ในวันนี้ถ้าเหนื่อย ถ้าเบื่อ เราสามารถหนีจากการเป็นตัวเองได้ โดยที่ตัวเองไม่ได้หายไปไหน! ทำยังไงล่ะ? ก็ให้คนอื่นมาเป็นเราแทนน่ะสิ! “ลาออกจากการเป็นตัวเอง” มันจะไม่ใช่วลีเอาเท่ในสเตตัส บน FACEBOOK อีกต่อไป UNLOCKMEN ขอเสนอนวัตกรรมที่โคตรล้ำ ที่ไม่รู้จะยิ้มหรือจะเบ้ปากกับมันดี อย่าง “Human Uber” มาดูกันว่ามันจะช่วยให้คนอื่นกลายเป็นตัวเราได้ยังไง เจ้าเครื่องนี้ถูกพัฒนาขึ้นมาโดย Jun Rekimoto นักพัฒนาชาวญี่ปุ่น เปิดตัวในอาทิตย์นี้ที่ The EmTech Conference โดยตัวเครื่องจะเป็นจอที่แสดงผลออกมาเป็นหน้าเรา แล้วไปใช้ชีวิตแทนเรา ด้วยการให้เราจ้างใครสักคนนึง มาใส่ไอ้เครื่องนี้แล้วก็แต่งตัวเป็นเรา ไปทำเรื่องสุดน่าเบื่อแทนเรา แนวคิดนี้มาจากการติดต่อสื่อสารทางไกลบวกกับการเคลื่อนไหวของร่างกายมนุษย์ คือเหมือนใช้เครื่องนี้ออกไปพบเจอผู้คนแทนเรา โดยที่เรายังพูดคุยด้วยเสียงของเราเอง แสดงสีหน้า ความรู้สึกด้วยใบหน้าของเราเองทั้งหมดได้ ผ่านเครื่องนี้แหละ โดยที่เราอาจจะนอนแอ้งแม้งอยู่บ้านก็ได้ ไม่ต้องอาศัยหุ่นยนต์แทนตัวเราเองด้วย พอจะนึกภาพออกแล้วสินะว่ามันทำงานยังไง มันอาจดูไร้สาระ ดูบ้าบอ แต่มันแสดงให้เห็นบางอย่างว่าชีวิตคนเราบางทีมันเหนื่อยแสนเหนื่อย ไม่ได้เหนื่อยจนอยู่ไม่ได้ แต่มันถึงจุดที่อยากนอนเฉย ๆ แล้วก็ F*ck The World ไม่ต้องสนใจอะไรบ้าง ทิ้งภาระไว้ข้างหลังบ้าง แต่ด้วยชีวิตมันต้องดำเนินต่อ เลยไม่อาจทำได้ จนมันสะท้อนออกมาในรูปอินโนเวชั่น
ชีวิตของเรามันเหมือนกับการวิ่งมาราธอน ต้องลากกันยาว ๆ ตัดสินกันแค่การออกตัวจากจุดสตาร์ทไม่ได้ เรื่องความสำเร็จทางการงานก็เช่นกัน สิ่งที่หนุ่ม ๆ first jobber อาจรู้สึกเมื่อก้าวเข้าสู่วิถีมนุษย์เงินเดือนเป็นครั้งแรกก็คือความท้อแท้ ความนอยด์ในการทำงานที่ไม่ใช่ แล้วเราจะไปทางไหนต่อดีหละเห้ย !? ส่วนคนที่เจองานที่โอเคกับใจและปากท้องแล้วเราก็ยินดีด้วย แต่ทีมงาน UNLOCKMEN ก็ยังห่วงคนที่กังวลเรื่องการทำงาน เลยต้องให้กำลังใจด้วยตัวอย่างเจ๋ง ๆ กันหน่อย ลองดูเส้นทางแรก ๆ ของบรรดาชายที่ประสบความสำเร็จเหล่านี้ แล้วจะมีพลังในการหาหนทางสู้ต่อไปขึ้นมาทันที Elon Musk : ผู้ก่อตั้ง Tesla และ SpaceX เรารู้จัก Elon Reeve Musk ในหลายฐานะ ทั้งนักธุรกิจ, นักลงทุน, วิศวกร และนักประดิษฐ์ชาวแอฟริกาใต้–อเมริกัน เขาคือผู้ก่อตั้ง, CEO และหัวหน้าทีมออกแบบของ SpaceX รวมถึงเป็นผู้ร่วมก่อตั้ง, CEO และนักออกแบบของ Tesla โอ่ห์ เก่งชะมัด แถมจากข้อมูลเมื่อเดือนมกราคม 2561 ที่ผ่านมาระบุว่าเขามีทรัพย์สินรวมกันประมาณ 20.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ฯ
บางคนบอกว่า “คนที่ตื่นเช้ากว่ามักจะประสบความสำเร็จ”, “ทำมาก ได้มาก” และ “จงเป็นคนแรกที่มาถึงออฟฟิศและเป็นคนสุดท้ายที่กลับบ้าน” ประโยคเหล่านี้ช่วยปลุกใจผู้ชายอย่างเรา ๆ ให้สู้งานแบบลืมตาย และสร้างแรงบันดาลใจได้ดี แต่บางอย่างถ้ามันตึงเกินไปก็อาจทำให้เราสูญเสียความสุขด้านอื่นในชีวิตได้ นักวิจัยจากหลายสถาบันเห็นพ้องต้องกันว่า ด้วยความที่มีการปลูกฝังมาหลายยุคสมัยว่าผู้ชายต้องสตรองกว่าผู้หญิง ทำให้ผู้ชายมักจะซ่อนความู้สึกอ่อนแอเอาไว้ ไม่ค่อยระบายความในใจออกมา ส่งผลให้หนุ่ม ๆ บางคนไม่ค่อยรู้ว่าตัวเองต้องผ่อนคลายแล้วนะ รวมถึงไม่ค่อยรู้สาเหตุของความเครียด ยิ่งเป็นคนในเมืองใหญ่ยิ่งมีความกดดันแฝงอยู่มากมาย หนึ่งในนั้นก็คือเรื่องงาน เคยถามตัวเองบ้างไหม ว่าจริงจังกับการทำงานมากไปหรือเปล่า ? บางทีเราอาจไม่รู้ตัวว่าเราโคตรซีเรียสกับการทำงานจนเป็นชีวิตจิตใจ กว่าจะมองเห็นก็สายไปแล้ว ทีมงาน UNLOCKMEN มีวิธีสำรวจตัวเองว่าทุ่มเทกับงานมากไปหรือไม่แบบง่าย ๆ และมีวิธีปล่อยวางที่ทำได้สบาย ๆ มาให้ลองนำไปปรับใช้กันดูครับ ปิดตัวเองจากสังคม ถ้าในวันหยุดคุณไม่ได้ออกไปไหนกับใครเลย วัน ๆ นั่งมอนิเตอร์งานอยู่หน้าคอมพ์ตลอด ส่วนวันทำงานก็มักจะปฏิเสธคำชวนออกไปทานข้าวเที่ยงจากเพื่อนร่วมงานเพราะคิดว่าภาระตรงหน้าสำคัญกว่า หรือแม้กระทั่งเทเพื่อนที่ชวนไปดื่มหลังเลิกงานบ่อย ๆ ด้วยความรู้สึกว่ามีเรื่องสำคัญกว่านี้ที่ต้องทำอีกเยอะ แบบนี้ คุณกำลังจริงจังเกินไปแล้วครับ ทางออก : คำพูดที่ว่า “แค่ออกไปแฮงเอาท์กับคนอื่น ๆ ซะ” อาจพูดง่ายแต่ทำยากในความเป็นจริงของคนบ้างาน ยิ่งหักดิบด้วยวิธีนี้ยิ่งทำให้กังวลไปใหญ่ ลองดูวิธีง่าย ๆ แบบนี้ดูครับ เวลาเพื่อนร่วมงานชวนไปทานข้าว
ความเป็นผู้นำไม่ได้หล่นมาจากบนฟากฟ้าเสียทีเดียว ต้องอาศัยทั้งความรู้ ความสามารถ ประสบการณ์ และอีกหลากหลายส่วนผสมที่ปรุงจนกลมกล่อมลงตัว แต่ขึ้นชื่อว่าผู้นำหลายครั้งก็มาพร้อมกลับคำว่า อำนาจ และอำนาจที่กำอยู่จนล้นมือนั่นเองที่ทำให้ผู้คนในปกครองต่างหวั่นกลัว แต่การทำให้คนกลัวไม่ใช่เป้าหมายหลักของการเป็นผู้นำ วันนี้ UNLOCKMEN เอา 5 ลักษณะของผู้นำที่คนเคารพและเกรงใจมาให้ผู้ชายอย่างคุณลองเช็คดูหน่อยว่าคุณมีความสามารถพอที่จะเป็นผู้นำที่มีคุณภาพได้หรือเปล่า ไม่ตัดสินคน เป็นไปได้ว่าประสบการณ์ที่เราเจอคนมาจำนวนมากอาจมีส่วนทำให้เราพอจะมองออกได้ภายในปราดเดียวว่าคนคนหนึ่งที่มีลักษณะอย่างนี้ ลึก ๆ แล้วจะมีนิสัยใจคอที่ซ่อนไว้เป็นอย่างไร แต่ทั้งหมดที่เราผ่านมาไม่ได้แปลว่าจะตัดสินเหตุการณ์หรือคนตรงหน้าได้เสมอไป คนที่จะเป็นผู้นำที่ได้ความเคารพรักจากคนได้ จึงไม่มีนิสัยการตัดสินคนแค่มองเพียงปราดเดียว แต่ต้องมองให้ลึกซึ้งไปกว่านั้น ให้เวลา เหตุผล การกระทำเป็นเครื่องพิสูจน์มากกว่าจะตัดสินเขาแค่เพราะเขาดูคล้ายกับคนบางคนที่เราเคยเจอมา รับฟังทุกความเห็นที่แตกต่าง เราอาจจะไม่เข้าใจทุกอย่างที่เขาเป็น ทุกอย่างที่เขาคิด หรือทุกอย่างที่เขาทำ แต่เราสามารถรับฟังเขาก่อนได้ ก่อนที่เราจะตัดสินเขา ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม ผู้นำที่รับฟังความคิดของคนในปกครอง นอกจากจะจะได้ใจไปเต็ม ๆ ยังสร้างระบบการปกครองที่เป็นเหตุเป็นผล สร้างความรู้สึกไว้เนื้อเชื่อใจของทีมที่จะไม่มองหัวหน้าว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เคารพบูชาไว้บนหิ้งแต่ไม่สามารถพูดคุยด้วยได้ เคารพความเป็นส่วนตัวของลูกน้อง การเป็นผู้นำทีม ผู้นำองค์กร หรือผู้นำอะไรก็ตาม ไม่ได้แปลว่าคุณเป็นเจ้าของชีวิตคนภายใต้ปกครองของคุณ เป็นเรื่องดีที่ถ้าเขาจะเล่าอะไรให้คุณฟัง แต่ผู้นำที่จะสร้างความรัก เคารพ และความเชื่อใจ ต้องเป็นผู้นำที่ไม่ละเมิดความเป็นส่วนตัวของลูกน้อง ทั้งชีวิตส่วนตัวที่เขาไม่อยากบอก วันลาพักผ่อนที่เขาลาอย่างถูกต้องตามกฏบริษัทแล้ว ควรมีระยะห่างที่พอดีไม่รุกล้ำเข้าไปในที่ที่ไม่เกี่ยวกับการทำงานโดยตรง วางอำนาจทิ้งไป แล้วใช้เหตุผลเข้าว่า อำนาจจากการบังคับให้กลัวเป็นอำนาจที่ไม่ยั่งยืนเท่าไหร่ หรือต่อให้ได้มาก็ยิ่งมีแต่ทำให้ร้อนใจ
หลายคนอาจจะเชื่อว่าภาษาที่ดึงดูดใจจะทำให้ชีวิตไปได้สวย แต่ว่าถูกเพียงครึ่งเดียว เพราะภาษาปากที่สะกดใจได้มันต้องมาคู่กับภาษากายที่ดีเหมาะสมกันด้วย วันนี้ UNLOCKMEN ขอชวนให้ทุกคนมาสำรวจท่าทางตัวเองกันดีกว่า ว่าภาษากายแบบไหนที่เรามักทำเป็นประจำ แต่มันไม่เวิร์กกับคู่สนทนา หรือคนที่กำลังมองดูเราอยู่ กับ 11 อิริยาบทต่อไปนี้ที่ควรสลัดมันทิ้ง 1. ขยับนิ้วมือยุกยิกไปเรื่อย การขยับนิ้วมือมันไม่ผิดอะไร แต่เคยสังเกตไหมว่าเรามักจะทำท่าทางแบบนั้นบ่อย ๆ ตอนรู้สึกไม่มั่นใจ ซึ่งความรู้สึกนี้มันส่งผ่านถึงอีกฝ่ายได้ ไม่ว่าจะเป็นการพูดคุยกับสาวที่ถูกใจ การ Present งานลูกค้า กระทั่งการออกคำสั่งคนใต้บังคับบัญชา ดังนั้นใครที่อยากเหลาะแหละนี้ทิ้งไปก็ลองหยุดทำท่าแบบนี้ในสถานการณ์ชวนตื่นเต้น แล้วลองไปหา “The Power of Body Language” ของ Tonya Reiman ที่เคยบอกไว้ใน Business Insider มาอ่านดู เพราะท่าที่บอกในนั้นล่ะคือท่าที่ผู้นำเขาทำกัน 2. จับจัดผม/หนวดเล่น ลองปล่อยมันไปไหม? พวกพฤติกรรมนิ้วพันหนวดพันเส้นผมแก้เก้อ ABC Report ก็ออกมาบอกว่ามันยากจะเปลี่ยน แต่เราชวนให้คุณเลิกการยกมือขึ้นจับ ลูบ ม้วน พัน เส้นผมบ่อย ๆ เพราะไม่เพียงมันจะไม่โก้ แต่ยังเป็นการทำลายเส้นผมสวย
เบื่อไหม…เมื่อเราทำงานได้ดีแล้วเพื่อนหรือคนรู้จักมาพูดใส่หน้าเราว่า “ก็มึงมันเก่ง” “มึงมีพรสวรรค์” พูดถึงเรื่องนี้ทีไรก็อยากหันไปตบกบาลคนที่พูดแบบนั้น คนเราเดี๋ยวนี้พร้อมใจแปะฉลาก “พรสวรรค์” กลบความขี้อิจฉาและความขี้เกียจของตัวเองเมื่อพบว่าใครสักคนประสบความสำเร็จไม่ว่าจะในสาขาไหนก็รีบโบ้ยให้คำว่าพรสวรรค์กันทันที ความลำบากที่ลากมาจากวันแรกจนถึงวันที่สำเร็จกลายเป็นหยดเหงื่อที่มองไม่เห็นเพราะดันไปแห้งตรงเส้นชัย แต่ถ้าคุณเป็นคนที่ออกปากชมคนข้างเคียงว่ามีพรสวรรค์ และยืนยันว่าโลกนี้มันมีคนเก่งฟ้าประทานล่ะ เราก็ไม่ขอเถียงเรื่องนี้ แต่อยากให้ลองเปลี่ยนการตั้งคำถามหรือความคิดแบบนั้นเป็นการค้นหาวิธี STAND OUT ฉบับคนไม่มีพรสวรรค์แต่มีพรแสวงบ้าง เพราะคนที่ไม่ได้เก่งตั้งแต่แรกไม่ได้หมายความว่าจะเป็นคนขี้แพ้ตลอดไป อันที่จริงแล้วการลงทุนลงแรงอย่างจริงจังมันให้ผลดีไม่แพ้สิ่งที่ติดตัวมาจากท้องพ่อท้องแม่เหมือนกัน ด้วยเหตุผลต่าง ๆ ต่อไปนี้ พากเพียรนี่แหละตัวจริง อย่าเพิ่งเชื่อเสียงลือเสียงเล่าอ้างเรื่องการมีพรสวรรค์นัก เพราะหลายครั้งคนที่สำเร็จมาแบบโชคไม่ได้ยื่นมือช่วยก็มีหลายคน ไอดอลเทพของผู้ชายอย่างเราหลายคนก็เกิดเป็นดาวดังได้จากการทำงานหนักนี่แหละ ยกตัวอย่างไม่ไกลเป็นคนที่หลาย ๆ คนคุ้นหน้าอย่างบุคคลระดับตำนานหลายคน – Michael Jordan กว่าจะเป็นตัวจี๊ดในสายบาสเกตบอลยังเจอปฏิเสธมาเหมือนกัน รู้ไหมครั้งหนึ่งจอร์แดนยังเคยโดนเทจากทีมบาสเกตบอลจอร์แดนในโรงเรียนมัธยม? – ผู้สร้างแอนนิเมชั่น Walt Disney เจอจวกว่า “ไร้การริเริ่ม ด้อยจินตนาการ” จากหนังสือพิมพ์หัวหนึ่งที่ไล่เขาออก สุดท้ายก็ยัง “LET IT GO” ปล่อยของมาได้จนเป็นที่ยอมรับเรื่อยมาจนถึงตอนนี้ -Oprah Winfrey เจ้าแม่วงการสื่อผู้ทรงอิทธิพลที่โด่งดังจากการ์ทอล์คโชว์ในรายการ The Oprah Winfrey Show เจอแนะเชิงวิจารณ์ล่อเสียเจ็บว่า “ไม่เหมาะกับสายทีวี”
หากพูดถึง TOYOTA หลายคนอาจนึกถึงแบรนด์รถยนต์ แต่นอกจากนั้นแล้ว TOYOTA ยังมีธุรกิจอีกหลายแขนง ซึ่งหนึ่งในชื่อที่คุ้นหูกันมากหน่อยก็คือ ‘Toyota Tsusho’ ผู้นำธุรกิจชิ้นส่วนยานยนต์ ชิ้นส่วนอุตสาหกรรม เครื่องอุปโภค-บริโภค นำเข้า-ส่งออก ฯลฯ ที่ก่อตั้งร่วมกับบริษัทแม่ที่ญี่ปุ่นเมื่อ 60 ปีก่อน เป็นบริษัทที่ยึดคติในการทำงานตามแบบ Learning by doing เรียนรู้โดยลงมือทำ ได้เห็นภาพรวมการทำงานเข้าใจอย่างแท้จริง รวมทั้งการบริหารผู้ใต้บังคับบัญชาด้วยความเป็นกันเอง ให้ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ UNLOCKMEN มีโอกาสได้ร่วมพูดคุยกับ คุณก้อง – กณพ เชาว์วิศิษฐ ผู้บริหารหนุ่มรุ่นใหม่ ทายาทรุ่นที่ 3 แห่ง Toyota Tsusho (Thailand) เกี่ยวกับแนวคิดการบริหาร และการเรียนรู้อยู่เสมอ เพื่อปรับใช้ในการบริหารงานและบาลานซ์ชีวิตครอบครัวให้ประสบความสำเร็จทั้งสองด้าน ต้องบอกเลยว่าจากการพูดคุย ทำให้เราได้แนวคิดที่มีประโยชน์มากมาย ซึ่งสามารถนำไอเดีย มุมมองดี ๆ ไปปรับใช้ให้เข้ากับการบาลานซ์ชีวิตของพวกเรา เพื่อจะได้พัฒนาขีดความสามารถในการทำงาน และแบ่งเวลาส่วนตัวให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เมื่อได้ยินชื่อ Toyota สิ่งแรกที่นึกถึงคือแบรนด์รถยนต์สัญชาติญี่ปุ่นที่มีชื่อเสียงระดับโลก แล้วบริษัท Toyota Tsusho (Thailand) จำกัด นั้นมีความเกี่ยวข้องกันอย่างไร
ปฏิเสธไม่ได้ว่า ใคร ๆ ก็อยากมีธุรกิจของตนเอง อยากทำสิ่งที่เรารัก อยากมีบริษัท มีแบรนด์ของตัวเอง อยากมีชื่อเสียง แต่กว่าที่จะประสบความสำเร็จมีธุรกิจของตัวเองนั้น ชีวิตจริง มันอาจไม่ได้โรยไปด้วยดอกกุหลาบ ไม่ง่ายเหมือนหนังสือบนแผง ที่ชวนลาออกมาทำสิ่งที่เรารักให้สำเร็จได้ง่าย ๆ “ความมุ่งมั่น ความพยายามอย่างไม่หยุดยั้ง กล้าเผชิญกับปัญหา มีเป้าหมายที่ชัดเจน มีการวางแผนสู้เป้าหมายเป็นอย่างดีเป็นสิ่งจำเป็น” UNLOCKMEN เอง กว่าจะพยายามจนถึงวันนี้ ที่มีแฟนเพจใจดีติดตามมากมาย ก็ต้องใช้ความมานะพยายามอย่างเต็มที่ วันนี้เราจึงไม่พลาด ที่จะนำแนวคิดดี ๆ จากผู้ประกอบการรุ่นใหม่ที่ประสบความสำเร็จมาแชร์กัน ให้เป็นแรงบันดาลใจดี ๆ ในการเริ่มลงมือทำสิ่งที่ตั้งใจ ASK MY BRO : จากการได้ทำธุรกิจของตัวเองที่ผ่านมา มีบทเรียนหรือแนวคิดการทำธุรกิจอย่างไรให้ประสบความสำเร็จมาฝากคนรุ่นใหม่ ที่กำลังคิดอยากจะมีธุรกิจของตัวเองบ้าง ปิยพันธ์ วงศ์ยะรา, STOCK2MORROW เราอยู่ในยุคสวรรค์ของผู้บริโภค คือเมื่อมี Pain Point หรือปัญหาในการใช้ชีวิตอะไร ก็จะมีคนสร้างธุรกิจมาแก้ปัญหาตรงนั้นให้จบไป เป็นยุคของการเลิกบ่นเลิกตัดพ้อในปัญหาจุก ๆ จิก ๆ แต่สามารถเปลี่ยนปัญหาเป็นโอกาสในทางธุรกิจได้ ยุคที่ธุรกิจสามารถเติบโตเร็วในชั่วข้ามคืนพร้อม ๆ
กระแสของ Crypto Currency หรือสกุลเงินดิจิทัล โดยเฉพาะ Bitcoin กำลังเป็นที่พูดถึงกันหนาหู จากที่เป็นหัวข้อคุยเฉพาะชาวสตาร์ทอัพ หรือ Geek IT แต่ด้วยราคาที่พุ่งชนิดฉุดไม่อยู่ ทำให้ชื่อ Crypto Currency เป็นที่คุ้นหูของคนทั่วไปมากขึ้น แต่ข้อสงสัยต่างๆยังมีอยู่มาก เราจึงขอนำมาอธิบายให้เข้าใจพอสังเขปด้วยภาษาที่เข้าใจง่ายที่สุดดังนี้ Crypto Currency คืออะไร? คือเงินสกุลดิจิทัลที่ถูกสร้างขึ้นจากการเขียนโค้ดโปรแกรมจึงไม่สามารถจับต้องได้ ต่างจากสกุลเงินปกติที่มีตัวตนจริงๆผ่านเหรียญกษาปณ์และธนบัตร ผู้สร้าง ทำมันขึ้นเพราะอะไร? ผู้สร้าง Bitcoin คนแรก (ต้องบอกว่ายังไม่สามารถระบุตัวตนได้) มีความคิดว่าสกุลเงินปกติทั่วไป (ซึ่งเราเรียกกันว่า Fiat Currency)โดยเฉพาะดอลลาร์สหรัฐฯ “ไม่มีความน่าเชื่อถือ” เพราะสามารถพิมพ์ออกมาเท่าไรก็ได้ (จากการทำคิวอีหลังวิกฤตซับไพร์ม) และธนาคารกลางทั่วโลกก็สามารถบริหารจัดการค่าเงินตัวเองได้ไม่ให้แข็งค่าหรืออ่อนเกินไป ใช้ซื้อของได้จริงหรือ? ได้จริง หากร้านค้านั้นๆเปิดรับ ในประเทศไทยเองก็มีร้านอาหารสองร้านที่เปิดรับ Bitcoin ส่วนมากยังเป็นในต่างประเทศโดยเฉพาะญี่ปุ่นที่เปิดรับสกุลเงินดิจิทัล ที่พูดๆกันว่า “ขุด” หมายความว่าอย่างไร? คำว่าขุด ถูกเรียกให้เหมือนกับการขุดทองคำ ซึ่งเป็นสกุลเงินหรือสิ่งแลกเปลี่ยนที่นิยมกันในอดีต จริง ๆ แล้วการขุดคือการใช้การ์ดจอหรือ GPU นำมาใช้ประมวลผลเพื่อ “ถอดรหัส”
เราต่างประสบปัญหาหัวร้อนเป็นไฟกันมาแล้วเมื่อต้องถกเถียงกับใครอย่างดุเดือดผ่านทางช่องการสื่อสารออนไลน์ จนเราพากันคิดว่านี่เราตั้งสเตตัสอธิบายยาวเหยียดก็แล้ว ส่งข้อความไปคุยด้วยก็แล้ว ทำไมยังเถียงกันไม่จบ แถมอีกฝั่งก็ไม่ได้ดูมีทีท่าว่าจะเข้าใจเรามากขึ้นเลย UNLOCKMEN ขอเสนอตัวหยุดความหัวร้อนเป็นไฟไว้ให้ แล้วเอา 3 วิธีทำให้เขาฟังเราอย่างมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นมาฝาก 3 วิธีหยุดวามหัวร้อนเป็นไฟแล้วทำให้เขาหันมารับฟังเราอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ไม่ได้ถูกกำหนดขึ้นมาลอย ๆ แต่เป็นงานวิจัยที่ผ่านการศึกษามาแล้วอย่างจริงจังโดย Juliana Schroeder ผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านการจัดการองค์กรที่ Haas School of Business, University of California, Berkeley Juliana Schroeder ศึกษาเรื่องการมีข้อถกเถียงระหว่างกันโดยศึกษาคน 300 คน ซึ่งทั้ง 300 คนนั้นถูกขอให้ร่วมดู ร่วมฟัง และร่วมอ่านข้อถกเถียงต่าง ๆ เช่น เรื่องการทำแท้ง เรื่องสงคราม เรื่องเพลง (โดยอาจจะเป็นเรื่องที่เขาเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยก็ได้) ผลปรากฏว่าการถกเถียงกันแต่ละครั้งและมีแนวโน้มที่จะทำให้อีกฝ่ายหันมารับฟังเราหรือเข้าใจเราได้อย่างมีประสิทธิภาพนั้น ไม่ใช่การเถียงกันผ่านตัวอักษรอย่างการอ่านหรือเขียน แต่เป็นด้วยการดู การพูดหรือการฟังมากกว่า ข้อสรุปจากงานวิจัยของ Juliana Schroeder จึงมีความสำคัญต่อผู้ชายหัวร้อนอย่างเรามาก เพราะอย่างน้อยมันก็ทำให้เรารู้ว่าเราควรสื่อสารผ่านทางช่องทางไหนเมื่อต้องการโน้มน้าวใจคนที่เขาไม่เห็นด้วยกับเรา โดยเฉพาะการเจรจาทางธุรกิจ ก็จะเห็นได้ชัดเจนว่าคุณจะส่งข้อความคุยกันเฉย ๆ ไม่ได้
‘คุณถูกไล่ออก’ เราเชื่อว่าทุกคนคงไม่อยากที่จะได้ยินคำนี้ แต่ถ้าวันหนึ่งมันเกิดขึ้นกับตัวเราล่ะ จะทำอย่างไร เพราะชีวิตการทำงานไม่มีอะไรที่มันแน่นอนอยู่แล้ว ก่อนอื่นหากเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับตัวคุณ ขอให้ตั้งสติเสียก่อน อย่าคิดว่ามันเป็นจุดสิ้นสุดของชีวิต การโดนไล่ออก ให้ถือเป็นบทเรียนที่สำคัญอย่างหนึ่งในชีวิต ซึ่งบางครั้ง คนเราอาจจะซวยถึงขั้นต้องเจอกับเรื่องเหล่านี้บ้าง ซึ่งมันคงต้องแย่หรือซวยสุด ๆ แต่ถ้ามันเกิดขึ้น แล้วเรารู้ว่าสาเหตุมาจากอะไร ก็ขอให้ใช้มันเป็นบททดสอบในการพัฒนาตัวเองให้ก้าวไปสู่เส้นทางที่ดีกว่าเดิม เชื่อหรือไม่ว่าคนที่ประสบความสำเร็จหลาย ๆ คน ใช้วิกฤตจากจุดนี้เปลี่ยนเป็นโอกาส ถ้าเราอยากที่จะประสบความสำเร็จ บางครั้งก็ต้องละทิ้งความกลัว ความเสียใจ และเริ่มมองหาแง่ดีจากการถูกไล่ออกเพื่อใช้มันเป็นบทเรียนในการพัฒนาตัวเองให้ดีกว่าเดิมซะ Why Getting Fired is a Blessing ? ในทุก ๆ วันมีคนถูกไล่ออกจากงานที่ไหนซักแห่งในโลกเป็นเรื่องปกติ มันไม่ได้เกิดขึ้นกับคุณแค่คนเดียว และไม่ใช่คนสุดท้าย ถึงแม้ตอนนี้คุณจะรู้สึกมืดแปดด้าน มองไม่เห็นทางออก แต่ทำใจเย็น ๆ ไว้ก่อน ลองมาดู 6 ข้อดีที่มาพร้อมกับการถูกไล่ออก ท่ามกลางความผิดพลาดครั้งใหญ่ เราอาจจะยังพอศึกษาประโยชน์อะไรจากมันได้บ้างไม่มากก็น้อย Chance to Move On คนส่วนใหญ่เมื่อโดนไล่ออกมักจะมีแนวโน้มที่จะหยุดอยู่กับที่ ไม่พร้อมก้าวออกไปไหน หรือทำอะไรต่อไป ซึ่งเป็นผลจากการสูญเสียความมั่นใจครั้งใหญ่ อย่างไรก็ตาม