ์แย่ ๆ ขึ้นมาเราเลยยิ่งหัวร้อนหงุดหงิดจัดการตัวเองไม่ได้ เพราะรู้สึกว่าอารมณ์เชิงลบเหล่านี้แม่งไร้ค่าจริง ๆ แต่ UNLOCKMEN อยากให้ปรับความคิดใหม่ เพราะอารมณ์ลบ ๆ มันก็สำคัญเหมือนกัน เพราะมันเป็นสัญญาณที่กำลังเตือนให้เราปรับตัวกับอะไรบางอย่างตรงหน้า แต่ถ้าไม่รู้ว่ามันกำลังเตือนอะไรวันนี้ UNLOCKMEN จะมาตีแผ่ให้เห็นกัน ความโกรธคือเครื่องเตือนถึงความไม่ยุติธรรม! ความหัวร้อนอย่างอารมณ์โกรธมักเป็นอารมณ์ลบอันดับต้น ๆ ที่ถูกสังคมมองว่าควรสะกดมันไว้ให้มิด อย่าได้แหลมขึ้นมาให้ใครเห็นเห็นเป็นอันขาด ยิ่งบ้านเราที่พุทธศาสนามักพูดว่าโกรธคือโง่ด้วยแล้ว เราจึงมองอารมณ์โกรธในแง่ลบตลอดมา แต่จริง ๆ แล้วความโกรธช่วยกระตุ้นและขับเคลื่อนไปสู่การกระทำบางอย่าง รวมถึงคอยบอกเราว่าเมื่อไหร่ได้เวลาที่ต้องวางขอบเขตให้ชีวิตการทำงานแล้ว เพราะเมื่อเราโกรธนั่นแปลว่ามีใครบางคนกำลังล้ำเส้นความอดทนที่เราตั้งไว้ขึ้นมา ที่สำคัญความโกรธนี่แหละที่จะเป็นแรงกระตุ้นให้เราเรียกร้องอะไรบางอย่างเมื่อความไม่ยุติธรรมเกิดขึ้น ความโกรธจึงเป็นสัญญาณสำคัญในการบอกว่ามีคนกำลังล้ำเส้นเราอยู่ สิ่งที่เราต้องดูคือ เราวางเส้นไว้แคบเกินไปไหม ? ขยายเส้นได้หรือเปล่า ? แต่ถ้าเรามั่นใจว่าเส้นเราคือมาตรฐานปกติแต่มีคนล้ำเข้ามา นั่นแปลว่าได้เวลาลงมือเรียกร้องความยุติธรรมให้ตัวเองแล้วล่ะ ความวิตกกังวลเป็นสัญญาณว่าเราจะไม่ยอมให้เกิดความผิดพลาด หลายครั้งเวลาจะทำโปรเจกต์ใหญ่ ความวิตกกังวลมักจะมาเยือน แม้หลาย ๆ คนจะบอกว่า โธ่ ถ้าคุณเตรียมตัวดีคุณจะไม่วิตกกังวลเลย ซึ่งไม่เป็นความจริงเสมอไป เพราะบางคนต่อให้เตรียมตัวดีแค่ไหน ความวิตกกังวลก็ยังตามติดเหมือนวิญญาณอาฆาตอยู่ดี อย่ามัวคิดว่ามันทำให้ทุกอย่างพัง เพราะจริง ๆ
“ความไม่แน่นอน คือความแน่นอน” นี่คือประโยคเตรียมใจที่ใช้ได้กับทุกเรื่องบนโลกที่โคตรไม่แน่นอนใบนี้ หนึ่งในนั้นก็คือเรื่องงาน ไม่ว่าจะเพราะอะไรก็ตาม แต่เหตุการณ์สุดเซ็งอย่างโดนไล่ออก โดนเลย์ออฟ ยังคงเป็นเรื่องนอยด์ ๆ ที่เกิดขึ้นได้ทุกวัน เพราะฉะนั้นการหางานใหม่ย่อมเกิดขึ้นทุกนาทีเช่นกัน ซึ่งเราอาจจะคุ้นชินกับวิธีเดิม ๆ อย่างท่องเว็บไซต์หางาน เข้าร่วม networking event ต่าง ๆ อัพเดท resume แล้วส่งอีเมลสมัครงานแบบกราด ๆ รอ HR บริษัทนั้น ๆ โทรมานัดสัมภาษณ์ แต่สำหรับผู้ชายที่ล้มแล้วลุกไวอย่างเรา คงจะไม่ใช้วิธีการแบบทั่วไปที่ดูเหมือนกับเป็นการรอคอยโอกาส แต่เราจะพัฒนาตัวเองให้มีคุณค่ามากขึ้น และหาวิธีการที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการหางานใหม่ ชาว UNLOCKMEN ที่กำลังหางานใหม่อยู่ และเห็นด้วยว่าเราควรเงยหน้าขึ้นสู้ ลองทำตามวิธีการเหล่าที่เรานำมาแนะนำดู แล้วจะรู้ว่าคุ้มตั้งแต่ยังไม่รู้ผล รู้จักการขายตัวเองให้เจ๋งพอ “สิ่งที่จำเป็นมาก ๆ สำหรับคนที่กำลังหางานใหม่ก็คือความพร้อมในตอบคำถามที่ขึ้นต้นด้วยคำว่า ‘ทำไม ?’ ” Mark Anthony Dyson โค้ช และผู้ก่อตั้ง Voice of Job Seekers ให้ความเห็นที่สนับสนุนวิธีการแรก คำถามเบสิคแต่ลึกซึ้งที่เรามักจะถูกถามเวลาสัมภาษณ์งานก็คือ “ทำไมคุณถึงอยากทำงานนี้
ขึ้นแท่นเป็นการ์ตูนญี่ปุ่นที่ขายดีที่สุดตลอดกาลแบบไม่มีใครกล้าเทียบไปแล้วสำหรับ One Piece เรื่องราวของกลุ่มโจรสลัดที่นำโดยมังกี้ ดี ลูฟี่ และออกเดินทางสู่ท้องทะเลกว้างใหญ่เพื่อตามล่าความฝันในการเป็นจ้าวแห่งโจรสลัด โดยล่าสุดซีรีส์การ์ตูนเรื่องนี้ทำยอดขายรวมทั่วโลกกว่า 440 ล้านเล่ม ทิ้งห่างอันดับ 2 อย่าง Dragon Ball ซึ่งทำยอดขาย 240 ล้านเล่มแบบไม่เห็นฝุ่น อะไรคือปัจจัยของความสำเร็จนี้? หนึ่งในวลีที่เหล่าผู้ประสบความสำเร็จมักจะพูดกันเสมอคือสิ่งที่สำคัญที่สุดในการจะประสบความสำเร็จนั้นคือคุณต้องคลั่งไคล้กับสิ่งที่คุณทำ ซึ่งถ้าพูดถึงเรื่องนี้ Eiichiro Oda ผู้เขียน One Piece ไม่เป็นสองรองใครแน่นอน เราไปดูกันดีกว่าเคล็ดลับและวิธีการทำงานของเขากัน ว่ากว่าจะพาการ์ตูนเรื่องหนึ่งเดินทางขึ้นมาเป็นอันดับ 1 ของโลกได้ต้องฟันฝ่าอะไรมาบ้าง เพราะการเดินทางแสนยาวไกลจึงไม่อาจพักผ่อน “ทำไม One Piece ออกช้าจังไม่ทันใจเลย”, “One Piece อาทิตย์นี้งดอีกแล้ว เซ็งว่ะ” ถ้าคุณเคยเป็นคนหนึ่งที่เคยมีความคิดแบบนี้ลองฟังความจริงข้อนี้ก่อนรับรองว่าความคิดคุณจะเปลี่ยนไปแน่นอน ชีวิตประจำวันของชายวัย 43 ปีนาม Eiichiro Oda เริ่มต้นลุกจากเตียงตั้งแต่ตี 5 ฟ้ายังไม่ทันสว่างด้วยซ้ำ และเริ่มต้นทำงานทันทีโดยไม่ลุกไปไหน ไม่มีการพัก เว้นแต่ตอนทานข้าวหรือเข้าห้องน้ำเท่านั้น จนกระทั่งเวลาตี 2 เขาถึงจะลุกจากโต๊ะทำงานไปนอน สรุปแล้ว Eiichiro Oda ทำงานวันละ 21
เราเชื่อว่าทุกวันนี้มีคนพยายามเลิกสูบบุหรี่เป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นเพื่อตัวเองหรือคนรอบข้าง ทว่าเรากลับพบว่ามีหลายคนต้องล้มเลิกความตั้งใจไปกลางคัน เพราะมันเป็นสิ่งที่ยากกว่าที่คิด เวลาเลิกจะทีต้องเจอสภาวะมึนศีรษะ เหม่อลอย บางคนถึงกลับนอนไม่หลับ แต่เชื่อเลยว่าถึงลำบากยังไงมันก็คุ้มค่ากับการเลิกได้อย่างแน่นอน เนื่องจากการเลิกสูบบุหรี่นั้น นอกจากจะดีกับตัวเองแล้ว ยังมี 5 เหตุผลที่จะทำให้ชีวิตการงานดีขึ้น เพื่อให้ชาว UNLOCKMEN ที่กำลังคิดจะเลิก ได้มีแรงบันดาลใจมากขึ้น ทำงานไปพร้อมร่างกายแข็งแรง ร่างกายแข็งแรงก็มาพร้อมกับจิตใจอันสมบูรณ์ เรื่องแบบนี้มันส่งผลดีหลาย ๆ ด้านไม่ว่าจะเป็นสุขภาพ ชีวิตเซ็กซ์หรือหน้าที่การงาน นอกจากนั้นยังเชื่อมโยงกับอารมณ์กระตือรือร้นและความทะเยอทะยานให้มากยิ่งขึ้น ซึ่งมีผลต่อการทำงานโดยตรง แต่ทว่าคนที่ชอบดูดบุหรี่อาจจะคาดไม่ถึงว่ามีผลกระทบพวกนี้ด้วย เพราะการสูบบุหรี่มันเหมือนการไปหยุดยั้งสิ่งดี ๆ เหล่านั้นไว้ แล้วแทนที่ด้วยความง่วงและอ่อนเพลีย มันเหมือนกับขโมยตัวจิ๋ว ที่ค่อยเอาพลังงานล้ำค่าในตัวเราไปเรื่อย ๆ โดยไม่รู้ตัว และมันยังไปเป็นอุปสรรค์ต่อส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นอวัยวะ กล้ามเนื้อ รวมทั้งสมอง ส่งผลให้ผู้สูบบุหรี่ไม่สามารถโฟกัสการทำงานได้ดีเท่าที่ควรจะเป็น ให้ความเชื่อในตัวคุณเป็นร้อยเปอร์เซ็นต์ ความมั่นใจเป็นส่วนผสมสำคัญในชีวิตลูกชายอย่างเรา เพราะไม่ว่าจะออกไปทำงาน เจรจาต่อรอง หรือ แม้กระทั่งจีบสาวล้วนแต่ต้องการความมั่นใจในตัวเองแบบสุด ๆ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามที่เราคาดหวังเอาไว้ จนหลายครั้งเราต้องใช้ของแบรนด์เนม สินค้าหรูหรา หรือแม้กระทั่งเครื่องรางของขลังเพื่อเพิ่มความรู้สึกดี แต่ทว่ากลับมีบางคนตกม้าตายอย่างไม่รู้ตัวจากกลิ่นปากหรือซอกฟันที่ดำ ที่มาพร้อมการสูบบุหรี่เพราะมีคราบเผาไหม้ของน้ำมันดิบและนิโคติน ซึ่งเป็นกลิ่นสุดปวดหัวของคนไม่สูบบุหรี่
ความเป็นผู้นำมันอาจไม่ได้ติดตัวผู้ชายอย่างเรามาตั้งแต่โผล่หัวมาลืมตาดูโลก แต่ UNLOCKMEN เชื่อว่ามันเรียนรู้กันได้ โดยเฉพาะการเรียนรู้จากคนที่มีประสบการณ์โดยตรง ถือเป็นการเรียนรู้ทางลัดที่เราไม่ต้องลงแรงไปเจอสถานการณ์นั้นด้วยตัวเอง ดังนั้นสภาวะวิกฤตในเรือดำน้ำที่แม่งโคตรกดดันในการควบคุมคน ทั้งพื้นที่ที่แคบ คนจำนวนมาก ไหนจะสภาพการที่ไม่ได้อยู่บนดินตามปกติ จึงเป็นอีกสถานการณ์วิกฤตที่น่าเรียนรู้ว่าเราต้องงัดความเป็นผู้นำออกมาในรูปแบบไหน และวันนี้เราเอาทริคดี ๆ จากราชนาวีที่เคยคุมสถานการณ์บนเรือดำน้ำที่ตกอยู่ในสภาวะวิกฤตมาแล้ว (แม้ภาวะจะไม่วิฤตเท่ากระแสวิพากษ์เรื่องลุงตู่ซื้อเรือดำน้ำ แต่เราว่าก็วิกฤตมากไม่แพ้กัน) John DeVine คือเจ้าหน้าที่ราชนาวีคนหนึ่งที่เริ่มต้นอาชีพของเขาด้วยการทำงานในเรือดำน้ำ และใช้เวลากว่า 8 ปีในอาชีพนั้นก่อนจะผันตัวเองมาทำงานในองค์กรเอกชน John DeVine บอกว่าเรือดำน้ำไม่ต่างจากห้องปฏิบัติการความเป็นผู้นำที่หล่อหลอมให้เขาออกมาทำงานในภาคเอกชนแบบโคตรแข็งแกร่งชนิดหาตัวจับยาก เพราะการทำงานในเรือดำน้ำมันเต็มไปด้วยข้อจำกัด และการทำงานใต้ความลึกของมหาสมุทรระดับนั้น การตัดสินใจทุกอย่างก็มีเดิมพันสูงมากเพราะมันคือชีวิตของลูกเรือทุกคนเลยทีเดียว อย่างไรก็ตามเราอาจคิดว่า John DeVine คือคนที่มีตำแหน่งสูงสุดในเรือดำน้ำ แล้วการที่เขาจะแสดงความเป็นผู้นำอะไรออกมาใคร ๆ ในเรือก็ต้องวิ่งทำตามคำสั่งเขาแบบหูตาเหลือกอยู่แล้ว แล้วจะไปเรียนรู้บทบาทความเป็นผู้นำแบบเขาได้ยังไงในเมื่อเราเป็นผู้น้อย ยังต้องวิงตามตูดบอสต้อย ๆ อยู่ดี ? UNLOCKMEN อยากจะบอกว่าคุณคิดผิดว่ะ เพราะขณะที่เกิดเหตุการณ์สุดวิกฤตครั้งสำคัญนั้นเขาเป็นเพียงเจ้าหน้าที่ในเรือดำน้ำที่มียศต่ำกว่าคนอื่นด้วยซ้ำไป โดยเหตุการณ์ที่ชาวเรือดำน้ำเห็นว่าวิกฤตที่สุดอย่างหนึ่งก็คือการที่เรือดำน้ำของเราดันไปซ้อนอยู่ใต้เรือดำน้ำอีกลำ ความพีคคือ John DeVine เป็นคนแรก ๆ ที่ตระหนักถึงวิกฤตนั้นแต่เขาไม่ใช่เจ้าหน้าที่ระดับที่จะสั่งการได้ มันจึงมีอยู่ 2 ทางคือการรอจนกว่าผู้บัญชาการจะสั่งซึ่งไม่รู้ว่าจะช่วยชีวิตทุกคนได้ทันไหม หรือลงมือทำอะไรสักอย่างเพื่อช่วยชีวิตทุกคนไว้โดยไม่สนว่าผู้บัญชาการจะว่าอย่างไร นั่นคือการตัดสินใจที่ยากที่สุดในชีวิตเขา
ปัญหาในที่ทำงานยอดฮิตติดลมบน คงไม่พ้นเรื่องช่องว่างระหว่างวัย ความไม่เข้าใจกันของคนสอง Generation ที่มีพื้นฐานทางความคิดที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นความไฟแรงของวัยหนุ่มเลือดร้อน หรือความหัวดื้อยึดตัวเองเป็นใหญ่ของวัยผู้ใหญ่ (ที่มักจะมองว่าอีกฝ่ายนั่นแหละที่หัวแข็ง) ทั้งสองฝ่ายก็ต่างเติบโตมาจากสภาวะแวดล้อมที่แตกต่างกัน ทำให้พื้นฐานความคิดแตกต่างกัน หากจะยกเหตุผลมาถกกัน ชาตินี้ก็คงไม่จบ เพราะมันต้องดูกันไปแบบ Case By Case UNLOCKMEN เลยขอเอาความเข้าใจผิดที่ชาว GEN-Y มักจะถูกแปะป้ายจาก Gen รุ่นพี่อยู่เสมอ หากคุณเป็น Gen รุ่นใหญ่ ลองดูว่าคุณกำลังเข้าใจอะไรน้อง ๆ ผิดไปหรือไม่ ลองมองว่าทั้งสองฝ่ายไม่มีใครถูกผิดแล้วหาทางออกร่วมกันสิ เผื่อจะได้ร่วมงานกับน้อง ๆ ได้แบบรุ่นใหญ่ใจกว้าง เด็กพวกนี้แค่อยาก Make Money เท่านั้นแหละ ทำไงได้ เพราะเงินมันคือแรงจูงใจสำคัญในการเลือกอาชีพยังไงล่ะ จนบางครั้งอาจพาลไปถึงเรื่องเรียนอีกด้วย ว่าพวกเขาเลือกเรียนคณะนี้ เอกนี้ เพราะเงินดี มากกว่าเพราะความชอบหรือความถนัดของตัวเอง เราอาจมองว่าเด็กพวกนี้ก็เลือกแต่งานที่ได้ค่าตอบแทนดีเอาไว้ก่อน เพราะเด็กรุ่นนี้ส่วนมากได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐานคือปริญญาตรี เลยอยากจะได้เงินที่สมน้ำสมเนื้อกับการตรากตรำคว้า A มาแบบเลือดตากระเด็น แต่ถ้าหากได้ลองทำงานกับ Gen-Y จริง ๆ คุณจะพบว่าแค่เงินยังไม่สามารถโน้มน้าวพวกเขาไว้ได้ ยังมีอีกหลายปัจจัยที่ Gen
ยิ่งใกล้วันศุกร์ทีไร ร่างกายมันเรียกร้องอยากจะได้แอลกอฮอล์ไหลเข้ากระแสเลือด แต่งานเจ้ากรรมไม่เอื้ออำนวยให้ขยับตัวไปไหน ถ้าหยิบมาซดในออฟฟิศได้ก็คงทำไปแล้ว ถ้าคุณเป็นแบบนั้นเราคือเพื่อนกัน แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีทางออกเอาซะเลย UNLOCKMEN ขอเสนอสิ่งดี ๆ จาก SUNTORY ที่ให้เราดื่มเบียร์ได้ทุกที่ทุกเวลา ด้วยเบียร์ที่มาในรูปแบบของน้ำเปล่า งงไม่งง ถ้างงลองมาอ่านไปพร้อม ๆ กัน วันไหนที่โหยหาความผ่อนคลาย ก็อยากจะเอ็นจอยกับรสขมนุ่มลึกของเบียร์มันซะเวลางานให้รู้แล้วรู้รอดไป ส่วนมากในหลาย ๆ ออฟฟิศ การดื่มแอลกอฮอล์ในเวลางานยังคงไม่ใช่พฤติกรรมที่พึงประสงค์สักเท่าไหร่ ไม่ต้องหงอยไปหนุ่ม ๆ ล่าสุด Suntory แบรนด์เครื่องดื่มยักษ์ใหญ่จาก โอซาก้า ประเทศญี่ปุ่น ได้หาทางออกให้กับพวกเราชาวออฟฟิศแล้วด้วยเบียร์ All-Free ก็คือเบียร์ที่ใสปิ๊งเหมือนน้ำเปล่า ไม่มีแอลกอฮอล์ ไม่มีแคลอรี่ แต่ยังคงมีรสชาติเหมือนเบียร์อยู่เหมือนเดิม บรรจุใจกระป๋องและขวดแก้ว ความเจ๋งคือมันให้รสสัมผัสเหมือนกับการดื่มเบียร์จริง ๆ แต่ว่าไม่เมาเท่านั้นเอง (เพราะไม่มีแอลกอฮอล์ไงล่ะ) ถึงอย่างงั้น Suntory รู้ว่าต่อให้มันใสเหมือนน้ำเปล่าก็จริง แต่ถ้าบรรจุภัณฑ์ยังใกล้เคียงกับเบียร์อยู่ ก็อาจจะทำให้เรายังรู้สึกถูกจับตามองได้ง่ายอยู่ดี ถ้าเกิดหยิบขึ้นมาดับกระหายในเวลางาน พวกเขาจึงออกบรรจุภัณฑ์มาใหม่ เรียกว่า All-Free All-Time ที่มาในรูปแบบของขวดพลาสติก ยิ่งทำให้มันเหมือนเครื่องดื่มทั่วไปมากขึ้นนั่นเอง เพื่อตอบสนองวิถีแห่งมนุษย์ออฟฟิศใจกล้าที่อยากจะซดเบียร์มันในออฟฟิศ แถมยังในเวลางานได้แบบเนียน ๆ อย่างไรก็ดี ถ้าสังเกตกันดี ๆ บนขวดเองก็ยังมีรวงข้าวเหลืองอร่าม
ทุกครั้งที่สมัครงานครั้งใหม่ หัวใจผู้ชายอย่างเราก็เต้นแรงไม่เป็นส่ำ เพราะลุ้นไปหมดว่าจะได้งานหรือไม่ได้งาน และที่กังวลไม่แพ้กันคือบอสคนใหม่จะกำลังจับตาดูเราบนโลกออนไลน์อยู่หรือเปล่า ? UNLOCKMEN อยากจะบอกว่าพี่ไม่ต้องมัวสงสัยให้เสียเวลา เพราะผลสำรวจจากบริษัทจัดหางานพบว่า 70% ของบรรดาบอส ๆ เขาเสิร์ชดูประวัติออนไลน์ของผู้สมัครเข้าทำงานทั้งสิ้น! ดังนั้นแทนที่จะสวดมนต์ภาวนาให้ตัวเองเป็น 30% ที่บอสไม่เสิร์ชดูเฟซบุ๊กหรือลบทุกสิ่งทุกอย่างทิ้งไปตลอดกาล ก็ทำตามวิธีต่อไปนี้ดีกว่า รับรองว่าตัวตนในโลกออนไลน์ของเราใสสะอาดพร้อมทำงานใหม่แบบไม่ต้องกลัวใครมาแฉแน่นอน เสิร์ช Google ดูชื่อตัวเองหน่อยครับ แม้จะฟังดูหลงตัวเอง แต่เราก็ไม่ได้หลงตัวเองอยู่คนเดียวบนโลกแน่ ๆ เพราะผลสำรวจชี้ว่าผู้คนต่างก็เสิร์ชชื่อตัวเองใน Google กันทั้งนั้น แต่ถ้าไม่เคยทำก็ได้โอกาสลงมือทำแล้ว เพราะมันมีประโยชน์กับการสัมภาษณ์งานที่กำลังจะมาถึง ที่แน่ ๆ อะไรหลายต่อหลายอย่างทั้งที่เราคาดคิดและไม่คาดคิดจะโผล่ขึ้นมาให้เราเห็น จะได้เตรียมรับมือถูกถ้าถูกยิงคำถามใส่ถึงสิ่งที่เราไม่คิดว่ามันจะหาเจอใน Google ได้ แต่ถ้ายังลนลานทำอะไรไม่ถูกก็ลองพิจารณาตาม 2 ข้อต่อไปนี้ดู แล้วจะรู้ว่าเสิร์ชชื่อตัวเองใน Google ได้อะไรมากกว่าที่คิด Incognito Search : อย่างที่เรารู้กันดีอยู่แล้วว่าเวลาเราเสิร์ชอะไรจาก Google ด้วยเครื่องเรา เราจะได้ผลอย่างหนึ่ง ถ้าลองไปใช้เครื่องของเพื่อนเราก็จะได้ผลอีกอย่าง หรือถ้าใช้เครื่องของบอสเสิร์ชก็ได้ผลอีกอย่างหนึ่ง เพราะ Google จะเก็บข้อมูลจากการเสิร์ชเก่า ๆ ของเรา ข้อมูลการล็อกอิน