VF Corporation ชื่อนี้หลายคนอาจไม่คุ้นมากนัก แต่ถ้าบอกว่าเป็นบริษัทเจ้าของแบรนด์ดังระดับโลกอย่าง Vans, The North Face, Timberland, Dickies ก็คงจะไม่สงสัยว่าทำ Supreme ถึงมีความเป็นไปได้สูงมาก ว่ากำลังอยู่ในระหว่างเจรจาปิดดีลมูลค่า $2.1 Billion USD หรือ 64,260,000,000 บาท ดีลมหากาพย์ของแบรนด์ Street ระดับยักษ์ใหญ่ Supreme ซึ่งมีบริษัทลงทุน The Carlyle Group และ Goode Partners เตรียมขายหุ้นในมือให้กับ VF Corporation โดย James Jebbia ผู้ก่อตั้ง Supreme ตัวจริงก็ได้ยืนยันว่า แม้จะมีการเปลี่ยนบริษัทผู้ถือหุ้นจริง แต่ Supreme ก็จะยังคงเป็น Supreme การทำงานจะยังคงเหมือนเดิมทุกอย่างโดยไม่ต้องกังวลว่าจะมีการควบคุมจาก VF Corporation “เราเคย Collab กับเกือบทุกแบรนด์ของ VF Corporation มาแล้ว ไม่ว่าจะเป็น
เชื่อว่าข่าวการปิดเว็บไซต์ Pornhub คงส่งผลกระทบถึงผู้ชายไทยหลายคนพร้อมชวนให้ตั้งคำถามว่าทำไมเว็บหนังผู้ใหญ่ที่คนไทยสามารถเข้าชมมาตลอดจึงถูกเลือกปิดกั้นในเวลานี้ ส่งผลให้มีความคิดเห็นรวมถึงเหตุผลต่าง ๆ ถูกส่งเสียงสะท้อนตามมาซึ่งมีทั้งคนที่เห็นด้วยและไม่เห็นแตกต่างกันออกไป ที่ผ่านมาเราอาจรู้จัก Pornhub ในฐานะเว็บไซต์หนังผู้ใหญ่เบอร์หนึ่งที่รวบรวม Adult Content หลากหลายรสนิยมอย่างไรก็ตามไม่ได้มีเพียงผู้ชายเราเท่านั้นที่เข้าไปใช้บริการ เพราะผลสำรวจก็แสดงให้เห็นว่าผู้หญิงและ LGBT ก็มีเปอร์เซ็นต์เข้าชม Pornhub ในจำนวนที่น่าสนใจไม่แพ้กัน แต่ขณะที่ทุกคนต่างเพ่งเล็งไปยังสินค้าหลักของ Pornhub นั้นคือ “หนังผู้ใหญ่” ในเวลาเดียวกันเว็บไซต์ชื่อดังแห่งนี้ยังมีอีกด้านของการทำงาน ไม่ว่าจะเป็นการผลิต Sex Content แนวใหม่ รวมไปถึงแคมเปญต่าง ๆ ที่มีประโยชน์ต่อสังคมซึ่งที่ผ่านมามีโปรเจกต์อะไรที่น่าสนใจบ้าง วันนี้มาทำความรู้จักโลกอีกด้านของ Pornhub ไปพร้อมกันได้เลย หนังผู้ใหญ่ ใส่ใจธรรมชาติ ย้อนกลับไปในปี 2019 ช่วงเวลาที่ทั่วโลกเริ่มตระหนักถึงผลกระทบของขยะพลาสติกต่อระบบนิเวศทางทะเล Pornhub ตัดสินใจเลือก Outdoor Sex หรือ การมีกิจกรรมทางเพศนอกสถานที่ เข้ามาช่วยนำเสนอแคมเปญรักษ์โลกที่ชื่อว่า The Dirtiest Porn Ever The Dirtiest Porn Ever เป็นหนึ่งผู้ใหญ่ที่สร้างขึ้นมาโดยมีจุดประสงค์คือ ต้องการให้ผู้ชมเล็งเห็นถึงปัญหาที่เกิดขึ้นจากขยะพลาสติก โดยเฉพาะต่อระบบนิเวศของทะเลซึ่งหลายแห่งต้องสูญเสียความสวยงามไปเพราะขยะเหล่านี้
UNLOCKMEN เชื่อว่าหลายคนจะต้องรู้จักหรือเคยได้ยินชื่อของ อิโตะ จุนจิ (Ito Junji) หรือที่คนส่วนใหญ่เรียกว่า ‘อิโต้ จุนจิ’ กันสักครั้ง ในตอนนี้เขาได้กลายเป็นนักเขียนมังงะสยองขวัญที่ระดับปรมาจารย์ของญี่ปุ่นไปเสียแล้ว ด้วยลายเส้นละเส้นเรื่องที่อ่านแล้วชวนให้คลื่นเหียน บางครั้งอ่านแล้วก็รู้สึกไม่สบายใจปนวิตกกังวล เมื่ออิโต้พาผู้อ่านทั้งหลายมาถึงจุดสิ้นสุดของเรื่อง ก็ยังทำให้เราตกตะกอนกับสิ่งที่อ่านได้อย่างไม่ยากเย็น จนพานให้ตั้งคำถามว่า ‘แล้วชายที่ขึ้นชื่อว่าเชี่ยวชาญเรื่องขนหัวลุกแบบนี้ จะมีชีวิตที่โลดโผนแตกต่างจากคนอื่นหรือไม่ ?’ ชีวิตก่อนจะกลายเป็นนักเขียนชื่อดัง เริ่มต้นจากเดินชายธรรมดาที่เกิดในวันที่ 31 กรกฎาคม 1963 ในจังหวัดกิฟุที่อยู่ระหว่างเมืองหลวงเก่ากับเมืองหลวงใหม่อย่างเกียวโตกับโตเกียว บ้านที่เขาโตมาในวัยเด็กเป็นบ้านขนาดเล็ก ไม่ได้อยู่ท่ามกลางบรรยากาศสวยงาม ไม่ได้อยู่ในตัวเมืองแต่อยู่ใกล้กับอุโมงค์ใต้ดินที่เต็มไปด้วยกลิ่นอับชื้น รวมถึงแขกเหรื่ออย่างสารพัดสัตว์ และแมลงไม่พึงประสงค์ หากทุกคนจะเข้าห้องน้ำต้องเดินออกมาจากตัวบ้าน การขับถ่ายในยามค่ำคืนคือสิ่งไม่พึงประสงค์ลำดับต้น ๆ ของเด็กชาย อิโต้ต้องทำธุระในห้องน้ำกับบรรยากาศชวนขนลุก พลางดูฝูงจิ้งหรีดจำนวนมากกระโดดไปมา สักพักก็ต้องใช้ตาคอยมองหาว่าจะมีจิ้งจกหรือสัตว์มีพิษชนิดอื่นที่ไม่ได้รับเชิญหรือไม่ เชื่อเลยว่าห้องน้ำกับบรรยากาศรอบบ้านเป็นอีกส่วนสำคัญที่ผลักดันศักยภาพเรื่องความสยองขวัญให้กับเขา อิโต้เริ่มสนใจงานเขียนและการ์ตูนสยองขวัญจากการที่ดูพวกพี่สาวอ่านผลงานของ คาซึโอะ อุเมะซึ (Kazuo Umezu) และชินอิจิ โคกะ (Shinichi Koga) ที่ในเวลานั้นพวกกลายเป็นนักวาดการ์ตูนสยองขวัญระดับแนวหน้า พอเห็นพวกพี่สาวพูดคุยถกเถียงกันบ่อยเข้า เขาก็เริ่มหยิบนิตยสารการ์ตูนมาอ่านบ้างเพื่อจะได้ตามบทสนทนาทัน พอเริ่มอ่านงานประเภทนี้มากขึ้นเรื่อย ๆ อิโต้รู้สึกว่ามันไม่ได้น่ากลัวอย่างที่หลายคนรู้สึก ซ้ำยังสนุกสนาน มองเห็นมิติหลากหลายที่ซ่อนอยู่ในเนื้อเรื่อง
วันอาทิตย์ที่ 25 ตุลาคมที่ผ่านมา ประวัติศาสตร์อีกหนึ่งหน้าของวงการรถสูตร 1 หรือ Formula 1 ได้ถูกเขียนขึ้นใหม่หลังจากที่ ลูอิส แฮมิลตัน (Lewis Hamilton) แชมป์โลก 6 สมัยได้คว้าชัยชนะครั้งที่ 92 ในชีวิตจากการ Portuguese Grand Prix ส่งผลให้เขากลายเป็นมนุษย์ที่มีสถิติคว้าชัยชนะมากที่สุดในสังเวียน Formula 1 แซงหน้าตำนานอย่าง มิคาเอล ชูมัคเกอร์ (91 ครั้ง) ไปเป็นที่เรียบร้อย และดูเหมือนว่าสถิติใหม่จะยังมีเวลาให้สร้างต่อไปได้อีกหลายปี อย่างไรก็ตาม นอกจากแง่มุมชีวิตของการเป็นนักแข่งรถล้อเปิดที่เร็วที่สุดในโลก ลูอิส แฮมิลตันยังถือเป็นนักกีฬาอีกคนที่มีแนวคิดและการวางตัวนอกสนามที่น่าสนใจมาก ๆ และวันนี้เราจะขอพาทุกคนมาทำความรู้จักแง่มุมชีวิตด้านต่าง ๆ ของนักแข่งรถ F1 คนนี้ให้มากขึ้น มาดูกันว่านอกจากความเร็วเกิน 300 กิโลเมตร/ชั่วโมงแล้ว ชีวิตของชายคนนี้ยังมีมุมไหนที่น่าสนใจอีกบ้างเรื่องแรกที่ต้องพูดถึงคือความสำเร็จของในสนามแข่งของ ลูอิส แฮมิลตัน โดยผลงานที่น่าประทับทั้งหมดที่ผ่านล้วนเป็นผลมาจากการฝึกซ้อมที่และระเบียบวินัยที่ตัวเขาและคุณพ่อช่วยกันฝึกฝนมาตั้งแต่วัยเด็ก แต่หนึ่งในจุดเริ่มต้นสำคัญของชายคนนี้คือ ความถ่อมตัวที่ซ่อนเอาไว้ซึ่งความมั่นใจในเวลาเดียว ย้อนกลับไปปี 1995 ลูอิส แฮมิลตันในวัย 10 ปี
การตั้งอาณานิคมใหม่นอกโลกเคยเป็นเพียงเรื่องที่เราดูผ่านภาพยนตร์ SCI-FI หรือจินตนาการเอาตอนเล่นกับเพื่อนสมัยเด็ก ๆ เท่านั้น แต่เมื่อมวลมนุษยชาติเดินทางมาถึงปี 2020 เรื่องราวการย้านถิ่นฐานไปดาวอื่น ทั้งเทคโนโลยีการเดินทาง ไปจนถึงความพยายามพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและที่อยู่อาศัยให้มนุษย์ออกไปใช้ชีวิตนอกดาวเคราะห์สีน้ำเงินก็ไม่ใช่เรื่องฝันเพ้ออีกต่อไป แม้ดาวอังคารดูจะเป็นดาวที่มนุษย์สนใจจะย้ายถิ่นฐานไปอยู่มากที่สุดดาวหนึ่ง โดยเฉพาะเมื่อมหาเศรษฐีระดับโลกอย่าง Elon Musk แถลงข่าวว่าเขาจะสร้างเมืองที่พึ่งพาตัวเองได้ 100% บนดาวอังคาร มนุษย์จะใช้ชีวิตอยู่ได้โดยไม่ต้องใช้พลังงานใด ๆ จากโลก โดย Starship ยานอวกาศที่ถูกคิดค้นมาเพื่อทำภารกิจนี้จะเริ่มเดินทางราว ๆ ปี 2024 ที่กำลังจะมาถึง แต่ดวงจันทร์ก็เป็นดาวอีกดวงหนึ่งที่ NASA เห็นศักยภาพ นั่นจึงเป็นที่มาของโครงการ Artemis ภารกิจเดินทางไปกลับดวงจันทร์ของ NASA ซึ่งภารกิจนี้ไม่ใช่การเดินทางระยะสั้นต้องการการตั้งฐานแบบถาวรบริเวณขั้วใต้ของดวงจันทร์ โดยไม่ใช่แค่เพื่อปฏิบัติภารกิจการสำรวจเท่านั้น แต่ Artemis Base Camp จะเป็นรากฐานสำคัญทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และเศรษฐกิจบนดวงจันทร์ในอนาคตอีกด้วย แม้ความต้องการสร้างโครงสร้างพื้นฐานและที่อยู่อาศัยบนดวงจันทร์จะชัดเจน แต่โจทย์ที่ท้าทายเหล่านักบุกเบิกอวกาศคือการที่สภาพพื้นผิวดวงจันทร์นั้นไม่สามารถนำอุปกรณ์ก่อสร้าง หรือยานพาหนะหนัก ๆ ลงจอดได้เลย เครน รถบรรทุก รถถมดิน ฯลฯ ที่มีส่วนสำคัญในการก่อสร้างบนดาวเคราะห์สีน้ำเงินจึงไม่อาจใช้ในการก่อสร้างบนดวงจันทร์ได้ เทคโนโลยีเครื่องพิมพ์
หากเอ่ยถึงนักแสดงชื่อว่า โอกุริ ชุน (Oguri Shun) หลายคนอาจจะยังไม่รู้จักหรือนึกไม่ออกว่าชุนที่ว่าหน้าตาเป็นอย่าง แต่พอเอ่ยว่า “คนที่เล่นเป็น ทาคิยะ เก็นจิ” หนุ่ม ๆ สายลุยที่ชื่นชอบหนังชาวแยงกี้ญี่ปุ่นจะต้องร้องอ๋ออย่างแน่นอน เพราะคุณจะต้องเคยเห็นเขาสักครั้งและนึกในใจว่า ‘ไอหมอนี่แม่งเท่ว่ะ’ เหมือนกับเราแน่นอน วันนี้ UNLOCKMEN จะเล่าเรื่องราวแต่ละก้าวกว่าโอกุริ ชุน จะกลายเป็นนักแสดงชายที่ได้รับบทเป็นตัวละครจากการ์ตูนบ่อยที่สุดคนหนึ่งในวงการภาพยนตร์ญี่ปุ่น เขาก็ต้องสั่งสมประสบการณ์ เล่นได้ทุกบทบาทตั้งแต่พระเอก ตัวร้าย แมลงสาบ ต้องรับฟังคำวิจารณ์ร้าย ๆ เก็บเกี่ยวบารมีเรื่อยมาไม่ต่างจากนักแสดงระดับตำนานคนอื่น ทีวีซีรีส์เรื่องแรกในชีวิตของชุนคือเรื่อง Hachidai Shogun Yoshimune (1995) แต่ฝีมือการแสดงของเขาฉายแววกับผลงานเรื่อง ‘GTO คุณครูพันธุ์หายาก’ (GTO: Great Teacher Onizuka ปี 1998) กับบทบาท โยชิกาวะ โบรุ เด็กชายที่ถูกรังแก สะท้อนถึงสังคมด้านมืดในโรงเรียนญี่ปุ่น จากนั้นในปี 2000 เล่นเป็นผู้มีความผิดปกติทางด้านการได้ยิน (หูหนวก) ในเรื่อง Summer Snow ความสามารถด้านการแสดงของเขายอดเยี่ยมไม่น้อยไปกว่าหน้าตาที่ถูกชมเชยอยู่เสมอ
ดาบคาตานะญี่ปุ่นคือความงดงามที่ทำให้ชายหนุ่มจำนวนมากรู้สึกหลงใหล บางคนหลงรักรูปลักษณ์อันเป็นเอกลักษณ์ บางคนชื่นชมความคมกริบที่ตวัดเพียงครั้งเดียวก็สามารถบั่นคอศัตรูจนกระเด็น หลายคนชื่นชอบตำนานเรื่องเล่าของดาบที่ผ่านการต่อสู้อย่างโชกโชนจนมีอายุเป็นร้อยเป็นพันปี และมีดาบญี่ปุ่นอยู่เล่มหนึ่งที่ขึ้นชื่อในเรื่องของความบ้าคลั่งคล้ายกับถูกปีศาจสิงสู่อยู่ในดาบ ซึ่งอาวุธที่ว่านั้นมีชื่อว่า ‘มุรามาสะ’ หากใครชื่นชอบอ่านมังงะที่เล่าเรื่องเกี่ยวกับซามูไร ดาบญี่ปุ่น หรือเล่นเกมที่อิงประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นมักจะต้องเคยได้ยินชื่อสำนักตีดาบมาซามุเนะ (Masamune) ที่ตีดาบ ‘มิคาสึกิ มาเนะจิกะ’ ที่อยู่ในตระกูล 5 ดาบใต้หล้า และ สำนักมุรามาสะ (Muramasa) กันสักครั้งแน่นอน เพราะดาบสองเล่มนี้คือดาบที่เกิดมาคู่กันและในเวลาเดียวกันก็เป็นศัตรูกัน เพราะอุดมการณ์ที่แตกต่างของผู้ครอบครองทำให้ดาบสองเล่มไม่มีวันมาบรรจบกันได้ ย้อนกลับไปยังญี่ปุ่นสมัยโบราณ ตระกูลช่างตีดาบมาซามุเนะเป็นสำนักตีดาบที่ถูกนับหน้าถือตาในสังคม ทว่าต่อมา ‘เซ็นโง มุรามาสะ’ (Sengo Muramasa) ที่อยู่ในสำนักมาซามุเนะตัดสินใจแยกตัวออกมาตั้งสำนักตีดาบเป็นของตัวเองโดยใช้ชื่อว่า ‘มุรามาสะ’ ช่างตีดาบสองสำนักนี้ไม่ต่างอะไรกับพี่น้อง พวกเขาต่างเรียนรู้เคล็ดลับของกันและกัน แล้วเมื่อการตีดาบชั้นยอดสำเร็จเสร็จสิ้น พวกเขาก็มักนำดาบของตัวเองมาประลองเพื่อดูว่าคมดาบของใครจะยอดเยี่ยมกว่ากัน ดาบของมุรามาสะขึ้นชื่อเรื่องใบมีดคมกริบ แข็งแรง หนักแน่น และจับเข้ามือ ทว่าดาบชั้นดีกลับกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งขบวนการต่อต้านโชกุนผู้ยิ่งใหญ่อย่างอิเอะยาสุ โทกุงาวะ และเหล่าข้าราชบริพาร นอกจากดาบคาตานะ อาวุธทุกชนิดไม่ว่าจะเป็น มีด ง้าว หอก ปืน หรืออะไรก็ตามที่ผลิตจากสำนักมุรามาสะก็ถูกสั่งห้ามมีไว้ในครอบครองเพราะคำสาปที่ติดมากับอาวุธเหล่านี้จะทำให้บ้านเมืองวินาศฉิบหาย จนถูกเรียกว่าคาตานะต้องสาป (妖刀) ชาวญี่ปุ่นโบราณเชื่อเรื่องคำสาปและคำทำนาย มีเสียงลือเสียงเล่าอ้างต่อ ๆ
ผู้อ่านหลายคงเป็นแฟนทีมกีฬาฟุตบอลสักทีม ไม่ว่าจะเป็น chelsea liverpool ฯลฯ และคงเคยเชียร์ทีมที่ตัวเองชอบอย่างสุดใจเวลาชมการแข่งขันต่างๆ แต่รู้ไหมว่า การเชียร์กีฬาที่ลุ้นหนักๆ ก็อาจส่งผลเสียต่อหัวใจของเราได้เช่นกัน และงานวิจัยหลายชิ้นก็พบว่า การได้เห็นทีมที่ตัวเองเชียร์แพ้อาจทำให้เรามีความเสี่ยงต่อหัวใจวายมากขึ้น ในบทความนี้ UNLOCKMEN เลยอยากมาแนะนำวิธีการป้องกันตัวไม่ให้การเชียร์กีฬาทำร้ายหัวใจเรา เพื่อที่จเราจะได้ชมกีฬาที่เราชื่นชอบไปได้อีกนานๆ ทำไมเราถึงใจเสียเมื่อเห็นทีมฟุตบอลที่ตัวเองเชียร์เล่นแพ้ ? แม้การชมกีฬาจะเน้นความบันเทิงเป็นหลัก แต่ถ้าเราเป็นแฟนตัวยงของทีมฟุตบอลสักทีม และทีมนั้นเล่นแพ้ อารมณ์รุนแรงที่เกิดขึ้นอาจส่งผลเสียต่อหัวใจของเราได้ ซึ่งเรื่องนี้ได้รับการรับรองจากงานวิจัยหลายชิ้น เช่นมหาวิทยาลัย Medical University of Bialystok ที่พบว่า ความเครียดและผลกระทบทางจิตใจที่เกิดจากการเห็นทีมฟุตบอลพ่ายแพ้ สามารถกระตุ้นให้เกิดโรคหัวใจได้ ผ่านการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างผลงานการเล่นของทีมฟุตบอล Jagiellonia Bialystok และการแอดมิทภาวะหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน ซึ่งทีมวิจัยได้สำรวจผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน และได้รับการแอดมิทที่โรงพยาบาลของมหาวิทยาลัย Medical University of Bialystok จำนวน 10,529 คน ในระหว่างปี ค.ศ.2007 – 2018 ซึ่งผู้ป่วยทั้งหมดมีอายุเฉลี่ยราว 66 ปี และ 62% เป็นเพศชาย ในช่วงของการวิจัย ทีมฟุตบอล
วันหนึ่ง Kyle Burgess ชาวสหรัฐฯ ในรัฐยูทาห์ ได้ออกจากบ้าน เผื่อมาวิ่งบนภูเขา วันนั้นน่าจะเป็นวันที่เขาได้ออกกำลังกายชิลๆ ถ้าไม่เจอกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันซะก่อน! เมื่อเขากำลังวิ่งในหุบเขา Slate Canyon ที่อยู่ใกล้เมือง Provo ของรัฐยูทาห์ โดยที่ไม่ทันตั้งตัว เขาก็โดนสิงโตภูเขาเพศเมีย หรือที่เรียกกันว่า คูการ์ (cougar) ไล่ตามเป็นเวลากว่า 6 นาที ซึ่งเขาได้ถ่ายคลิปตอนที่เผชิญหน้ากับมันไว้ด้วย “Go away! I’m big and scary!” ถ้อยคำที่ Burgress พูดใส่ cougar เพื่อขู่ให้มันเลิกตามเขา ซึ่งในขณะที่เขาโดนมันไล่ตาม เขาก็เดินถอยหลัง เพื่อเผชิญหน้ากับมันตลอดเส้นทางโดยที่ไม่หันหลังให้มันเลย สุดท้าย เมื่อเขาเห็นว่ามันไม่ได้ผล จึงได้รวบรวมความกล้า และปาหินใส่สิงโตตัวเมียตัวนั้น และมันก็วิ่งหนีไปในที่สุด UNLOCKMEN เห็นว่าเหตุการณ์นี้น่าสนใจ เลยอยากพูดถึงวิธีการเอาตัวรอดจาก cougar ที่ถูกต้องซะหน่อย เพื่อให้ทุกคนสามารถเอาชีวิตรอด เวลาไปเที่ยวบนภูเขาที่เต็มไปด้วยสัตว์ป่ามากมาย cougar ดุร้ายแค่ไหน? Cougar เป็นคำเรียกสิงโต หรือ
ระหว่างที่รอวันได้พบเจอกับ generation ใหม่ของ Subaru WRX STI ที่คาดว่าจะใช้ต้นแบบการดีไซน์ไม่หนีจาก 2020 Subaru Levorg STI ที่เปิดตัว concept ไปก่อนหน้านี้ Subaru ก็ได้ปล่อยโปรเจคพิเศษที่โหดระห่ำที่สุดของ STI เท่าที่เคยมีมาเลยทีเดียว โปรเจคนี้ก็คือรถ custom WRX STI ที่ Subaru ร่วมกับ Hoonigan จับมือกันสร้างรถ Gymkhana car คันใหม่สำหรับ Subaru Motorsports USA driver, Travis Pastrana นักขับผู้มีประสบการณ์เกือบครบทุกสนามแข่ง ตั้งแต่ rally, rallycross, supercross, freestyle motocross, NASCAR, หรือแม้แต่ stunt driving ซึ่งจะมาขับผาดโผนใน Gymkhana series ใหม่ให้กับ Hoonigan แทนที่ Ken Block ซึ่งถ้าใครจำสองผลงานแรกของ
ช่วงนี้หลายคนอาจกำลังอินกับการเป็น Imposter หรือ Crewmantes ในเกม Among Us กันอยู่ วันนี้เราเลยอยากนำเสนอเรื่องของ แฟรงก์ อบาเนล (Frank Abagnale) อดีตนักต้มตุ๋นชื่อดังระดับโลกชาวอเมริกัน ซึ่งในช่วงอายุ 15 – 21 ปีที่เขาก่อคดี เขาได้ปลอมตัวเป็นคนอื่นที่มีอาชีพแตกต่างกันมากถึง 8 ครั้ง ไม่ว่าจะเป็น นักบิน กุมารแพทย์ ทนายความ ฯลฯ โดยที่เขาไม่มีความรู้ในสายอาชีพเหล่านี้เลย อบาเนล มีพรสวรรค์ด้านการหลอกลวงตั้งแต่เด็ก โดยตอนที่เขาอายุ 16 ปี หลังที่เขาได้หนีออกจากบ้าน เพราะพ่อแม่ของเขาหย่าร้างกัน เขามีเงินติดตัวเพียง 200 เหรียญฯ สหรัฐ แต่ด้วยไหวพริบในการหลอกลวง ทำให้เขาสามารถกอบโกยเงินจากการนำเช็คปลอมไปขึ้นเงินที่ธนาคารได้ถึง 4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ !! และเมื่อทางการสหรัฐฯ เริ่มไหวตัวเรื่องเช็คปลอม อบาเนลก็เริ่มคิดหนีออกจากประเทศ ผ่านการปลอมตัวเป็นผู้ช่วยนักบินของสายการบิน Pan American World Airways (Pan Am)
ปัจจุบันหากเราพูดถึง สตูดิโอจิบลิ (Studio Ghibli) จะไม่ใช่แค่คนยุค 90s ที่รู้จักการ์ตูนจากสตูดิโอนี้อีกต่อไป เพราะสตรีมมิงชื่อดังอย่าง Netflix นำผลงานของสตูดิโอจิบลิเข้ามาในระบบให้คนทุกเพศทุกวัยได้เลือกชมกันตามใจ ซึ่ง UNLOCKMEN เคยเล่าแอนิเมชัน 21 เรื่อง ของจิบลิไว้แล้วใน NIHON STORIES: อมยิ้ม เหงาหว่อง และร้องไห้จนหมดมากกับแอนิเมชันของ STODIO GHIBLI ทว่ามีการ์ตูนหนึ่งเรื่องของค่ายที่ไม่ได้เข้าฉายแต่กลายเป็นสุดยอดผลงานที่ถูกพูดถึงมากที่สุด ซึ่งการ์ตูนเรื่องนั้นคือ ‘สุสานหิ่งห้อย’ (Grave of the Fireflies) ของยอดผู้กำกับ ทาคาฮาตะ อิซาโอะ (Takahata Isao) ทาคาฮาตะ อิซาโอะ ไม่ได้เป็นเพียงแค่ผู้กำกับที่กำกับการ์ตูนเรื่องสุสานหิ่งห้อยเท่านั้น เขายังกำกับเรื่อง ‘เจ้าหญิงกระบอกไม้ไผ่’ (The Tale of Princess Kaguya) ‘ในความทรงจำไม่มีวันจาง’ (Only Yesterday) ‘ยามาดะ ครอบครัวนี้ไม่ธรรมดา’ (My Neighbors the Yamadas) และ