ไม่ว่าคุณจะคุ้นเคยกับ Ben Affleck ในบทบาท Batman, ตัวแสบจาก Armageddon หรือมันสมองของเรื่องจาก Argo ทั้งหมดนั้นล้วนคือผลงานที่ผ่านมาจากความสามารถของเขา ที่กล้าเสี่ยงลงมือรับหน้าที่ทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง มาทำความรู้จักกับพ่อหนุ่มหน้านิ่งคนนี้ให้มากขึ้น เพราะชีวิตเขาแม่งโลดโผนกว่าที่พวกเราคิดไว้มากเหมือนกัน เพราะรู้ดีว่าตัวเองต้องการอะไร นักแสดงสัญชาติอเมริกันที่เราคุ้นหน้าคุ้นตากันดี ทั้งในบทบาทนักแสดงและผู้กำกับ แม้จะมีบ้านเกิดอยู่ที่ California แต่เขามาเติบโตที่รัฐติดทะเลอย่าง Massachusetts เขาเติบโตมาในครอบครัวธรรมดา มีพ่อแม่ทำอาชีพธรรมดาเหมือนชนชั้นกลางทั่วไป โดยมีเพื่อนซี้สายเลือดเดียวกันอย่าง Casey Affleck น้องชายที่อายุน้อยกว่าเขา 3 ปี ซึ่งเป็นนักแสดงเช่นเดียวกัน ชีวิตของบางคน อาจต้องใช้เวลาตกตะกอน ตัดสินใจ ในการเลือกทางเดินให้กับตัวเอง แต่ไม่ใช่สำหรับ Ben Affleck เขารู้ตัวมาตั้งแต่จำความได้ว่าต้องการเป็นนักแสดง และเขาก็ลงมือทำมันอย่างไม่ต้องรั้งรออะไร งานแสดงแรกของเขาเป็นโฆษณา Burger King หลังจากนั้นก็เป็นตัวประกอบในละครทีวีเรื่อยมา อย่าง The Voyage of the Mimi (1984) และนั่นคือช่วงเวลาเดียวกันที่เขาพบกับเพื่อนรักตลอดกาลอย่าง Matt Damon ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ รุดหน้าอย่างรวดเร็ว พวกเขามีกิจกรรมร่วมกันทั้งกีฬาและคลาสการแสดง ผลงานของเขาเรียกว่ารุ่งโรจน์ตั้งแต่สมัยยังวัยรุ่นเลยก็ว่าได้ แม้จะไม่ได้ดังพลุแตก
หนังสยองขวัญเป็นอีกแนวที่มีพัฒนาการไปตามสังคมอย่างเห็นได้ชัด ไม่ใช่แค่พล็อตผีแว้บไปมาอย่างแต่ก่อน แต่มีเนื้อเรื่องที่แยบยลมากขึ้น ถึงขั้นฟิวชั่นกับสิ่งมีชีวิตนอกโลก หรือผีกับเทคโนโลยีเลยก็มี หนังสยองขวัญจึงสามารถแตกสาขาออกไปได้อีกเยอะมาก ๆ แต่ไม่ได้จะมาชวนดูหนังสยองขวัญเพื่อกระตุกต่อมผวาแบบในเรื่องที่กล่าวมาเท่านั้น UNLOCKMEN อยากชวนหนุ่ม ๆ มาเสพความเท่บนความสยองของหนังผี ที่มีตัวละครสุดเท่อยู่ในนั้นจนโดดเด่นเกินเนื้อเรื่องด้วยซ้ำไป Bram Stoker’s Dracula (1992) Director : Francis Ford Coppola หนังสยองขวัญสุดคลาสสิกที่ยังคงความสยองขวัญข้ามกาลเวลามาจนถึงทุกวันนี้ หยิบมาดูกี่ทีก็ยังคงขนลุกในบรรยากาศที่ชวนให้มองซ้ายมองขวาอยู่ตลอด เนื้อเรื่องนั้นก็ยังเบสออนเรื่องราวของเคาต์แดร็กคิวล่าเหมือนเช่นเรื่องอื่น แต่ความพิเศษคือ เรื่องราวโรแมนติกที่สอดแทรกเข้าไปในเส้นเรื่องได้อย่างแนบเนียน และเป็นปมที่คอยขับเคลื่อนให้ตัวละครเรื่องนี้เดินหน้าต่อ ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่ได้เป็นหนังรักแต่อย่างใด เมื่อดูเรื่องนี้จบ แล้วอาจจะเปลี่ยนมุมมองต่อตัวละครแดร็กคิวล่านี้ไปเลยก็ได้ เราจะได้เห็นความหล่อระกับพระกาฬของ Gary Oldman ในบท Dracula ที่เชื่อว่าสาวน้อยสาวใหญ่ ไม่ว่าสมัยก่อนหรือตอนนี้ ต่างต้องส่งสายตาหวานปิ๊งให้กับมาดของท่านเคาต์อย่างแน่นอน Constantine (2005) Director : Francis Lawrence ความเท่ของการปราบผีระดับตำนาน เรื่องราวของ John Constantine (Keanu Reeves) เขาไม่ได้เป็นนักบุญ แต่เขาคือผู้ที่เคยผ่านความตาย และมีพรสวรรค์ในการเห็นสิ่งใด ๆ ที่ไม่ใช่มนุษย์ เขาใช้ชีวิตเพื่อกำจัดพวกเกเรกลับนรกไม่ให้เหลือซาก จนเขาได้ไปเจอกับตำรวจสาวที่ขอร้องให้เขาช่วยสืบเกี่ยวกับคดีการฆ่าตัวตายของน้องสาวฝาแฝดของเธอ แต่เรื่องมันไม่ง่ายขนาดนั้น
เราคาดหวังกับ “พระเอก” ของหนังสักเรื่องมากแค่ไหน ? หากเป็นหนังแอ็กชั่น คงวาดฝันไว้ว่าจะเป็นยอดฝีมือ รู้หลบเป็นปีกรู้หลีกเป็นหาง หรือเป็นหนัง Sci-Fi เหล่าเนิร์ดคงอยากเห็นพระเอกที่มาพร้อมกับสมองที่ฉลาดเป็นกรด แถมอยู่ในลุคสุดเท่ รวม ๆ แล้วเรามักคาดหวังไว้กับตัวเอกตัวนี้ ให้มีความเจ๋งมากพอที่จะดำเนินเรื่องและชวนให้เราติดตาม UNLOCKMEN เลยอยากชวนหนุ่ม ๆ มาดู 5 หนังพระเอกจีเนียส ฉลาดมีความรู้และมีไหวพริบมากพอที่จะเอาตัวรอดได้ทุกสถานการณ์ อาจจะเป็นหนังเก่าหรือหนัง Underrated ปะปนไปบ้าง เพราะเราไม่อยากให้เอียนกับพระเอกอัจฉริยะที่เราเจอกันบ่อย ๆ อย่าง 007 หรือนักสืบมาดกวดอย่าง Sherlock Holmes อะไรแบบนั้น ย้ำกันอีกครั้ง ย้ำกันเสมอ ว่าเราไม่ได้จัดอันดับหนังดีในดวงใจ ลิสต์นี้เป็นเหมือนการแลกเปลี่ยนหนังกับเพื่อน อย่าได้น้อยใจหากไม่มีหนังที่คิดไว้ The Usual Suspects (1995) Director: Bryan Singer อีกหนึ่งผลงานอันยอดเยี่ยม ที่ครองใจคอ Thriller มาทุกยุค เรื่องราวของวายร้ายผู้ตกเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีปล้นรถบรรทุก 5 คนประกอบไปด้วย McManus (Stephen Baldwin), Keaton (Gabriel Byrne), Fenster (Benicio Del
ความร้อนแรงของการเมืองที่เชือดเฉือนกันเกมต่อเกม อาจทำให้เราสับสนวุ่นวายไปกับสารพัดความเห็นที่ต่างชี้ไปในทิศทางความเชื่อของตน พักเรื่องเหล่านั้นเอาไว้ แล้วไปตะลุยกับ 5 ซีรีส์ชิงไหวชิงพริบในเกมบัลลังก์ ชิงความเป็นใหญ่ ด้วยสารพัดเล่ห์กลและอำนาจ ที่จะนำมาซึ่งความสำเร็จให้ตัวเอง มีทั้งบู๊มันส์ ๆ และรบกันเชิงบุ๋น ให้ได้เลือก Game of Thrones ซีรีส์แห่งยุคที่กลายเป็น Sub-Culture ระดับเดียวกับ Star Wars ไปแล้วกับเรื่องนี้ ดูเผิน ๆ จากโปสเตอร์ คิดว่ามันคือซีรีส์ย้อนยุค รบราฆ่าฟันกันตามประสา แต่แม่งเจ๋งกว่านั้นมาก ด้วยเส้นเรื่องที่เราไม่รู้จะเริ่มต้นเล่ากันยังไง เอาเป็นว่ามันเริ่มต้นจากเรื่องราวของเจ็ดอาณาจักร ที่หลายตระกูลต่างปกครองหัวเมืองของตัวเอง บางคนอยากจะก้าวขึ้นมาสู่บัลลังก์ บางคนอยากจะหลีกหนีไปให้พ้นทางแห่งอำนาจ จนเกิดการหักเหลี่ยมกันไม่ว่าจะทั้งศัตรูหรือพวกเดียวกันเอง ความสนุกคือเราจะได้เห็นการลงมือห้ำหั่นกันจากทั้งนักรบ ทหาร ขุนนาง กษัตริย์ ที่ต่างเลือกเกมให้เข้ามือตัวเองทั้งหมด เรียกว่าไม่มีมิตรแท้และศัตรูที่ถาวร ชนิดที่ว่าจบซีซั่นแต่ละทีจะได้อุทานว่า ไอ้ซั๊ซ (เสียงน้าค่อม) กันเป็นแถบ ๆ ตอนนี้เรื่องราวดำเนินไปไกล และใกล้มาถึงบทสรุปสุดท้ายในซัมเมอร์นี้แล้ว ยังไม่สายหากจะเริ่มต้นซีซั่นแรกกันในตอนนี้ The Crown นี่สิเกมบัลลังก์ที่แท้จริง เกมที่แสนจะดุเดือดของการคานอำนาจกันระหว่างสถาบันกษัตริย์และสถาบันการเมือง เรื่องราวของ Queen Elizabeth
ประเทศไทยในเวลานี้คงไม่มีเรื่องไหนจะร้อนแรงและน่าสนใจไปกว่าประเด็นทางการเมืองอีกแล้ว เพราะตอนนี้หลังจากที่เรารอคอยมาเกือบ 5 ปี ในที่สุดอีกแค่ 1 เดือนเราก็จะสามารถใช้สิทธิ์ใช้เสียงในการเลือกตั้งได้เสียที ยิ่งไปกว่านั้นการเปิดตัวแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของแต่ละพรรคการเมืองก็เป็นอีกหนึ่งตัวจุดชนวนชั้นดีที่ทำให้การเลือกตั้งครั้งนี้น่าตื่นเต้นขึ้นไปอีกโดยเฉพาะพรรคไทยรักษาชาติ… ก่อนจะเลยเถิดไปไกล ขอจบประเด็นการเมืองไทยไว้เพียงเท่านี้ เรามาเข้าเรื่องมังงะประจำสัปดาห์กันดีกว่า แต่ยังไงก็หนีการเมืองไม่พ้น เพราะในบรรยากาศแบบนี้ถ้าจะหามังงะสักเรื่องมาอ่านคงไม่มีแนวเรื่องไหนที่จะเหมาะไปกว่ามังงะการเมืองอีกแล้ว วันนี้เราจะมาแนะนำเรื่องที่เราชอบ 5 เรื่องด้วยกัน เอาไว้อ่านอุ่นเครื่องก่อนจะเดินเข้าคูหาในเดือนหน้า (มีนาคม 2562) มาเรียนรู้ผ่านลายเส้นกันก่อนว่า 1 เสียงของประชาชนธรรมดาอย่างเราก็มีค่าเหมือนกัน คุนิมิตซึ คนจริงจอมกะล่อน Written by ยูมะ อันโดะ, มาซาชิ อาซากิ โดยปกติถ้ามังงะสักเรื่องจะพูดถึงประเด็นการเมืองก็มักจะมาในรูปแบบของส่วนประกอบเสริมมากกว่า เช่นมังงะแอ็คชั่นการเมืองหรือแฟนตาซีการเมือง เพราะการเมืองกับมังงะนั้นดูจะไปกันได้ยาก แต่ Kunimitsu no Matsuri คุนิมิตซึ คนจริงจอมกะล่อน คือมังงะการเมืองเพียว ๆ ไม่จำเป็นต้องใช้ส่วนผสมใด ๆ เพิ่มเติม ความสนุกของมันอยู่ที่การหักเหลี่ยมเฉือนคม ชิงไหวชิงพริบในเกมการเมืองล้วน ๆ ก็ตามชื่อเรื่อง นี่คือเรื่องราวของ มุโต้ คุนิมิตซึ ลูกชายเจ้าของร้านยากิโซบะธรรมดา ๆ ที่จับพลัดจับผลูได้ไปเป็นหัวคะแนนให้กับสจ.ของเมือง ๆ หนึ่ง แน่นอนว่าหน้าที่ของเขาคือการใช้กลยุทธ์ต่าง ๆ ผลักดันสจ.คนนี้ให้ก้าวขึ้นไปเป็นผู้ว่าเมืองให้ได้ ระหว่างทางเราจะได้เห็นเล่ห์เหลี่ยมมากมาย
เวลาถกกันเรื่องประเด็นทางสังคม เรามักจะได้ยินเสมอว่า ไม่มีใครดีหรือแย่ไปทั้งหมด และมันก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ เมื่อคนเราส่วนใหญ่ต่างก็เป็นสีเทาในเฉดที่แตกต่างกันไปทั้งนั้น แม้แต่ในภาพยนตร์ หลายเรื่องมักจะวางบทให้พระนางแสนดี ตัวร้ายก็ชั่วจนเกินจะรับได้ มันอาจให้ความบันเทิง แต่กลับทำให้เรารู้สึกห่างไกลจากความเป็นจริงไปกันใหญ่ UNLOCKMEN ชวนมาดูภาพยนตร์ในแบบที่ตัวละครเป็นสีเทา ใกล้เคียงกับชีวิตจริงของพวกเรากันมากขึ้น เหมือนทุกครั้งที่เราอยากบอกเสมอว่า นี่ไม่ใช่การจัดอันดับหนังดี เราไม่ได้แนะนำด้วยคะแนนวิจารณ์ หรือตัดสินด้วยอะไรทั้งนั้น นี่เป็นเพียงลิสต์หนังที่เราอยากบอกต่อเหมือนเพื่อนแชร์หนังหรือชวนกันดู อย่าได้หัวเสียถ้าหากไม่มีหนังที่ตรงใจคุณในลิสต์นี้ Se7en (1995) Director: David Fincher สำหรับหนังสืบสวน Thriller แล้ว ผู้กำกับเบอร์แรก ๆ ในใจของใครหลายคน คงไม่พ้น David Fincher โดยเฉพาะเรื่องนี้ ที่เป็นเรื่องราวการตามหาฆาตกรที่โคตรตื่นเต้น ให้เราได้ลุ้นกันจนวินาทีสุดท้าย ยิ่งเวลาเดินไปนานเท่าไหร่ หนังยิ่งทวีความเข้มข้นขึ้น เนื้อเรื่องคร่าว ๆ คือ ตำรวจวัยเก๋าอย่าง วิลเลี่ยม รับบทโดย Morgan Freeman ที่จับพลัดจับผลูมาเป็นคู่หูกับนักสืบหนุ่มอย่าง David รับบทโดย Brad Pitt ที่ต้องมารับคดีชวนฉงนอย่างฆาตกรต่อเนื่อง 7 ศพ ที่เขาเลือกคนที่มีบาปทั้งเจ็ดของศาสนาคริสต์
หลังจากประสบความสำเร็จในแง่เสียงวิจารณ์อย่างท่วมท้นกับ ‘They Shall Not Grow Old’ สารคดีว่าด้วยเรื่องราวในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ดูเหมือนว่าคุณปู่ Peter Jackson ปูชนียบุคคลระดับตำนานแห่งฮอลลีวูดจะติดใจการทำสารคดีเสียแล้ว เพราะโปรเจกต์ล่าสุดของเขาที่เพิ่งประกาศออกมาสด ๆ ร้อน ๆ คือการนำ Footage กว่า 55 ชั่วโมงที่ไม่เคยมีใครเห็นมาก่อนของ 4 เต่าทองแห่ง The Beatles มาร้อยเรียงให้กลายเป็นสารคดีเรื่องใหม่ จะหาว่าเราอวยก็ได้ แต่สำหรับเรา The Beatles คือวงดนตรีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ การปรากฏตัวของพวกเขาในช่วงต้นยุค 60 เปรียบเสมือนต้นไม้ใหญ่โผล่พ้นผืนดิน และต่อให้ตอนนี้เวลาจะผ่านมากว่า 60 ปี แต่ต้นไม้ต้นนี้ก็ยังคงตั้งตระหง่านแผ่กิ่งก้านเป็นร่มเงาให้วงการดนตรีอยู่ อย่างไรก็ตามสิ่งที่น่าแปลกใจคือภาพยนตร์สารคดีเกี่ยวกับ The Beatles กลับมีน้อยมากอย่างไม่น่าเชื่อ “ก็ A Hard Day’s Night ไง” เรารู้ว่าทุกคนกำลังคิดแบบนี้อยู่แน่ ๆ ไม่ปฏิเสธว่า A Hard Day’s Night เมื่อปี 1964 นั้นประสบความสำเร็จอย่างสูงทั้งแง่คำวิจารณ์และรายได้
ไม่ว่าจะเดินทางมาทำงานด้วยวิธีไหน ไม่ว่าจะขับรถมาเอง หรือใช้ขนส่งมวลชน เชื่อว่าหลายคนคงไม่ได้แฮปปี้กับสภาพจราจรในตอนเช้าหรือหลังเลิกงานกันนัก ไม่ว่าจะในย่านที่ติดเป็นประจำจนขึ้นชื่อว่าติดไฟแดงชาตินี้ได้ไปชาติหน้า หรือย่านที่ไม่ได้ติดสาหัส แต่ก็รถเยอะจัดตลอดวัน หรือใครที่เดินทางด้วยขนส่งมวลชนก็ต้องผจญกับคลื่นมนุษย์ที่เบียดเสียดกันไม่แพ้ทางอื่น UNLOCKMEN เข้าใจคุณดี เลยหยิบเอามาฟังได้ตลอดกับเพลงจากวงอังกฤษ ที่จะมีเอกลักษณ์ของเขาเองจนเกิดเป็นคำเฉพาะที่เรียกกันว่า “Britpop” มีทั้งเพลงฮิตติดหูและเพลง B-Side ที่อาจไม่เคยได้ฟังปะปนกันไปบ้าง มู้ดรวม ๆ คือเน้นฟังกันเพลิน ๆ มากกว่าให้มันเป็น Playlist รวมเพลงฮิตยุคทอง แก้เซ็งกันก่อนจะถึงจุดหมายปลายทาง ใครที่สะดวกฟังบน Spotify ตามไป Follow Playlist กันได้เหมือนเดิม Shed Seven – Going For Gold Radiohead – No Surprises James – Laid The Verve – Lucky Man The Bluetones – Slight Return Dodgy –
เวลาเราเห็นวงดนตรีไหนห่างหายไปจากวงการ เรามักเข้าใจว่าพวกเขาต่างแยกย้ายกันไปทำธุระตามเรื่องราวของตัวเอง เลยมักเรียกช่วง Gap นั้นว่าการพักวง Abuse The Youth เองก็เป็นอีกวงที่มี Gap นั้น แต่ Gap ของพวกเขาไม่ได้เป็นการพักวงอย่างที่พวกเราเข้าใจ เพราะช่วงที่หายไปเกือบ 5 ปีนั้น พวกเขายังคงทำเพลง ซ้อมดนตรี พบเจอกันอยู่ตลอด เพียงแค่จังหวะมันยังไม่เหมาะที่จะปล่อยเพลงเท่านั้นเอง และตอนนี้ ปี 2019 นี้ คือช่วงเวลาที่พวกเขาเลือกแล้วว่าเหมาะสมที่จะปล่อยเพลงใหม่อย่าง We Meet Again ภายใต้บ้านหลังใหม่อย่าง What The Duck ความร้ายกาจคือใน MV เพลงนี้ระยะเวลาเพียงสามนาทีกว่า สามารถ Tie-In กิจการส่วนตัวของสมาชิกในวงได้ครบทุกคน จะมีอะไรบ้างต้องลองไปตามดูกันเอง เรามีโอกาสได้พูดคุยกับพวกเขาในบรรยากาศสบาย ๆ ถึงเรื่องราวการกลับมาครั้งนี้ของพวกเขา หัวเราะร่วนไปกับมุกตลกที่ยิงใส่กันเองอย่างไม่หยุดหย่อน ภายใต้กลิ่นหอมกรุ่นของกาแฟในร้าน Red Diamond To Be Continue เรามักจะคุ้นเคยเพลงของ Abuse The Youth ในยุคแรกที่เป็นเพลงภาษาอังกฤษ ต่อจากนั้นก็เป็นเพลงไทยเพลงแรกอย่าง คืนสุดท้ายของแสงไฟ และได้ฐานแฟนเพลงเพิ่มไปเต็ม ๆ จากเพลงประกอบซีรีส์
ในทุกวงการมักจะมีศัพท์เฉพาะโผล่ออกมา เรียกความสับสนให้ Newbie อย่างมาก พวกหน้าใหม่เลยต้องค่อย ๆ แกะรอยกันไป จนกว่าจะรู้ความหมายและเอาไปโม้กับคนอื่นได้แบบไม่เสียหน้า อย่างในวงการภาพยนตร์เองก็มีสารพัดคำอยู่เหมือนกัน UNLOCKMEN พามาทำความรู้จักกับคำเหล่านี้ที่เป็นคำยอดฮิตอย่าง TEASER กับ TRAILER และ REMAKE กับ REBOOT แกะรอยความแตกต่างและนำไปใช้ให้ถูกแบบไม่ปล่อยไก่ให้เสียหน้า TEASER กับ TRAILER ก่อนจะไปชี้ความแตกต่างกันแบบเป็นข้อ ๆ มาทำความเข้าใจกันก่อนว่าแต่ละอย่างมันคืออะไรกันบ้าง TEASER เป็นการเรียกน้ำย่อยได้แบบกระตุกต่อมเอามาก ๆ เพราะมันคือการเอาซีนเด่น ๆ ที่เป็น Hilight ในเรื่องมาวางแบบ ปั้ง! ปั้ง! ปั้ง! เน้นความอลังการ ความสวยงาม ของ Visuals และ Production แทรกด้วยวลีสั้น ๆ จากตัวละคร หรืออะไรที่รู้ว่าจะ Impact กับคนดู มาใส่แบบไม่เรียงลำดับเรื่องราว และไม่เปิดเผยเนื้อเรื่อง ความยาวของมันจึงมีน้อยนิด ส่วนมากจะไม่เกินหนึ่งนาที ซึ่งเจ้า Teaser เนี่ย มักจะถูกปล่อยออกมาก่อน TRAILER