หากช่วงนี้ใครติดตามชาร์ทดนตรีไม่ว่าจะฝั่งอังกฤษหรืออเมริกา ชื่อของ Olivia Rodrigo คงจะเป็นชื่อที่พาให้คุณต้องตะลึง เพราะ Sour อัลบั้มชุดแรกในชีวิตของเธอนั้น สามารถครองแชมป์อันดับ 1 ทั้ง UK Charts และ Billboards อย่างสวยสดงดงาม ไม่ใช่เพียงชาร์ทอัลบั้มเท่านั้น แต่ซิงเกิ้ล Good4U ก็ได้รับอานิสงส์ขึ้นอันดับ 1 ในชาร์ทเพลงเช่นกัน เพราะอะไร โลกมหาอำนาจแห่งวงการบันเทิง ถึงยกย่องสาวน้อยคนนี้ว่าเป็นความหวังใหม่ล่าสุดของวงการเพลง UNLOCKMEN ขอเชิญคุณมาทำความรู้จักกับสาวน้อยอายุ 18 ที่ฉายแววประกายความเปรี้ยวซ่าส์ทั้งในฐานะนักแสดงและศิลปินเพลงอนาคตไกล มาดูกันว่า กว่าที่เธอจะมาถึงจุดนี้ ต้องผ่านอะไรมาบ้าง สำหรับเด็กผู้หญิงทั่วไป การเติบโตท่ามกลางศิลปินเพลงพ็อพไม่ว่าจะเป็นอิทธิพลจาก Britney Spears / Beyonce หรือ Alicia Keys คงเป็นเรื่องที่ปกติและธรรมดา แต่สำหรับ Olivia Rodrigo สาวน้อยลูกครึ่ง แม่เยอรมัน/ไอริช ส่วนพ่อมีเชื้อสายฟิลิปปินส์ ที่เกิดและเติบโตในเมืองเทเมคูลา รัฐแคลิฟอร์เนียนั้น กลับไม่ธรรมดาและมีความแตกต่างจากครอบครัวอื่น เพราะครอบครัวของเธอนั้นเลือกที่จะขับกล่อมเธอด้วยเพลงอินดี้ร็อคอัลเทอร์เนทีฟอันหนักหน่วง ไม่ว่าจะเป็น No Doubt
ชายหนุ่มร่างใหญ่ที่มาพร้อมถังออกซิเจนและทรงผมพะรุงพะรัง เพียงแว็บแรกคุณอาจจะรู้สึกขำมากกว่าหวาดกลัว แต่ใครเลยจะรู้ว่า ในมือที่ถือถังออกซิเจนดูไร้พิษภัยคู่นั้น กลับเป็นอาวุธที่สุดแสนอำมหิต และเขาคือวายร้ายสุดคลั่งแห่งโลกภาพยนตร์ทศวรรษที่ 2000s กระทั่งคนรับบทบาทยังรู้เกลียดกลัวคาแรคเตอร์นี้จนเกือบจะไม่รับเล่นมัน มาทำความรู้จักกับ Anton Chigurh วายร้ายอำมหิตแห่งหนังฟิล์มนัวร์ยุคใหม่ จากภาพยนตร์ No Country for Old Men ที่ร้ายจนทำให้เขาคว้ารางวัลนักแสดงสมทบฝ่ายชายยอดเยี่ยมไปครองได้สำเร็จ หนัง No Country for Old Men ออกฉายในปี 2007 สามารถสะกดคนดูด้วยการเล่าเรื่องผ่านตัวละคร 3 ตัว โดยจุดเริ่มต้นมาจากการปะทะกันของ 2 แก๊งค้ายาที่นำพาให้เกิดการยิงกันและตายเกลื่อน Llewelyn Moss (นำแสดงโดย Josh Brolin) นักล่าสัตว์พบเจอศพคนโฉดนอนเรี่ยราดบนพื้น เขาสำรวจตรวจตราก็พบว่ามีกระเป๋าเงินจำนวน 2 ล้านเหรียญซุกซ่อนอยู่ท่ามกลางกองเลือดที่นองพื้นนั้น ไม่รอช้า เขาหยิบมันและจัดการนัดแนะแฟนสาวให้ออกจากบ้านไป เพราะมั่นใจว่าเจ้าของเงินน่าจะตามมาหาเขาในไม่ช้า ขณะเดียวกันหนังก็เล่าถึง Ed Tom Bell (นำแสดงโดย Tommy Lee Jones) นายอำเภอสุดเก๋าล้นประสบการณ์ แม้อายุอานามของเขาจะมากจนอยากเกษียณ
ก่อนที่โลกจะเข้าสู่ยุคแห่งการล็อคดาวน์ มีหนังเกี่ยวกับการอยู่ในที่แคบหรือพื้นที่จำกัดมากมายที่แสดงให้เห็นสภาวะอันอึดอัด และการต้องหาทางรอดของตัวละครในหนัง ซึ่งการทำหนังที่เกี่ยวกับพื้นที่แคบนั้นเต็มไปด้วยอุปสรรคการทำงานมากมาย ไม่ว่าจะในเรื่องของเนื้อหา การสื่อสารกับคนดู ทุนสร้าง หรือจำนวนบุคลากรที่ต้องลดจำนวนลง ดังนั้นเวลาเราดูหนังยิ่งมีพื้นที่แคบอยู่ในไม่กี่สถานที่ กลับเป็นการท้าทายไอเดียที่ยากยิ่งกว่าสำหรับผู้สร้างเพื่อจะก้าวข้ามขีดจำกัดต่าง ๆให้ได้ ไม่ใช่หนังที่ถ่ายง่าย ๆ อย่างที่หลายคนคิด มาดูกันว่ามีหนังในที่แคบเรื่องอะไรกันบ้าง แล้วเขามีเทคนิคในการถ่ายทำอย่างไร Rear Window (1954) Directed by Alfred Hitchcock ถือเป็นหนังต้นตำรับบิดาแห่งการกักตัวของตำนานภาพยนตร์อย่างแท้จริง เรื่องราวของพระเอก James Stewart ตากล้องผู้โชคร้ายที่ต้องใช้ชีวิตวนเวียนอยู่บนรถเข็นเนื่องจากประสบอุบัติเหตุเดินไม่ได้ เขาจึงต้องหาอะไรทำแก้เซ็งด้วยการส่องดูชีวิตคนที่อพาร์ทเมนท์ฝั่งตรงข้าม แต่ด้วยความสอดรู้สอดเห็น มันนำพาให้เขาได้พบเห็นความน่าสงสัยของใครบางคน จากนั้นเสียงกรีดร้องขอความช่วยเหลือของหญิงสาวในค่ำคืนหนึ่ง ก็ทำให้ชายหนุ่มบนรถเข็นเชื่อมโยงปะติดปะต่อเรื่องราวว่าสิ่งที่เขาได้พบเห็นนั้นมีความไม่ชอบมาพากลอย่างแน่นอน อย่างที่รู้กันว่า Alfred Hitchcock คือราชาหนังที่เล่นแร่แปรธาตุในการสร้างความแปลกและแตกต่างให้กับภาษาหนังมือต้น ๆ ของโลก และในเรื่องนี้ Hitchcock ได้ทำการทดลองสถานการณ์ในพื้นที่จำกัด ด้วยการให้พระเอกของเรานั่งอยู่บนรถเข็นตลอดเวลา เน้นแสดงออกทางสายตาเพื่อให้สื่อสารอากัปกิริยาที่แตกต่างไป หนังวนเวียนอยู่แค่ในบ้านและวิวนอกหน้าต่าง แต่ถึงกระนั้น Hitchcock ก็ได้ให้ทีมงานออกแบบห้องพัก และด้านนอกของตึกแถวจำนวน 7 ชั้นสร้างใน Paramount Studio โดยออกแบบเสมือนจริงที่สุด และใช้ความระทึกขวัญสั่นประสาท
10 ปีที่แล้ว หรือปี 2011 วงการดนตรีอาจจะไม่ได้แตกต่างจากยุคปัจจุบันมากนัก เราเริ่มทำความรู้จักกับการฟังเพลงผ่านสตรีมมิ่ง ขณะเดียวกัน CD เริ่มเทอะทะไปแล้วสำหรับนักฟังเพลง โลกของดนตรีร็อคเริ่มถูกสั่นคลอนจากดนตรีแนวอื่น ส่วนดนตรีพ็อพก็มีความกล้าและบ้าบิ่นยิ่งขึ้น เรามาย้อนรำลึกถึงช่วงเวลาของดนตรียุคนี้ ว่าปี 2011 วงการดนตรีมีอัลบั้มไหนที่เด็ดจนถูกกล่าวขวัญถึงมาจนปัจจุบันกันบ้าง พร้อมอัพเดทผลงานว่าปัจจุบันศิลปินเหล่านี้กำลังทำอะไรกันอยู่ Noel Gallagher’s High Flying Birds – Noel Gallagher’s High Flying Birds การประกาศออกอัลบั้มเดี่ยวของ Gallagher ผู้พี่ นับเป็นการดับฝันแฟนเพลงอย่างเป็นทางการว่า Oasis จะเป็นเพียงตำนานที่ไม่มีวันหวนกลับมาอีกแล้ว (โดยที่ Gallagher ผู้น้อง อย่าง Liam ได้ชิงออกอัลบั้มก่อนในนาม Beady Eye ซึ่งกลายเป็นตราบาปมาจนถึงทุกวันนี้…เพราะแป๊ก) แม้ว่าอัลบั้มชุดแรกของ Noel Gallagher จะยังคงไว้ซึ่งกลิ่นไอของ Oasis ไม่ว่าจะเป็นซาวด์กีตาร์ที่แสนจะ Noel Rock เพราะเป็นความตั้งใจที่จะทำเพลงสำหรับอัลบั้มใหม่ของ Oasis แต่ Noel
ในโลกของอาชญากรรมบนแผ่นฟิล์ม มีหนังมากมายที่สร้างแรงบันดาลใจ และกลายเป็นเสมือนหมุดไมล์สำคัญ และท่ามกลางคาวเลือดและควันปืน หนังเรื่อง Scarface คือ 1 ในหนังขวัญใจคอหนังอาชญากรรมตลอดกาล แน่นอนว่านอกจากความดิบเถื่อนของหนังที่สาดซัดคนดูไม่มียั้งแล้ว คาแรคเตอร์สำคัญที่ผลักดันให้หนังเรื่องนี้อมตะและเป็น Pop Culture แห่งยุคสมัยคือชายหน้าบากที่เต็มไปด้วยความใจถึง ชั่วช้า บ้าคลั่ง กลายเป็นวายร้ายสุดเท่ที่โลกจดจำได้ติดตา เรามาทำความรู้จักผู้ชายสู้ชีวิตที่โชคชะตาลิขิตให้เขาเป็นวายร้ายแห่งโลกภาพยนตร์คนนี้ไปพร้อม ๆ กัน Tony Montana มหาวายร้ายแห่งหนัง Scarface Scarface คือการผสมผสานคาแรคเตอร์จากหนังผสมเหตุการณ์จริง ในปี 1980 ที่ประธานาธิบดี Fidel Castro ได้เปิดเมืองท่ามาริเอลในคิวบา เพื่อปลดปล่อยประชาชนจำนวนกว่า 125,000 คน ข้ามน้ำข้ามทะเลสู่ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งนอกจากผู้อพยพมากมายที่ต้องการไปตายเอาดาบหน้าในดินแดนแห่งเสรีภาพแห่งนี้แล้ว ยังมีกลุ่มเดนคนกลุ่มหนึ่งที่ปะปนอยู่ในนั้น นั่นคือเหล่านักโทษและเหล่าอันธพาลที่แฝงตัวมาขึ้นเรือร่วมกับผู้อพยพทั่วไปอีกด้วย และ 1 ในนั้นก็มีชายหนุ่มหน้าบากที่ชื่อ Tony Montana หนุ่มเลือดร้อนที่พร้อมชนทุกสถานการณ์อย่างไม่เกรงกลัวใดๆ เพียงแค่ก้าวเท้าสู่อเมริกา เขาก็เริ่มหนทางที่จะพาเขาสู่ความยิ่งใหญ่ มันจะมีอะไรที่จะรวยเร็วไปกว่าการค้ายา ด้วยคาแรคเตอร์ของชายผู้มั่นใจในตัวเอง มีความโหดเหี้ยม เด็ดเดี่ยว เลือดร้อนถึงลูกถึงคน ก็ทำให้เขาค่อย ๆ ไต่เต้าจากเด็กล้างจานแห่งเมืองไมอามี่
ในวันที่โลกของดนตรีถูกทลายกำแพงด้วยความหลากหลาย ใครจะไปคาดคิดว่า 4 สาวจากอีกซีกโลกหนึ่ง จะนำพาภาพลักษณ์ของตัวตน และดนตรีร่วมสมัยจนสามารถปักหมุดความนิยมไปทั่วทั้งโลกได้ในระดับปรากฏการณ์ หากเอ่ยชื่อ BLACKPINK ไม่มีใครไม่รู้จักพวกเธอทั้ง 4 แต่หลายคนอาจจะไม่รู้ว่าเส้นทางแห่งความสำเร็จของพวกเธอ จากเด็กน้อยฝึกหัด กว่าจะมาเข้าสู่ค่ายเพลงเกาหลี ไปจนถึงความดังระดับโลกนั้นไม่ใช่ง่าย ๆ ใครที่เคยคิดว่าแค่เต้นได้ หน้าตาดี แค่นี้ก็ดังได้ เราอยากให้มาดูกันว่าพวกเธอต้องผ่านอะไรมาบ้างกว่าจะอยู่จนถึงจุดสูงสุดขนาดนี้ ถึงแม้ BLACKPINK จะเป็นศิลปินเกาหลี แต่สาว ๆ ทั้ง 4 กลับมีที่มาที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เริ่มต้นด้วย Jennie สาวเกาหลีที่ไปใช้ชีวิตในประเทศนิวซีแลนด์ตั้งแต่เด็ก / Rose สาวเกาหลีที่เกิดและเติบโตในประเทศออสเตรเลีย / Jisoo สาวเกาหลีพี่ใหญ่จากกรุงโซล และ Lisa สาวสายเลือดไทยเพียงคนเดียว ที่ต้องต่อสู้กับความเหงา ความโดดเดี่ยวจากถิ่นฐานบ้านเกิดเพื่อมาไล่ตามหาความฝันซึ่งไม่มีอะไรการันตีได้ว่าจะเป็นจริงได้หรือไม่ นี่คือสิ่งที่ทั้ง 4 ต่างรับรู้กันอย่างลึกซึ้ง โดยทั้ง 4 ข้ามน้ำข้ามทะเลจากต่างถิ่นต่างที่จนได้มาเจอกันที่ YG Entertainment เพื่อสานฝันในการเป็นศิลปินอย่างเต็มตัว YG Entertainment เป็นแหล่งรวมความฝันของหนุ่มสาวทั่วโลกที่ใฝ่ฝันอยากร่วมงาน
แม้ว่าตอนนี้ กระแสของหนังซูเปอร์ฮีโร่จะยังคงอยู่ขาขึ้นเนื่องจาก 2 ค่ายยักษ์ใหญ่ยังมีฮีโร่อยู่ในสต๊อกเตรียมผลิตเป็นหนังและซีรีส์อยู่มากมาย แต่ก็มีคนดูหลายคนที่เริ่มแอบเบื่อความซ้ำซากที่เห็นแต่ฮีโร่ผู้ผดุงความยุติธรรมเพียงอย่างเดียว เพราะโลกใบนี้ไม่ได้มีแค่ด้านขาว แต่ยังมีด้านดำ แน่นอนว่าจักรวาลอันกว้างใหญ่ย่อมมีฮีโร่สายดาร์คและสายแหวกรวมอยู่ด้วยฉันนั้น และนี่ คือ 5 ซีรีส์ที่เสนออีกด้านของวีรบุรุษชุดหนัง เต็มไปด้วยความเกรียน ความแปลก และความโหดแบบสุดขั้ว ให้คนดูผู้ชอบความท้าทายได้ลืมทุกฮีโร่ผู้ผดุงคุณธรรมให้หมด แล้วมารับความโหดสุดแหก แหวกแนวสุดขั้วของพวกเขาได้เลย ในโลกที่ซูเปอร์ฮีโร่มีอิทธิพลต่อโลกใบนี้ จนทำให้พวกเขาเป็นยิ่งกว่า Super Star แต่หารู้ไม่ว่าภายใต้ความฮ๊อตของทีมซูเปอร์ฮีโร่กลุ่มนี้ กลับมีเงื่อนงำและความน่ากลัวซ่อนอยู่ จนถึงขั้นมีกลุ่มไล่ล่าซูเปอร์ฮีโร่ เพื่อจัดการกระชากหน้ากากความอำมหิตของพวกมันให้โลกได้รับรู้ เพราะเหล่าฮีโร่ได้ฆ่าคนรักของพวกเขาไป ทำให้กลุ่มแอนตี้ฮีโร่ ต้องต่อสู้กับความศรัทธาที่คนทั้งโลกยังมองกลุ่มผู้พิทักษ์ความยุติธรรมนี้เป็นคนดี ไหนจะกลุ่มผู้รักษากฏหมายที่ยังถือหางเหล่าซูเปอร์ฮีโร่กลุ่มนี้อยู่ และทำไมชื่อซีรีส์นี้ถึงชื่อแสนจะธรรมดาว่า The Boys แน่นอนว่ามันมีคำตอบที่แสนช็อคความรู้สึกคนดูอยู่ในนั้น นี่คือซีรีส์สายดาร์คที่จัดเต็มทั้งความรุนแรงแบบสุดขั้ว แบบไม่ต้องเกรงใจว่าเลือดทะเล็ด เครื่องในจะทะลักขนาดไหน ซีรีส์ที่สร้างจากคอมมิคสายดาร์คจากการสร้างสรรค์โดย Garth Ennis และ Darick Robertson ที่เสนอด้านมืดของผู้ผดุงความยุติธรรม และการวิพากษ์โลกที่นับถือตัวบุคคลโดยไม่สนใจว่าพวกเขาเหล่านั้นมีความชั่วร้ายขนาดไหน จึงเป็นหนึ่งในซีรีส์ที่เสนอด้านตรงข้ามของเหล่าซูเปอร์ฮีโร่ได้อย่างแสบสันต์และชวนติดตามอยู่ในขณะนี้ ที่ตอนนี้ออกมาแล้ว 2 ซีซั่นและเนื้อหากำลังเข้มข้นสุดขีด รับชมได้ทาง Amazon Prime อย่าคิดว่าอนิเมชั่นสีสันลูกกวาดนี้จะเป็นการ์ตูนเด็กน้อยเหมือนเรื่องทั่ว ๆ ไป
หลังจาก COVID-19 ทำลายทุกอย่างจนกลายเป็นโศกนาฏกรรมครั้งยิ่งใหญ่ของมวลมนุษยชาติยุคใหม่ จนนำไปสู่วิถีชีวิต New Normal ที่ทุกคนจะต้องเผชิญ ทั้งการใส่แมสก์ เว้นระยะห่าง จนถึงกิจกรรมที่ผู้คนนับพันนับหมื่นต้องอยู่ร่วมกันอย่างงานคอนเสิร์ตต้องหยุดชะงัก และผู้สันทัดกรณีต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า คอนเสิร์ตจะเป็นกิจกรรมสุดท้ายที่จะเกิดหลังจากรับวัคซีนจนเกิดเป็นภูมิคุ้มกันหมู่ ทำให้หลายประเทศต่างชะลอการจัดเทศกาลดนตรีจนกว่าจะมั่นใจว่าประชากรของประเทศนั้น ๆ ได้รับวัคซีนเพียงพอ แต่รัฐบาลอังกฤษ เมืองท่าแห่งวงการดนตรีกลับไม่มองอย่างนั้น พวกเขาคิดว่ามันถึงเวลาแล้วที่บ้านเมืองและผู้คนต้องเดินไปข้างหน้า จึงนำมาสู่การจัดเทศกาลดนตรีขนาดย่อม เพื่อเรียกขวัญและกำลังใจให้ทั้งประชาชน นักดนตรี รวมไปถึงมวลมนุษยชาติว่า “เราพร้อมแล้วที่จะกลับมาสู่สภาวะปกติ” จนเกิดเป็นเทศกาลดนตรีจัดขึ้นเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคมที่ผ่านมาใน Sefton Park เมืองลิเวอร์พูล โดยมีสักขีพยานในการรับชมถึง 5,000 คน โดยศิลปินผู้ร่วมเป็นหน่วยกล้าตายคือวง Blossoms, The Lathums และ Zuzu นั่นเอง Melvin Benn จาก Festival Republic กล่าวถึงช่วงเวลาแห่งความกดดันครั้งนี้ ต้องไม่ลืมว่าประเทศอังกฤษเพิ่งจะผ่านช่วงเวลาแห่งความหายนะจากผู้ติดเชื้อระดับหลักหมื่น แถมยังเป็นประเทศที่ก่อเกิดสายพันธุ์ใหม่ที่เพิ่งข้ามน้ำข้ามทะเลมาระบาดที่บ้านเรา แต่ในระยะ 2-3 เดือนที่ผ่านมา รัฐบาลก็ได้รุกหนักในการระดมกำลังปูพรมฉีดวัคซีนอย่างทั่วถึง และทางรัฐบาลเองที่ต้องการสร้างความมั่นใจให้กับประชาชน จึงเสนอโครงการนี้โดยให้ทาง Festival Republic
นาฬิกาหมุนไปอย่างรวดเร็วแค่ไหน ขนาดหนังที่เรารู้สึกว่าเพิ่งจะดูในโรงได้ไม่นาน ตอนนี้หนังเหล่านี้มีอายุครบ 10 ปีแล้วเรียบร้อย UNLOCKMEN จึงพาคุณย้อนไปทบทวนความทรงจำของหนังเหล่านี้ ที่กาลเวลาได้พิสูจน์แล้วว่า “หนังเหล่านี้เจ๋งจริง” และมาสำรวจกันว่า 10 ปีผ่านไป นักแสดงและผู้กำกับตอนนี้ทำหนังอะไรกันอยู่ จะได้ตามต่อกันได้ในอนาคต เริ่มต้นด้วยหนังคัลท์กระหึ่มโลก ที่ผสานทั้งความเหงาและความเถื่อนเอาไว้หลังพวงมาลัย ผลงานการกำกับแจ้งเกิดของ Nicolas Winding Refn เรื่องราวของสตันท์แมนหนุ่มที่กลางวันรับงานผาดโผนในกองถ่าย ส่วนค่ำคืนรับหน้าที่เป็นสารถีรับส่งเหล่าอาชญากร ชีวิตที่เต็มไปด้วยความผาดโผน กลับไม่อาจจัดการความเหงาของหัวใจตัวเองได้ หนังแสดงให้เห็นภาพชายเหงาในเมืองใหญ่ที่รายล้อมไปด้วยสไตล์และสีสันอันเฉียบคม ผสมผสานด้วยดนตรี New Wave / Post-Punk ส่งผลให้พระเอกหนุ่ม Ryan Gosling กลายเป็นนักแสดงสายอาร์ตที่เต็มเปี่ยมด้วยความเท่และความคูล แถมด้วยแจ็คเก็ตแมงป่องที่เป็นเอกลักษณ์และเพิ่มสไตล์ให้หนังกลายเป็นที่โจษจันแห่งยุคสมัยได้โดดเด่นเป็นอย่างมาก 10 ปี ผ่านไป – หลังจากหนังเรื่องนี้โด่งดังในสายอาร์ต ทั้งผู้กำกับและ Ryan Gosling ก็โคจรมาพบกันอีกครั้งในหนัง Only God Forgives (2013) ที่มีถ่ายทำในไทย ล่าสุดผู้กำกับหันเหไปกำกับซีรีส์ดราม่าอาชญากรรม Too Old to Die Young
สายปั่นเตรียมประมูล เมื่อ Foo Fighters / Radiohead / Phoebe Bridgers และศิลปินสุดเจ๋งมากมายจับมือกันรังสรรค์งานศิลปะเพื่อบ่งบอกตัวตนใส่จักรยานพับ Brompton ที่มีคันเดียวในโลก เพื่อสมทบกองทุนเยียวยาหน่วยงานในภาวะซบเซาจากการร้างราในวงการคอนเสิร์ตมาปีกว่าๆ งานนี้เตรียมเฮกันได้ สำหรับสายปั่นจักรยานที่รักในการออกแบบลวดลาย และเป็นแฟนตัวยงศิลปินมากมาย เนื่องจากในปีที่ผ่านมาการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่าทำให้โลกทั้งใบซบเซา การเดินสายทัวร์คอนเสิร์ตของศิลปินต้องหยุดชะงัก และผู้คนในสายอาชีพคอนเสิร์ตต้องหยุดงานขาดรายได้ จนเกิดเป็นมูลนิธิ “Crew Nation” ที่จัดโดย Live Nation ผู้จัดคอนเสิร์ตระดับโลก เพื่อเยียวยาและช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากทั่วโลกให้สู้กันต่อหลังจากที่ไวรัสนี้บังคับให้พวกเขาหยุดงานมาเกินปี โดยก่อนหน้านี้ก็เคยร่วมมือกับวงเคป็อประดับโลก BTS จัดประมูลงานไปแล้วครั้งหนึ่ง ครั้งนี้ Crew Nation ก็ได้จับมือกับแบรนด์จักรยาน BROMPTON จักรยานพับสุดเก๋ และศิลปิน+ค่ายเพลงจำนวน 13 ท่านเพื่อร่วมกันออกแบบลวดลายจักรยานในสไตล์ของแต่ละคน ที่มีเพียงวงละคัน รวมเป็น 13 คัน 13 สไตล์บนโลกนี้เท่านั้น โดยรายนามศิลปินมีดังต่อไปนี้ Foo Fighters Radiohead Phoebe Bridgers Enrique Iglesias LCD Soundsystem