กระแสภาพยนตร์ The Joker (2019) ผู้คนกำลังพูดถึงเป็นวงกว้าง ไม่ว่าจะเป็นการแสดงอันสุดยอดจากพระเอกอย่างวาคีน ฟินิกซ์ รวมถึงตัวบทและฝีมือการถ่ายทอดอารมณ์ของผู้กำกับท็อดด์ ฟิลลิปส์ที่ดิบเถื่อนและสวยงาม ขณะเดียวกันผู้ผลิตนาฬิกาจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์อย่าง RJ ก็ได้แรงบันดาลใจจากจอมร้ายตัวนี้ในเวอร์ชัน Comics มาถ่ายทอดลงบนนาฬิกาโดยใช้ชื่อว่า The Joker สุดยอดอาชญากรจากเมือง Gotham ดูเหมือนจะเป็นที่ชื่นชอบมากกว่าเกลียดชัง หลังจากปรากฏตัวครั้งแรกในคอมิกส์ Batman เล่มที่ 1 ในปี 1940 นับตั้งแต่นั้นมาโจ๊กเกอร์ก็ปรับเปลี่ยนและพัฒนาออกมาหลากหลายเวอร์ชัน แต่ละเวอร์ชันก็ได้รับเสียงตอบรับที่ดีเยี่ยมและเสียงค้านปะปนกันไป อย่างไรก็ตามตัวละครนี้ก็ถูกยกให้เป็นสุดยอดศัตรูตลอดกาลของอัศวินรัตติกาลเป็นที่เรียบร้อย The Joker จาก RJ อยู่ในคอลเลกชัน RJ x Batman Villains โดยมีพื้นฐานจากเรือนเวลารุ่น Arraw มาพร้อมหน้าปัดไทเทเนียม เกรด 5 ขนาด 45 มิลลิเมตรพร้อมกรอบที่สลักเลเซอร์ เป็นลวดลายแพตเทิร์นรูปตัวละครโจ๊กเกอร์ ด้านในเป็นกระจกแซฟไฟร์แบบป้องกันการสะท้อนแสงที่ออกแบบมาอย่างลงตัวสวยงาม พร้อมการป้องกันน้ำลึกถึง 100 เมตร ภายในของกระจกแซฟไฟร์ของ The Joker แต่ละเรือนจะถูกทาสีด้วยมือ ที่มีระบบทำงานแบบ RJ-2042
หลังจากที่คอลเลกชันนาฬิกา Neo-Tokyo ทั้ง 4 เรือนเพิ่งปล่อยออกมาหมาด ๆ G-SHOCK ก็ไม่รอช้า เตรียมคอลแลปส์โมเดลนาฬิกากับ Herschel Supply Co. แบรนด์แฟชั่นยอดฮิตระดับโลก การผสมผสานที่ลงตัวของสองแบรนด์นี้เกิดเป็นเรือนเวลารุ่น ‘Herschel G-Lide’ ที่ถอดแบบความแข็งแกร่งของกองทัพสหรัฐฯ มาได้อย่างแยบยล Herschel นำโมเดลยอดนิยมในหมู่นักโต้คลื่น นักกีฬา และผู้ชายสายสตรีตอย่าง G-SHOCK GLX5600-1 มาเป็นต้นแบบและต่อยอดงานดีไซน์ให้มีเอกลักษณ์ยิ่งขึ้น นาฬิการุ่นนี้โดดเด่นด้วยหน้าปัดทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสสีเหลืองอ่อนจากกระจก mineral ที่ผนวกความเท่แบบย้อนยุคและความทันสมัยเข้าด้วยกัน ตัวบอดี้และสายรัดข้อมือของ Herschel G-Lide ห่อหุ้มด้วยเคสเรซิ่นแบบด้านสีเขียวมะกอก สะท้อนกลิ่นอายของเหล่าทหารผู้กล้า พร้อมสลักโลโก้ Herschel Supply ไว้ที่สายนาฬิกา ไฮไลต์ของนาฬิการุ่นนี้คือฝาหลังที่ใช้สเตนเลสสตีลสลักว่า “YOU CAN SURF LATER” ซึ่งเป็นเหมือนสัญลักษณ์ของทหารอเมริกัน เพราะเป็นประโยคที่มักจะสลักไว้บนซิปโป้ เพื่อให้เหล่าทหารรู้สึกว่าไฟแช็กของพวกเขาเป็นเหมือนเครื่องรางศักดิ์สิทธิ์ชนิดหนึ่งที่มอบกำลังใจให้พวกเขาทำภารกิจที่ได้รับมอบหมายสำเร็จลุล่วงโดยสวัสดิภาพ Herschel G-Lide ยังคงเอกลักษณ์ของฟังก์ชันนาฬิกาจาก G-SHOCK ที่สามารถกันกระแทกและกันน้ำลึก 200 เมตร ใช้เทคโนโลยี Electroluminescent Backlight
ปัจจุบันสมาร์ตโฟนกลายเป็นไอเทมคู่กายของคนส่วนใหญ่ไปเสียแล้ว คู่กายจนบางคนกล้าพูดว่ามือถือของตัวเองเปรียบเหมือนมือที่สามของร่างกายก็ว่าได้ ด้วยความสำคัญของสมาร์ตโฟนในยุคปัจจุบันทำให้มีบริษัทจำนวนไม่น้อยเล็งเห็นความสำคัญของเคสใส่โทรศัพท์และขยันออกลายสวย ๆ มาแข่งให้คนซื้อกันแล้ว ซึ่งตอนนี้มีแบรนด์กล้องแบรนด์หนึ่งไม่ยอมน้อยหน้า ขอบุกตลาดเคสสำหรับมือถือแล้วด้วยเช่นกัน หลาย ๆ คนคงจะรู้จัก Kodak บริษัทชื่อดังสัญชาติอเมริกันที่อยู่ในวงการถ่ายภาพกันมาบ้างแล้ว โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ประเภทกล้องฟิล์มที่โด่งดังของแบรนด์ทำให้ขึ้นแท่นยอดขายกล้องฟิล์มในศตวรรษที่ 20 หลังจากนั้นก็ถูกศาลสั่งฟ้องล้มละลายในปี 2012 ถือเป็นบริษัทที่พวกเราทันทั้งยุครุ่งเรืองก้าวสู่จุดสูงสุดและจุดต่ำสุดไปพร้อมกัน เรื่องราวหลังล้มละลายจากปี 2012 ที่บางคนอาจไม่ได้ตามกันต่อ คือ Kodak ปรับโครงสร้างบริษัทครั้งใหญ่ บริษัทขนาดใหญ่ได้กลายเป็นบริษัทที่ไซซ์เล็กลงและเริ่มมองหาลู่ทางในตลาดใหม่ ทั้งตลาดสมาร์ตโฟนไปจนถึงเคสกันรอยและหันมาจับมือกับบริษัทที่อยู่ในวงการมาก่อนอย่าง Case Mate Case Mate เป็นใคร ทำไม Kodak ถึงอยากจับมือด้วยนัก? Case Mate เป็นแบรนด์ผลิตเคสสำหรับสมาร์ตโฟนที่โด่งดังไปทั่วโลก จุดเด่นคือวัสดุพรีเมียมทั้งคริสตัลแท้ไปจนถึงโลหะต่าง ๆ เพื่อเน้นถึงความแข็งแรงของเคส ในด้านดีไซน์ที่แปลกตาบ้างก็เอาไข่มุกมาประดับเอาใจกลุ่มลูกค้าผู้หญิง หรือดีไซน์เท่ ๆ ล้ำสมัยเพื่อกลุ่มผู้ชาย รวมถึงสไตล์วินเทจในวันวานสำหรับวัยรุ่นฮิปสเตอร์ คอลเลกชันเคสที่เกิดจากการ collaboration ระหว่าง Kodak กับ Case Mate ดีไซน์ออกมาในสไตล์วินเทจ โดยตัวชูโรงของคอลเลกชันนี้หนีไม่พ้นเคสโทรศัพท์มือถือสี CI คือสีเหลืองมีเส้นและตัวอักษรสีแดงสีคู่ใจของแบรนด์
ขึ้นชื่อว่าแฟชั่นมักเป็นสิ่งที่ผ่านกระบวนการคิด การสร้างสรรค์ และการออกแบบมาอย่างแยบยล จนใครหลายคนอดสงสัยไม่ได้ว่า Fashion Design ล้ำ ๆ ที่เราเห็นโลดแล่นอยู่บนดาวเคราะห์สีน้ำเงินดวงนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากอะไรกันบ้าง? บางครั้ง Fashion Design ก็ได้แรงบันดาลใจมาจากสิ่งของรอบตัว เพราะแฟชั่นไม่ใช่แค่เรื่องบนรันเวย์ แต่แฟชั่นอยู่ในทุกสิ่งรอบตัวเรา แม้บางสิ่งจะดูห่างไกลกับคำว่าแฟชั่น จนกระทั่งมีแบรนด์หาญกล้าคว้าเอาแรงบันดาลใจจากสิ่งนั้นมารังสรรค์จนเกิดแฟชั่นไอเทมที่ไม่เหมือนใครและใช้งานได้จริง วันนี้ UNLOCKMEN อาสาพามาสำรวจ “CAMPER Fall/Winter 2019 Collection” คอลเลกชันรองเท้าล่าสุดจาก Camper ที่ถือเป็น Premium Casual Brand เก่าแก่ระดับโลกจากสเปน โดย CAMPER Fall/Winter 2019 Collection ได้แรงบันดาลใจจาก Motor Sports กีฬาที่เต็มไปด้วยความแรง ความเร็ว การแข่งขัน หลายคนอาจจะไม่คุ้นกับ Motor Sports มากนัก แต่เมื่อ Camper นำมาสร้างสรรค์และตีความใหม่ จากความเร็ว ความแรง ก็นำไปสู่รองเท้าที่เป็นตัวแทนของ Race และ Speed ซึ่งมาพร้อมดีไซน์สุดเท่เหมาะกับไลฟ์สไตล์คนเมืองผู้ชอบแฟชั่น แม้ไม่หลงใหลเรื่องการแข่งขันและความเร็วก็สวมใส่เพื่อบ่งบอกตัวตนคู่ไปกับฟังก์ชันการใช้งานที่คล่องตัวได้อย่างสมบูรณ์แบบ Camper รุ่น Pix Camper รุ่น
เมื่อปี 2018 ที่ผ่านมา หนุ่ม ๆ หลายคนอาจยังไม่รู้ว่าเวียนนาเมืองหลวงของประเทศออสเตรียได้เฉือนเอาชนะแชมป์เก่า 7 ปีซ้อนอย่างเมืองเมลเบิร์นของประเทศออสเตรเลีย ขึ้นแท่นเมืองน่าอยู่ที่สุดในโลกจากการจัดอันดับของนิตยสาร Economist แต่ไม่ต้องเห็นผลการจัดอันดับก็พอทราบอยู่บ้างว่าเมืองเวียนนานั้นมีพื้นฐานการคมนาคมที่เป็นระบบ มีบรรยากาศอบอุ่นน่าอาศัย ทั้งยังมีเทคโนโลยีที่เอื้อประโยชน์ต่อชีวิตของชาวเมืองและนักท่องเที่ยว ยิ่งไปกว่านั้นเวียนนายังซ่อนกลิ่นอายทางสถาปัตยกรรมเก่าแก่ที่เป็นเอกลักษณ์และเสริมเสน่ห์ให้เมืองแห่งนี้ดูน่าหลงใหลยิ่งขึ้น OMA (Office for Metropolitan Architecture) สตูดิโอสถาปัตยกรรมที่ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1975 โดย Rem Koolhaas สถาปนิกชาวเนเธอร์แลนด์ ออกแบบสถาปัตยกรรมแห่งแรกในกรุงเวียนนาที่มีชื่อว่า ‘THE LINK’ ตั้งอยู่บนถนน Mariahilfe หนึ่งในถนนสายสำคัญใจกลางเมือง THE LINK เป็นทั้งห้างสรรพสินค้าและโรงแรมที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์เมือง และเชื่อมโยงเมืองเก่า ผู้คน สถาปัตยกรรม และวัฒนธรรมเข้าด้วยกัน ด้านหน้าดีไซน์ให้เป็นห้างสรรพสินค้า แต่เมื่อเดินลอดผ่านซุ้มประตูขนาดใหญ่ที่เรียงรายด้วยต้นไม้และพื้นที่นั่งสาธารณะ จะสามารถเชื่อมไปยังโรงแรมต่าง ๆ ด้านหลังได้ นอกจากที่นี่จะอัดแน่นไปด้วยร้านค้า ร้านอาหาร และโรงแรมมากมาย ยังมีสวนบริเวณชั้นดาดฟ้าที่ครอบคลุมตั้งแต่สวนผลไม้ไปจนถึงลานอาบแดด เพื่อสร้างสวนสาธารณะแห่งใหม่ให้ชาวเมืองและเป็นจุดชมวิวที่มองเห็นทัศนียภาพโดยรอบเมืองได้อย่างแจ่มชัด การออกแบบภายนอกอาคารจะใช้สีขาวและครีมเป็นหลัก สอดแทรกโครงสร้างที่เป็นแพตเทิรน์เพื่อให้กลมกลืนกับเมืองเก่า พร้อมใช้กระจกใสสร้างความรู้สึกโปร่งโล่งสบายและไม่อึดอัด การออกแบบด้านหน้าอาคารจะสอดแทรกแนวคิดเวียนนาซีเซสชัน (Vienna Secession) ที่ได้อิทธิพลจากศิลปินระดับตำนานอย่าง
การออกแบบพื้นที่พักอาศัยนับเป็นอีกหนึ่งผลงานสถาปัตยกรรมที่มีความสำคัญไม่น้อย ไม่เพียงสร้างสเปซเพื่อเอื้อประโยชน์ต่อผู้พักอาศัยในแง่ฟังก์ชัน แต่ยังต้องสร้างสรรค์งานดีไซน์ที่มีเสน่ห์และเป็นเอกลักษณ์ เพื่อมอบประสบการณ์การพักอาศัยเหนือระดับและนำมาซึ่งคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของผู้คน ในช่วงที่โลกกำลังเผชิญปัญหาโลกร้อน น้ำแข็งขั้วโลกหลอมละลาย และการเปลี่ยนแปลงทางสภาพแวดล้อม เหล่าสถาปนิกและสตูดิโอสถาปัตยกรรมก็ไม่ได้นิ่งนอนใจแต่อย่างใด หากขบคิดและสร้างสรรค์ไอเดียการออกแบบโดยหยิบนำ ‘ธรรมชาติ’ มาผนวกเข้ากับงานดีไซน์ จนได้ออกมาเป็นผลงานสถาปัตยกรรมที่เล็งเห็นทั้งคุณค่าของชีวิตและคุณค่าของธรรมชาติ BIG สตูดิโอสถาปัตยกรรมเจ้าดังได้ดีไซน์ ‘KING TORONTO’ สถาปัตยกรรมเรือนกระจกกลางกรุงโตรอนโตที่ปกคลุมไปด้วยธรรมชาติสีเขียว ตั้งอยู่ในย่าน King West ที่ตรอกซอกซอยทะลุถึงกันได้หมด แถมยังเป็นย่านที่มีชีวิตชีวาที่สุดแห่งหนึ่งของแคนาดา ผลงานสถาปัตยกรรมชิ้นนี้ซ่อนกลิ่นอายบรูทัลลิสต์ เน้นหนักในการใช้แพตเทิร์นเดิม ๆ ซ้ำไปซ้ำมา โดยได้อิทธิพลมาจากผลงาน Habitat 67 ในกรุงมอนทรีออลที่ดีไซน์โครงสร้างให้เป็นสามมิติ แต่จะต่างตรงที่ KING TORONTO เลือกใช้บล็อกแก้วโปร่งใสแทนบล็อกคอนกรีต บล็อกแก้วโปร่งใสนั้นทำให้มองเห็นการตกแต่งภายในของตัวอาคารได้เป็นอย่างดี แถมยังนำต้นไม้น้อยใหญ่มาผสมผสานกับงานดีไซน์ มีการปลูกต้นไม้ตามระเบียง ปลูกพืชเกาะผนังตามฟาซาด และสอดแทรกพื้นที่สีเขียวไว้ตามจุดต่าง ๆ ของอาคาร ธรรมชาติสีเขียวถือเป็นอีกหัวใจของโครงการ KING TORONTO เพราะนอกจากจะมอบบรรยากาศร่มรื่นให้กับผู้พักอาศัยแล้ว ยังช่วยสร้างความเป็นส่วนตัวโดยไม่ปิดบังทัศนียภาพโดยรอบมากจนหนาทึบและน่าอึดอัด ด้านการตกแต่งภายในก็มีเสน่ห์ไม่แพ้ด้านนอกเลย ภายในอาคารได้แรงบันดาลใจในการออกแบบมาจากสถาปัตยกรรมสแกนดิเนเวียนสมัยใหม่ เน้นการใช้วัสดุเรียบง่ายอย่างพื้นไม้ ผนังสีขาว และหินสีขาว เพื่อสะท้อนความอบอุ่น ดูเรียบง่าย แต่ยังคงทันสมัยพร้อมก้าวไปในทุกยุค นอกจากนั้นเพนเฮาส์แห่งนี้ยังมีสระว่ายน้ำในร่ม
สำหรับหนุ่ม ๆ ที่หลงใหลรถยนต์คลาสสิก ไม่ว่าจะค่ายไหน รุ่นอะไร หนึ่งในช่วงเวลาที่ชื่นชอบมากที่สุดอาจไม่ใช่การขับขี่รถคันโปรดของเราเพียงอย่างเดียว แต่อาจเป็นช่วงเวลาที่เรากำลังคืนสภาพหรือดัดแปลงให้รถคันนั้น ๆ เสร็จสมบูรณ์ออกมาตามรูปแบบที่เราต้องการ นั่นเป็นเหตุให้เราได้เห็นรถยนต์คลาสสิกมากมายถูกคืนสภาพกลับแบบโคตรสวยงาม ล่าสุดคือ Chevrolet Camaro รุ่นปี 1969 มาพร้อมฉายา Z/409 ที่ไม่เหมือนใครคันนี้ Chevrolet Camaro ‘Z/409 เป็นผลงานการคัสตอมของ Classic Cars Investment ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากงานเรนเดอร์ของรถจากปกของนิตยสาร Hot Rod ฉบับเดือนกันยายน ปี 2009 ผลงานการออกแบบของ Steve Stanford ที่สร้าง Chevrolet Camaro ออกมาเป็นอเมริกันมัสเซิลคาร์ที่ต่างแตกจากคันอื่น โปรเจกต์เริ่มจากการซื้อ Chevrolet Camaro รุ่นปี 1969 ก่อนจะคัสตอมด้วยการเปลี่ยนดีไซน์ของรถให้ออกมาเป็นแบบที่ต้องการ “Z/409” คันนี้เปลี่ยนมาใช้ชิ้นส่วนและดัดแปลงด้วยการดึงเอาส่วนต่าง ๆ ของรถยนต์สไตล์อเมริกันมัสเซิลคาร์จากยุค 60’ มาสร้างเป็นรถที่มีสไตล์เฉพาะตัว ไม่ว่าจะเป็นดีไซน์ด้านหน้าตัวรถที่ได้แรงบันดาลใจจาก Chevrolet Bel Air ปี
ครั้งหนึ่งในชีวิตของเราอาจเคยได้ยินประโยคที่ว่า “ศิลปะเป็นเรื่องไกลตัว และเป็นเรื่องสำหรับคนรวยเท่านั้น” ประโยคที่ฟังแล้วทำให้คิดตามว่า จริงหรือไม่ที่ศิลปินและคนเสพศิลปะจำกัดไว้เฉพาะแวดวงร่ำรวย ถ้าเป็นอย่างที่ว่า คนจนหรือคนชนชั้นกลางไม่มีสิทธิ์เข้าถึงศาสตร์แห่งการเล่าเรื่องด้วยภาพเลยเหรอ ? ในช่วงเวลาที่กำลังครุ่นคิดว่าคนรุ่นใหม่จะหันมาเป็นศิลปินเยอะหรือไม่ หรือคิดว่าประเทศไทยจะไม่มีศิลปินรุ่นใหม่ ๆ อย่างที่เขาว่า ก็ดันเหลือบไปเห็นแฮชแท็กหนึ่งที่ขึ้นเทรนด์ความนิยมในทวิตเตอร์ช่วงนี้ที่สามารถตอบคำถามคาใจได้ แฮชแท็กขึ้นเทรนด์ที่ว่าคือ #Thaiartist ที่มีความหมายตรงตัว เปิดโอกาสให้ศิลปินน้อยใหญ่ลงผลงานของตัวเองกันอย่างเต็มที่ และจากแฮชแท็กทำให้ UNLOCKMEN พบว่าประเทศไทยเต็มไปด้วยศิลปินมากความสามารถ เห็นผลงานหลากสไตล์กับลายเส้นที่บ่งบอกตัวตน บางคนวาดลงบนผ้าใบหรือกระดาษ บางคนวาดบนไอแพดหรือใช้เมาส์ปากกาวาดในโปรแกรมคอมพิวเตอร์ หรือแม้กระทั่งผลงานเท่ ๆ สไตล์คอลลาจ จนเราอดใจไม่ไหว อยากแบ่งปันผลงานศิลปะจากฝีมือคนไทยมาให้ทุกคนได้ชมกัน ART & TECHNOLOGY ถ้าเป็นสมัยก่อนผลงานศิลปะส่วนใหญ่จะอยู่บนผืนผ้าใบ แผ่นกระดาษหรือแผ่นไม้ แต่เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนศิลปะก็ต้องปรับตัวให้เข้ากับสังคมปัจจุบันด้วยเช่นกัน ในยุคนี้จึงมีศิลปินรุ่นใหม่จำนวนมากใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่สร้างสรรค์ผลงานศิลปะ บ้างก็เพื่อความสะดวกสบาย บ้างก็เป็นความชอบและรสนิยมแถมเครื่องมือไฮเทคก็จะช่วยถ่ายทอดจินตนาการที่มีอยู่เต็มหัวออกมาเป็นผลงานจับต้องได้จริง ศิลปินไทยหลายคนนิยมสร้างสรรค์ผลงานด้วยโปรแกรม Illustrator หรือใช้เครื่องมือแตกต่างกันไปตามความถนัดของศิลปิน แต่สิ่งที่เราจะเห็นเหมือนกันคือความชอบและลายเส้นที่บ่งบอกตัวตนเฉพาะตัว บ้างก็หยิบสิ่งที่เห็นในชีวิตประจำวัน ความทรงจำกับสถานที่ต่าง ๆ รวมถึงความชอบของตัวเองสื่อออกมาเป็นผลงาน การนำแรงบันดาลใจจากศิลปินยุคเก่าที่วาดภาพบนผ้าใบมาปรับแนวให้เข้ากับสไตล์ของตัวเองก็น่าสนใจไม่น้อย เช่นภาพของกลุ่มผู้ชายยุคกลางกับโทนภาพมืด ๆ เน้นเส้นสีสะเทือนอารมณ์ และเล่นเรื่องแสงเงาตามแบบมิเกลลันเจโล คาราวัจโจ นอกจากนักวาดและศิลปินสร้างสรรค์ผลงานเท่ ๆ เราจะเห็นสายอาชีพออกแบบอื่น
ใกล้เข้ามาทุกทีแล้วกับการแข่งขันกีฬาที่ยิ่งใหญ่ของมวลมนุษยชาติอย่าง Olympic Games การแข่งกีฬาระหว่าง 200 กว่าประเทศ ส่งตัวแทนนักกีฬาหลายพันคนต่างตั้งใจฝึกซ้อมเพื่อชิงชัยในงานนี้ การเลือกเจ้าภาพจะหมุนเวียนเปลี่ยนไปทุก ๆ สี่ปี และ Olympics ครั้งนี้เจ้าภาพที่จะได้จัดมหกรรมกีฬาสุดยิ่งใหญ่ก็คือเมืองเกาะกลางทะเลอย่างประเทศญี่ปุ่น เมื่อกีฬาสุดยิ่งใหญ่ Tokyo 2020 กำลังจะเกิดขึ้นในเวลาอันใกล้ ทำให้ Omega แบรนด์นาฬิกาที่อยู่คู่กับการแข่งขัน Oympics มาอย่างยาวนานในฐานะ Olympic Official Timekeeper หรือผู้จับเวลาการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกจึงไม่พลาดเปิดตัวนาฬิกาที่เต็มไปด้วยแรงบันดาลใจจาก Tokyo 2020 นาฬิกาที่บอกเล่าเรื่องราวของ Tokyo 2020 จาก Omega มีชื่อว่า Seamaster Planet Ocean Tokyo 2020 Limited Edition (Ref.522.33.40.20.04.001) ด้วยชื่อที่ยาวเกินไปกว่าจะเรียกจบนาฬิกาเรือนนี้ก็คงขายหมดไปแล้ว ทำให้เหล่านักสะสมเรียกมันว่า Omega Tokyo 2020 แทน และจุดเด่นอันเป็นเอกลักษณ์ด้วยสีขาวล้วนก็ทำให้ใคร ๆ ต่างก็ให้ความสนใจกับนาฬิกาเรือนนี้ Omega Tokyo 2020 สีขาวล้วนตัวเรือนทำมาจากสเตนเลสสตีล ขนาด
ถ้าพูดถึงโมเดลรองเท้าตัวแทนจาก Adidas Original ชื่อของ Stan Smith คงเป็นโมเดลที่หลายคนนึกถึง เพราะนี่คือรองเท้าที่มีส่วนสำคัญในการผลักดันค่ายสามขีดให้ประสบความสำเร็จอย่างที่เห็นกันในปัจจุบัน และทุกวันนี้ผู้คนยังนิยมอยู่เสมอจากความสวยงามที่แสนคลาสสิกของมัน แม้จะวางขายมานานกว่า 50 ปีแล้วก็ตาม ขณะเดียวกันเมื่อยุคสมัยและทิศทางของตลาดรองเท้าเริ่มเปลี่ยนแปลงไป Adidas ก็เริ่มปรับเปลี่ยนและพัฒนา Stan Smith ให้เข้ากับกระแสความนิยม รวมถึงทำเทคโนโลยีให้ล้ำสมัยมากขึ้น โดยพวกเขาหวนกลับไปทำงานกับแบรนด์เสื้อผ้าที่เน้นฟังก์ชันของวัสดุและเทคโนโลยีอย่าง GORE-TEX หลังจากที่เคยประสบความสำเร็จร่วมกันเมื่อครั้งทำ Stan Smith GORE-TEX ในปี 2017 ด้วยการนำโมเดลเดียวกันนี้ มาเคลือบนวัตกรรมกันน้ำในรองเท้า จนขายหมดทุกสต็อก วันนี้ทั้งสองค่ายกลับมาร่วมงานอีกครั้งกับเทคโนโลยีที่ทันสมัยและตอบโจทย์การใช้งานได้มากกว่าเดิม แถมยังเลือก Back to Basic ด้วยการใช้ Stan Smith สี OG อย่างขาว-เขียวมา ส่วนงานออกแบบปรับดีไซน์เล็กน้อย โดยตรงส่วนลิ้นจะไม่มีรูปคุณปู่แสตนในรุ่นนี้ รวมถึง Heel Tap สีเขียวซึ่งจะไม่มีโลโก้ Adidas Original แต่ด้านข้างก็มีตราพิมพ์แบบยุบลงไปของ GORE-TEX และป้ายที่เขียนถึง GORE-TEX Infimium เย็บติดเอาไว้