ไมค์ ไทสันอดีตแชมป์โลกรุ่นเฮฟวี่เวทวัย 54 ปี ประกาศเตรียมหวนคืนสังเวียนชกมวยอีกครั้งพร้อมจับคู่ชกกับยอดนักมวยอย่าง Roy Jones JR Iron Mike อดีตแชมป์โลกรุ่นเฮฟวี่เวทที่มีอายุน้อยที่สุดในโลกเตรียมกลับมาลงนวมชกมวยสากลอีกครั้งใน Exhibition Fight กำหนดการชก 8 ยกโดยคู่ต่อคู่ก็ไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจาก Roy Jones JR อดีตแชมป์โลกสถาบันหลัก 4 รุ่นที่ปัจจุบันอายุ 51 ปี แมตซ์การชกครั้งนี้ถือเป็นการโคจรมาพบกันของ 2 ตำนานนักมวยที่แม้จะมีอายุมากแล้วแต่ถือเป็นการจับคู่ในฝันของใครหลายคน เพราะฝีไม้ลายมือของทั้ง 2 คนต่างถูกยกให้เป็นสุดยอดของยุคสมัยในสไตล์ที่แตกต่างกันสิ้นเชิง โดยหากย้อนกลับไปมองผลในอดีต Mike Tyson เป็นเจ้าของสถิติการชก 58 ครั้งชนะ 50 และน็อกถึง 44 ครั้งผู้ ส่วน Roy Jones JR ก็ถูกรู้จักดีในฐานะหนึ่งในนักมวยที่มีทักษะการต่อยดีที่สุดของยุคสมัย การันตีด้วยสถิติการชก 75 ครั้ง ชนะ 66 ครั้งและสามารถน็อกคู่ต่อสู้ถึง 47 ครั้ง ปัจจุบันทั้ง 2
เคยรู้สึกว่าอยากมีความแข็งแกร่งสามารถยกของหนักๆ ได้ นานๆ แต่ขี้เกียจออกกำลังกายรึเปล่า? บริษัทผู้นำด้านเทคโนโลยีจากเยอรมัน อาจทำให้ฝันของเราเป็นจริงได้ เมื่อเร็วๆ นี้ ทางบริษัทได้เริ่มจำหน่ายชุดพาวเวอร์สูทตัวใหม่ ที่ช่วยพัฒนาการเคลื่อนไหว และเสริมพลังของผู้สวมใส่ให้สามารถยกของหนักได้มากขึ้นและนานขึ้นกว่าปกติ The 4th generation cray x ชุดสมาร์ทพาวเวอร์สูทรุ่นใหม่ของบริษัท german bionic ที่ผสมผสานสติปัญญาของมนุษย์กับพลังงานจักรกล ถูกผลิตขึ้นมาด้วยความตั้งใจที่ว่า จะช่วยลดความเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุในที่ทำงาน สมาร์ทพาวเวอร์สูทชุดนี้มาพร้อมกับ servo motors ประสิทธิภาพสูงที่จะช่วยเพิ่มความสามารถของผู้สวมใส่ให้สามารถยกของหนักสูงสุด 28 กก. พร้อมแบตเตอร์รี่ที่ใช้งานได้ยาวนานถึง 8 ชม. แต่ชุดนี้ก็ไม่ได้มีดีแค่ทำให้เรายกของหนักได้มากขึ้นเพียงอย่างเดียว มันยังมาพร้อมกับระบบอัพเดทซอฟแวร์อัตโนมัติ และระบบ Predictive Maintanance ที่จะช่วยให้เราแน่ใจได้ว่าสมาร์ทเวอร์สูทจะทำงานได้อย่างยาวนานที่สุด แถมผู้ใช้ยังสามารถเชื่อมต่อสมาร์ทพาวเวอร์สูทกับระบบของโรงงานอัจฉริยะ (smart factory) เพื่อกระตุ้น productivity สุขภาพ รวมถึงความปลอดภัยของคนงานได้อีกด้วย ความโดดเด่นอีกอย่างหนึ่งของสมาร์ทพาวเวอร์สูทชุดนี้ คือ มันมีส่วนประกอบของคาร์บอนไฟเบอร์ ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องความแข็งแกร่งที่มากกว่าเหล็ก แต่มีน้ำหนักเบา มันจึงเป็นวัสดุที่ได้รับความนิยมในอุตสาหกรรมการบินและอวกาศ (aerospace) รวมถึง การแข่งขัน Formula 1
ถ้าคิดถึงสิ่งประดิษฐ์ใหม่ ๆ ที่ดูไม่น่าเป็นไปได้ และไม่มีใครคาดคิดว่าจะมีคนสร้างมันขึ้นมา ว่ากันว่าสิ่งนั้นมักจะหาได้ในประเทศญี่ปุ่น ขึ้นชื่อว่าเย็นก็หนาวมาก แต่หน้าร้อนก็ร้อนจัดไม่ต่างจากบ้านเราเลย และมีท่าทีจะร้อนมากขึ้นเรื่อย ๆ ทุกปี นักประดิษฐ์แดนอาทิตย์อุทัยจึงไม่พลาดที่จะสร้างสรรค์ทางออกมหัศจรรย์อย่าง Reon Pocket อุปกรณ์สร้างความเย็นความร้อน หรือเรียกว่าเป็นทั้งแอร์ และฮีตเตอร์แบบพกพา ผลงานของ Startup Accelaration Progam by Sony ของญี่ปุ่น ดังนั้นเชื่อมือได้ว่าไม่ใช่ของไก่กาแน่นอน Reon Pocket portable thermoelectric cooling and heater ของ Sony รูปร่างหน้าตาดูคล้าย Magic Mouse ของ Apple มีขนาดเล็กแค่ราวบัตร ATM น้ำหนักเบาเพียง 85 กรัม สามารถทำความเย็นได้ต่ำสุดที่ราว 13 องศาเซลเซียส และเพิ่มความร้อนให้ได้มากที่สุด 8 องศาเซลเซียส จากอุณหภูมิร่างกายปกติ ซึ่งต้องใช้สอดเสียบเข้าไปในเสื้อที่ออกแบบให้มีช่องด้านหลังบริเวณคอของผู้สวมใส่ โดยอุปกรณ์จะเชื่อมต่อผ่าน Bluetooth ให้เราควบคุมอุณหภูมิที่ต้องการด้วย Smartphone
ฮัตโตริ ฮันโซ (Hattori Hanzo) ถูกพบในบันทึกทางประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นว่ามีตัวตนจริงในอดีต บ้างก็มาในรูปแบบตำนานเล่าขานที่ถูกส่งต่อกันแบบปากต่อปาก เอื้อนเอ่ยถึงความเก่งกาจยากจะหาใครเทียบได้ของเขา เพราะชายคนนี้เชี่ยวชาญเรื่องการเคลื่อนไหวในที่มืด รวดเร็วดั่งสายลม และถูกบรรจุชื่ออยู่ในกลุ่มขุนนางคนสำคัญของ อิเอยาสึ โทกุงาวะ (Ieyasu Tokugawa) โชกุนผู้ยิ่งใหญ่ในยุคสมัยเลื่องชื่ออย่าง “เซนโงกุ” ประวัติการเกิดของเขาไม่แน่นอนนัก ว่ากันว่าก่อนจะใช้ชื่อฮัตโตริ ฮันโซ เขามีชื่อจริง ๆ ว่า ฮัตโตริ มาซานะริ (Hattori Masanari) เกิดในปี 1542 เป็นบุตรชายของตระกูลหัวหน้ากลุ่มนินจาอิงะในเมืองอิงะ (Iga) ในจังหวัดมิเอะ (Mie) ที่ปัจจุบันกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมชื่อดังของญี่ปุ่น เมื่อหลายร้อยปีก่อนอิงะเป็นเมืองที่ขึ้นชื่อเรื่องการฝึกฝนเหล่านินจา ทำให้เขาเชี่ยวชาญศาสตร์การป้องกันตัวมาตั้งแต่เด็ก เด็กชายฮันโซสามารถชนะการประลองข้างถนนเมื่ออายุได้ 8 ขวบ ด้วยการใช้หอกยาว 4 เมตร ที่เด็กตัวเล็ก ๆ ไม่น่าจะควบคุมทิศทางของอาวุธได้ อย่างไรก็ตามเรื่องราวในวัยเด็กของเขายังไม่เคยได้รับการยืนยันแน่ชัด จากนั้นเข้าร่วมกองทัพของฝั่งโทกุงาวะตั้งแต่อายุ 16 ปี เนื่องด้วยบิดาของเขาเป็นขุนนางของปู่ของโชกุนอิเอยาสึ โทกุงาวะ เขาจึงได้รับราชการอย่างง่ายดาย ความสามารถอันโดดเด่นทำให้ฮันโซได้เลื่อนตำแหน่งในเวลารวดเร็ว มีบันทึกระบุว่าเราแทบจะหาข้อบกพร่องของชายคนนี้ไม่ได้เลย เขาเชี่ยวชาญทั้งการใช้ทวน เป็นนักวางแผนกลยุทธ์ให้กองทัพได้
ทุกคนที่เคยดู Nirvana เล่นคอนเสิร์ตใน MTV Unplugged วันที่ 18 พฤศจิกายน ปี 1993 ต้องจำภาพ Kurt Cobain กับกีตาร์ 1959 Martin D-18E ได้ติดตา ล่าสุดได้มีการนำกีตาร์ตัวนั้นออกประมูลเพื่อการกุศลผ่าน Julien’s Auctions website และมันถูกขายไปด้วยราคาสถิติถึง $6 ล้านเหรียญหรือราว 180 ล้านบาท กีตาร์ 1959 Martin D-18E Serial Number: 166854 กีตาร์ทรง Dreadnought ที่มีจุดเด่นเรื่องความ Balance ของโทนเสียง ซึ่งเป็นตัวที่ 7 จากจำนวนทั้งหมด 302 ตัวในโลก ถูกนำมาโมดิฟายสะพานและสลับสายใหม่สำหรับคนถนัดซ้าย บอดี้ทำจากไม้มะฮอกกานี เปิดประมูลราคาแรกที่ $1 ล้านเหรียญ และมีจำนวนผู้ร่วม bid 7 ราคา ซึ่งราคาที่สูงที่สุดอยู่ที่ $6,010,000
เป็นที่รู้กันทั่วโลกว่าเมื่อไหร่ที่ประชาชนทำผิดจะต้องถูกจับ พวกเขาจะถูกพิจารณาคดีเพื่อประเมินความผิด รับฟังข้อกล่าวหาให้รู้ว่าตัวเองจะต้องติดคุกนานไหม จากนั้นก็เตรียมละทิ้งชีวิตอิสระไปอยู่ในกรอบที่เรียกว่า ‘เรือนจำ’ ลืมโซเชียลเน็ตเวิร์ก ลืมแฟชั่นเท่ ๆ ไปให้หมด เพราะชุดที่จะต้องใส่หลังจากนี้คือชุดที่เหมือนกับนักโทษอีกหลายหมื่นคนที่อัดอยู่ในพื้นที่เดียวกัน หลายคนยอมผลจากการกระทำของตัวเอง อยู่ในคุกรอนับวันที่จะได้พบกับอิสรภาพอีกครั้ง แต่ชายนามว่า ชิราโทริ โยชิเอะ (Shiratori Yoshie) กลับรู้สึกต่างออกไป เขาคิดว่าตัวเองไม่สมควรติดคุก และด้วยความคิดไม่เห็นด้วยนี้เองที่ทำให้เขากลายเป็นตำนานนักแหกคุกสุดโหดของญี่ปุ่นออกมาได้หลายต่อหลายครั้งด้วยตัวคนเดียว ก่อนหน้านี้ชื่อของชิราโทริเคยปรากฏอยู่ใน UNLOCKMEN มาแล้ว ใน NIHON STORIES: “PRISON IN JAPAN” ระบบเรือนจำและการใช้ชีวิตแดนขังของนักโทษญี่ปุ่น กับเรื่องเล่าของคนคุกญี่ปุ่นที่มองจากมุมคนนอกอาจสะดวกสบายกว่าคุกหลายแห่งในโลก แต่ภายใต้ความสะดวกสบาย ข้าวอร่อย มีอ่างแช่ตัวแบบรวม พวกเขาต้องพบกับความกดดันทางอารมณ์อย่างมหาศาล และการกดดันทุกการกระทำอาจเป็นหนึ่งเหตุผลสำคัญที่ทำให้ชิราโทริไม่อยากอยู่ในเรือนจำอีกต่อไป ประวัติของชิราโทริ โยชิเอะ อาจคลาดเคลื่อนไปบ้างตามกาลเวลา มีบันทึกว่าเขามีชีวิตอยู่ในช่วง ค.ศ. 1907-1979 เป็นชาวอาโอโมริ จังหวัดทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของเกาะญี่ปุ่น สร้างชื่อด้วยการแหกคุกสี่ครั้ง สาเหตุที่ทำให้เขาต้องวนเวียนอยู่กับการเข้าคุกแหกคุกอยู่หลายครั้งเกิดขึ้นเมื่ออายุได้ 26 ปี ก็กลายเป็นแพะรับบาปในคดีฆาตกรรมและชิงทรัพย์ ชิราโทริยืนยันหนักแน่นว่าเขาไม่ได้สังหารใคร เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องการจับเขายัดเข้าคุกเพื่อให้เรื่องจบ ปิดคดีโดยไม่ต้องสืบสวนอะไรมาก (มุมมองนี้มาจากฝั่งของชิราโทริที่ยืนยันว่าตัวเองเป็นผู้บริสุทธิ์) เขาติดคุกครั้งแรกที่เรือนจำอาโอโมริในจังหวัดบ้านเกิด ไม่นานหลังถูกยัดเข้าห้องขัง
ความทุกข์ทรมานของมนุษย์คือการสูญเสียประสาทสัมผัสสำคัญ เหนือสิ่งอื่นใดคือการมองสิ่งรอบตัวหรือหน้าคนที่รักไม่เห็น โดยเฉพาะในกลุ่มคนที่ไม่ได้ตาบอดโดยกำเนิด แต่เกิดจากอุบัติเหตุรุนแรง ซึ่งเทคโนโลยีวันนี้ช่วยสร้างความหวังที่แสนยิ่งใหญ่ให้กับคนกลุ่มนี้มีโอกาสกลับมามองเห็นอีกครั้ง ด้วยการส่งทำการผ่าตัดระบบประสาท ส่งภาพผ่านกล้องเข้าไปสู่เปลือกสมองส่วนการเห็น (visual cortex) ตามหลักการแล้ว คนที่ไม่ได้ตาบอดโดยกำเนิด สมองส่วนการมองเห็นจะยังคงใช้งานได้ เพราะไม่ได้รับความเสียหาย เพียงแต่ไม่มีข้อมูลภาพถูกส่งเข้าไปให้ประมวลผลนั่นเอง ภายใต้แนวคิดนึ้ จึงเกิดเป็นแนวทางการรักษาด้วยเครื่องมือที่ชื่อ Orion ผลงานการร่วมพัฒนาของ Baylor Medical College และ University of California, Los Angeles ซึ่งใช้กล้องวีดีโอขนาดเล็กติดเข้ากับแว่นตา ส่งข้อมูลภาพที่แปลงเป็นสัญญาณไฟฟ้าเข้าสู่ตัวรับสัญญาณไฟฟ้าจำนวน 60 ตัว ที่ถูกผ่าตัดติดตั้งเข้าไปในส่วน Visual Cortex ด้านหลังของกระโหลกผู้ป่วย เป็นการ bypass ประสาทตาส่วนหน้าที่พังเสียหาย โดยไม่ต้องเสียเวลารักษาส่วนรับภาพด้านหน้าซึ่งยากจะแก้ไขได้ ที่ผ่านมามีการทดลองใช้ Orion กับอาสาสมัครผู้พิการทางสายตาจำนวน 6 ราย โดยให้จ้องมองไปที่ฉากสีดำ จากนั้นจึงฉายสี่เหลี่ยมสีขาวบนฉากแบบสุ่มตำแหน่ง และให้อาสาสมัครชี้ไปที่ตำแหน่งสี่เหลี่ยมสีขาวนั้น พบว่าทุกคนสามารถชี้ตำแหน่งได้ถูกต้องอย่างมีนัยสำคัญ พิสูจน์ว่าการกระตุ้น Visual Cortex ให้เปิดรับแสงสว่างนั้นสามารถทำได้จริง “ผลที่ได้รับอาจจะฟังดูเล็กน้อยสำหรับคนทั่วไป แต่การมองเห็นแสงสีขาวในโลกที่มืดมิดสนิท ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญ
อเมริกา ประเทศที่ชูความอิสรภาพของประชาชนเป็นสำคัญ แต่มันอาจจะเป็นเพียงแค่คำพูดที่ต้องการจะสื่อสารกับคนบางกลุ่ม เพราะถ้าดูในหน้าประวัติศาสตร์ของอเมริกันชน การเหยียดเผ่าพันธุ์สีผิว ได้ถูกฝังรากลึกแน่นอย่างเรื้อรังเกินกว่าที่พวกเราจะจินตนาการได้ และผู้มีอำนาจที่ยึดติดกับอุดมการณ์ขาวนำ ก็ถูกฝังรากลึกอยู่ในระดับบริหารของหลายหน่วยงาน รวมไปถึงในรัฐบาล ภาพที่สะท้อนการแบ่งแยกสีผิวอย่างเปิดเผยของอเมริกา เกิดขึ้นในปี 1925 เมื่อสมาชิก Ku Klux Klan (KKK) กลุ่มองค์กรขนาดใหญ่ American white supremacist ขวาจัด ที่เชื่อในความเหนือกว่าของผิวขาว รวมตัวกันในช่วงยุคปลาย 1860’s เพื่อต่อต้านความเท่าเทียมกันของคนผิวดำด้วยความรุนแรงและการฆาตกรรม และแพร่กระจายถึงจุดสูงสุดครอบคลุมไปทั่วประเทศในยุคที่สองของ KKK ช่วงกลางปี 1920’s ว่ากันว่ายุคนี้มีสมาชิกมากถึงหลักล้านคน โดยสื่อในยุคนั้นขนานนามระดับองค์กรที่ยิ่งใหญ่ของ KKK ว่า “invisible empire” ยุคนั้น Ku Klux Klan มีอิทธิพลมาถึงขนาดที่สามารถแทรกซึมกฎหมาย 1924 Immigration Act โดยบังคับไม่ให้ชาวยิว รวมถึงชาวเอเซียเข้าเมืองอย่างถูกกฎหมายได้ รวมถึงบังคับใช้กฎหมาย Sterilization laws หรือการสั่งให้ผู้หญิงผิวดำต้องทำหมัน และห้ามหนังสือเรียนลงข้อมูลเสีย ๆ หาย ๆ เกี่ยวกับผู้นำ KKK
หลังจากเฝ้ารอมานาน ในที่สุด Black Mirror Season 6 ก็ออกฉายแล้ว ไม่ใช่บน Netflix หรือจอทีวี แต่เป็นโลกที่พวกเราอาศัยอยู่นี่แหละ Black Mirror ซีรีส์ดังบน Netflix เกี่ยวกับอนาคตของสังคมสมัยใหม่ที่จะเปลี่ยนไปอย่างเลวร้ายเนื่องจากเทคโนโลยี ซึ่งค่อนข้างจะดาร์คปวดหัวชวนเครียดเกือบทุกตอน และหลายครั้งมันก็เกิดขึ้นในโลกแห่งความเป็นจริงภายในเวลาไม่นาน ก่อนหน้านี้ Charlie Brooker ผู้สร้างเคยให้สัมภาษณ์ในช่วง Coronavirus เกี่ยวกับ Season 6 ว่า ยังไม่มีแพลนจะสร้างเร็ว ๆ นี้ เพราะสถานการณ์ในโลกก็โหดร้ายมากพอแล้ว จนไม่คิดว่าจะเป็นเวลาที่ผู้คนจะมีอารมณ์ดูอะไรดาร์ค ๆ เพิ่มอีก แน่นอนว่าหลายคนต่างบอกว่า ตอนนี้พวกเราก็เหมือนอยู่ในโลกของ Dark Mirror เรียบร้อยแล้ว ไม่ว่าจะเป็นโรคระบาดที่ทำให้ทุกคนต้องอยู่แต่ในบ้านดูจอต่าง ๆ แบบ Virtual, การตรวจจับหน้าและให้ Social Score ในประเทศจีน, ตำรวจทหารใช้ drone และหุ่นยนต์ในการลาดตะเวน, แรงงานเถื่อนที่ต้องดูโฆษณาออนไลน์จำนวนมากแลกเงิน หรือการประท้วงที่กลายเป็นความรุนแรงที่ปลุกระดมไปทั่วประเทศผ่าน Social media Advertising
ถ้าพูดถึงซามูไรที่โด่งดังที่สุดบนหน้าประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น แทบทุกครั้งจะต้องมีชื่อของ มิยาโมโตะ มุซาชิ (Miyamoto Musashi) อยู่ด้วยเสมอ เขาคือตำนานที่คนเล่าแบบปากต่อปากว่าเป็นยอดซามูไรผู้ไม่เคยพ่ายแพ้ในการประลองสักครั้ง เป็นนักรบที่คิดค้นเพลงดาบเป็นของตัวเอง เชี่ยวชาญด้านอักษรศาสตร์ ศิลปะ เป็นนักวางกลยุทธ์ยอดเยี่ยม แถมยังเชี่ยวชาญเรื่องการจัดสวน จนไม่อยากจะเชื่อว่าคนคนเดียวมีความสามารถหลายด้านได้ขนาดนี้ UNLOCKMEN จะพาย้อนเวลากลับไปยังญี่ปุ่นราว 400 ปีก่อน พบเจอกับเด็กหนุ่มที่มุ่งมั่น จริงจัง เต็มไปด้วยความฝัน เปี่ยมด้วยพรสวรรค์เรื่องเพลงดาบจนกลายเป็นนักรบที่มีเรื่องราวยิ่งใหญ่ไว้เล่าขานให้คนรุ่นหลังฟังดั่งยอดซามูไรคนอื่น ๆ หรืออาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ เรื่องราววัยเด็กของมุซาชิมีเส้นเรื่องหลากหลาย แต่ละเรื่องเล่าแทบไม่สามารถตรวจสอบได้ด้วยซ้ำว่าจริงหรือไม่ แต่ตำนานที่ถูกลือตรงกันมากที่สุดคือ เด็กชายมุซาชิเกิดที่จังหวัดฮาริมะ (Harima) ในปี 1584 ตอนเป็นเด็กเล็กมักถูกพ่อที่ทำอาชีพชาวไร่เรียกว่า “เบนโนะสุเกะ” (Bennosuke) เป็นเด็กที่เติบโตมาท่ามกลางธรรมชาติเงียบสงบ สวยงาม ในเมืองเล็ก ๆ ที่ห่างไกล ไม่มีใครรู้ว่าเขาออกจากบ้านเพราะอะไร แต่มุซาชิเริ่มจับดาบไม้ตั้งแต่เด็ก ร่ำเรียนวิชากับโรนินหรือซามูไรพเนจรนามว่า อาริมะ คิเฮ จากสำนักดาบชาชิมาชินโตริว พออายุได้ 13 ปี เริ่มประลองฝีมือกับอาจารย์จริงจังครั้งแรก มุซาชิมีนิสัยใจร้อน กล้าหาญไม่เกรงกลัวกับสิ่งใด เด็กชายไม่สามารถประเมินความสามารถของตัวเองเลยเถิดจนพลั้งมือสังหารอาจารย์ ไม่รู้ว่าเหตุผลนี้หรือเปล่าที่ทำให้มุซาชิชอบอยู่คนเดียว ไม่สุงสิงกับใครเท่าไหร่นัก ตลอดชีวิตของมิยาโมโตะ
ขึ้นชื่อว่าเป็นแบรนด์ Smartphone ที่มีรุ่นย่อยออกมาเยอะจนจำไม่ไหว แต่สำหรับ Samsung Galaxy S20 เวอร์ชั่นล่าสุดนี้ถือว่าไม่ธรรมดา เพราะมันเป็น Galaxy S20 ที่ถูกสร้างขึ้นมาแบบ mission-ready military smartphone มาพร้อมความทนทานระดับปฏิบัติการ และ Application ที่ถูกพัฒนามาเป็นพิเศษสำหรับทหารโดยเฉพาะ Samsung Galaxy S20 Tactical Edition smartphone สำหรับใช้ในทางทหารโดยเฉพาะ ที่จริงแล้วมันคือ Samsung Galaxy S20 หน้าจอ 6.2 นิ้ว OLED display Snapdragon 865 processor Ram 12 GB storage 128 GB ที่เรา ๆ ใช้กันอยู่นี่แหละ แต่ผ่านการติดตั้ง Software ใหม่ ที่มีฟังก์ชันและระบบความปลอดภัยทั้งการส่งและรับข้อมูลที่ปลอดภัยแน่นหนา ใส่มาในเคสพิเศษ Juggernaut case ผู้เชี่ยวชาญด้านการผลิตเคสสำหรับอุปกรณ์
ในตอนนี้หลายคนคงคิดถึงการออกไปนั่งดื่มด่ำบรรยากาศของแสงไฟนีออนตัดกับความมืดยามค่ำคืน คิดถึงการสังสรรค์วงเหล้าเคล้าเสียงหัวเราะของกลุ่มเพื่อน คิดถึงเบียร์สด โซจู หรือสาเกเย็นฉ่ำ ๆ พร้อมกับแกล้มชวนน้ำลายสอ ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่พวกเราเหล่าสุภาพบุรุษต่างหลงรัก ซึ่งวัฒนธรรมการดื่มสไตล์ญี่ปุ่นที่มีชื่อว่า อิซากายะ (Izakaya) ก็มีเรื่องราวน่าสนใจชวนให้หลงใหลไม่แพ้กับสุราหวานฉ่ำรอคอยอยู่ในร้านเหล้าขนาดกำลังดี ญี่ปุ่นถือเป็นประเทศที่ขึ้นชื่อเรื่องการดื่มมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ย้อนกลับไปยังยุคสมัยอันเก่าแก่ก่อนยุคเอโดะ การค้าขายสุราของชาวญี่ปุ่นมักเป็นการซื้อกลับไปกินที่บ้าน หรือตั้งแผงไว้ให้พ่อค้ากับแม่ค้ายืนคุยกันแบบสั้น ๆ ไม่นิยมนั่งเหมือนปัจจุบัน เพราะพื้นที่ร้านส่วนใหญ่คับแคบ แถมในร้านขายสุรายังไม่มีการเสิร์ฟเหล้าพร้อมกับแกล้มแก้หิวเหมือนตอนนี้ เมื่อญี่ปุ่นเข้าสู่ยุคเอโดะอันรุ่งเรืองทั้งการค้า การเมือง และศาสนา (ค.ศ. 1603-1868) มีเรื่องราวของต้นกำเนิดอิซากายะที่หลากหลายเกิดขึ้นในยุคนี้ แต่เรื่องเล่าที่ได้ยินบ่อยสุดคงหนีไม่พ้นเรื่องพ่อค้าสาเกหัวหมอ เขาพยายามทำให้การขายของตัวเองมีความน่าสนใจกว่าร้านสุราเจ้าอื่น ด้วยการเปิดแผงให้ลูกค้าชิมก่อนตัดสินใจซื้อ เมื่อมีลูกค้าสนใจก็จะนำเสนอเมนูพิเศษทำจากวัตถุดิบท้องถิ่นไว้กินแกล้มสาเกที่เขาขาย กลายเป็นว่าวิธีการขายของอันชาญฉลาดของพ่อค้าสาเกทำให้ซามูไรยอดนักรบ ขุนนาง พ่อค้าหัวใส ไปถึงชายแก่ขี้เมาต่างตบเท้าเข้าสู่ร้านเหล้าของเขา ยุคหลังซามูไรและระบบขุนนางดั้งเดิมถูกปรับเปลี่ยน ไม่มีนักรบที่เต็มไปด้วยเกียรติภูมิอีกต่อไป ในยุคเมจิ อิซากายะได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายมากขึ้นกว่าเดิมพร้อมกับการปฏิรูปประเทศให้ทันสมัยตามแบบชาติจะตะวันตก ผู้ชายหลายคนชื่นชอบนั่งมองบรรยากาศตอนกลางคืน บางคนมาตั้งวงกับเพื่อน เปลี่ยนวันที่น่าเบื่อให้น่าสนใจยิ่งขึ้น ในปี 1970 อิซากายะไม่มีลูกค้ากลุ่มอื่นเลยนอกจากพนักงานออฟฟิศกินเงินเดือน มองไปยังร้านไหนเราจะเห็นมนุษย์เงินเดือนพากันจับจองที่นั่งในร้านจนคนอื่น ๆ แทบไม่มีโอกาสแทรกตัวไปนั่งจิบสาเกได้เลย บางคนมานั่งดื่มทุกวันจนเป็นขาประจำ มีพนักงานออฟฟิศไม่น้อยรีบกอบโกยความสุขระยะสั้นจนนอนสลบอยู่หน้าร้านหรือตามทางเดิน แถวถังขยะหรือบริเวณสถานีรถไฟก็มีให้เห็นอยู่บ่อย ๆ สาเหตุที่พนักงานออฟฟิศยุค 1970