หากเราเปิดภาพยนตร์สักเรื่องดู แบบที่ไม่รู้มาก่อนว่านี่คือเรื่องอะไร สิ่งที่ทำให้เราเดาได้ว่านี่คือหนังของผู้กำกับคนไหน คงจะเป็น Signature ของภาพที่เราได้เห็นและเทคนิคการเล่าเรื่อง เหมือนกับเวลาเราคุ้นตากับลายเส้นอันเป็นเอกลักษณ์ของนักวาดการ์ตูน คุ้นกับสำนวนสละสลวยของนักเขียน ผู้กำกับหลายคนก็มักจะมีเอกลักษณ์ของตัวเองจนเรารู้ได้ในทันทีว่านี่คือผลงานของเขา อย่างภาพยนตร์หม่นหมองของ Tim Burton สีฟ้าอมเขียวและภาพสโลวโมชั่นแบบไร้ที่มาของ Zack Snyder และทุกอย่างที่ดูสมมาตรไปหมดในมุมมองของ Wes Anderson หากใครได้ดูภาพยนตร์ของ Anderson มาบ้าง คงพอจะนึกภาพ Mood and tone ของเรื่องออก ว่าเรากำลังจะพูดถึงอะไร ไม่ว่าจะเป็นการจับคู่สีที่ชาญฉลาด ตัวละครเพี้ยน ๆ รวมทั้งมุมมองที่แสนจะสมมาตรมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ จนสิ่งเหล่านี้กลายเป็นเอกลักษณ์ของเขา ชนิดที่ว่าดูเรื่องไหนก็เจอมันเรื่องนั้นนั่นแหละ แฟน ๆ หลายคนเองก็ชื่นชอบภาพยนตร์ของเขาเพราะฟินกับความสมมาตรที่ได้ชม เคยสงสัยกันบ้างไหม ว่าทำไมรูปร่าง ภาพ มุมมองที่สมมาตร มันถึงทำให้เราฟินจนรู้สึกว่ามันคือสัดส่วนที่ใช่ของมวลมนุษยชาติ เราจะมาหาคำตอบนี้ไปพร้อมกัน สัดส่วนสุดพึงใจ ความลงตัวของสัดส่วนธรรมชาติ ความสมมาตรคือสัดส่วนที่เราคุ้นเคยกันดี เพราะมันคือสัดส่วนที่ธรรมชาติรังสรรค์ ไม่ต้องมองหาที่ไหนไกลเลย ลองมองที่ตัวเราเองนี่แหละ ตอนที่เราแบ่งเซลล์แล้วประกอบร่างมาเป็นตัวเราอย่างในทุกวันนี้ มันคือการประกบเข้าหากันแบบสมมาตร ลองสังเกตดูว่าร่างกายของเรา มันจะมีเส้นตรงกลางลำตัว ชัดเจนที่สุดคงเป็นเส้นตรงหน้าท้อง หากผ่าร่างกายเราในแนวแกน Y มันจะแบ่งครึ่งได้แบบสมมาตรพอดิบพอดี
เรื่องราวเร้นลับชวนขนหัวลุกสุดคลาสสิกจากทั้งวงการวรรณกรรมและภาพยนตร์ อย่าง Dracula ถูกนำมาสร้างในเวอร์ชั่นจอแก้วและจอเงินหลายต่อหลายครั้ง รวมทั้งหนังสือเองที่ได้รับการตีพิมพ์แบบนับไม่ถ้วน ด้วยเนื้อเรื่องสุดคลาสสิกที่ใคร ๆ ต่างรู้จักตำนานผีดูดเลือดแห่ง Transylvania จึงทำให้ทุกเวอร์ชั่นเข้าถึงผู้บริโภคได้อย่างง่ายดาย แต่สำหรับวงการภาพยนตร์ เรื่องราวผีดูดเลือดของท่าน Count Dracula จะให้นับว่าเวอร์ชั่นไหนที่เป็นตำนานที่สุด ทุกเสียงคงชี้ไปในทิศทางเดียวกันที่ Bram Stoker’s Dracula (1992) ฝีมือการกำกับของ Francis Ford Coppola ที่ได้รับกระแสตอบรับในแง่บวกอย่างล้นหลาม ไม่ใช่แค่ยุคนั้น แต่ยังคงขึ้นชื่อมาจนถึงทุกวันนี้ มาแกะรอยความคลาสสิกของที่ทำให้เรื่องนี้กลายเป็นตำนานของฝั่ง Horror ในวงการจอเงิน รวมทั้งอิทธิพลของเรื่องนี้ที่ส่งต่อมาถึงภาพยนตร์สยองขวัญรุ่นหลัง Dracula จากปลายปากกาของ Bram Stoker ชื่อของ Bram Stoker ที่ปรากฎอยู่บนชื่อภาพยนตร์อย่างเป็นทางการเนี่ย เป็นชื่อของนักเขียนชาวไอริช เจ้าของผลงานนวนิยายเรื่อง Dracula เรื่องราวของแวมไพร์ในปราสาทที่เรารู้จักในชื่อ Count Dracula ตัวละครเรื่องนี้ได้รับแรงบันดาลใจจาก Vlad Țepeș ผู้ปกครองเมือง Transylvania ที่เป็นฉากหลังในเรื่องนั่นเอง ซึ่งเนื้อเรื่องก็เป็นอย่างในภาพยนตร์ที่เราได้ดูกันนั่นแหละ สรุปง่าย ๆ ก็คือ Francis Ford Coppola ทำภาพยนตร์สยองขวัญโดยการหยิบเอาเรื่องของท่าน Count Dracula จากต้นเนื้อเรื่องฉบับเวอร์ชั่นนิยายของ Bram Stoker มาถ่ายทอดสู่จอเงิน เนื่องจากใช้เนื้อเรื่องเดียวกันแทบทั้งหมด
เราคุ้นเคยกับ The Secret Life of Walter Mitty ผลงานการกำกับและแสดงเป็นตัวเอกของ Ben Stiller ในแง่ของการเป็นหนังปลุกพลัง Feel Good ให้กับเหล่ามนุษย์ออฟฟิศชีวิตจำเจ มีเหตุให้ได้ออกไปผจญภัยตามสถานที่ต่าง ๆ ที่วิวธรรมชาติโคตรสวย จนเราไม่อยากจะเชื่อว่ามีวิวแบบนี้อยู่จริง ไม่ได้เปิดหูเปิดตาแค่ตัวเอกอย่าง Mitty เท่านั้น แต่ยังทำให้เรามีไฟลุกออกไปตามหาสถานที่แสนพิเศษแบบนั้นบ้าง เอาจริง ๆ หนังก็ดูเป็นพล็อตสูตรสำเร็จ แต่ทำไมมันถึง Impact กับคนดูจนเกิดกระแสปากต่อปากได้ขนาดนี้ เราจะมาแกะรอยประเด็นต่าง ๆ ที่เจอในเรื่องนี้ (เท่าที่เก็บได้) ซึ่งมีการเปิดเผยเนื้อหาสำคัญของเรื่องบางส่วน เอาเป็นว่า ใครที่ยังไม่ได้ดู เราแนะนำให้ไปดูแล้วกลับมาอ่านอีกทีจะดีกว่า ส่วนใครที่ดูแล้ว ลองมา Recap เรื่องราวและประเด็นที่น่าสนใจไปพร้อมกับเรา Recap เรื่องย่อ ภาพยนตร์เรื่อง “The Secret Life of Walter Mitty” เรื่องราวชีวิตที่แสนจำเจของ Walter Mitty (Ben Stiller) พนักงานออฟฟิศที่อยู่ในตำแหน่งเดิมของนิตยสาร LIFE มายาวนาน เขารักบริษัท ทุ่มเทกับหน้าที่ที่ได้รับ
หากใครเคยดู The Great Gatsby คงพอจะจำได้ว่ามหาเศรษฐีอย่าง Gatsby ไปไม่เป็นขนาดไหน เมื่อ Nick เพื่อนบ้านตัวจ้อยของเขา รับปากที่จะช่วยเป็นพ่อสื่อ แบบไม่หวังผลตอบแทนอะไร ช่วยเพราะต้องการที่จะช่วยแค่นั้นเอง อาจเพราะ Gatsby อยู่ในแวดวงธุรกิจ เรื่องของการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์จึงแฝงอยู่ในทุกสิ่ง แม้จะมองเรื่องราวในชีวิตจริง มิตรภาพที่จริงใจก็ไม่ใช่สิ่งที่หาจากใครได้ง่าย ๆ และเราเองก็ไม่ได้มีให้ใครง่าย ๆ เช่นกัน UNLOCKMEN ชวนหนุ่ม ๆ มาเรียนรู้บทเรียนมิตรภาพลูกผู้ชาย จาก 5 หนังหลากรส หลากเหตุการณ์ ที่ให้ข้อคิดในเรื่องของความสัมพันธ์ ความจริงใจ และมิตรภาพ เหมือนทุกครั้งที่เราอยากบอกเสมอว่า นี่ไม่ใช่การจัดอันดับหนังดี เราไม่ได้แนะนำด้วยคะแนนวิจารณ์ หรือตัดสินด้วยอะไรทั้งนั้น นี่เป็นเพียงลิสต์หนังที่เราอยากบอกต่อเหมือนเพื่อนแชร์หนังหรือชวนกันดู อย่าได้หัวเสียถ้าหากไม่มีหนังที่ตรงใจคุณในลิสต์นี้ Forrest Gump (1994) Director: Robert Zemeckis เรื่องราวชีวิตแสนพิเศษจากหนุ่มอัจฉริยะปัญญานิ่ม (ตามชื่อเรื่องไทย ไม่ได้เป็นการใช้ Hate Speech แต่อย่างใด) Forrest Gump (Tom Hanks) ที่เราจะได้เห็นชีวิตของเขาตั้งแต่เป็นเด็กน้อยในอ้อมอกของแม่ผู้คอยปกป้องเขาจากทุกอย่าง เขาถูกหล่อหลอมให้มีทัศนคติเชิงบวกอย่างไม่น่าเชื่อ ไม่ใช่แค่คิดบวกแล้วจะกลายเป็นคนโง่
ใครที่เคยดูภาพยนตร์เรื่อง “Constantine คนพิฆาตผี” คงต้องยอมให้กับความเท่ระเบิดระเบ้อของ Keanu Reeves ที่เจิดจรัสออกมาตลอดทั้งเรื่อง จนกลบเสียงวิจารณ์เนื้อหาที่ฉีกไปจากคอมมิกอย่างไม่มีชิ้นดี นอกจากความเท่ที่มันเตะตาคนดูอย่างเราแล้ว หลายคนคงจำรอยสักปริศนาที่แขนของ John Constantine ตัวเอกของเรื่องกันได้ดี โดยเฉพาะฉากยกแขนมาแนบกันเพื่อปราบเจ้าเด็กแสบ รอยสักนั้นไม่ได้ถูกดีไซน์ขึ้นมาใหม่ ให้มันเท่เข้ากับคาแรกเตอร์เฉย ๆ อย่างตัวละครในเรื่องอื่น แต่มันเป็นสัญลักษณ์ที่มีความหมายและมีมานานอีกแล้วอีกต่างหาก UNLOCKMEN จะพาทุกคนมาทำความรู้จักกับสัญลักษณ์นั้น ที่กลายมาเป็นรอยสักแสนสะดุดตาบนแขนของเขากัน ทำความรู้จักเรื่อง Constantine ก่อนจะไปทำความรู้จักกับสัญลักษณ์นั้น ลองมาทบทวนเนื้อเรื่อง “Constantine คนพิฆาตผี” กันหน่อย เผื่อมีบางคนที่ดูนานแล้วจนลืมเลือนเนื้อเรื่องไป หรือบางคนที่อาจจะยังไม่เคยดูเรื่องนี้มาก่อน ความเท่ของการปราบผีระดับตำนาน เรื่องราวของ John Constantine (Keanu Reeves) เขาไม่ได้เป็นนักบุญ แต่เขาคือผู้ที่เคยผ่านความตาย และมีพรสวรรค์ในการเห็นสิ่งใด ๆ ที่ไม่ใช่มนุษย์ เขาใช้ชีวิตเพื่อกำจัดพวกเกเรกลับนรกไม่ให้เหลือซาก จนเขาได้ไปเจอกับตำรวจสาวที่ขอร้องให้เขาช่วยสืบเกี่ยวกับคดีการฆ่าตัวตายของน้องสาวฝาแฝดของเธอ แต่เรื่องมันไม่ง่ายขนาดนั้น เมื่อความตายของสาวคนนั้นเป็นเพียงปมเล็ก ๆ ของเรื่องราวอันยุ่งเหยิงระหว่างปีศาจ ลูกตัวแสบของลูซิเฟอร์ที่อยากจะขึ้นมาป่วนโลกนี้แบบเต็มที ใครที่ชื่นชอบปีศาจแบบตามศาสนา ไม่ใช่ผีแบบ Ghost ล่ะก็ แนะนำเรื่องนี้เป็นอันดับต้น ๆ เพราะเรื่องนี้จะเต็มไปด้วย ปีศาจ ศาสนา
ไม่ว่าคุณจะคุ้นเคยกับ Ben Affleck ในบทบาท Batman, ตัวแสบจาก Armageddon หรือมันสมองของเรื่องจาก Argo ทั้งหมดนั้นล้วนคือผลงานที่ผ่านมาจากความสามารถของเขา ที่กล้าเสี่ยงลงมือรับหน้าที่ทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง มาทำความรู้จักกับพ่อหนุ่มหน้านิ่งคนนี้ให้มากขึ้น เพราะชีวิตเขาแม่งโลดโผนกว่าที่พวกเราคิดไว้มากเหมือนกัน เพราะรู้ดีว่าตัวเองต้องการอะไร นักแสดงสัญชาติอเมริกันที่เราคุ้นหน้าคุ้นตากันดี ทั้งในบทบาทนักแสดงและผู้กำกับ แม้จะมีบ้านเกิดอยู่ที่ California แต่เขามาเติบโตที่รัฐติดทะเลอย่าง Massachusetts เขาเติบโตมาในครอบครัวธรรมดา มีพ่อแม่ทำอาชีพธรรมดาเหมือนชนชั้นกลางทั่วไป โดยมีเพื่อนซี้สายเลือดเดียวกันอย่าง Casey Affleck น้องชายที่อายุน้อยกว่าเขา 3 ปี ซึ่งเป็นนักแสดงเช่นเดียวกัน ชีวิตของบางคน อาจต้องใช้เวลาตกตะกอน ตัดสินใจ ในการเลือกทางเดินให้กับตัวเอง แต่ไม่ใช่สำหรับ Ben Affleck เขารู้ตัวมาตั้งแต่จำความได้ว่าต้องการเป็นนักแสดง และเขาก็ลงมือทำมันอย่างไม่ต้องรั้งรออะไร งานแสดงแรกของเขาเป็นโฆษณา Burger King หลังจากนั้นก็เป็นตัวประกอบในละครทีวีเรื่อยมา อย่าง The Voyage of the Mimi (1984) และนั่นคือช่วงเวลาเดียวกันที่เขาพบกับเพื่อนรักตลอดกาลอย่าง Matt Damon ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ รุดหน้าอย่างรวดเร็ว พวกเขามีกิจกรรมร่วมกันทั้งกีฬาและคลาสการแสดง ผลงานของเขาเรียกว่ารุ่งโรจน์ตั้งแต่สมัยยังวัยรุ่นเลยก็ว่าได้ แม้จะไม่ได้ดังพลุแตก
หนังสยองขวัญเป็นอีกแนวที่มีพัฒนาการไปตามสังคมอย่างเห็นได้ชัด ไม่ใช่แค่พล็อตผีแว้บไปมาอย่างแต่ก่อน แต่มีเนื้อเรื่องที่แยบยลมากขึ้น ถึงขั้นฟิวชั่นกับสิ่งมีชีวิตนอกโลก หรือผีกับเทคโนโลยีเลยก็มี หนังสยองขวัญจึงสามารถแตกสาขาออกไปได้อีกเยอะมาก ๆ แต่ไม่ได้จะมาชวนดูหนังสยองขวัญเพื่อกระตุกต่อมผวาแบบในเรื่องที่กล่าวมาเท่านั้น UNLOCKMEN อยากชวนหนุ่ม ๆ มาเสพความเท่บนความสยองของหนังผี ที่มีตัวละครสุดเท่อยู่ในนั้นจนโดดเด่นเกินเนื้อเรื่องด้วยซ้ำไป Bram Stoker’s Dracula (1992) Director : Francis Ford Coppola หนังสยองขวัญสุดคลาสสิกที่ยังคงความสยองขวัญข้ามกาลเวลามาจนถึงทุกวันนี้ หยิบมาดูกี่ทีก็ยังคงขนลุกในบรรยากาศที่ชวนให้มองซ้ายมองขวาอยู่ตลอด เนื้อเรื่องนั้นก็ยังเบสออนเรื่องราวของเคาต์แดร็กคิวล่าเหมือนเช่นเรื่องอื่น แต่ความพิเศษคือ เรื่องราวโรแมนติกที่สอดแทรกเข้าไปในเส้นเรื่องได้อย่างแนบเนียน และเป็นปมที่คอยขับเคลื่อนให้ตัวละครเรื่องนี้เดินหน้าต่อ ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่ได้เป็นหนังรักแต่อย่างใด เมื่อดูเรื่องนี้จบ แล้วอาจจะเปลี่ยนมุมมองต่อตัวละครแดร็กคิวล่านี้ไปเลยก็ได้ เราจะได้เห็นความหล่อระกับพระกาฬของ Gary Oldman ในบท Dracula ที่เชื่อว่าสาวน้อยสาวใหญ่ ไม่ว่าสมัยก่อนหรือตอนนี้ ต่างต้องส่งสายตาหวานปิ๊งให้กับมาดของท่านเคาต์อย่างแน่นอน Constantine (2005) Director : Francis Lawrence ความเท่ของการปราบผีระดับตำนาน เรื่องราวของ John Constantine (Keanu Reeves) เขาไม่ได้เป็นนักบุญ แต่เขาคือผู้ที่เคยผ่านความตาย และมีพรสวรรค์ในการเห็นสิ่งใด ๆ ที่ไม่ใช่มนุษย์ เขาใช้ชีวิตเพื่อกำจัดพวกเกเรกลับนรกไม่ให้เหลือซาก จนเขาได้ไปเจอกับตำรวจสาวที่ขอร้องให้เขาช่วยสืบเกี่ยวกับคดีการฆ่าตัวตายของน้องสาวฝาแฝดของเธอ แต่เรื่องมันไม่ง่ายขนาดนั้น
เราคาดหวังกับ “พระเอก” ของหนังสักเรื่องมากแค่ไหน ? หากเป็นหนังแอ็กชั่น คงวาดฝันไว้ว่าจะเป็นยอดฝีมือ รู้หลบเป็นปีกรู้หลีกเป็นหาง หรือเป็นหนัง Sci-Fi เหล่าเนิร์ดคงอยากเห็นพระเอกที่มาพร้อมกับสมองที่ฉลาดเป็นกรด แถมอยู่ในลุคสุดเท่ รวม ๆ แล้วเรามักคาดหวังไว้กับตัวเอกตัวนี้ ให้มีความเจ๋งมากพอที่จะดำเนินเรื่องและชวนให้เราติดตาม UNLOCKMEN เลยอยากชวนหนุ่ม ๆ มาดู 5 หนังพระเอกจีเนียส ฉลาดมีความรู้และมีไหวพริบมากพอที่จะเอาตัวรอดได้ทุกสถานการณ์ อาจจะเป็นหนังเก่าหรือหนัง Underrated ปะปนไปบ้าง เพราะเราไม่อยากให้เอียนกับพระเอกอัจฉริยะที่เราเจอกันบ่อย ๆ อย่าง 007 หรือนักสืบมาดกวดอย่าง Sherlock Holmes อะไรแบบนั้น ย้ำกันอีกครั้ง ย้ำกันเสมอ ว่าเราไม่ได้จัดอันดับหนังดีในดวงใจ ลิสต์นี้เป็นเหมือนการแลกเปลี่ยนหนังกับเพื่อน อย่าได้น้อยใจหากไม่มีหนังที่คิดไว้ The Usual Suspects (1995) Director: Bryan Singer อีกหนึ่งผลงานอันยอดเยี่ยม ที่ครองใจคอ Thriller มาทุกยุค เรื่องราวของวายร้ายผู้ตกเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีปล้นรถบรรทุก 5 คนประกอบไปด้วย McManus (Stephen Baldwin), Keaton (Gabriel Byrne), Fenster (Benicio Del
ความร้อนแรงของการเมืองที่เชือดเฉือนกันเกมต่อเกม อาจทำให้เราสับสนวุ่นวายไปกับสารพัดความเห็นที่ต่างชี้ไปในทิศทางความเชื่อของตน พักเรื่องเหล่านั้นเอาไว้ แล้วไปตะลุยกับ 5 ซีรีส์ชิงไหวชิงพริบในเกมบัลลังก์ ชิงความเป็นใหญ่ ด้วยสารพัดเล่ห์กลและอำนาจ ที่จะนำมาซึ่งความสำเร็จให้ตัวเอง มีทั้งบู๊มันส์ ๆ และรบกันเชิงบุ๋น ให้ได้เลือก Game of Thrones ซีรีส์แห่งยุคที่กลายเป็น Sub-Culture ระดับเดียวกับ Star Wars ไปแล้วกับเรื่องนี้ ดูเผิน ๆ จากโปสเตอร์ คิดว่ามันคือซีรีส์ย้อนยุค รบราฆ่าฟันกันตามประสา แต่แม่งเจ๋งกว่านั้นมาก ด้วยเส้นเรื่องที่เราไม่รู้จะเริ่มต้นเล่ากันยังไง เอาเป็นว่ามันเริ่มต้นจากเรื่องราวของเจ็ดอาณาจักร ที่หลายตระกูลต่างปกครองหัวเมืองของตัวเอง บางคนอยากจะก้าวขึ้นมาสู่บัลลังก์ บางคนอยากจะหลีกหนีไปให้พ้นทางแห่งอำนาจ จนเกิดการหักเหลี่ยมกันไม่ว่าจะทั้งศัตรูหรือพวกเดียวกันเอง ความสนุกคือเราจะได้เห็นการลงมือห้ำหั่นกันจากทั้งนักรบ ทหาร ขุนนาง กษัตริย์ ที่ต่างเลือกเกมให้เข้ามือตัวเองทั้งหมด เรียกว่าไม่มีมิตรแท้และศัตรูที่ถาวร ชนิดที่ว่าจบซีซั่นแต่ละทีจะได้อุทานว่า ไอ้ซั๊ซ (เสียงน้าค่อม) กันเป็นแถบ ๆ ตอนนี้เรื่องราวดำเนินไปไกล และใกล้มาถึงบทสรุปสุดท้ายในซัมเมอร์นี้แล้ว ยังไม่สายหากจะเริ่มต้นซีซั่นแรกกันในตอนนี้ The Crown นี่สิเกมบัลลังก์ที่แท้จริง เกมที่แสนจะดุเดือดของการคานอำนาจกันระหว่างสถาบันกษัตริย์และสถาบันการเมือง เรื่องราวของ Queen Elizabeth
เวลาถกกันเรื่องประเด็นทางสังคม เรามักจะได้ยินเสมอว่า ไม่มีใครดีหรือแย่ไปทั้งหมด และมันก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ เมื่อคนเราส่วนใหญ่ต่างก็เป็นสีเทาในเฉดที่แตกต่างกันไปทั้งนั้น แม้แต่ในภาพยนตร์ หลายเรื่องมักจะวางบทให้พระนางแสนดี ตัวร้ายก็ชั่วจนเกินจะรับได้ มันอาจให้ความบันเทิง แต่กลับทำให้เรารู้สึกห่างไกลจากความเป็นจริงไปกันใหญ่ UNLOCKMEN ชวนมาดูภาพยนตร์ในแบบที่ตัวละครเป็นสีเทา ใกล้เคียงกับชีวิตจริงของพวกเรากันมากขึ้น เหมือนทุกครั้งที่เราอยากบอกเสมอว่า นี่ไม่ใช่การจัดอันดับหนังดี เราไม่ได้แนะนำด้วยคะแนนวิจารณ์ หรือตัดสินด้วยอะไรทั้งนั้น นี่เป็นเพียงลิสต์หนังที่เราอยากบอกต่อเหมือนเพื่อนแชร์หนังหรือชวนกันดู อย่าได้หัวเสียถ้าหากไม่มีหนังที่ตรงใจคุณในลิสต์นี้ Se7en (1995) Director: David Fincher สำหรับหนังสืบสวน Thriller แล้ว ผู้กำกับเบอร์แรก ๆ ในใจของใครหลายคน คงไม่พ้น David Fincher โดยเฉพาะเรื่องนี้ ที่เป็นเรื่องราวการตามหาฆาตกรที่โคตรตื่นเต้น ให้เราได้ลุ้นกันจนวินาทีสุดท้าย ยิ่งเวลาเดินไปนานเท่าไหร่ หนังยิ่งทวีความเข้มข้นขึ้น เนื้อเรื่องคร่าว ๆ คือ ตำรวจวัยเก๋าอย่าง วิลเลี่ยม รับบทโดย Morgan Freeman ที่จับพลัดจับผลูมาเป็นคู่หูกับนักสืบหนุ่มอย่าง David รับบทโดย Brad Pitt ที่ต้องมารับคดีชวนฉงนอย่างฆาตกรต่อเนื่อง 7 ศพ ที่เขาเลือกคนที่มีบาปทั้งเจ็ดของศาสนาคริสต์