ปี 2022 ช่วงเวลาที่ทุกคนเริ่มปรับตัวให้เข้ากับ Covid19 ได้ดีขึ้น การทำงานที่เคยถูกเปลี่ยนเป็นแบบ Work From Home 100% ก็เริ่มกลับสู่การทำงานการทำงานแบบ Work In Office กันอีกครั้ง แต่ไม่ว่าจะเป็นการทำงานที่ไหน สิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้สำหรับงานที่ต้องนั่งอยู่กับที่ก็คือ ‘เก้าอี้’ คำที่เรามักจะได้ยินกันตลอดเมื่อต้องการจะซื้อเก้าอี้ในยุคนี้ คือ Ergonomic Chair หรือเก้าอี้เพื่อสุขภาพที่ออกแบบตามหลัก ‘สรีรศาสตร์’ ใส่ใจหลัง คอ บ่าของเราราวกับเป็นคนรัก และเก้าอี้ที่ดีในปี 2022 ต้องมี 3 ส่วนหลัก ๆ ดังนี้ ต้องปรับระดับได้ (Adjustability) อันดับแรกและพื้นฐานที่สุดเลย เก้าอี้ที่ดีต้องออกแบบโดยคำนึงถึงหลัก ‘สรีรศาสตร์’ ที่เอาความถูกต้องที่เหมาะสมกับร่างกายและระดับความสบายที่ถูกต้องของเราซึ่งต่างกันเป็นที่ตั้ง ด้วยฟังก์ชันที่สามารถปรับระดับส่วนต่าง ๆ ได้ ตั้งแต่ที่พักแขน (Armrest) ความสูง-ต่ำ ไปจนถึงความตื้น-ลึกในการพิงหลัง ต้องมีตัวตัวช่วยพยุงหลังส่วนล่าง (Lumbar Support) ในเก้าอี้ Ergonomic Chair สมัยใหม่แทบทุกตัวจะมีสิ่งที่เรียกว่า Lumbar
ปฏิเสธไม่ได้ว่า ‘ความสำเร็จ’ เป็นอีกหนึ่งเป้าหมายการทำงานของผู้ชายหลายคน แล้วถ้าคุณหรือใครอยากประสบความสำเร็จบ้าง วิธีที่ง่ายที่สุดคือเลียนแบบชีวิตการทำงานของคนที่ได้ชื่อว่าประสบความสำเร็จ แต่หากลองทำตามคำแนะนำของ Warren Buffett, Oprah Winfrey หรือแม้แต่ Bill Gates แล้วยังไม่เวิร์ก วันนี้ UNLOCKMEN มีกิจวัตรง่าย ๆ มานำเสนอ รับประกันว่าถ้าทำได้ ชีวิตการทำงานของคุณจะเปลี่ยนไปในทางที่ดี หรืออาจเข้าใกล้ความสำเร็จในหน้าที่การงานมากขึ้นอีกก้าว อธิบายประเด็นหลักก่อนประชุม การประชุมแต่ละครั้งอาจไม่ใช่แค่ประชุมตามกำหนดการหรือถกเถียงประเด็นกันแบบไม่รู้จักจบสิ้น Jack Dorsey ผู้ร่วมก่อตั้งแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียอย่าง Twitter จึงแนะนำให้ส่งประเด็นผ่าน Google-Docs กับผู้เข้าร่วมประชุมก่อนเริ่มประชุมจริง ประมาณ 10 นาที วิธีนี้จะช่วยให้คนในห้องประชุมเห็นภาพเดียวกันและเข้าใจเนื้อหาการประชุมเบื้องต้น แม้จะยังไม่ได้เข้าประชุม ทั้งยังทำให้พวกเขาได้คิดและวิเคราะห์เนื้อหาโดยใช้วิจารณญาณ อาจคอมเมนต์กันผ่าน Google-Docs ได้ทันที เอื้อประโยชน์ให้การประชุมราบรื่น ไม่ยืดเยื้อ และมีประสิทธิภาพสูง เรียนรู้ที่จะพูดคำว่า “ไม่” อีกเรื่องที่เราอยากให้หนุ่ม ๆ ทำกันจนเป็นกิจวัตร คือการเรียนรู้ที่จะพูดคำว่า “ไม่” ในสถานการณ์จำเป็น เพราะบางครั้งคำว่า “ไม่” ไม่ได้แปลว่าคุณเกี่ยงงานหรือไร้ความสามารถเสมอไปหรอกนะครับ งานวิจัยของ
ท่ามกลางสมรภูมิการทำงานที่แต่ละบริษัทสู้รับกันอย่างดุเดือด มองเผิน ๆ แล้วเราอาจแบ่งบริษัทได้เป็นสองประเภทหลัก คือบริษัทขนาดใหญ่ที่มีพนักงานนับร้อยพ่วงมากับเงินทุนหลายล้าน ซึ่งดูเป็นบริษัทที่มั่นคงและค่อนข้างมีระเบียบ ในทางกลับกันก็มีบริษัทขนาดย่อมที่รวมพนักงานทั้งหมดแล้วยังไม่ถึงครึ่งแผนกของบริษัทแรก แต่สิ่งที่ได้เปรียบคือพนักงานจำนวนน้อยนิดนั้นทำงานเข้าขากันสุด ๆ แต่ถ้าจะให้วัดประสิทธิภาพการทำงานของทั้งสองบริษัทข้างต้น อาจตอบไม่ได้เต็มปากว่าบริษัทไหนจะเจ๋งกว่ากัน เพราะบริษัทใหญ่อาจไม่ได้เป็นต่อเสมอไป และการทำงานในบริษัทเล็กก็คงไม่ได้แปลว่าด้อยกว่าไปเสียทุกเรื่อง แล้วอยากรู้ไหมครับว่าการทำงานในบริษัทเล็กดีกว่าบริษัทใหญ่ตรงไหนกัน? ทีมเล็ก ๆ ก็แก้ไขปัญหาใหญ่ ๆ ได้ การทำงานในทีมเล็ก ๆ ไม่เพียงทำให้คนในทีมรู้จักสนิทสนมกันมากกว่าทีมใหญ่ หากยังช่วยให้มองเห็นทักษะของเพื่อนร่วมงานแต่ละคนได้อย่างใกล้ชิด พร้อมเรียนรู้และนำความสามารถของกันและกันไปแก้ปัญหาอย่างตรงจุด เมื่อต้องตัดสินใจแก้ปัญหาเรื่องอะไรสักเรื่อง ทุกคนในทีมเล็ก ๆ มีแนวโน้มจะเข้าใจและเห็นภาพตรงกันมากกว่าทีมใหญ่ ทำให้สามารถตัดสินใจเรื่องยากได้ดีขึ้นในขอบเขตเวลาที่สั้นลง ทุกคนโฟกัสในเรื่องเดียวกัน เมื่อคนเยอะ ปัญหาก็เยอะขึ้น และความคิดเห็นที่แตกต่างอาจนำมาสู่การถกเถียงกันไม่จบสิ้น กลับกันถ้าทีมของคุณมีเพียงไม่กี่คน พนักงานทุกคนคงจะโฟกัสการทำงาน การประชุม และทำให้หลาย ๆ ความคิดกลมเกลียวกว่าเดิม มีงานวิจัยด้านจิตวิทยาอ้างว่า เมื่ออยู่ในทีมที่มีขนาดเล็กลงจะทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของแต่ละคนเพิ่มขึ้นตามมา เพราะถ้าทำงานในทีมใหญ่ ๆ ก็อาจไม่จำเป็นต้องแสดงความคิดเห็น และบางคนมักจะรู้สึกว่าตนไม่มีส่วนรับผิดชอบต่อผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น การสื่อสารที่ง่ายและราบรื่นกว่า การสื่อสารเป็นกำแพงพื้นฐานที่ทุกคนในบริษัทต้องทลายมันร่วมกัน เนื่องจากการทำงานที่ดีต้องอาศัยทักษะการสื่อสารที่เป็นระบบ ซึ่งการทำงานในทีมเล็ก ๆ ก็มีลักษณะแกมบังคับให้คุณต้องแสดงความคิดเห็นและสื่อสารกับคนในทีมแบบเลี่ยงไม่ได้ แต่ผลลัพธ์ที่ได้คือทุกคนจะทำงานเข้าขากันมากขึ้น ทำให้ความสัมพันธ์ของคนในทีมใกล้ชิดกันกว่าที่เคย และมีโอกาสที่ทุกคนในทีมจะรักใคร่ปรองดอง ตลอดจนเคารพซึ่งกันและกันมากกว่า
คงต้องยอมรับว่ากว่าที่คนเราจะประสบความสำเร็จได้นั้นคงไม่ง่ายแบบในละคร และชีวิตการทำงานก็ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบอย่างที่เราคิดเสมอไป หากมากไปด้วยขวากหนามและอุปสรรคแสนท้าทายที่กำลังทดสอบตัวคุณอยู่ อีกหนึ่งบททดสอบในชีวิตการทำงานคงหนีไม่พ้นโปรเจกต์ยาก ๆ ที่ไม่มีเพื่อนร่วมงานหน้าไหนอยากจะรับมาทำ แต่ท่านหัวหน้าสุดที่รักดันโยนโปรเจกต์นี้มาให้คุณ ความรู้สึกแรกอาจประหม่าเล็กน้อยและกระวนกระวายจนทำอะไรไม่ถูก แต่ถ้านั่งนึกดูดี ๆ แล้วนี่ถือเป็นโอกาสสำคัญในเส้นทางความสำเร็จของคุณเลยด้วยซ้ำ วันนี้ UNLOCKMEN เลยอยากมาแนะนำ 4 เทคนิคที่ช่วยให้หนุ่ม ๆ พิชิตโปรเจกต์ยาก ๆ ได้ราวกับปอกกล้วยเข้าปาก อย่าเพิ่งดูถูกตัวเองไป เพราะไม่มีอะไรที่ผู้ชายอย่างคุณทำไม่ได้! ค้นหาข้อจำกัด จริงอยู่ที่การจะคิดงานใหญ่ต้องมีใจนิ่งสงบ แต่สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือคุณต้องค้นหาข้อจำกัดของโปรเจกต์นั้น ๆ เสียก่อน อย่างเช่นถ้าคุณต้องทำโปรเจกต์ใหญ่ ใช้คนจำนวนมาก ใช้เวลามาก แต่มีงบประมาณจำกัด คุณควรทำอย่างไร? การค้นหาข้อจำกัดจะทำให้คุณเห็นภาพใหญ่ขึ้นว่าทรัพยากรหรือเงินทุนที่มี สามารถนำไปทำอะไรได้บ้างและทำอะไรไม่ได้ วิธีนี้จะช่วยให้คุณทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตรงจุด และไม่เปลืองพลังงานที่ต้องเสียไปกับการคิดอะไรที่ทำไม่ได้ แถมยังเหลือเวลาให้คุณไปทุ่มเทพลังกายพลังใจทั้งหมดกับงานทำได้จริง กำหนดระยะเวลาการทำงานอย่างเป็นระบบ การทำโปรเจกต์ยาก ๆ ให้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี นอกจากต้องอาศัยพลังงานมหาศาลแล้ว สิ่งที่ช่วยขับเคลื่อนให้กำหนดการต่าง ๆ ราบรื่นได้คือการกำหนดระยะเวลาทำงานที่เป็นระบบ สมมติถ้าโปรเจ็กต์นี้มีเวลาให้คุณทำเพียงหกเดือน หนุ่ม ๆ ควรคิดและวางแผนว่าแต่ละเดือนจะทำอะไร และงานยิบย่อยต่าง ๆ ควรทำให้เสร็จภายในวันไหน กลับกันถ้าไม่มีเดดไลน์หรือการวางแผนงานที่แน่ชัด อาจมีแนวโน้มที่คุณจะต้องทำงานด่วนงานร้อน
“ไม่ไหวแล้วโว้ย อยากลาออก” นี่คงเป็นวลียอดฮิตของมนุษย์เงินเดือนหลายคนที่สื่อถึงภาวะสุดจะทนของมนุษย์เงินเดือนอย่างเราได้เป็นอย่างดี เพราะชีวิตการทำงานนั้นไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเสมอไป อีกทั้งไม่ใช่ทุกคนจะพอใจกับงานและเงินเดือนที่ตนมี ‘การลาออก’ จึงเป็นอีกทางเลือกที่ทำให้เราได้ไปเจอสิ่งใหม่ ๆ หนีจากปัญหาและความวุ่นวายที่ไม่ถูกจริต หรืออาจเป็นก้าวสำคัญที่ทำให้ใครหลายคนเติบโตในอาชีพการงานก็ว่าได้ มีเหตุผลมากมายที่ทำให้คนเราตัดสินใจลาออก หนุ่มบางคนลาออกเพราะเจอหัวหน้าห่วยแตก ลาออกเพราะตำแหน่งงานไม่ก้าวหน้า ลาออกเพราะงานที่ทำไม่สมดุลกับเงินที่ได้ ลาออกเพราะเบื่อวัฒนธรรมองค์กรยอดแย่ และคงมีอีกสารพัดเหตุผลที่ทำให้คนอยากออก แต่สิ่งที่น่าสนใจไม่แพ้สาเหตุของการลาออก คืนคนที่มักบ่นว่า “อยากลาออก” แต่ยังทนทำงานหัวหมุนอยู่จนถึงปัจจุบัน แต่คนที่ไม่เคยปริปากบ่นสักคำกลับลาออกไปหน้าตาเฉย คุณว่ามันเพราะเป็นอะไร? คนบ่นไม่ออก เรามักจะเจอคนที่ชอบบ่นว่าอยากลาออก แต่ทุกวันนี้ก็ยังเห็นหน้าเพื่อนร่วมงานคนนั้นนั่งทำงานอยู่เหมือนเดิมและไม่มีทีท่าว่าจะย้ายไปไหนด้วย ไม่ใช่ว่าเราดูถูกเจตจำนงอันแรงกล้าที่อยากลาออกของพวกเขา แต่ถ้ามองตามหลักความจริงแล้ว จะมีเหตุผลสักกี่ข้อที่ทำให้คนบ่นอยากลาออกยังทนทำงานต่อ? บ่นเพราะอารมณ์ชั่ววูบ – บางทีการบ่นอาจช่วยระบายความอึดอัดและความทุกข์ทรมานของการทำงานที่นี่ แต่ใช่ว่าพวกเขาจะทนไม่ได้เสียทีเดียว ถามว่าทนได้ไหม ทนได้ แต่ขอบ่นหน่อยสักหน่อยแล้วกัน อยากลาออกจริง ๆ แต่ยังไม่พร้อม – สาเหตุที่ทำให้คนบ่นยังไม่ลาออก คงเพราะพวกเขายังไม่มีงานใหม่รองรับ ยังหางานที่ถูกใจไม่ได้ หรือยังไม่มีความสามารถโดดเด่นมากพอจะไปทำงานในที่ที่ดีกว่า การลาออกโดยที่ยังไม่ได้งานใหม่และต้องรับผิดชอบภาระรายจ่ายแต่ละเดือนอาจเสี่ยงเกินไป ก็เลยขอบ่นสักหน่อยและรอจังหวะที่ใช่ค่อยลาออกอีกที ไม่ได้อยากลาออกจริง ๆ แต่อยากเสนอเงื่อนไขให้ต่อรอง – บางคนที่บ่นตั้งแต่เช้ายันเย็นว่าอยากลาออก อาจไม่ได้คิดจะลาออกจริง ๆ แต่อยากเรียกร้องเงื่อนไขบางอย่างให้ตัวเอง เช่น อยากเพิ่มเงินเดือน
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าความเครียดกับความวิตกกังวลเป็นอีกสองส่วนผสมของการทำงาน และเป็นสิ่งที่หนุ่มมนุษย์เงินเดือนอย่างเรายากที่จะเลี่ยง แต่ต่อให้ความเครียดสะสมหรือความกังวลถาโถมโจมตีมากขนาดไหน มนุษย์เราก็ฉลาดพอที่จะหาวิธีจัดการกับมันได้เสมอ เชื่อว่าผู้ชายแต่ละคนก็คงมีวิธีคลายเครียดระหว่างการทำงานที่ต่างกัน บางคนชอบผละจากหน้าจอชั่วขณะ แล้วหันไปนั่งคุยกับเพื่อนเรื่องบอลแทน บ้างเดินออกไปสูบบุหรี่หวังเปลี่ยนบรรยากาศและลดความเคร่งเครียดจากงานตรงหน้า แต่กับหนุ่มบางคนเลือกที่จะเดินออกไปชื่นชมต้นไม้ใบหญ้า เปลี่ยนจากแสงสีฟ้าที่คุ้นตาหันไปหาธรรมชาติสีเขียวแทน นอกจากความร่มรื่น สบายตา และร่มเงาที่ช่วยปกป้องเราจากแสงอาทิตย์แล้ว ธรรมชาติยังช่วยลดความเครียดและความวิตกกังวลได้อย่างไม่น่าเชื่อ มีงานวิจัยชิ้นหนึ่งอ้างว่าพนักงานชาวสหรัฐฯ 34% รู้สึกเครียดและกังวลกับการทำงาน ซึ่งตัวเลขดังกล่าวก็เพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ ทุกปี และคิดว่าสถิติความเครียดของพนักงานชาวไทยก็คงไม่ต่างไปกว่ากันเท่าไร วันนี้ UNLOCKMEN เลยอยากมาแนะนำวิธีจัดการกับความเครียดและความวิตกกังวลในออฟฟิศ ด้วยประโยชน์จากธรรมชาติ นี่คือ 3 วิธีง่าย ๆ ที่อาจช่วยให้คุณมีความสุขกับการทำงานมากขึ้น! จินตนาการถึงธรรมชาติ อาจฟังดูเหมือนคนไม่ปกติ แต่เราอยากให้คุณลองมโนภาพว่าคุณกำลังอยู่ท่ามกลางธรรมชาติที่เงียบสงบ อาจเป็นชายหาดที่มีผู้คนบางตาและมีคลื่นซัดเป็นระลอก บนหุบเขาที่ห้อมล้อมไปด้วยอ้อมกอดของแมกไม้ หรือกลางทะเลที่มีแสงแดดอุ่น ๆ สาดกระทบใบหน้าและเสียงคลื่นเท่านั้นที่ดังก้อง การจินตนาการภาพถึงทิวทัศน์หรือเสียงในสถานการณ์นั้น ๆ จะส่งผลกระทบต่อสมองเช่นเดียวกับการมองเห็นหรือสัมผัสมันจริง ๆ ซึ่งงานวิจัยก็ย้ำว่าการสร้างภาพหรือข้อมูลต่าง ๆ ในหัวผ่านจินตนาการเพียงไม่กี่นาที ช่วยลดความเครียดและวิตกกังวลให้คนทำงานได้ มองหาธรรมชาติรอบตัว การมองหาธรรมชาติเล็ก ๆ รอบตัวเราก็เป็นวิธีง่าย ๆ ที่ลดความเครียดและความวิตกกังวลได้เหมือนกัน หากย้อนไปตอนเด็ก ๆ ไม่ว่าหนุ่มคนไหนก็คงหลงใหลและเพลิดเพลินกับการจ้องมองฝูงปลาในพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ
ผู้ชายแต่ละคนก็คงมีพฤติกรรมการทำงานที่แตกต่างกันไป บ้างชอบมาทำงานเช้าแล้วกลับเร็ว เร่งทำงานที่ได้รับมอบหมายให้สำเร็จลุล่วง เพื่อจะได้เหลือเวลาไปทำเรื่องอื่น ๆ ในชีวิต ในทางกลับกันหนุ่มบางคนเป็นสายชิลที่ชอบมาสายหน่อย แต่ก็ทำงานได้เรื่อย ๆ จะอยู่จนดึกดื่นก็ไม่เกี่ยง เพราะชอบทำงานแบบเนิบช้ามากกว่าเร่งด่วน แต่ที่แปลกกว่านั้นคือมีมนุษย์ทำงานบางคนชอบทำงานไป ท่องโลกอินเทอร์เน็ตไป ทำงานได้ไม่ถึงสิบนาทีก็กด new tap แวะไปเล่นเฟซบุ๊กอีกห้านาทีค่อยกลับมาทำงานต่อ ไม่รู้ว่าพวกเขาสมาธิสั้นหรือไม่อยากเคร่งเครียดกับงานมากไปกันแน่ ในปี 2002 ทีมนักวิจัยของ The National University of Singapore สันนิษฐานว่าพฤติกรรมการใช้อินเทอร์เน็ตและโซเชียลมีเดียในที่ทำงาน เป็นปัญหาใหญ่ที่อาจส่งผลให้พนักงานทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ หลังจากนั้นก็มีงานวิจัยชิ้นอื่น ๆ สนับสนุนข้อสันนิษฐานดังกล่าวเช่นกัน ทำให้หลากหลายบริษัทพยายามหาแนวทางป้องกันไม่ให้พนักงานใช้อินเทอร์เน็ตหรือโซเชียลมีเดียระหว่างทำงานมากเกินไป ทั้งตรวจสอบการใช้อินเทอร์เน็ตและกำหนดนโยบายการใช้คอมพิวเตอร์ของบริษัท การท่องโลกอินเทอร์เน็ตช่วยจัดการกับความเครียดได้? มีรายงานว่าชาวอเมริกันใช้เวลาประมาณ 10% ของเวลาทำงานไปกับการท่องโลกอินเทอร์เน็ต เล่นโซเชียลมีเดีย ส่งอีเมลหาเพื่อนสนิท และชอปปิงออนไลน์ แต่พฤติกรรมทั้งหมดนี้ไม่ได้สะท้อนว่าพวกเขาขี้เกียจหรือไม่ตั้งใจทำงานแต่อย่างใด เพราะผลสำรวจเผยว่าพฤติกรรมที่ชอบทำงานพลางท่องโลกอินเทอร์เน็ตพลาง ช่วยให้พนักงานรับมือกับสภาพแวดล้อมการทำงานที่ตึงเครียดและกดดันได้เป็นอย่างดี ซึ่งนั่นอาจทำให้พวกเขาทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นก็ได้ จากการสำรวจนักศึกษามหาวิทยาลัย 258 คน ที่ทำงานอย่างน้อย 20 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ เกี่ยวกับประสบการณ์การทำงานของพวกเขา พบว่าการใช้อินเทอร์เน็ตในที่ทำงานเพื่อจุดประสงค์ส่วนตัว อาจมีผลเชิงบวกต่อพนักงานและมีผลดีต่อการทำงานอย่างไม่น่าเชื่อ พนักงานที่ใช้เวลาท่องเว็บไซต์และเล่นโซเชียลมีเดียขณะทำงาน ให้ความเห็นว่าพวกเขาพึงพอใจในที่ทำงานและมีแนวโน้มจะลาออกจากงาน
เพราะการทำงานกินเวลามากถึง 1 ใน 3 ของวัน ผู้ชายเราจึงต้องใช้เวลาทำงานแทบทุกวินาทีให้คุ้มค่ามากที่สุด แต่คงต้องยอมรับว่ามีหลายปัจจัยในออฟฟิศที่บ่อนทำลายการทำงานที่เป็นระบบระเบียบของเราจนพังไม่เป็นท่า หนึ่งในนั้นคงหนีไม่พ้นเรื่อง ‘ความเป็นส่วนตัว’ ที่หนุ่ม ๆ ถูกรุกล้ำจากเพื่อนร่วมงานโดยที่พวกเขาตั้งใจหรือไม่ก็ตาม สาเหตุที่ทำให้คนในออฟฟิศยุคนี้ไม่ค่อยเคารพพื้นที่ส่วนตัวของกันและกัน อาจเป็นเพราะปัจจุบันวัฒนธรรมการทำงานขององค์กรที่เน้นการพูดคุยและแชร์ไอเดีย จนทำให้ใครหลายคนหลงลืมไปว่าความเป็นส่วนตัวก็ยังเป็นเรื่องที่สำคัญอยู่ เมื่อเราเริ่มเคยชินกับวัฒนธรรมการทำงานแบบนี้ จนอาจหลงลืมเรื่องการไม่ละเมิดสิทธิต่อเพื่อนร่วมงานลดน้อยลงไปด้วย แถมออฟฟิศหลายแห่งก็ออกแบบให้เปิดโล่งและไม่ได้แบ่งสัดส่วนที่แน่ชัด หวังจะสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ดีและช่วยให้คนในออฟฟิศปฏิสัมพันธ์กันมากขึ้น แต่ก็เป็นอีกปัจจัยที่ทำลายความเป็นส่วนตัวอย่างเลี่ยงไม่ได้เช่นกัน นี่คือ 3 เหตุผลดี ๆ ที่คุณยังต้องการความเป็นส่วนตัวในที่ทำงาน (ต่อให้ไม่ได้แอบทำงานนอกหรือมีความลับอะไรก็ตาม) เพื่อความคิดสร้างสรรค์ ต้องบอกว่าความเป็นส่วนตัวจำเป็นอย่างมากต่อความคิดสร้างสรรค์ ลองจินตนาการภาพตอนที่คุณนั่งคิดงานเงียบ ๆ คนเดียว กับตอนที่นั่งคิดงานท่ามกลางเสียงพูดคุยจ้อกแจ้กจอแจ มันคงแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แม้การทำงานร่วมกันจะไม่สามารถหนีจากการระดมความคิดเป็นหมู่คณะได้ แต่เมื่อใดที่คุณได้ครุ่นคิดบางเรื่องเงียบ ๆ คนเดียว สมองซีกขวาที่มีผลต่อความคิดสร้างสรรค์ของคุณคงได้ทำงานได้อย่างเต็มที่โดยไม่มีสิ่งเร้าใด ๆ มารบกวน มีสมาธิและจดจ่ออยู่กับสิ่งตรงหน้ามากขึ้น นอกจากความเป็นส่วนตัวจะเอื้อประโยชน์ต่อความคิดสร้างสรรค์แล้ว ยังทำให้เรามีสมาธิและจดจ่ออยู่กับงานที่ทำมากขึ้นอีกด้วย เราเชื่อว่าการทำงานโดยไม่มีใครมาคอยขัดจังหวะทุก ๆ 5 นาที หรือใส่หูฟังทำงานแบบไม่สนใจบทสนทนาฟุ่มเฟือยของเพื่อนร่วมงาน อาจทำให้หนุ่ม ๆ ทำงานเสร็จรวดเร็วและรอบคอบกว่าเดิมก็เป็นได้ อยากมีส่วนร่วมกับกิจกรรมของบริษัท การที่หนุ่ม ๆ ปกป้องความเป็นส่วนตัวได้และไม่ถูกรบกวนเวลาทำงาน
พอทำงานมาได้สักพักหนึ่ง คงมีผู้ชายหลายคนที่ยังสนุกอยู่กับงานที่ทำ รู้สึกตื่นเต้น ท้าทาย และมีความสุขทุกครั้งเมื่อต้องทำงานภายใต้แรงกดดัน หรือได้ลองทำโปรเจกต์หินเพื่อพิสูจน์ตัวเอง แต่เราเชื่อว่ามีผู้ชายไม่น้อยที่กำลังเบื่องาน เบื่อคน และมีแพลนจะย้ายงานในเร็ววันนี้ UNLOCKMEN เลยอยากให้หนุ่ม ๆ พิจารณาให้ถี่ถ้วนเสียก่อน เพราะไม่ใช่ทุกออฟฟิศที่จะน่าทำงาน และไม่ใช่ว่าผลตอบแทนสูงลิ่วจะการันตีถึงความมั่นคงได้เสมอไป แล้วออฟฟิศแบบไหนที่ผู้ชายอย่างเราไม่ควรทนทำงานต่อหรือไม่ควรหลวมตัวสมัครเข้าไปทำงาน? ค่าตอบแทนสูงแต่ไม่มั่นคง ระบบการจ้างงานในปัจจุบันคงจำแนกได้เป็นสองประเภทใหญ่ ๆ คือการจ้างงานแบบประจำและการจ้างงานแบบชั่วคราวหรือสัญญาจ้าง ซึ่งต้องยอมรับว่าข้อตกลงแบบสัญญาจ้างนั้นให้ค่าตอบแทนที่สูงกว่า แม้จะได้เงินเดือนสูงแต่อาจต้องแลกมากับชีวิตการทำงานที่ไม่มั่นคง เพราะคุณไม่สามารถรู้ได้เลยว่าบริษัทจะว่าจ้างคุณทำงานต่อในปีถัดไปหรือไม่ ถ้าไม่ คุณจะวางแผนการหางานอย่างไร ไม่ให้ตัวเองตกงาน? วัฒนธรรมองค์กรสุดพิลึก เราเคยได้ยินมาว่าความรู้สึกแรกเชื่อได้เสมอ ถ้าคุณไปสัมภาษณ์งานวันแรกและรู้สึกประทับใจหัวหน้างาน เพื่อนร่วมงาน หรือแม้แต่สภาพแวดล้อมในการทำงาน มันอาจทำให้คุณมีความสุขเมื่อได้ทำงานที่นี่จริง ๆ เพราะวัฒนธรรมองค์กรเชิงบวกนั้นช่วยขับเคลื่อนประสิทธิภาพการทำงานและความก้าวหน้าของบริษัทได้ ในทางตรงกันข้ามถ้าวันสัมภาษณ์งานของคุณเต็มไปด้วยปัญหา เห็นความขัดแย้งของหัวหน้ากับพนักงานคนอื่น ๆ หรือได้ฟังคำถามที่บ่งบอกถึงตรรกะแปลกประหลาดบางอย่าง อย่ารอช้า รีบเผ่นเถอะ! พนักงานลาออกบ่อย ก่อนที่จะตัดสินใจไปสัมภาษณ์งาน เราอยากให้หนุ่ม ๆ ศึกษาข้อมูลที่ทำงานใหม่ก่อน ว่าที่นี่เปิดรับพนักงานมากน้อยเพียงใดและเปิดรับสมัครบ่อยแค่ไหน ถ้าบริษัทดังกล่าวเปิดรับตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงทุก ๆ 3-6 เดือน แปลว่าบริษัทนี้กำลังเข้าขั้นวิกฤตและขาดการบริหารจัดการที่ดี หรือเมื่อเข้าทำงานแล้วเห็นเพื่อนร่วมงานพากันลาออกยกแก๊ง คุณอาจต้องกลับไปคิดว่าสาเหตุของปัญหานี้คืออะไร เพราะมันอาจส่งผลกระทบต่อการทำงานและความมั่นคงของบริษัทคุณได้ บทบาทงานไม่เหมือนที่คุยกันไว้
‘ออฟฟิศ’ เป็นสถานที่ที่สัมพันธ์กับชีวิตมนุษย์เงินเดือนอย่างเราเป็นที่สุด เพราะเราใช้เวลาอยู่ที่นี่ร่วม 8 ชั่วโมงต่อวัน ซึ่งถ้านับดูดี ๆ ก็มากถึง 1 ใน 3 ของวัน แต่น่าแปลกที่หนุ่มออฟฟิศบางคนกลับใช้เวลาทำงานมากกว่า 8 ชั่วโมงเสียอีก และยิ่งแปลกไปกว่านั้นเมื่อพวกเขาดันคิดว่ามันเป็นเรื่องปกติ ผู้ชายบางคนทำงานในองค์กรที่มีเวลางานยืดหยุ่น และคุ้นชินกับการมาทำงานสายจนทำให้งานไม่เสร็จ แต่ใจก็ไม่อยากหอบงานกลับไปทำต่อที่บ้าน เลยต้องนั่งทำงานต่อจนกินเวลาเกินกว่า 8 ชั่วโมง นอกจากพฤติกรรมนี้จะสะท้อนว่าคุณไม่สามารถจัดสรรเวลาทำงานได้อย่างเหมาะสมแล้ว มันอาจบ่อนทำลายชีวิตแบบ productive และทำลายความสุขในการทำงานของคุณจนไม่เหลือชิ้นดีอีกด้วย วันนี้ UNLOCKMEN เลยจะมาชี้เป้า 5 อุปสรรคในออฟฟิศที่คุณควรกำจัดมันให้สิ้นซาก เพื่อให้คุณได้ใช้ชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัวอย่างมีประสิทธิภาพ! อุปสรรคที่ 1: สภาพแวดล้อมในการทำงาน แม้ออฟฟิศแบบเปิดโล่งจะได้รับความนิยมในสมัยนี้ แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะชอบออฟฟิศสไตล์นี้ เพราะหายนะของออฟฟิศแบบเปิดโล่งคือการที่คุณต้องทนฟังเสียงคนอื่นคุยกันไปมาข้ามหัวคุณตลอดทั้งวัน ไม่เพียงบั่นทอนสมาธิในการทำงาน แต่อาจทำให้คุณทนไม่ไหวและเผลอไปร่วมวงสนทนากับพวกเขาต่ออีกด้วย วิธีแก้ง่าย ๆ คือหาหูฟังเปิดเพลงดัง ๆ อุดหู หรือปลีกตัวออกไปทำงานในมุมสงบ ๆ จะช่วยให้คุณสามารถทำงานต่อได้อย่างลื่นไหล แม้ต้องอยู่ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้อประโยชน์ต่อการทำงาน (ที่ต้องใช้สมาธิ) ก็ตาม อุปสรรคที่ 2: โซเชียลเน็ตเวิร์ก ถ้างานของคุณไม่จำเป็นต้องติดต่อสื่อสารหรือตอบอีเมลตลอดเวลาก็คงจะดีไป