เชื่อว่าหลายคนน่าจะรู้จักกระบะหน้าตาแปลก Tesla Cybertruck ผลงานล่าสุดของ Elon Musk กันไปเรียบร้อยแล้ว และน่าจะได้เห็นคลิปโชว์พละกำลังของมันจากการทำ Tug War ระหว่างสองรุ่นใหญ่ Cybertruck vs Ford F-150 Pick Up Truck ซึ่งผลก็คือ Cybertruck ลาก F-150 ปลิวไปตามแรงราวกับลากปุยนุ่น ผลที่ตามมาจึงเหมือนกับที่หลายสื่อคาดการณ์เอาไว้ นั่นคือดราม่าที่ต่างออกมาชี้ว่าผลการทำ Tug War ครั้งนี้โคตรจะไม่แฟร์เลยครับคุณ Musk ล่าสุดทาง Vice President ของ Ford, Sunny Madra, ที่เห็นภาพ Ford F-150 โดนกระทำชำเราแบบผิด ๆ ก็ออกมาปกป้องศักดิ์ศรีรถ Pick Up ของตัวเองทันที พร้อมท้าทาย Elon Musk ผ่านการ Tweet อย่างดุเดือดว่า “Hey Elon Musk, send
อาชีพนักรีวิวกัญชากำลังเป็นอาชีพในฝันของหนุ่มสาย ๆ เขียวทั่วโลก หลังจากเว็บไซต์แนะนำผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับกัญชาในสหรัฐอเมริกาเสนอค่าเหนื่อยหลักเก้าหมื่นบาทต่อเดือน แลกเปลี่ยนกับการทดสอบผลิตภัณฑ์จากกัญชาและเขียนรีวิว American Marijuana เว็บไซต์ทางการแพทย์และวิจัยเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์จากกัญชา กำลังมองหาพนักงานตำแหน่งผู้รีวิวผลิตภัณฑ์กัญชา โดยมีหน้าที่ทดสอบสินค้าพืชสายเขียวต่าง ๆ ในแต่ละวัน ไม่ว่าจะเป็นกัญชาสำหรับสูบเพื่อสันทนาการ, กัญชาไฟฟ้า, น้ำมันกัญชา ไปจนถึงอาหารต่าง ๆ ที่มีส่วนผสมของกัญชา เพื่อทดสอบสาร CBD และ THC จากการใช้ผลิตภัณฑ์แบบต่าง ๆ เรื่องที่ทาง American Marijuana ให้ความสำคัญมากที่สุด คือการเขียนรีวิวอย่างตรงไปตรงมา รวมถึงมีช่วงเวลาที่ต้องอยู่ต่อหน้ากล่องวิดีโอเพื่อบันทึกภาพซึ่งจะไม่ถูกเปิดเผย เพื่อดูว่าสินค้าแต่ละชนิดมีผลต่อพฤติกรรมต่าง ๆ ของผู้รีวิวอย่างไร เพื่อนำข้อมูลมาตัดสินใจว่าผลิตภัณฑ์ตัวไหนมีความโดดเด่นและตัวไหนต้องพัฒนาต่อไป คุณสมบัติของผู้ที่มีสิทธิ์สมัครงานในตำแหน่งนี้ จะต้องมีอายุมากกว่า 18 ปี สุขภาพแข็งแรงและไม่มีโรคประจำตัว โดยผู้สมัครจะต้องมีวิดีโอแนะนำตัวที่เล่าความหลงใหลที่มีต่อกัญชาความยาว 60 วินาที (ในแอปพลิเคชัน) ซึ่งจะผูกกับบัญชีโซเชียลมีเดียเพื่อแสดงจำนวนผู้ติดตามของผู้สมัคร ทางบริษัทเสนอค่าเหนื่อยตอบแทนเป็นเงิน 3,000 ดอลลาร์สหรัฐ/เดือน คิดเป็น 47,000 ดอลลาร์สหรัฐ/ปี หรือคิดเป็นเงินประมาณ 1,410,000 บาท โดยจะมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่จะผ่านการคัดเลือก ซึ่งจะประกาศชื่อผู้โชคดีในวันที่
ค่ำคืนหนึ่งในเยอรมนีที่เงียบสงบดูเหมือนว่าทุกอย่างจะผ่านไปด้วยดีเหมือนทุกวัน แต่แล้วเมื่อรุ่งเช้าชาวเมืองตื่นขึ้นมาพบกับกำแพงลวดหนามที่ฉีกประเทศให้แยกออกจากกัน เพียงข้ามคืนการเดินทางอย่างอิสระไปทั่วประเทศถูกปิดกั้นเพราะอุดมการณ์ที่แตกต่างช่วงสงครามเย็น UNLOCKMEN อยากพาทุกคนย้อนเวลากลับไปยังยุคสมัยแห่งความตึงเครียดอย่างสงครามเย็นที่ทำให้เยอรมนีแตกออกเป็นสองฝั่ง แต่ใต้ความเครียดอันกดดันแสนหดหู่ก็ยังมีเรื่องเท่ ๆ เกิดขึ้นฝั่งเยอรมนีตะวันออก เมื่อเหล่าปัญญาชนและผู้คิดนอกกรอบจะไม่ยอมอยู่ภายใต้เผด็จการอีกต่อไป การต่อต้านของเหล่าขบถมีหลายแบบ แต่สิ่งที่รวมคนหลากกลุ่มในเยอรมนีทั้งเด็กนักเรียน เด็กเกเร คนทำงานที่ไม่ชื่นชอบระบอบการปกครองที่ตัวเองกำลังเผชิญอยู่คือเสียงดนตรีและวงดนตรีที่เต็มไปด้วยเอกลักษณ์อย่างพังก์ (Punk) เมื่อพังก์กลายเป็นสัญลักษณ์ของเหล่าขบถ กำแพงลวดหนามถูกเปลี่ยนเป็นกำแพงใหญ่คล้ายม่านเหล็ก ระเบิดจำนวนมากถูกวางไว้นอกเขตพร้อมกับการคุ้มกันหนาแน่น มีหอสังเกตการณ์ของพลซุ่มยิง เพื่อให้แน่ใจว่าคนทั้งสองฝั่งไม่เล็ดลอดสายตาแอบไปมาหาสู่กันโดยไม่ได้รับอนุญาต ผู้คนที่ต้องใช้ชีวิตอยู่ในเยอรมนีตะวันออกอย่างเลี่ยงไม่ได้ต้องการชีวิตเสรีภาพดั่งเคยมีมาตลอด หลาย ๆ คนออกมาแสดงความคิดเห็น ออกมาชุมนุมกันเพื่อเรียกร้องขอเสรีภาพแต่ก็ต้องล้มเหลวไปทุกครั้งเพราะผู้มีอำนาจทำเป็นมองไม่เห็นเสียงเหล่านี้ เมื่อพูดคุยกันอย่างปัญญาชนไม่สำเร็จ พวกคนที่พยายามเรียกร้องจากการชุมนุมประท้วงก็ยังคงเดินหน้ากันต่อ แต่บางคนมองว่าสุดท้ายคนเบื้องบนก็ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นต่อไปอยู่ดี พวกเขาจึงหันเดินลงสู่ใต้ดินและทำอะไรนอกกรอบกันบ้าง วัยรุ่นหลายคนที่ชำนาญการช่างหันมาแต่งรถซิ่งสร้างแก๊งเพื่อขับรถก่อกวนเจ้าหน้าที่ทั่วเมือง เหล่าศิลปินที่ไม่สามารถเข้าไปแสดงดนตรีได้ดังเดิมหันมาจัดงานคอนเสิร์ตผิดกฎหมายผ่านการชักชวนกันแบบปากต่อปาก บางครั้งจัดคอนเสิร์ตเถื่อนในโบสถ์ บ้างก็เปลี่ยนไปจัดในชั้นใต้ดินของร้านเล็ก ๆ ตามตรอกที่ไม่มีใครสนใจ และไม่ลืมถ่ายวิดีโอเก็บไว้และส่งเทปบันทึกภาพเหล่านั้นให้คนในเยอรมนีตะวันออกที่ไม่ได้ไปดูคอนเสิร์ต การกระทำนอกกรอบของกลุ่มต่อต้านสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้คนห่อเหี่ยวหลังม่านเหล็กได้อย่างน่าอัศจรรย์ เมื่อความห่ามอันบ้าคลั่งของเหล่าวัยรุ่นและนักดนตรีรู้ไปถึงหูของผู้มีอำนาจ สิ่งที่ตามมาคือกฎระเบียบเข้มงวดขึ้นกว่าเดิม กลุ่มเครือข่ายดนตรีพังก์ใต้ดินของเยอรมนีตะวันออกถูกจับตามองโดยรัฐบาลเผด็จการ แม้จะมีศิลปินตั้งหลายแนวที่แอบจัดคอนเสิร์ตผิดกฎหมายแต่ทำไมวงพังก์ถึงถูกจับตามองเป็นพิเศษ ? นั่นเป็นเพราะวงดนตรีพังก์เปี่ยมด้วยเอกลักษณ์อันแตกต่าง การแต่งตัวจัดจ้าน บุคลิกพร้อมเผชิญหน้า รวมถึงบทเพลงเต็มไปด้วยอารมณ์ ความหมายของเนื้อเพลงที่บอกเล่ารุนแรง ส่วนพังก์จากเกาะอังกฤษมีเนื้อเพลงที่ว่าด้วยอนาคต สังคมและเศรษฐกิจที่พร้อมก้าวไปข้างหน้า แต่ปัญหาที่ผู้คนในเยอรมนีตะวันออกกำลังเผชิญมันตรงกันข้ามกับบทเพลงพังก์แบบอังกฤษอย่างสิ้นเชิง พวกเขาตกงาน ถูกกดขี่ ไม่มีเวลามานั่งนึกถึงอนาคตสว่างไสวอันแสนไกลเหมือนคนอังกฤษ สิ่งเหล่านี้หลอมรวมให้วงพังก์ในเยอรมนีตะวันออกมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวมากกว่าที่ไหน ๆ ด้วยความร้อนแรงแบบนี้จึงไม่แปลกที่ผู้มีอำนาจมองว่า
SWATCH (สวอท์ช) เปิดตัวสำนักงานใหญ่อย่างเป็นทางการ ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงสร้างแบบไม้ที่ใหญ่ที่สุดของโลก หลังการก่อสร้างอย่างยาวนานและพิถีพิถันกว่า 5 ปี พร้อมเผยโฉมให้เห็นถึงการออกแบบและคัดสรรวัสดุก่อสร้างที่ถูกคิดมาอย่างละเอียดอ่อนและหลักแหลม โดย Shigeru Ban สถาปนิกชาวญี่ปุ่น ผู้ชนะรางวัลพริตซ์เกอร์ (Pritzker Prize) ที่เรียกได้ว่าเปรียบเสมือนรางวัลโนเบลทางด้านสถาปัตยกรรม อาคารทรงโค้งแปลกตา ความยาว 240 เมตร สะท้อนแสงแดดเป็นประกายเห็นถึงความสง่างามที่ถูกวางพาดกลางเมือง Biel ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ดีไซน์สุดแหวกแนวนี้เปลี่ยนสำนักงาน หรือออฟฟิศแบบเดิมๆ ให้กลายเป็นที่ปลุกจินตนาการของพนักงานและผู้คนที่สัญจรไปมา ทั้งยังผสมผสานแรงบันดาลใจในการสร้างเข้ากับสิ่งแวดล้อมรอบตัวเมืองอย่างลงตัวราวกับงานศิลปะ เปลือกภายนอกอาคาร ครอบคลุมพื้นที่กว่า 11,000 ตารางเมตร รอบอาคาร ทั้งด้านในและด้านนอกถูกออกแบบให้เกิดมิติที่มีความหลากหลายทางสถาปัตยกรรม พิเศษที่การผสมผสานระหว่างดีไซน์และนวัตกรรม ด้วยการวางแพทเทิร์นซ้ำๆ สลับกับวัสดุที่ต่างกันออกไปบนโครงสร้างเปลือกทำจากไม้สนลายกริด (Grid Facade) ไม่ว่าจะเป็นไม้ หรือกระจกที่โค้งไปตามสรีระโครงสร้างของตัวอาคาร ตอกย้ำความละเอียดและประณีตด้วยการใช้ไม้สนเป็นวัสดุสำคัญของโครงสร้าง ที่มีความแข็งแรง ทนทาน ในขณะเดียวกันกลับมีน้ำหนักที่เบาและให้สีอ่อน สบายตา เปลือกลายกริดถูกยึดกันด้วยคานกว่า 4,600 ชิ้น โดยแต่ละช่อง หรือกริด (Grid) ถอดฟอร์มมาจากทรงรังผึ้ง (Honeycomb) ที่ประกอบกันกว่า 2,800
คุณเคยเห็นคนโดนมัดไหม? น่าจะเคย แล้วคุณเคยเห็นคนโดนมัดแล้วดูมีความสุขปนงดงามหรือเปล่า? คุณอาจสงสัยว่าเมื่อเรือนร่างถูกพันธนาการด้วยเส้นเชือกทบแล้วทบเล่า เนื้อถูกบีบ เรือนร่างถูกเน้น แล้วเราจะรู้สึกเป็นสุข รู้สึกงดงามหรือแม้กระทั่งรู้สึกราวกับถูกปลดปล่อยได้อย่างไร? มนุษย์เราคงไม่อาจถูกปลดปล่อยจากการมัดได้ ถ้าไม่ได้รู้จักชิบาริ (Shibari) ศิลปะแห่งเส้นเชือกจากแดนอาทิตย์อุทัย และหากว่าคุณยังไม่เคยรู้มาก่อนว่าชิบาริคืออะไร NIHON STORIES จะพาคุณดำดิ่งไปในศาสตร์และศิลป์นี้ไปพร้อม ๆ กัน การใช้เชือกพันธนาการร่างกายเพื่อลงโทษ จุดเริ่มต้นของการนำเชือกมาพันธนาการร่างกายมนุษย์ของชาวญี่ปุ่นไม่ได้เริ่มต้นมาจากเรื่องเซ็กซ์ แต่เริ่มมาจากการมัดเพื่อลงโทษ โดยใช้ศิลปะการป้องกันตัวแบบโบราณที่เรียกว่า โฮโจจุตสึ (Hojojutsu) มาพันธนาการนักโทษทั้งชาย-หญิง เชลยศึกต่างเมือง ตัวประกัน และภรรยาหรือบุตรสาวของขุนนางระดับสูงที่ทำความผิด ซึ่งการมัดจะเริ่มมีบันทึกแน่ชัดช่วงยุคมุโรมาจิ (Muromachi-jidai) แต่แพร่หลายมากในยุคเอโดะ เหตุที่ต้องใช้เชือกมามัดแทนการจับผู้กระทำผิดยัดเข้าตารางเป็นเพราะญี่ปุ่นในช่วงเวลานั้นขาดแคลนทรัพยากรเหล็ก การใช้เหล็กต้องสงวนไว้สำหรับของจำเป็นจริง ๆ เท่านั้น ทำให้คุกแน่นหนามีไม่มากในญี่ปุ่น เชือกจึงกลายเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดแทนการขังนักโทษไว้ในลูกกรงเหล็ก จุดมุ่งหมายหลักของการมัดของชาวญี่ปุ่นสมัยโบราณคือ พยายามทำให้ผู้ถูกมัดรู้สึกอับอายคล้ายกับว่าถูกประจาน ผู้ถูกมัดจะรู้สึกทรมานและอยากได้รับการปลดปล่อยจากพันธนาการเร็ว ๆ ซึ่งการมัดเพื่อลงโทษจะสามารถแบ่งระดับความรุนแรงได้ 4 ขั้น ตามแต่โทษหนักเบา เริ่มจากระดับแรกคือมัดแล้วโบย ระดับต่อมาคือการมัดแล้วปาหินใส่ ระดับที่สามหนักขึ้นมาอีกด้วยการจับนักโทษมามัดเชือกให้แน่นมากขึ้นกว่าเดิม ให้ร่างกายงอเหมือนกุ้งจากนั้นนำไปแขวนเพื่อประจานให้อับอาย ส่วนระดับสุดท้ายจะต้องมัดให้แน่นหนาดิ้นไม่หลุดและทำให้ผู้ถูกมัดรู้สึกทรมานที่สุด แต่ต้องไม่ให้เชือกทำให้ร่างกายนักโทษถึงขั้นหลอดเลือดอุดตันหรือทำลายเส้นประสาท แม้ถูกมัดทิ้งไว้เป็นเวลานาน ซึ่งข้อบังคับเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าการมัดเพื่อลงโทษของคนญี่ปุ่นสมัยโบราณก็มีกฎที่เคร่งครัด เป็นศาสตร์ที่ไม่ใช่การมัดอย่างไรก็ได้ตามใจ
สำหรับคนที่ชื่นชอบการดูภาพยนตร์คงไม่มีใครไม่รู้จักหรือเคยได้ยินชื่อของ มาร์ติน สกอร์เซซี (Martin Scorsese) ผู้กำกับหนังชื่อดังที่สร้างภาพยนตร์ สารคดี รายการโทรทัศน์มาแล้วกว่า 60 เรื่อง ใคร ๆ ก็ชื่นชมเขา ใคร ๆ ต่างก็นับถือเขา แต่ในตอนนี้เขากลับต้องเจอกับคำวิจารณ์ของสังคมครั้งใหญ่เพราะเขาบอกว่าหนังของ Marvel เป็นแค่สวนสนุก และทำให้เราต้องคิดตามว่า ‘แล้วหนังแบบไหนถึงจะเรียกว่าภาพยนตร์ที่แท้จริงได้บ้าง ?’ บางคนอาจยังสับสนว่า มาร์ติน สกอร์เซซี เป็นใคร เขามีผลงานโด่งดังอะไรบ้างที่ทำให้กลายเป็นตำนาน และทำไมมุมมองเกี่ยวกับภาพยนตร์ของเขาสามารถสร้างผลกระทบให้กับวงการภาพยนตร์ได้มากมายขนาดนี้ UNLOCKMEN จะพาไปทำความรู้จักกับผู้กำกับชื่อดังคนนี้ให้มากขึ้น เพราะการสร้างสรรค์ผลงานผ่านการกำกับและงานเขียนสามารถทำให้เรารู้ลึกถึงความคิดของคนคนหนึ่งได้ ความสำเร็จของ MARTIN SCORSESE ก่อนสกอร์เซซีจะก้าวขึ้นมาเป็นผู้กำกับหนังที่มีอิทธิพลต่อวงการฮอลลีวูด เขาแจ้งเกิดจากภาพยนตร์เรื่อง Mean Streets (1973) บอกเล่าสังคมของผู้คนและกลุ่มผู้มีอิทธิพลในโลกใต้ดินเมืองนิวยอร์กผ่านเด็กเก็บค่าคุ้มครอง แม้มีงบทำหนังจำกัดมาก ๆ แต่สกอร์เซซีทำให้ผู้คนเห็นว่าเรื่องเงินไม่ใช่ปัญหาหลักในการสร้างภาพยนตร์ที่ดี จากนั้นต่อด้วยเรื่อง Taxi Driver (1976) ชายผู้ผ่านสงครามเวียดนามที่เป็นโรคนอนไม่หลับเลยมาขับแท็กซี่ตอนกลางคืน แต่สุดท้ายจับพลัดจับผลูวางแผนฆ่าผู้ท้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ด้วยการกำกับอันแยบคาย ดนตรีประกอบสไตล์แจ๊สที่ส่งผลต่อความรู้สึกของผู้ชมเพราะเป็นผลงานสุดท้ายของ Bernard Herrmann นักดนตรีประพันธ์ดนตรีประกอบชื่อดัง
สังคมโลกปัจจุบันกำลังพัฒนาอย่างก้าวกระโดดและเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เมื่อเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) หรือ AI ถือกำเนิดขึ้นบนโลก โดยเฉพาะเมื่อมนุษย์เริ่มนำ AI มาปฏิรูปสังคม สนับสนุนการใช้เหตุผล หรือส่งเสริมความรู้สารพัดด้าน แทบปฏิเสธไม่ได้เลยว่าตอนนี้ AI เข้ามามีบทบาทสำคัญทั้งในโลกดิจิทัล การทำงาน หรือแม้แต่ในชีวิตประจำวันของผู้ชายเรา ไม่ว่าจะเป็น AI ออกแบบเว็บไซต์, AI ด้านกฎหมาย, AI ที่สร้างเนื้อหาการตลาดออนไลน์ หรือแม้แต่ AI ในรูปแบบเสียงอย่าง Siri ของ Apple ที่หนุ่ม ๆ คุ้นเคยดี ด้วย Deep Learning ที่เป็นความสามารถหลักทำให้ AI คิด วิเคราะห์ และประมวลผลข้อมูลได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ ช่วยให้มนุษย์อย่างเราใช้ชีวิตได้สะดวกสบายยิ่งขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นความชาญฉลาดสุดทึ่งของสมองกลยังช่วยสาวบริสุทธิ์ ที่ตกเป็นเหยื่อการค้ามนุษย์ให้พ้นจากอันตรายได้อย่างไม่น่าเชื่อ MOLLY สาวบริสุทธิ์ที่ถูกทำร้าย Molly เป็นสาวเอสคอร์ต (Escort) ที่ได้รับฉายาว่า “New Bunny” แห่งเมืองแอตแลนตาในรัฐจอร์เจียของสหรัฐฯ เธอแสดงเปลื้องผ้าเพื่อสร้างความสุขทางเพศให้กับผู้ชายมานักต่อนัก แต่ใต้ฉากหลังของการแสดงวาบหวิวบนเว็บไซต์ลามก
“คนเราตายไปก็เอาอะไรไปไม่ได้” เป็นประโยคคลาสสิกที่เราได้ยินกันมาตั้งแต่เด็กจนโต จริงอยู่ว่าคนตายเอาอะไรติดตัวไปไม่ได้ ทรัพย์สินเงินทองที่เคยหามาได้ก็ต้องกองเอาไว้ที่เดิม แต่สำหรับคนตายบางคน ไม่ได้เป็นแบบนั้น ต่อให้สิ้นลมหายใจคุณก็ปล้นสมบัติของเขาไปไม่หมด เพราะพวกเขาดันมีรายได้หลักล้านเข้ามาไม่ขาดสายน่ะสิ! ล่าสุด Forbes นิตยสารอันดับ 1 ด้านธุรกิจและการเงินในสหรัฐอเมริกา (ที่ปัจจุบันกลายเป็นเว็บไซต์นักจัดอันดับมือหนึ่งของโลกไปเสียแล้ว) ก็ได้อัปเดตรายได้ประจำปีของ ‘คนดังผู้ล่วงลับ’ พวกเขาเหล่านี้แม้จะลาจากโลกไปนาน แต่ผลงานต่าง ๆ ยังคงถูกสิ่งที่เรียกว่า ‘ลิขสิทธิ์’ ช่วยรักษาผลประกอบการที่พึงได้ในแต่ละปีไว้อย่างเหนียวแน่น ซึ่งอันดับ 1 ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน ราชาเพลงป๊อป Michael Jackson นั่นเอง วันนี้ UNLOCKMEN เลยจะมารายงาน Top 5 ห้าอันดับแรกของตำแหน่งเจ้าของรายได้ ที่ความตายก็ไม่อาจพรากเงินทองของเขาไป ส่วนพวกเขาทำรายได้ไปเท่าไหร่บ้างในรอบปีนี้ไปดูพร้อมกันเลย No.5 BOB MARLEY $20 Million ราชาเพลงเร็กเก้ผู้ล่วงลับไปตั้งแต่ปี ค.ศ. 1981 ด้วยโรคมะเร็ง ในรอบปีที่ผ่านมาเขาทำเงินได้มากถึง 20 ล้านดอลลาร์ หรือ 600 ล้านบาทไทยเลย นอกจากยอดสตรีมมิง เพลงเขาของยังสูงลิ่วถึงหลักพันล้านในสหรัฐอเมริกาแล้ว ไม่รวมสินค้าต่าง
โสเภณี ถือเป็นอาชีพที่อยู่คู่ผู้ชายและโลกใบนี้มาเป็นเวลานาน แต่เมื่อเวลาผ่านไปหลายประเทศกำหนดให้อาชีพนี้ผิดกฎหมาย จึงเป็นเหตุให้หลาย ๆ คนไม่เคยเห็นชีวิตในด้านต่าง ๆ ของผู้หญิงที่ประกอบอาชีพนี้มากนัก เว้นก็แต่ช่างภาพที่ชื่อ Jane Evelyn Atwood Jane Evelyn Atwood เป็นหญิงสาวจากนิวยอร์กที่เดินทางไปทวีปยุโรปช่วงปี 1971 หลังจากเรียนจบในสาขาละครเวที เธอยังไม่ได้วางแผนเกี่ยวกับสิ่งที่จะทำในอนาคตจึงเลือกที่จะอาศัยอยู่ในมหานครปารีสต่อ ภาพถ่ายชุดพิเศษนี้จึงเกิดขึ้น ขณะที่ Jane Evelyn Atwood เดินทางไปร่วมงานเปิดแกลเลอรี เธอมีพบเหล่าหญิงสาวชาวฝรั่งเศสยืนเรียงรายอยู่ข้างถนน พร้อมชุดคลุมขนสัตว์และเครื่องประดับ อีกทั้งแต่งหน้าสวยงาม Jane รู้ว่าหญิงสาวเหล่านั้นทำอาชีพขายบริการ โดยขณะนั้นการขายบริการในฝรั่งเศสเป็นเรื่องถูกกฎหมายและอนุญาตให้พวกเธอยืนตามถนนเพื่อเรียกลูกค้าที่เดินผ่านไปมาได้ เย็นวันเดียวกันสาวบริการอาสาพา Jane Evelyn Atwood ไปยังซ่องขนาดใหญ่บนถนน 19 Rue des Lombards ใจกลางมหานครปารีส พวกเธอเริ่มดื่มด้วยกัน ก่อนสาวชาวนิวยอร์กจะเกิดความคิดว่า ต้องการบันทึกความสวยงามเหล่านี้ไว้ โดยให้เหตุผลว่า นี่คือโลกอีกใบที่เธอไม่รู้จักมาก่อนและมันน่าตื่นเต้นมากที่ได้เข้ามาในสถานที่แห่งนี้ หลังจากคืนนั้น Jane Evelyn Atwood ตัดสินใจเขียนจดหมายไปหาสาวบริการผมบลอนด์ที่รู้จัก เพื่อขออนุญาตถ่ายภาพสาวบริการคนนั้นและเพื่อน ๆ อีกครั้ง หลังจากได้รับคำตอบตกลง
เรื่องเล่าลี้ลับที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ถึงตัวตนและพลังอำนาจของปีศาจ สัตว์ประหลาด หรือผีเป็นสิ่งที่มีอยู่ทุกเมืองทั่วโลก แต่ละชุมชนต่างก็มีเรื่องราวภูตผีประจำถิ่นเป็นของตัวเอง อย่างฝั่งยุโรปมีตำนานแดรกคูลา ทางอเมริกาเหนือมีตำนานเยติ หรือประเทศไทยมีกระหัง กระสือ ผีปอบที่ถูกทำเป็นหนังหลายต่อหลายภาค ส่วนเมืองเกาะมีผู้คนอาศัยมานานอย่างญี่ปุ่นก็มีเรื่องเล่าตำนานปีศาจน่ากลัวเช่นเดียวกัน ในวันนี้ UNLOCKMEN จะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับ เฮียกคิยาโก (Hyakki Yakou) หรือชื่อภาษาไทยทรงพลังว่า ‘ขบวนร้อยอสูรแห่งรัตติกาล’ เพราะการเจอภูตผีปีศาจเพียงแค่ไม่กี่ตนอาจสร้างความสะพรึงกลัวให้กับผู้คนสมัยก่อนไม่มากพอเท่ากับกองทัพปีศาจ เรื่องเล่าสุดคลาสสิกของขบวนร้อยอสูร ถ้าเป็นกลุ่มคนไม่เชื่อเรื่องผีพอได้ยินคำว่าขบวนร้อยอสูรก็คงจะสงสัยหลายอย่าง เช่น ทำไมถึงต้องมี 100 ตน แล้วพวกเขากำลังเดินทางไปไหน ขณะที่ลูกเด็กเล็กแดงในญี่ปุ่นพอได้ยินชื่อของเฮียกคิยาโกก็ร้องไห้เพราะความกลัวไปแล้ว เรื่องราวของเฮียกคิยาโกะเริ่มต้นขึ้นจากบุคคลนิรนามที่ชื่นชอบเรื่องผี ตำนานปีศาจ เขาจึงออกเดินทางไปทั่วเกาะญี่ปุ่นเพื่อค้นหาคำตอบของตำนานผี แต่ละพื้นที่ก็มีประเภทของปีศาจแตกต่างกันไป เมื่อเขาเดินทางพบเจอเรื่องราวต่าง ๆ จนพอใจจึงนำประสบการณ์เหล่านั้นมาเขียนและวาดภาพรวมผีคล้ายกับกำลังเดินขบวนกันอยู่ บันทึกของบุคคลนิรนามที่เดินทางไปทั่วญี่ปุ่นทำให้ผู้คนรู้จักปีศาจประเภทต่าง ๆ มากขึ้น แถมนอกภาพวาดและบันทึก ยังมีคำบอกเล่าของเหล่าชาวบ้านสมัยยุคเฮอัน ว่าระหว่างกำลังเดินทางข้ามเมืองช่วงฤดูร้อนเห็นขบวนปีศาจจำนวนมากเดินไปทั่วชานเมือง ในขบวนมีปีศาจกว่าร้อยชนิด บ้างก็ว่าเห็นปีศาจหลายตัวลอยอยู่เหนือบ้านคน ซึ่งเมืองที่ถูกพูดว่าพบเห็นปีศาจเยอะสุดก็หนีไม่พ้นเมืองหลวงเก่าแก่อันรุ่งโรจน์อย่างเกียวโต ถ้าเป็นแค่ขบวนที่มีแต่คนแปลก ๆ อาจสร้างความน่าสะพรึงกลัวให้กับเด็ก ๆ และชาวบ้านไม่มากพอ ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เริ่มมีข่าวลือว่าหากใครเห็นเฮียกคิยาโกหรือขบวนร้อยอสูรแล้วจะต้องตายเพราะถูกสาป แต่น่าแปลกที่คนเห็นกลุ่ม แรก ๆ กลับรอดมาเล่าให้ฟังได้ ตำนานที่ถูกเล่าสืบต่อกันมาเรื่อย
‘ยากูซ่า’ เป็นกลุ่มคนที่อยู่ในสังคมญี่ปุ่นมาอย่างยาวนาน เป็นทั้งคนชายขอบที่คนอื่น ๆ ในสังคมไม่อยากจะเข้าไปยุ่งเกี่ยว และในเมืองเล็ก ๆ ที่มีชื่อว่าโกเบของจังหวัดเฮียวโงะก็มีคนกลุ่มหนึ่งเขียนประวัติศาสตร์ในแบบฉบับของตัวเองขึ้นมาโดยใช้ชื่อว่า ยามากุจิ-กูมิ (Yamagushi-Gumi) แรกเริ่มเดิมทีไม่มีใครสนใจพวกเขา มองว่าเป็นแค่อันธพาลข้างถนนกลุ่มเล็ก ๆ ที่ไร้อำนาจ แต่ใครจะรู้ว่าช่วงเวลากว่า 100 ปี นับตั้งแต่ตั้งกลุ่ม พวกเขาจะก้าวขึ้นมาเป็นแก๊งยากูซ่าที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลก จุดเริ่มต้นของความยิ่งใหญ่ ในปี 1915 หลายปีก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 จะเริ่มต้นขึ้น มีแก๊งอันธพาลขนาดเล็กชื่อว่า ยามากุจิ-กูมิ (Yamagushi-Gumi) ในเมืองโกเบ ก่อตั้งโดยชายนามว่ายามากูจิ ฮารุกิจิ (Yamagushi Harukishi) หลาย ๆ คนเชื่อว่าฮารุกิจิผู้ตั้งแก๊งของตัวเองขึ้นในวันนั้นคงไม่คาดคิดว่ากลุ่มของเขาจะเติบโตและขยายจนกลายเป็นองค์กรมืดที่มีอิทธิพลมากสุดของประเทศญี่ปุ่น ในช่วงแรกแก๊งยามากุจิ-กูมิ อาจยังไม่มีบทบาทอะไรโดดเด่นนักจนกระทั่งทาคาโอะ คาซุโอะ (Takao Kasuo) ขึ้นมาเป็นหัวหน้าแก๊งรุ่นที่ 3 เขาจัดการเปลี่ยนแปลงระบบแก๊งใหม่ทั้งหมด เพราะคาซุโอะเป็นชายผู้มีมันสมองไม่น้อยกว่าความสามารถเรื่องการต่อสู้ เขาเริ่มเรียกร้องให้สมาชิกที่มีอยู่แค่หยิบมือทำอะไรมากกว่าใช้ชีวิตไปวัน ๆ กระตุ้นให้ทุกคนเริ่มทำธุรกิจสีเทาเพื่อขยายให้ยามากุจิ-กูมิ เติบโตและทรงอิทธิพลกว่าเดิม เมื่อกลุ่มเริ่มขยายจากการสร้างธุรกิจเล็ก ๆ และมีสมาชิกเพิ่มขึ้น หัวหน้ารุ่นที่ 3
ตอนนี้ข่าวเรื่องแบนอเมริกาว่อนโลกโซเชียล แต่หลายคนยังจับต้นชนปลายเรื่องนี้ไม่ค่อยถูกว่ามันมีที่มายังไง รู้แค่ว่าประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐอเมริกาเซ็นระงับสิทธิ์ GSP สินค้าส่งออกจำนวน 571 รายการจากไทย เรื่องนี้ทำให้หลายคนเริ่มออกมาแสดงวิสัยทัศน์แบนสินค้าอเมริกา เข้าทำนองแบนมาแบนกลับไม่โกง แต่เอาเข้าจริง เรารู้บ้างไหมว่าวันนี้สินค้าจากอเมริกามีอะไรบ้าง และการโดนระงับสิทธิ์ GSP ที่สหรัฐอเมริกาทำกับเรามันกระทบกับเราแค่ไหน เราควรง้อหรือเดินหน้าไปทางไหนดี วันนี้ UNLOCKMEN จะสรุปคร่าว ๆ ให้เข้าใจ ทรัมป์ไม่เซ็น GSP ว่าแต่ GSP นี่มันอะไรนะ? เรื่องนี้มันเริ่มต้นจาก GSP (Generalized System Preference) คือสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรที่ประเทศพัฒนาแล้วยกให้ประเทศกำลังพัฒนา ไม่ต้องเสียหรือลดหย่อนภาษีสินค้านำเข้าเวลาส่งไปขายในประเทศผู้ให้สิทธิ์ จะได้สามารถส่งออกสินค้าไปแข่งขันกับประเทศอื่น ๆ ได้ เช่น จีนมีกำลังการผลิตสูง ถ้าแข่งตามปกติและโดนภาษีนำเข้าด้วย ประเทศกำลังพัฒนาอื่น ๆ อาจจะไม่สามารถแข่งขันได้เลย เป็นต้น เขาให้ฟรีหรือเปล่า ? คำตอบคือ “เปล่า” ถึงแม้ประเทศที่ให้สิทธิ์จะไม่เรียกร้องประโยชน์ในรูปแบบตัวเงิน แต่เขาก็มีเงื่อนไขสำหรับการมอบสิทธิ์ GSP ให้เราทำตาม สำหรับกรณีของสหรัฐฯ ที่กำลังเป็นคู่กรณีกับเราตอนนี้ก็วางเงื่อนไขแบบพอสังเขปไว้ตามด้านล่างมานานแล้ว รายได้ประชากรต่อหัว